เลือกสีพื้นเพื่ออ่านบทความ >>> พื้นขาว พื้นดำ พื้นครีม

วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

DMW 027-031 ยกระดับสถานะทางสังคม

 DMW 027 ยกระดับสถานะทางสังคม (1)



เขาเคยมีความฝัน


มันเป็นความฝันเกี่ยวกับอดีตอันไกลโพ้น


อย่างไรก็ตามความฝันของเขาสดใสราวกับเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน มันเป็นความฝันแบบนั้น


'นี่ต้องเป็นความฝันแน่ๆ'


อาเซลล์คิดกับตัวเองอย่างโง่เขลา


เขาคุ้นเคยกับการมีความฝันที่ชัดเจน คนปกติจะตั้งคำถามว่าเป็นไปได้อย่างไร อย่างไรก็ตาม นักบ่มเพาะควบคุมจิตวิญญญาณเรียนรู้วิธีควบคุมจิตใจ ดังนั้นเขาจึงประสบกับความฝันที่ชัดเจนมากมายจนกระทั่งเขารู้สึกเบื่อหน่าย ถ้าเขาต้องการ ก็เป็นไปได้ที่เขาจะกระตุ้นให้เกิดความฝันที่ชัดเจน


แต่ความฝันนี้ไม่เกี่ยวกับเจตนาของเขา


ในความฝัน อาเซลล์อยู่กับใครบางคนในซากปรักหักพังของปราสาท 


ครั้งหนึ่งปราสาทแห่งนี้ มันเคยดูยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก


นี่คือปราสาทที่ราชามังกรปีศาจเอเธน เคยครอบครอง


“ที่นี่ไม่มีสิ่งที่มีประโยชน์เหลืออยู่เลย”


เขาได้ยินเสียงที่แฝงไปด้วยความรู้สึกเสียดาย เมื่อเขามองไปด้านข้าง คาร์ลอสก็อยู่ที่นั่น


อาเซลล์คุ้นเคยกับรูปลักษณ์ของอีกฝ่าย เขาเป็นจอมเวทหนุ่มที่มีผมสีน้ำตาลเรียบร้อย และมีดวงตาสีเทาเย็นชา


'เส้นผมเหล่านั้นก็ดูเหมือนจะหายไปในสองสามทศวรรษ จนศีรษะของเขาเกลี้ยงเกลา'


ความคิดเหล่านั้นเป็นสิ่งแรกที่เข้ามาในความคิดของอาเซลล์ อย่างไรก็ตาม ท่าทางของคาร์ลอสที่แก่ชรานั้นก็ดูน่าตกใจเกินไป


คาร์ลอสไม่รู้ว่าอาเซลล์กำลังคิดอะไรอยู่ เขาถอนหายใจออกมา


“ไอ้สารเลว เอเธน ไม่ทิ้งอะไรไว้ในห้องทดลองวิจัยแม้ว่าเขาจะเป็นจอมเวทก็ตาม”


คาร์ลอสใช้ทุกวิถีทางเท่าที่จะจินตนาการได้เพื่อค้นหาวิธีลบล้างคำสาปที่ติดอยู่กับอาเซลล์ พวกเขาค้นหาปราสาทแห่งนี้สองสามครั้งเพื่อหาเงื่อนงำเล็กน้อย


อย่างไรก็ตาม มันก็ไร้ผล หนังสือเวทอาคมจำนวนมากที่วางอยู่บนชั้นหนังสือของเอเธนก็ไม่มีเงื่อนงำใด ๆ เกี่ยวกับวิธีการปลดปล่อยอาเซลล์ จากคำสาป ห้องทดลองมีผลิตภัณฑ์เวทอาคมจำนวนมากอย่างน่าประหลาดใจ แต่ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ


อาเซลล์ปลอบใจเพื่อนของเขา


“เอเธน อาจเป็นจอมเวทคนแรกๆ คาดว่าเขาจะแตกต่างจากจอมเวทคนอื่นๆ”


เผ่าพันธุ์มังกรปีศาจสร้างทักษะที่เรียกว่าเวทอาคม


ยิ่งกว่านั้น เอเธนก็ยังเป็นเผ่าพันธุ์มังกรปีศาจตัวแรกที่ถือกำเนิดขึ้นในโลกนี้ และยังปกครองพวกเขาในฐานะราชา นี่คือเหตุผลที่จอมเวทบางคนตั้งสมมติฐานว่า เอเธน เป็นต้นกำเนิดของเวทอาคม


คาร์ลอสเริ่มโกรธ


“อย่าพูดราวกว่าปัญหานี้เป็นปัญหาของคนอื่น! มันเป็นปัญหากับชีวิตของเจ้า!”


"ข้ารู้แล้วน่า"


“ถ้ารู้แล้วทำไมยังนิ่งเฉย”


“ข้าไม่สามารถโกรธคนที่ข้ารู้ว่ากำลังพยายามอย่างหนักที่สุดในโลกนี้เพื่อแก้ปัญหาของข้า”


“กึก....” 


ใบหน้าของคาร์ลอสแดงก่ำ เขารู้สึกละอายใจ อาเซลล์ยังดูสุขุมเมื่อเผชิญกับภัยคุกคามแห่งความตาย และเป็นผู้ที่สูญเสีย


'ข้าก็กลัวเหมือนกัน คาร์ลอส'


อาเซลล์ คนปัจจุบันยิ้มอย่างขมขื่นเมื่อเขาเห็นฉากนี้ในความฝันของเขา


ใช่ อาเซลล์ก็กลัวเช่นกัน เขาช่วยโลกไว้ได้ แต่อนาคตของเขาไม่สามารถรักษาไว้ได้ ความตายกำลังใกล้เข้ามาทุกชั่วโมง และเขาอาจยอมจำนนต่อมัน ความจริงแล้ว เขารู้สึกกลัวและอยากจะร้องไห้


เขาชอบความคิดที่จะตายในสนามรบ ซึ่งเขาจะตายเมื่อเขาแพ้ เขาจะสามารถอยู่เฉย ๆ จนกว่าช่วงเวลานั้นจะมาถึง มันยากกว่าที่จะทนรับความกลัวที่หายใจไม่ออกต่อความตายที่กำลังเข้ามาหาเขาอย่างช้าๆ


อย่างไรก็ตาม เขารู้สึกมีไฟลุกโชนที่มุมหัวใจเมื่อเขาคิดเช่นนี้


‘เอเธน สิ่งเดียวที่เจ้าจะพรากไปจากข้าได้คือชีวิตของข้า'


อาเซลล์ ตั้งใจแน่วแน่ที่จะไม่ปล่อยให้เอเธนไปในแบบของเขาเอง


เหนือสิ่งอื่นใด เขาไม่ต้องการทำให้เพื่อนของเขาผิดหวัง จากความสิ่งที่เกิดขึ้น แม้ว่าความพยายามของเขาจะล้มเหลว แต่เขาก็ไม่เคยต้องการให้เพื่อนเห็นเขาในสภาพที่ยุ่งเหยิง เขาต้องการแสดงความมั่นใจและภาคภูมิใจจนจบ


ทั้งหมดนี้เป็นการแสดงและเป็นพฤติกรรมแบบเด็กๆ อย่างไรก็ตาม ในฐานะชายผู้พุ่งเข้าสู่สนามรบในขณะที่จับดาบของเขา จะเหลืออะไรอีกหากมีใครพรากความองอาจของเขาไป


เขารักษาหน้านี้ไว้โดยเอาชีวิตเข้าแลก ดังนั้นจึงไม่มีใครดูถูกเขา


ถ้าเขาคิดย้อนกลับไป เขาคิดว่าผู้กล้าหาญคนนี้ จะต้องช่วยคาร์ลอสได้แน่ๆ


“อาเซลล์ ข้า... รู้สึกเหมือนเราสลับที่กันจริงๆ”


“ข้ารู้สึกเหมือนกัน ไม่คิดไม่ฝันว่าวันนี้จะมาถึง”


มันตรงกันข้ามในสงครามมังกรปีศาจ อาเซลล์ยังขาดประสบการณ์ และเมื่อใดก็ตามที่เขาไม่สามารถระงับอารมณ์ได้ ท่าทีเย็นชาของคาร์ลอสก็เหมือนกับน้ำเย็นที่ราดบนตัวเขา


เมื่อใดก็ตามที่คนในกลุ่มรู้สึกเหนื่อยหรือหมดหวัง คาร์ลอสคือคนเดียวที่ไม่ท้อถอย ในจังหวะที่ทุกคนชะงัก เขายืนหยัดทุกอย่างราวกับคานเหล็ก และเป็นผู้สนับสนุนของพวกเขา 


คาร์ลอสเป็นคนที่ได้รับบทบาทนี้ อย่างไรก็ตาม หลังจากที่อาเซลล์ถูกคำสาป บทบาทของพวกเขาก็ถูกสลับเปลี่ยน อาเซลล์ควรจะเป็นคนที่เจ็บปวดที่สุด แต่เขาก็ยังยืนหยัดต่อสู้ เขาทำราวกับว่าเขาไม่หวั่นไหว เป็นเสาหลักที่ค้ำจุนคาร์ลอสซึ่งในบางครั้งกำลังจะแตกสลายจากความสิ้นหวัง


เมื่อทั้งสองเดินผ่านซากปรักหักพัง ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงห้องทำงานของเอเธน มีคำที่สลักไว้บนกำแพงที่พังทลายลงครึ่งหนึ่งด้วยเวทอาคม


'ผู้ที่ปฏิบัติต่อโลกด้วยความเกลียดชังจะต้องเตรียมพร้อมที่จะถูกโลกเกลียดชัง'


ทันทีที่ อาเซลล์ อ่านข้อความเหล่านั้น เขาก็เดาได้ว่าใครเป็นคนเขียน


ราชามังกรปีศาจเอเธน


เขาพยายามที่จะพิชิตโลก แต่เขาเข้าใจถึงความสำคัญของการกระทำของเขาหรือไม่?


คาร์ลอสถามคำถาม


“ราชามังกรปีศาจคิดอะไรอยู่ตอนที่เขาพยายามยึดครองโลก”


เผ่าพันธุ์มังกรปีศาจถือกำเนิดขึ้นในอดีต เผ่าพันธุ์มังกรปีศาจตัวแรกก็คือ เอเธน เป็นสิ่งมีชีวิตพิเศษ เขามีอายุยืนยาวกว่าคนอื่น ๆ ในเผ่าพันธุ์มังกรปีศาจ เขามีชีวิตอยู่มานานกว่าพันปี


เขาเป็นเมล็ดพันธุ์เริ่มต้นของเผ่าพันธุ์มังกรปีศาจ เขาอาจเป็นต้นกำเนิดของความลึกลับที่เรียกว่าเวทอาคม ทำไมเขาถึงเข้าร่วมกับคนอื่น ๆ ในเผ่าพันธุ์ของเขาเพื่อยึดครองโลก? ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อต่อสู้กับ เอเธน แต่ไม่มีใครรู้ถึงความตั้งใจจริงของ เอเธน ที่เขายึดมั่นอยู่ในใจ


อาเซลล์เป็นข้อยกเว้นประการหนึ่ง


ในใจของอาเซลล์ คำพูดของเอเธนถูกปัดเป่า


'น่าเสียดายที่การทดลองนี้ล้มเหลว ข้ายังคงไม่รู้ ข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับความจริงนี้'


คำพูดเหล่านี้ทำให้ อาเซลล์ ตัวสั่น


ถ้า เอเธน เปิดเผยความทะเยอทะยานของเขา อาเซลล์ก็คงคัดค้าน


เขาคงจะหัวเราะออกมาถ้า เอเธนเหมือนจอมเวททั่วไปพูดยืดเยื้อเกี่ยวกับความยิ่งใหญ่ของตัวเอง อย่างไรก็ตาม เมื่อเขากำลังจะเผชิญกับความตาย เอเธนยอมรับความล้มเหลวของตัวเองอย่างกล้าหาญ นอกจากนี้เขายังกล่าวว่าเหตุการณ์วุ่นวายที่พลิกโลกเป็นเพียงการทดลองเท่านั้น


‘อาเซลล์ ถ้าเจ้าเป็นดาบของทั้งโลกใบนี้ที่กำลังเล็งมาที่ข้า ข้าจะทำลายเจ้าโดยใช้ชีวิตของข้าเป็นเดิมพัน เจ้ากับข้าจะตายด้วยกัน'


...หลังจากที่เขาพูดคำเหล่านั้น คำสาปก็พุ่งไปที่อาเซลล์


อาเซลล์ พูดหลังจากที่เขานึกถึงเรื่องในอดีตชั่วครู่


“คาร์ลอส”


"ฮะ?"


“เจ้า หัวของเจ้าโล้นหมดแล้ว”


"...อะไร?"


อดีตเคยเกิดขึ้นแล้ว แต่เขาไม่เคยสนทนาเรื่องนี้ ความแตกต่างนั้นได้ทำลายโลกแห่งความฝัน


อาเซลล์ พูดต่อไปในขณะที่โลกในความฝันของเขาพังทลาย


“อย่างไรก็ตาม คาร์ลอส เจ้าเป็นผู้ชายที่แย่มาก เจ้าสมควรได้รับการขนานนามว่าเป็นจอมเวทผู้ยิ่งใหญ่”


นี่คือคำสรรเสริญที่ อาเซลล์ ต้องการมอบให้เพื่อนของเขาที่จากไปนานอย่างสุดใจ


...


ในขณะเดียวกันกับที่ เจ้าหญิงมังกรปีศาจ อาเรียต้า อยู่ในป้อมปราการชายแดนตะวันตก อาเซลล์ก็ทำการฝึกฝนร่างกายและบ่มเพาะการความคุมจิตวิญญาณของเขา นอกจากนี้เขายังใช้เวลาอย่างสงบในการอ่านหนังสือจำนวนน้อยในห้องสมุด


ไจล์สพูดขึ้นมาว่า


“พลังเวทของเจ้าเพิ่มขึ้นอย่างมากภายในสองสามวันที่ผ่านมา?”


“อย่างแรก ข้าไม่ได้พยายามบ่มเพาะพลังเวท เพื่อเพิ่มพลังเวทของข้า ความคืบหน้าของข้าเร็วขึ้นเนื่องจากข้าพยายามกู้คืนสิ่งที่ข้าทำหายไป”


คำพูดของ อาเซลล์ เป็นความจริงเพียงครึ่งเดียว


ในเวลาเพียง 4 วันของการฝึก เขาดูดซับพลังจำนวนมากจากพิธีกรรมสังหารมังกร และเขาก็สามารถสร้าง วงแหวนชีวิตที่ 2 ได้สำเร็จ พลังเวทของเขาเพิ่มขึ้นหลายเท่าตั้งแต่เขาออกจากซากปรักหักพัง


เนื่องจากพลังเวทของเขาเพิ่มขึ้น หมายความว่าตอนนี้ อาเซลล์ สามารถใช้เคล็ดวิชาของเขาได้ง่ายขึ้น พลังที่เขาสามารถปลดปล่อยได้และปริมาณของพลังเวทที่สะสมอยู่ภายในร่างกายของเขานั้นมากขึ้นอย่างมาก ตอนนี้เขาสามารถเอาชนะไจล์สได้แล้วหากพวกเขาประลองฝีมือกัน


อย่างไรก็ตาม อาเซลล์ ไม่ได้เปิดเผยการฝึกฝนของเขา ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้ ไจล์สเอาชนะ เขาตัดสินใจว่าเขาจะระมัดระวัง เขาไม่ต้องการให้การกระทำของเขาดูไร้สาระเกินไป


หลังจากที่เขาใช้เวลาสี่วันด้วยวิธีนี้ อาเรียต้าก็ตัดสินใจออกจากป้อมปราการชายแดนตะวันตกเพื่อมุ่งหน้าไปยังพระราชวัง


อาเซลล์ตื่นขึ้นในตอนเช้าตรู่ พวกเขาจะออกเดินทางไปยังพระราชวัง เขาสวมใส่อุปกรณ์ที่ได้รับเมื่อวันก่อน อาเซลล์บอกเจ้าหญิงมังกรว่าเขาต้องการดาบเพียงเล่มเดียว แต่เนื่องจากเขาคอยปกป้องเธอ เธอจึงยืนกรานที่จะให้ชุดเกราะหนังแก่เขา


"อืม... มาได้ผ่านมาสักพักแล้ว”


ก่อนที่เขาจะหลับไป อาเซลล์เป็นอัศวินที่มีชื่อเสียง ดังนั้นเขาจึงเคยสวมชุดเกราะเต็มตัวที่ร่ายมนตร์ด้วยเวทอาคม


ก่อนที่คนๆ หนึ่งจะได้เป็นอัศวินและได้รับตำแหน่งขุนนาง ทหารส่วนใหญ่ยังชีพด้วยการมียุทโธปกรณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก ชุดเกราะหนังเป็นของใหม่และมีคุณภาพดีเนื่องจากได้มาจากเสบียงของกองทัพ แต่มันทำให้เขานึกถึงช่วงเวลานั้น (TLN: เขานึกถึงตอนที่เขายังเป็นทหารยศต่ำ)


หลังจากที่เขาเตรียมอาวุธให้ตัวเองเสร็จ อาเซลล์ก็มุ่งหน้าไปยังสถานพยาบาลก่อนที่เขาจะไปยังสถานที่ที่กำหนดไว้


“หวัดดี”


เขากล่าวทักทาย ริคตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการทำงานประจำวันของเขา


“เจ้าจะไปวันนี้เหรอ”


"ใช่ ข้าเป็นหนี้เจ้าอย่างมาก ริค”


“ข้าคิดว่าเจ้าได้ชดใช้สิ่งที่ติดค้างข้ามามากพอแล้ว”


ริคยื่นมือออกมา และ อาเซลล์ กุมมือไว้ จากนั้นพวกเขาก็จับมือกันอย่างหนักแน่น


ริคพูดขึ้น


“ถ้าเจ้าได้รับการเลื่อนตำแหน่งในขณะที่รับใช้เจ้าหญิง อย่าลืมเกี่ยวกับข้า”


“แล้วไม่คิดจะกลับมาอีกเหรอ”


“ข้าก็จะทำเหมือนกัน”


ริคยิ้มในขณะที่เขาพูด


“ข้าหวังว่าเจ้าจะฟื้นความทรงจำของเจ้า ข้าแน่ใจว่าเจ้า อาเซลล์ไม่ได้มีกำเนิดที่ธรรมดา”


"ขอบคุณ"


อาเซลล์บอกลากับริค และเขามุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่กำหนด ยังไม่มีใครอยู่ที่นั่น แต่ไจล์สและอีกคนหนึ่งปรากฏตัวในไม่ช้า


ชายอีกคนดูเหมือนจะเป็นอัศวินหนุ่ม และเขาอายุพอๆ กับอาเซลล์


อาเซลล์ กล่าวคำทักทายของเขา


“อรุณสวัสดิ์ เซอร์ไจล์ส”


“เจ้ามาเร็ว”


อาเซลล์มาก่อนเวลานัด 20 นาที เขาตัดสินใจว่าการมาช้ากว่าคนอื่นๆ ไม่ใช่เรื่องดี อย่างไรก็ตามไม่มีใครอยู่ที่นั่นเมื่อเขามาถึง ไจล์สมาถึงหลังจากนั้น แต่เขาเป็นข้อยกเว้น


ไจล์สแนะนำอัศวินหนุ่มที่เขามาถึงด้วย


“นี่คือเซอร์โบอาร์ เขาเป็นสมาชิกของกลุ่มคุ้มกันซึ่งเคยเดินทางมาที่นี่พร้อมกับเจ้าหญิง เซอร์โบอาร์ นี่คือ....”


“ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับเขา เขาโชคดีที่รอดชีวิตมาได้เพราะเจ้าหญิง”


"...อะไรนะ?"


ไจล์สจ้องกลับไปที่เขาในขณะที่รู้สึกตกใจ


อัศวินหนุ่มโบอาร์มีผมสีน้ำตาลจัดทรงเรียบร้อย พร้อมด้วยดวงตาสีฟ้า เขาสร้างความประทับใจในการเป็นขุนนางหนุ่มที่ดูหยิ่งยโส สีหน้าการวางตัวของเขาก็ยิ่งตอกย้ำความประทับใจนี้


“มันช่วยไม่ได้ เอาเถอะ ข้ารู้ว่าเจตนาของเจ้าหญิงคืออะไร ข้าก็แค่ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงนำชายที่ไม่รู้จักมาเข้าร่วมกองกำลังคุ้มกัน ในเมื่อเธอเองก็มีอัศวินที่เก่งกาจอยู่แล้ว ยังไงเจ้าก็อย่ามาขวางทางเรา แค่อยู่เงียบๆไปก็แล้วกัน”


“.......”


ในขณะนั้น อาเซลล์รู้สึกงุนงง เขานิ่งไปครู่หนึ่ง แต่จู่ๆ เขาก็มีความคิด


“ข้าควรจะทุบไอ้สารเลวนี่ดีไหม”


ก่อนที่เขาจะหลับไป หลังจากที่เขากลายเป็นดยุคคาร์ซาร์ค มีคนไม่มากนักที่หยิ่งผยองพอที่จะหยาบคายกับเขาถึงเพียงนี้ 


ก่อนที่สงครามมังกรปีศาจจะสิ้นสุดลง มีบางคนก็เป็นแบบนั้น แต่สุดท้ายพวกเขาทั้งหมดก็ต้องเสียใจ


อาเซลล์พยายามระงับแรงกระตุ้นที่รุนแรงของเขา ในขณะนั้นเองโบอาร์ได้พูดออกมาราวกับว่าเขาจำอะไรบางอย่างได้ พร้อมกับมองไปที่อาเซลล์


“เอาล่ะ ตอนนี้ข้าคิดเกี่ยวกับมัน เรามีสมาชิกไม่มากนัก ข้าเดาว่าเราต้องการผู้ชายคนหนึ่งที่จะเป็นเด็กรับใช้”


“เซอร์โบอาร์ คำพูดของท่านรุนแรงเกินไป”


“อืม? ข้าจะพูด แล้วใครจะทำไม?”


เมื่อไจล์สพุ่งเข้าหา โบอาร์ก็ทำท่าราวกับว่ามีบางอย่างผิดปกติกับเขา การแสดงออกของเขาบ่งบอกว่าเขาไม่เห็นปัญหาอย่างแท้จริงกับคำพูดที่ได้พูดออกมา ไจล์สพูดไม่ออกชั่วขณะเมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่าย อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้าเขาก็มีสีหน้ามุ่งมั่นแล้วจึงพูดออกมา






DMW 028 ยกระดับสถานะทางสังคม (2)



“อาเซลล์สามารถพาองค์หญิงมาที่นี่ได้อย่างปลอดภัยนับว่ามีความดีความชอบอย่างมาก เจ้าจะเพิกเฉยต่อสิ่งที่องค์หญิงเคยพูดได้หรือไม่?”


“คำพูดของเธอจะเป็นจริงได้อย่างไร? เซอร์ไจล์ส เจ้าคงจะไม่ทราบเรื่องนี้อย่างละเอียดกระมัง เจ้าหญิงก็แค่ใจดีต่อลูกน้องมากเกินไป ยิ่งกว่านั้น หากเจ้าหญิงเผชิญศัตรูที่อาจคุกคาม ชายที่ไม่รู้จักภูมิหลังจะสามารถทำบุญคุณเช่นนี้ได้อย่างไร? มันจะสมเหตุสมผลไหม”


“.......”


“อีกอย่าง ดูเขาสิ เขาดูอ่อนแอ เจ้าไม่คิดอย่างนั้นเหรอ? เขาจะช่วยเจ้าหญิงในขณะที่มีร่างกายอ่อนแอเช่นนี้ได้อย่างไร”


ร่างกายของอาเซลล์ยังไม่มีกล้ามเนื้อมากนัก แน่นอน ร่างกายของเขาดูผอมบางอ่อนแอมื่อเทียบกับอัศวินที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี


แม้ว่านั่นจะเป็นความจริง แต่ทุกคำพูดของโบอาร์ก็มีพลังที่สามารถยั่วยุคนได้ ทันใดนั้น อาเซลล์ก็เกร็งหมัด ด้วยพลังที่ดูจะมากเกินไปมันเกือบจะส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดออกมา อย่างไรก็ตาม เขาแทบจะไม่สามารถยั้งตัวเองไว้ได้


'นิสัยสารเลวเช่นนี้สมควรจะไปอยู่ในท่อระบายน้ำจริงๆ อา ข้าควรจะกระทืบเขาซักยกดีหรือไม่? หรือว่า ข้าควรจะรอจนกว่าเจ้าหญิงจะมาและขอให้เธออนุญาติให้อัศวินผู้นี้กับข้าได้ประลองฝีมือกัน?'


ปัจจุบัน อาเซลล์ควบคุมพลังงานที่เขาปล่อยออกมา ดังนั้นเขาจึงสร้างบรรยากาศแห่งความคุ้นเคยโดยปราศจากแรงกดดันใดๆ อย่างไรก็ตาม ไม่สำคัญว่า อาเซลล์จะมีความประทับใจแบบใด อีกฝ่ายก็เมินเขาทันที ความพยายามของอาเซลล์นั้นสูญเปล่าเนื่องจากคู่ต่อสู้ของเขาไม่สนใจว่าเขาเป็นคนแบบไหน โบอาร์ยังยึดมั่นและมีอคติที่มั่นคง (TLN: โดยพื้นฐานแล้ว อาเซลล์ ใช้ทักษะของเขาในการแสดงทัศนคติที่เป็นมิตร/เป็นกลาง แต่ผู้ชายอีกคนนั้นงี่เง่าเกินกว่าจะสังเกตได้)


โบอาร์ล้อเลียนเขา


“เซอร์ไจล์ส ท่านคงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเจ้าหญิงมากนักเนื่องจากท่านอยู่ในพื้นที่ห่างไกลเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม เจ้ายังต้องเดินทางไกลกลับไปยังวังหลวง ดังนั้น เจ้าควรจดจำคำพูดของข้าไว้ในใจของเจ้า”


เขาดูถูกเซอร์ไจล์สอย่างโจ่งแจ้ง แน่นอนว่าตัวเขาจะต้องมีตำแหน่งสูงพอสมควรในราชสำนัก เพื่อที่จะอารักขาเจ้าหญิงได้ ดังนั้นไจล์สจึงดูเหมือนคนชนบทสำหรับเขา


ไจล์สจ้องมองไปที่อีกฝ่าย การแสดงออกของโบอาร์ดูถูกเขาราวกับว่าเขากล้าที่ไจล์สจะพูดอะไรบางอย่าง ความตึงเครียดระหว่างทั้งสองอยู่ในระดับสูง


บรรยากาศที่ผันผวนพังทลาย เนื่องจาก อาเรียต้า มาถึง


“ทุกคนมารวมตัวกันแล้ว”


อาเรียต้า และ อีนอร่า ปรากฏตัวพร้อมกัน เธอสวมหมวกขนาดใหญ่ซึ่งแตกต่างจากตัวตนปกติของเธอ และมันปิดส่วนบนของศีรษะและเขาของเธอ และยังปิดหูแหลมของเธอด้วย เธอสวมเสื้อคลุมเดินทางหนาเพื่อปกปิดรูปร่างของเธอ


ไจล์ส และ โบอาร์ ถอนความเป็นศัตรูที่พวกเขามุ่งเป้าไปที่กันและกัน และพวกเขาแสดงความเคารพต่อเธอ


อาเซลล์ ถามด้วยความสับสน


“ทุกคนหมายความว่ายังไง”


“ข้าก็หมายความอย่างที่ข้าพูดไป สมาชิกทั้งหมดมารวมตัวกันแล้ว”


อาเรียต้าตอบเขา อาเซลล์รู้สึกประหลาดใจกับคำพูดนั้น


"อะไร? ห้าคน นี่คือทั้งหมดเหรอ?”


"ใช่"


“ไม่ เป็นยังไงบ้าง...”


อาเรียต้าขอให้เขาเป็นส่วนหนึ่งในการคุ้มกันของเธอ และอาเซลล์ก็คิดว่าจะมีทหารอีกหลายสิบนายที่จะตามมาด้วย เดิมที เธอมาที่นี่พร้อมกับทหารประมาณยี่สิบนายที่ติดตามเธอไม่ใช่หรือ?


“สมาชิกคุ้มกันของข้า จอมเวทและนักปราชญ์จะตามกลับไปในภายหลัง”


สามคนจากสมาชิกทั้ง 30 คนของเธอถูกสังหารระหว่างการซุ่มโจมตีโดย เงามังกร นอกจากนี้ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 11 ราย อาเรียต้าไม่สนใจเสียงคัดค้านจากคนอื่นๆ และเธอตัดสินใจที่จะไปกับสมาชิกเพียงสองคน ในการตัดสินใจกลับวังหลวงด้วยความเร่งรีบ


“อันที่จริง ข้าคิดที่จะปลอมตัว แต่น่าเสียดายที่มันเป็นไปไม่ได้”


“ปลอมตัว?”


“รูปลักษณ์ของข้าสะดุดตาเกินไป ดังนั้นข้าจึงคิดว่าปลอมตัวด้วยเวทอาคม อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ข้าปรึกษากับจอมเวทแล้ว พวกเขาไม่มีเวทอาคมใดที่สามารถทำเช่นนั้นได้ พวกเขาบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเขาที่จะร่ายเวทอาคมแบบนั้น มันน่าเสียดาย”


อาเรียต้า เป็นมังกรปีศาจ และเวทอาคมมังกรปีศาจต่อต้านเวทอาคมภายนอกที่ใช้กับเธอ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จอมเวทระดับกลางจะทำการเปลี่ยนแปลงรูปร่างกับเธอได้


อาเรียต้าถามคำถาม


“นี่ข้าก็พยายามแต่งตัวไม่ให้หวือหวา...มันดูเป็นไงบ้าง”


“เจ้าดูโดดเด่นมาก”


“อย่างนั้นเหรอ?”


อาเรียต้ารู้สึกหดหู่เล็กน้อยเมื่อ อาเซลล์พูดตามความเป็นจริง


เธอยืนยันที่จะสวมหมวกขนาดใหญ่และผ้าคลุม ในแบบของเธอเอง เธอพยายามอย่างมากที่จะซ่อนรูปลักษณ์ที่สะดุดตาของเธอ อย่างไรก็ตามชุดนั้นก็ยังดูโดดเด่น แม้ว่าเธอจะซ่อนเขา หู และหินมังกรปีศาจไว้ที่หลังมือ รูปลักษณ์ของเธอก็เพียงพอที่จะดึงดูดสายตาของทุกคนมาที่เธอ


อาเรียต้าถอนหายใจ


“อีนอร่าก็ว่าอย่างนั้น”


“ก็ดีกว่าเปิดเผยตัวออกมาตรงๆ”


“แม้ว่ามันจะเป็นคำพูดซ้ำซาก ข้าก็จะยินดีรับฟัง”


“ถึงกระนั้น มันไม่อันตรายหรือที่จะไปกับกำลังพลที่น้อยนิดเช่นนี้?”


อาเรียต้าตอบคำถามของอาเซลล์อย่างจริงจัง


“อืม... หากว่ากันตามตรงแล้ว….ข้าคิดว่ามันอันตรายกว่าที่จะมีผู้คนจำนวนปานกลาง”


“ข้าว่ามันมีเหตุผลนะ”


คำพูดดังกล่าวอาจถูกมองว่าเป็นการเพิกเฉยต่อความกล้าหาญของผู้คุ้มกันมากเกินไป อย่างไรก็ตามเขาได้ต่อสู้กับเงามังกร ดังนั้นเขาจึงตกลงกับเธอไว้ หากพวกเขามีข้อได้เปรียบด้านจำนวนอย่างท่วมท้น เขาก็จะไม่มีปัญหากับมัน อย่างไรก็ตาม สมาชิก 20-30 คนจะทำให้พวกเขาเป็นเป้าหมายที่ใหญ่ขึ้น


อาเซลล์ถาม


“เจ้าละ อีนอร่าจะไปกับเราหรือเปล่า”


"ไป"


“…สมควรหรือไม่”


“ความคิดของข้าถูกต้อง ดังนั้นข้าจึงพยายามขัดขวางเธอ...”


อาเรียต้ามองไปที่อีนอร่า ขณะที่ถอนหายใจ อีนอร่ากำลังแสดงท่าทางดื้อรั้น อาเรียต้าบอกอีนอร่าเมื่อคืนว่าเธอควรอยู่ที่นี่ และเธอควรไปกับอีกกลุ่ม......


'ข้าไม่มีวันทำอย่างนั้น! ถ้าข้าทำเช่นนั้น ข้าจะโดนสายฟ้าฟาดจากหัวหน้าสาวใช้! เจ้าหญิงต้องการทำให้ร่างกายของข้าไม่มีสิทธิ์แต่งงานหรือไม่?' (TLN: อีนอร่า โดยพื้นฐานแล้วเป็นนางกำนัลที่มีพื้นฐานครอบครัวที่ดี)


...เธอไม่รู้ว่าทำไมการอยู่ที่นี่จึงส่งผลต่อโอกาสการแต่งงานของเธอ อีนอร่า ร้องไห้และเกาะเธอ อาเรียต้าจึงจำใจยอม


'ข้าไม่นึกเลยว่าเด็กคนนี้จะกล้าหาญขนาดนี้'


จนถึงตอนนี้ สาวใช้ส่วนตัวคนอื่น ๆ ของเธอยังไม่กล้า เมื่อนางออกจากพระราชวังเพื่อไปยังสนามรบ สาวใช้ส่วนตัวทุกคนก็หน้าซีด และพวกเขาก็อยากจะถอยหลังกลับ


'มันเป็นอย่างที่หัวหน้าสาวใช้พูดจริงๆ ไม่มีใครที่เก่งเท่าเด็กคนนี้อีกแล้ว’


อาเรียต้าผงะเมื่อหัวหน้านางกำนัลติดป้ายว่าอีนอร่าเป็นสาวใช้ส่วนตัวของเธอ เธอยังเด็กมากและเพิ่งเข้าร่วมกับสาวใช้ในวังได้เพียงครึ่งปี


ในบรรดานางกำนัลในวัง ก็ยังมีเด็กสาวรวมอยู่ด้วย อย่างไรก็ตาม พวกเขาส่วนใหญ่รับผิดชอบงานเล็กๆ น้อยๆ ในขณะที่พวกเขาเรียนรู้หน้าที่ของสาวใช้ในวัง เป็นเรื่องปกติที่สาวใช้ที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีจะได้รับมอบหมายให้เป็นสมาชิกของราชวงศ์ซึ่งดำรงตำแหน่งระดับสูง


หัวหน้าสาวใช้ฝ่าฝืนธรรมเนียมเหล่านั้น และเธอได้มอบหมายให้อีนอร่าเป็นสาวใช้ส่วนตัวให้กับอาร์เรียตา เธอไม่เพียงแค่ได้รับมอบหมายให้รับใช้ในวังเท่านั้น แต่เธอยังได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเมื่ออาเรียต้าเดินทางไปข้างนอกด้วย


ทางเลือกของเธอถูกต้อง อีนอร่าผ่านความยากลำบากที่ไม่อาจเทียบได้กับที่สาวใช้ส่วนตัวคนก่อนเคยผ่าน แต่เธอก็ไม่ได้แสดงอาการอยากลาออกแต่อย่างใด เธอสงสัยว่ากวี Bairay(TLN:นักกวี ผู้เขียนอาจพิมพ์ผิด) เลี้ยงดูลูกสาวของเขาได้อย่างไร


อีนอร่าถาม


“ที่นี่ไม่มีใครดูแลองค์หญิง และข้าไม่สามารถส่งเจ้าไปกับผู้ชาย อีกอย่าง..."


เธอพูดอย่างหนักแน่นในขณะที่มองไปที่ผู้ชาย


“อย่าบอกนะว่าไม่มีความมั่นใจว่าจะปกป้องข้าได้?”


"อืม... มันจำเป็นต้องพูดด้วยเหรอ? ผ่อนคลายและติดตามข้า ข้าจะป้องกันอันตรายใด ๆ ที่เราเผชิญ”


สำหรับอัศวินที่ปฏิบัติตามกฎของอัศวิน ไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่จะกล่าวว่าอัศวินที่ปราศจากความทะนงตนนั้นเป็นเพียงซากศพ โบอาร์ประสบความสำเร็จในการเข้าสู่การเป็นอัศวินหลวงตั้งแต่อายุยังน้อย ดังนั้นเขาจึงมีรูปแบบนี้ หลังจากคำพูดของอีนอร่า ทำให้ความเย่อหยิ่งของเขาสั่นไหว เขาก็ทุบหน้าอกของเขาทันทีและเขาก็โอ้อวดออกมา


อาเซลล์ยิ้มอย่างขมขื่น


“ที่เจ้าพูดก็มีข้อดีอยู่บ้าง...อืม ช่วยไม่ได้เพราะทุกอย่างถูกตัดสินไปแล้ว”


ไม่ว่าใครจะมองอย่างไร อีนอร่าเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งจริงๆ ถ้าเธอเติบโตขึ้นมาในที่กำบัง เธอคงไม่เป็นแบบนี้ บางทีเธออาจจะเคยประสบกับสถานการณ์ที่อันตรายมากมายในวัยเด็กของเธอ


อาร์เรียต้าพูดขึ้น


“เราเดินทางกันเป็นกลุ่มเล็กๆ ดังนั้นเราจะขี่ม้าแทนรถม้า อีนอร่า”


"เจ้าหญิง"


“ข้าไม่แน่ใจว่าเจ้าจะขี่ม้าได้ไหม...”


“ข้ารู้วิธี”


"ฮะ?"


“ข้าไม่เก่ง แต่ข้าเรียนรู้ร่วมกับพี่ชายของข้า”


“นั่นเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ น่าประทับใจ"


อาเรียต้ารู้สึกประหลาดใจ เธอไม่คาดคิดมาก่อนว่าเด็กสาวผู้สูงศักดิ์ วัย 12 ปีที่เดินทางมาทำงานในวังจะได้เรียนรู้ทักษะการขี่ม้า


"ยอดเยี่ยม...อีนอร่า อาเซลล์และข้าจะไปเลือกม้า”


ทั้งสามคนไปที่คอกม้าของป้อมปราการทันที เมื่อพวกเขาอยู่ห่างจาก ไจล์สและโบอาร์ อาเรียต้าก็เริ่มพูด


“ข้าขอโทษที่เจ้าต้องผ่านเรื่องแย่ๆ อย่างนั้น”


“เจ้ารู้เรื่อง?”


“หูของข้าดีมาก ดังนั้นข้าจึงได้ยินจากระยะไกล”


อาเรียต้าหัวเราะอย่างขมขื่น จากนั้นเธอก็หันไปมองอาเซลล์


“เซอร์โบอาร์เป็นอัศวินที่แนะนำโดยหัวหน้ากลุ่มคุ้มกันซึ่งเดินทางมากับข้าที่นี่ ข้าบอกพวกเขาว่าข้าต้องการกลับพร้อมกับกลุ่มเล็กๆ อย่างไรก็ตาม ทั้งผู้บัญชาการของสถานที่นี้และหัวหน้าหน่วยคุ้มกันขอร้องให้ข้ารับคนของพวกเขาไว้อย่างน้อยหนึ่งคน...”


อาเรียต้าไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่เธอสามารถปฏิเสธคำขอได้ เมื่อเธอตอบว่าใช่ ผู้บัญชาการกองกำลังรักษาชายแดนตะวันตกเลือกไจล์ส และหัวหน้าหน่วยคุ้มกันเลือกโบอาร์


อาร์เรียต้าพูดขึ้น


“ข้าไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับเซอร์ไจล์ส แต่ข้าได้ยินมาว่าเซอร์โบอาร์มีฝีมือมากทีเดียว”


“ถ้าไม่อย่างนั้น เขาคงไม่ได้รับเลือก เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญสร้างพันธะวงแหวน”


“...เจ้าเองก็น่าจะมองดูออกว่าเขาเป็นยังไง”


อาเรียต้าถามด้วยความประหลาดใจ อาเซลล์ยิ้มเยาะ


“เขาไม่ได้พยายามซ่อนมันมากนัก เขาจะสามารถช่วยในการต่อสู้ได้”


อาเซลล์ไม่ชอบโบอาร์ แต่เขาตัดสินใจทำการประเมินแบบแยกส่วน อาเซลล์ อ่านเขาทันที และจากการดูวิธีควบคุมพลังงานของเขา เขารู้ว่าทักษะของ โบอาร์ นั้นอยู่ในระดับที่เหมาะสม


อาเรียต้าถามคำถามในขณะที่เธอยิ้มขี้เล่น


“เขาเปรียบเทียบกับเจ้าได้ไหม”


“อืม... ต้องการคำตอบที่จริงจังไหม”


"ใช่"


“ถ้าข้าสู้กับเขาในสภาพที่เป็นอยู่ ข้าคงตัดหัวเขาด้วยการโจมตีสามครั้ง”


“.......”


อาเซลล์พูดด้วยเสียงที่สงบ และคำพูดที่รุนแรงของเขาทำให้อาเรียต้า กลั้นหายใจ อาเซลล์เห็นอีนอร่าสะดุ้ง อาเซลล์ ยิ้มอย่างขมขื่นกับความผิดพลาดของเขา


“...ภาษาของข้าค่อนข้างแย่ ยังไงก็ตาม ข้าคิดว่าเซอร์โบอาร์มองข้ามหัวข้าไปหมดแล้ว”


"ข้าเข้าใจ เซอร์โบอาร์ไม่มีความคิดเกี่ยวกับท่าน แต่เขาสามารถทำให้เจ้าอับอายได้หรือไม่?”


“เขาจะไม่พยายามกวนประสาทข้าจากนี้ไปเหรอ? นี่คือเหตุผลที่ข้านึกถึงบางสิ่ง”



"มันคืออะไร?"


“ข้าจะทนด้วยการหลับตา หรือไม่ก็ตั้งข้าเป็นอัศวิน ข้าจะท้าประลองกับเขา...”


“เจ้าจะหลับตาและทนเป็นอัศวิน….ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเจ้าจะพูดแบบนั้นออกมาได้ มีผู้ชายหลายคนที่ฝันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพวกเขา”


"ข้าเสียใจ อย่างไรก็ตาม ข้าไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่ข้าอยากถูกผูกมัด ข้าเลยไม่อยากทำแบบนี้ ข้าจะต้องอดทนกับเขา ไม่งั้น....”


"ไม่งั้นอะไร?"


“ข้าเดาว่าข้าจะพึ่งพาอำนาจของเจ้าหญิง”


“ฟังดูไม่ใช่ลูกผู้ชายเอาซะเลย”


“ดูเหมือนว่าเขาจะมาจากครอบครัวที่ดี เขาทำแบบนี้เพราะเขาเชื่อภูมิหลังของเขา ข้าจะทำอย่างไรได้ละ ต้นกำเนิดของข้าไม่เป็นที่รู้จัก ดังนั้นข้าทำได้เพียงต่อสู้กลับ โดยใช้ภูมิหลังของข้าที่เป็นผู้คุ้มกันของเจ้าหญิง”


“เจ้าพูดจริง...”


อาเรียต้ารู้สึกตกตะลึงดังนั้นเธอจึงหัวเราะ


“ข้าไม่เคยได้ยินคำพูดที่น่าสมเพชแบบนี้เลยตั้งแต่ข้าเกิดมา (TLN: เธอพูดติดตลก) ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเจ้าจะกล้าและไร้ยางอายขนาดนี้”


“ไม่ชอบเหรอ?”


“มันไม่ได้แย่ มันน่าพิศวงจริงๆ”


อาเรียต้า ส่ายหัวและถามคำถาม


“นี่ควรเป็นรางวัลสำหรับสิ่งที่เจ้าทำเพื่อข้าไหม”


"ฮะ?"


“เจ้าไม่จำเป็นต้องผูกมัดกับข้า ข้ากำลังบอกว่า เจ้าสามารถเป็นอัศวินให้ข้าได้”


เมื่อได้ยินคำพูดนั้น อาเซลล์ก็จ้องมองเธออย่างว่างเปล่าอยู่ครู่หนึ่ง


ถ้าคนจากราชวงศ์ที่มีคุณสมบัติในการเป็นขุนนางได้แต่งตั้งอัศวินให้มากกว่าที่เป็นมาตรฐานสำหรับบุคคลที่ต้องการให้อัศวินรับใช้เขาหรือเธอเท่านั้น


อย่างไรก็ตาม มีวิธีอื่นที่ไม่ปกติในการจัดโครงสร้างคำสาบานแห่งความภักดีที่ทำขึ้นระหว่างผู้ดำรงตำแหน่งและข้าราชบริพารของเขาเมื่ออัศวินได้รับการแต่งตั้ง แทนที่จะได้รับศักดินา เป็นไปได้ที่อัศวินจะได้รับยศโดยไม่ต้องสาบานว่าจะภักดี


การนัดหมายที่ไม่ธรรมดาเหล่านี้ไม่มีอยู่ก่อนสงครามมังกรปีศาจ ในอดีต อัศวินขี่ม้าออกไปรบ ดังนั้นพวกเขาจึงมีค่ายิ่งสำหรับทหารม้า นี่คือเหตุผลที่อัศวินทุกคนต้องสาบานว่าจะจงรักภักดี และพวกเขาก็กลายเป็นขุนนางหลังจากได้รับที่ดิน


อย่างไรก็ตาม ในช่วงสงครามมังกรปีศาจ จักรพรรดิหนุ่ม ฮาเบน แห่งอาณาจักรนาดิค ได้ขึ้นครองราชย์ต่อจากจักรพรรดิผู้แก่ชราและอ่อนแอ เขาได้นำเสนอแนวคิดที่รุนแรง


เขาเปลี่ยนวิธีการแต่งตั้งของ 'อัศวิน'


ไม่จำเป็นต้องเป็นทหารม้า ไม่สำคัญว่าใครจะเป็นจอมเวทหรือแม้แต่มังกรปีศาจ หากมีความสามารถเพียงพอ พวกเขาจะได้รับตำแหน่งอัศวิน และพวกเขาจะสามารถยกระดับสถานะทางสังคมของพวกเขาได้ ผู้ดำรงตำแหน่งที่ได้รับการแต่งตั้ง และอัศวินที่ได้รับการแต่งตั้งไม่จำเป็นต้องยอมรับคำสาบานแห่งความจงรักภักดีด้วยซ้ำ


เป็นช่วงเวลาที่พวกเขาจำเป็นต้องค้นหาความสามารถเพิ่มเติมเพื่อต่อสู้กับเผ่าพันธุ์มังกรปีศาจ มันเป็นแผนการที่จะหยุดคนเก่งไม่ให้เปล่งประกายเพราะภูมิหลังของพวกเขา พวกเขายังนึกถึงจอมเวทที่ไม่ได้มาจากตระกูลผู้สูงศักดิ์ที่ออกจากอาณาจักรเพราะปัญหาที่เกิดจากชนชั้นวรรณะของพวกเขา


การเปลี่ยนแปลงนี้ค่อนข้างได้ผล มันประสบความสำเร็จเป็นพิเศษในการทำให้จอมเวทที่ท่องไปทั่วโลกเข้าร่วมสนามรบ (TLN: โดยพื้นฐานแล้วเจ้าสามารถเป็นอัศวินได้หากเจ้ามีความสามารถ ก่อนหน้านี้การจะเป็นอัศวินได้จะต้องการม้า + พื้นฐานครอบครัวที่ดี)


'ถ้าจักรพรรดิฮาเบนมีอายุยืนยาวกว่านี้สักหน่อย จักรวรรดิคงไม่ล่มสลาย'


อาเซลล์ นึกถึงอดีตฮาเบน จักรพรรดิหนุ่มผู้เป็นที่ชื่นชอบถูกสังหารโดยราชามังกรปีศาจเอเธน ในช่วงที่ อาเซลล์ เริ่มมีชื่อเสียง


อย่างไรก็ตาม การกระทำที่ตั้งใจจะเปลี่ยนโลกนั้นยังคงอยู่ เขาคิดว่าโลกนี้ลึกลับมาก


หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง อาเซลล์ ก็ถามคำถาม


“...เจ้าคงจะยังไม่ได้สรุปข้อตกลงนี้ใช่ไหม”


“ก็ มันเป็นอำนาจที่เหลืออยู่ (TLN: น่าจะหมายความว่าเธอสามารถแต่งตั้งคนจำนวนจำกัดได้ เธอไม่เคยแต่งตั้งใครมาก่อน ดังนั้นเธอจึงยังมีอำนวจที่จะทำเช่นนั้นได้) เนื่องจากข้าก็ไม่ได้ใช้มัน เจ้าคงจะไม่คิดว่าผลตอบแทนที่เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้น้อยเกินไป? นี่เป็นเวลาที่ข้าจะแสดงความใจกว้างอย่างมากมาย และข้าจะลงทุนเพื่อเจ้าเพื่ออนาคต”


“ถ้าข้าปฏิเสธมันทั้งหมดล่ะ?”


“แล้ว...อืม...ข้าจะเสียใจ”


อาเรียต้าพยายามทำสีหน้าเศร้าจริงๆ คำพูดและท่าทีของเธอดูเป็นทางการมาก แต่รูปลักษณ์ภายนอกของเธอนั้นดูเป็นสาวสวย เธอดูน่ารักมาก


"เอาละ"


อาเซลล์ยกมือทั้งสองข้างราวกับว่าเขาแพ้ เพราะเธอเป็นหญิงสาวที่เติบโตมาพร้อมกับโชคชะตาให้ก้าวเข้าสู่สนามรบ? ซึ่งแตกต่างจากรูปลักษณ์ภายนอกของเธอ เธอที่ดูน่าเกรงขาม


ในที่สุด อาเซลล์ ก็ก้มศีรษะลง


“ข้าจะรับไว้ด้วยความขอบคุณ”


“ข้าต้องการพยานสำหรับข้อสรุปนี้ ให้เรามุ่งหน้ากลับ ข้าจะให้เซอร์ ไจล์สและเซอร์โบอาร์ เข้าร่วมด้วย”


“ฟังดูเหมาะสมอย่างยิ่ง”


ในขณะที่เขากำลังผงกหัว เขามองไปที่ อีนอร่า ราวกับว่าเขากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง


“อา เจ้าอีนอร่า”


"ใช่?"


“ตอนนี้ข้าไม่ใช่พลเรือนแล้ว แต่เป็นอัศวิน...”


“อย่างนั้นเหรอ? เจ้ายังไม่ได้เป็น”


“เอาล่ะ ข้าจะเป็นเร็วๆ นี้ ดังนั้นอย่าเรื่องมากนัก ตอนนี้ข้าเรียกเจ้าว่าสาวน้อยได้ไหม”


อีนอร่า ขมวดคิ้วและถามคำถามกับ อาเรียต้า


“องค์หญิง ข้าขอตีคนนี้ได้ไหม”


“ในนามของ เจ้าหญิงมังกรปีศาจ ข้ายอมให้ลงโทษชายผู้ดูถูกสาวใช้ของข้า”


“งั้นข้าก็ไม่ปฏิเสธ”


"โว้ว น่ากลัวแค่ไหน”


อาเซลล์ตัวสั่นอย่างเกินจริง จากนั้นเขาก็วิ่งหนีอีนอร่าซึ่งกำลังชูกำปั้นของเธอ





DMW 029 ยกระดับสถานะทางสังคม (3)



“นั่นคือเหตุผลที่เรามาที่นี่เพื่อแต่งตั้ง อาเซลล์ เซสตริงเจอร์ เป็นอัศวิน เซอร์ไจล์สและเซอร์โบอาร์จะเป็นพยาน”


“.......”


“.......”


เมื่อก่อน ไจล์ส กับ โบอาร์ มีบรรยากาศที่ไม่ค่อยดีนัก แต่ตอนนี้ทั้งคู่จ้องไปที่อาเซลล์ด้วยสีหน้าตกตะลึง อาเซลล์ยิ้มกว้าง ก่อนก้าวไปข้างหน้าและคุกเข่าข้างหนึ่งต่อหน้า อาเรียต้า


อาเรียต้า ถอดฝักดาบสีขาวของเธอออก และพูดขณะที่เธอแตะไหล่ทั้งสองข้างของเขาด้วยดาบ


“ข้า เจ้าหญิงมังกรปีศาจ อาเรียต้า ไวล์ รูแลน ขอประกาศว่า นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป อาเซลล์ เซสตริงเจอร์ จะเป็นอัศวินของข้า”


“...เจ้าละเลยขั้นตอนพิธีการมากไปหรือเปล่า”


“เจ้าต้องการให้ข้าผ่านขั้นตอนทางการที่ยืดยาวและน่ารำคาญหรือไม่? ข้าจำมันได้หมดแล้ว ข้าสามารถทำให้ได้ถ้าเจ้าต้องการ”


“ข้ารู้สึกทึ่งกับความคิดที่ก้าวหน้าของเจ้าหญิง ซึ่งปฏิเสธพิธีการที่ไร้ประโยชน์นั้น”


อาเรียต้าพูดออกมาเมื่ออาเซลล์ เปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็ว


“ข้าจะมอบตราสัญลักษณ์ของอัศวินให้กับเจ้า”


ขณะที่เธอยื่นมือออกมา แสงสีขาวก็ลอยขึ้นจากฝ่ามือของเธอ รัศมีแสงปรากฏออกมาเป็นรูปร่างสามมิติของนกอินทรีสีขาว และมันเริ่มบินไปทาง อาเซลล์


“เอ่อ?”


ดวงตาของอาเซลล์เบิกกว้าง


อาร์เรียต้าพูดขึ้น


“ยื่นมือออกมาและรับไว้”


"นี่คืออะไร?"


“เจ้าไม่รู้เกี่ยวกับตราสัญลักษณ์ของอัศวินเหรอ?”


“อืม... นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยินเรื่องนี้”


อาเซลล์เอียงศีรษะด้วยความสับสน และเลื่อนมือไปข้างหน้า เมื่อเขาทำเช่นนั้น รูปร่างที่เกิดจากแสงก็ถูกดูดกลืนไปที่หลังมือของอาเซลล์


'เป็นเวทอาคมตราประทับในเส้นชีพจร (ลมปราณ) หรือไม่'


อาเซลล์รู้สึกงงงวยกับมัน และเขาพยายามถ่ายเทเวทอาคมของเขาเข้าไป จนทำให้เกิดรูปร่างจาง ๆ ของนกอินทรีสีขาวปรากฏขึ้นที่หลังมือของเขา


อาร์เรียต้าพูดขึ้น


“มันเป็นหลักฐานยืนยันตัวตนของเจ้าว่าเจ้าเป็นอัศวิน มันถูกสร้างขึ้น ดังนั้นผู้คนจึงไม่สามารถปลอมตัวเป็นอัศวินได้”


“โอ้ววว้” 


อาเซลล์รู้สึกประทับใจ ในขณะที่เขาหลับมาอย่างยาวนานนั้น มีคนคิดวิธีป้องกันการโจรกรรมข้อมูลประจำตัวขึ้นมาได้


อาเรียต้ายิ้ม


“เดิมทีเราจะต้องเรียกผู้เชี่ยวชาญตราประทับ เพื่อที่ทำตราประจำตำแหน่งให้เจ้า อย่างไรก็ตาม เจ้ายังไม่ได้สาบานว่าจะจงรักภักดี เราจึงสามารถยกเลิกได้ เจ้าสามารถทำตราของเจ้าเองได้”


"ถ้าข้าทำมันเอง ข้าเดาว่าข้าจะต้องเสียเงินเป็นจำนวนมาก”


อัศวินต้องมีตราประจำตัว ตราประจำตัวจะต้องเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน ผู้สร้างตราประจำตัวอัศวินและตระกูลขุนนาง จะมีความรู้มากมายเกี่ยวกับตราที่มีอยู่แล้ว พวกเขามีความสามารถในการสร้างตราที่ไม่สามารถปลอมแปลงได้ ดังนั้นพวกมันจึงมีราคาแพง


อาเรียต้าพูดขณะที่เธอขึ้นหลังม้า


“ได้เวลาแล้ว เราออกเดินทางกันเถอะ”


กลุ่มขบวนก็เริ่มเคลื่อนออกจากป้อมปราการชายแดนตะวันตก


อาเรียต้าพูดกับไจล์สในขณะที่เธอเปิดแผนที่


“เซอร์ไจล์ส ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเคยไปเยือนเมืองหลวงมาก่อน”


"ใช่...เมื่อประมาณสองปีก่อน...”


“ถ้าอย่างนั้น เจ้าน่าจะรู้เส้นทางดี และสามารถตัดสินใจได้ว่าเราควรจะใช้เส้นทางไหนไปสู่เมืองหลวง?”


"น้อมรับคำสั่ง"


ทันทีที่ไจล์สตอบ โบอาร์ก็แสดงท่าทีไม่พอใจ


“ข้าขอพูดอย่างหนึ่งได้ไหมเจ้าหญิง”


"พูดมา"


“ข้ามาที่นี่พร้อมกับเจ้าหญิงในฐานะทหารคุ้มกันของเจ้าหญิง ข้ายอมรับว่าเซอร์ไจล์สมีความรู้มากกว่าเกี่ยวกับภูมิศาสตร์แถวนี้ แต่เมื่อเราเข้าใกล้เมืองหลวงแล้ว มันจะดีกว่าถ้าข้าเป็นผู้นำ”


เห็นได้ชัดว่าโบอาร์ต้องการคัดค้านไจล์สในการตัดสินใจเลือกเส้นทางการเดินทางของพวกเขา อย่างไรก็ตาม เป็นที่ทราบกันอย่างกว้างขวางว่า อาเรียต้า มีบุคลิกที่เป็นกลาง ดังนั้นเขาจึงไม่พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะยึดบทบาทความเป็นผู้นำจากไจล์ส เขาพยายามเกลี้ยกล่อมเธอแทน


อาเรียต้าพยักหน้าของเธอ


“คำพูดของเจ้ามีข้อดีอยู่บ้าง เจ้าคิดอย่างไร เซอร์ไจล์ส”


“ข้าเห็นด้วยกับความเห็นของเซอร์โบอาร์ ข้าเคยอาศัยอยู่ในเมืองหลวงมาก่อน แต่ข้าไม่คุ้นเคยกับภูมิศาสตร์รอบๆ สถานที่นั้นมากนัก ข้าจะหารือกับ เซอร์โบอาร์ ก่อนที่ข้าจะตัดสินใจเลือกเส้นทางที่เราจะไป”


ไจล์สไม่ขัดขืน และเขายอมรับการแทรกแซงของโบอาร์อย่างอดทน


อาร์เรียต้าพูดขึ้น


“ข้าจะมอบมันให้กับเจ้า”


พวกเขานำสิ่งของทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับการเดินทางมาด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจเลี่ยงเมืองใกล้กับป้อมปราการชายแดนตะวันตก


อีนอร่ากลับคัดค้านการตัดสินใจ


“ถ้าเราผ่านเมืองนี้ไป เราจะไปถึงเมืองถัดไปในตอนกลางคืน เจ้าหญิงก็จะไม่สามารถรับประทานอาหารกลางวันได้อย่างเหมาะสม”


“ถ้าเจ้ากังวลเรื่องอาหาร ก็ไม่ต้องกังวลไป เมื่อข้าอยู่ในสนามรบ ข้าไม่จู้จี้จุกจิกกับสิ่งที่ข้ากิน”


“แต่เจ้าหญิง...”


“อีนอร่า นี่ไม่ใช่พระราชวัง นอกจากนี้ ข้าไม่ต้องการให้ปัญหาดังกล่าวมาถ่วงเวลาเรา ดังนั้น เราจะหยุดก็ต่อเมื่อสถานการณ์รอบๆปลอดภัยและเหมาะสม หลังจากนั้นเจ้าสามารถดำเนินการได้ แต่ข้าจะไม่ขอสิ่งที่เราไม่มี”


อาเรียต้าพูดในลักษณะที่แน่วแน่ ดังนั้น อีนอร่า จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมแพ้ เป็นสถานการณ์ที่นึกไม่ถึงสำหรับสาวใช้ส่วนตัวของเจ้าหญิงมังกรปีศาจหากต้องรับใช้เธอในวัง อย่างไรก็ตาม ทัศนคติของอีนอร่าค่อนข้างยืดหยุ่น ดังนั้นเธอจึงไม่แสดงอาการไม่พอใจใดๆ อาเซลล์ รู้สึกขบขันกับอีนอร่า ขณะที่พวกเขาเดินทางช้า ๆ ไปตามทางที่ลาดเอียง เขานั่งข้าง ๆ ม้าของเธอและเริ่มการสนทนา


“อีนอร่า เจ้าขี่ม้าได้ค่อนข้างดี”


“ในตอนแรก ข้ามีปัญหาอยู่บ้าง เป็นเวลานานแล้วที่ข้าขี่ม้า..."


เมื่อเธอเดินทางมาจากบ้านเกิดของเธอไปยังเมืองหลวง เธอได้ขี่ม้าแทนที่จะนั่งรถม้า อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอเริ่มทำงานในพระราชวัง เธอไม่มีโอกาสขี่ม้าเลย


อาเซลล์ถามคำถาม


“เจ้ารู้วิธียิงธนูหรือไม่”


"เจ้ารู้ได้ยังไง?"


ดวงตาของอีนอร่าเบิกกว้าง อาเซลล์ยิ้มเยาะ


“ข้าคิดว่าน่าจะเป็นไปได้ เพราะเจ้าหัดขี่ตั้งแต่อายุยังน้อย”


เขาไม่รู้ว่าในยุคนี้เป็นอย่างไร แต่ในช่วงเวลาของอาเซลล์ ลูกสาวของขุนนางจะได้เรียนรู้วิธีป้องกันตัวเอง ไม่จำเป็นต้องเป็นลูกสาวของนักรบเพื่อเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ที่ซับซ้อน ในบรรดาทักษะเหล่านี้ ทักษะโดยทั่วไปที่ได้เรียนรู้คือทักษะการขี่ม้าและการยิงธนู


อาเซลล์ถาม


“เจ้าเก่งธนูแค่ไหน”


“ข้าไม่สามารถดึงสายธนูขนาดใหญ่ได้ ข้าหมดแรงก่อน...”


อีนอร่าตอบอย่างเขินอาย และทุกคนก็มองเธอด้วยสายตาประหลาดใจ อย่างไรก็ตาม อาเซลล์ไม่แปลกใจเลย เขาแค่หัวเราะ


“นั่นน่าประทับใจ แล้วฝีมือดาบล่ะ?”


“ข้าไม่ได้เรียนเรื่องนั้น”


"ทำไมล่ะ?"


“พ่อของข้าบอกว่าลูกสาวที่จะต้องแต่งงานออกไปสักวันหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้วิชาดาบของตระกูลที่เน้นไปที่ความแข็งแกร่ง เขากลัวว่าข้าจะกลายเป็นหญิงที่ดุร้าย....”


“อ่า ฮ่า นั่นคือเหตุผล แล้วควบคุมจิตวิญญญาณล่ะ?”


“มันก็มีเหตุผลที่คล้ายกัน เขาบอกว่าเขาไม่จำเป็นต้องส่งต่อความลึกลับของเขาให้กับลูกสาวที่จะแต่งงานกับครอบครัวอื่น”


"ข้าเข้าใจ"


ในช่วงสงครามมังกรปีศาจ ลูกชายและลูกสาวไม่ได้ถูกเลือกปฏิบัติ พวกเขาทั้งหมดได้รับการฝึกฝนบ่มเพาะการควบคุมจิตวิญญาณ เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งทางทหาร ก่อนที่สงครามมังกรปีศาจจะเริ่มต้นขึ้น เป็นเรื่องที่คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น หลังจากสงคราม มันกลายเป็นเรื่องที่แน่นอนว่าผู้ชายจะต้องประสบความสำเร็จในเคล็ดวิชานี้อีกครั้ง (TLN: ก่อน=>ผู้ชายส่วนใหญ่ประสบความสำเร็จ ระหว่างสงคราม=>ทั้งชายและหญิง หลังสงคราม=>กลับไปสู่ผู้ชายเป็นศูนย์กลาง)


อาเรียต้าหันไปพูดกับอีนอร่า


“ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะมีพรสวรรค์เช่นนี้”


“นี่เป็นทักษะที่ไม่จำเป็นสำหรับหญิงรับใช้”


“หัวหน้าสาวใช้รู้เรื่องนี้หรือไม่”


"รู้ ข้าบอกเธอระหว่างการสัมภาษณ์”


"อืม"


ตอนนี้ อาเรียต้ารู้แล้วว่าทำไมพวกเขาถึงแต่งตั้ง อีนอร่า เป็นสาวใช้ส่วนตัวของเธอ เนื่องจากสาวใช้ส่วนตัวของเธอส่วนใหญ่อยู่ได้ไม่นาน หัวหน้าสาวใช้จึงต้องประเมินทักษะอื่นๆที่สาวใช้ปกติไม่มีในการประเมิน


อาเรียตตาเริ่มสงสัยใคร่รู้ เธอจึงถามคำถาม


“ข้าได้ยินมาว่าเจ้ามีพี่สาว”


"ใช่ ข้ามี"


“เจ้ามีพี่ชายน้องชายคนอื่นไหม”


“ข้ามีพี่ชายและน้องชายหนึ่งคน”


"ทุกคนยังอยู่ที่บ้านหรือเปล่า”


“พี่ชายของข้าไปที่เมืองหลวงเพื่อศึกษา”


อีนอร่ากระวนกระวายที่จะตอบคำถาม จนถึงตอนนี้ อาเรียต้าไม่เคยสนใจเรื่องส่วนตัวของเธอเลย


อาเรียต้าไม่เคยคิดว่าอีนอร่าจะสามารถทำงานรับใช้เธอได้นาน เธอจึงไม่ได้ถามอะไรเลย เพราะเธอมองว่าอีกไม่นานก็คงจะเปลี่ยนไปเป็นคนอื่นในอนาคตอันใกล้นี้ อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เธอดูทัศนคติและประวัติของอีนอร่าแล้ว อาเรียต้าก็มองว่าเธอเป็นคนที่เธอน่าจะเข้ากันได้ดีไปอีกนาน สิ่งนี้ทำให้เธอสนใจอีนอร่าตามธรรมชาติ


“อาณาเขตของบารอนบัลเรย์อยู่ที่ไหน?”


“อา อาณาเขตของเราอยู่ในเขตชนบท เทียบกับเมืองหลวงไม่ได้จริงๆ.... อย่างไรก็ตาม มีทุ่งกว้างและเป็นสถานที่ที่มีดอกไม้บานสวยงาม”


อีนอร่าเริ่มเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับฉากในบ้านเกิดของเธอด้วยสายตาที่อ่อนโยน เมื่อฟังเรื่องราวของเธอ อาจบอกได้ว่าอาณาเขตของบารอนบัลเรย์นั้นค่อนข้างชนบท อาณาเขตจะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการสนับสนุนทางการเงินแก่ทายาทที่ถูกส่งไปยังเมืองหลวงเพื่อศึกษา..... 


อีนอร่าพูดราวกับว่าเธอคิดถึงบ้าน แต่จู่ๆ เธอก็มองไปที่อาเซลล์ราวกับว่าเธอครุ่นคิดอะไรบางอย่างได้ในทันใด


“ลุงอาเซลล์คือ.....”


“เซอร์อาเซลล์”


อาเซลล์ตัดบทเธอ เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นอัศวิน ดังนั้นเขาจึงต้องการปฏิเสธการถูกเรียกว่า ลุง


ริมฝีปากของอีนอร่าบุ้ยออกมา


“เจ้าเพิ่งกลายเป็นอัศวิน”


“อัศวินก็คืออัศวิน ถ้าเจ้าเรียกข้าว่าลุง ข้าจะเรียกเจ้าว่าสาวน้อย”


“อืม... เราควรทำอย่างนั้นไหม”


"...ไม่ ไม่ว่าข้าจะคิดอย่างไรมันไม่สำคัญ ดังนั้นก็ปล่อยมันไปเถอะ”


เขาไม่ต้องการถูกเรียกว่าลุง ดังนั้น อาเซลล์ จึงยอมรับความพ่ายแพ้ของเขา


อีนอร่ายิ้มออกมาอย่างผู้ชนะ


“ทำไมเจ้าถึงคิดว่าข้าเรียนยิงธนู”


“เจ้ารู้วิธีขี่ม้า ข้าเพิ่งเชื่อมต่อสองจุด”


อาเซลล์พูดในขณะที่เขาหัวเราะอย่างขมขื่น แน่นอนว่ามันเป็นการแสดงออกที่เขาแสดงเป็น 'คนความจำเสื่อม' แต่มันใช้ได้ดีกับอีนอร่า


“อ๊ะ....”


“อย่ากังวลไปเลย ข้าเริ่มจำอะไรได้บ้างแล้ว”


“เจ้าจำอะไรเกี่ยวกับบ้านเกิดของเจ้าได้ไหม”


อาเรียต้าถาม คำพูดเหล่านั้นทำให้ อาเซลล์ ตกอยู่ในภวังค์ความคิดของเขาชั่วครู่


"ข้าไม่แน่ใจ บ้านเกิดของข้า….”


อาเซลล์ ไม่รู้ว่าเขาเกิดที่ไหน เขาสูญเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เขาจำอะไรไม่ได้เลย (TLN: เขายังเด็กเกินกว่าจะจำได้) เขาโตแล้ว ขณะที่พเนจรจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาได้ยินคำว่าบ้านเกิด เขาสามารถร่ายอาคมแสดงทิวทัศน์บางอย่างได้เท่านั้น หลังจากที่จักรพรรดิได้มอบตำแหน่งดยุคให้กับเขา และเขาก็กลายเป็นดยุคคาร์ซาร์ค


ระหว่างที่สงครามสิ้นสุดลงจนถึงช่วงเวลาที่เขาต้องเลียนแบบการจำศีลของมังกร เขาใช้ชีวิตผ่าน 2 ปีที่เจ็บปวดแต่สงบสุข เขาต่อสู้เพื่อแผ่นดินโดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ดังนั้นมันจึงกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพสำหรับเขา


อาเซลล์พูดออกมา พร้อมกับประกายความอ่อนโยนที่ฉายชัดในดวงตาของเขา


“มีมังกรบิน”


“มังกรบิน?”


"ใช่ เมื่อถึงเวลาพระอาทิตย์ขึ้นมันก็จะบินไปทางทิศตะวันออกเพื่อล่าสัตว์ เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า มันก็บินกลับไปทางทิศตะวันตกสู่ภูเขา เมื่อข้าเฝ้าดูร่างของมังกรบินไปทางทิศตะวันตกทุกคืน ข้าก็ตระหนักได้ว่าวันนั้นมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว... นี่คือสิ่งที่ข้าจำได้”


ใกล้กับแคว้นปกครองคาร์ซาร์คมันเคยมีมังกรอยู่สามตัว


เขาผ่านพิธีกรรมสังหารมังกรมานับไม่ถ้วน และ อาเซลล์ ก็สร้างดาบ มังกรปีศาจ ของเขาเสร็จแล้ว


มนุษย์และมังกรไม่สามารถสนทนากันได้ แต่ลอร์ดอาเซลล์และมังกรเคารพซึ่งกันและกันภายในใจ การปรากฏตัวของพวกมันช่วยรักษาความสงบสุขในแคว้นปกครองคาร์ซาร์ค ในช่วงเวลาที่พวกเขากำลังฟื้นฟูดินแดนที่เสียหายจากสงครามมังกรปีศาจ พวกเขาแทบไม่เคยถูกคุกคามจากสัตว์ประหลาดเลย ด้วยเหตุผลที่มนุษย์ไม่อาจเข้าใจได้ มังกรไม่เคยสร้างปัญหา และพวกมันก็มีความสุขอย่างสงบสุข


'ข้าสงสัยว่าพวกมันยังอยู่ที่นั่นหรือเปล่า'


ทันใดนั้น อาเซลล์ ก็คิดถึงทิวทัศน์นั้น ในยุคปัจจุบันนี้ เขาสงสัยว่า แคว้นปกครองคาร์ซาร์ค อยู่ในอาณาจักรใด? ชื่อยังคงเหมือนเดิมหรือไม่?


อาเซลล์ ยังไม่รู้เกี่ยวกับข้อเท็จจริงเหล่านี้ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาไม่รู้ในยุคนี้


อาร์เรียต้าพูดขึ้น


“บางทีมันอาจจะเป็นเงื่อนงำในการสืบหาที่มาของเจ้าก็ได้”


เป็นเรื่องยากที่จะพบดินแดนที่มังกรสามารถแสดงตัวต่อหน้ามนุษย์อย่างกล้าหาญ โดยรู้เพียงว่าดินแดนนั้นอยู่ ณ ที่ใด....


“จะดีมากถ้าข้าทำได้”


อาเซลล์ ต้องการเชื่ออย่างจริงใจ





DMW 030 ยกระดับสถานะทางสังคม (4)



การเดินทางวันแรกผ่านไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น


ไม่ทราบได้ว่า สาวกเงามังกรได้ละทิ้งภารกิจการลักพาตัวอาเรียต้าโดยสิ้นเชิง หรือพวกเขาหลีกเลี่ยงการปฏิบัติการภายใต้อิทธิพลของกองกำลังพิทักษ์ชายแดนใต้หลังจากล้มเหลวเพียงครั้งเดียว


ในช่วงเวลากลางวัน พวกเขาตั้งค่ายพักแรมอยู่ข้างถนน และพวกเขาก็ไปถึงเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในเวลากลางคืน อาเรียต้าไม่จำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนของเธอ อย่างรวดเร็ว ใคร ๆ ก็สามารถบอกได้ว่ากลุ่มของพวกเขามีสถานะสูง ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถผ่านประตูได้โดยไม่มีปัญหาใด ๆ


“เจ้าจะไม่แจ้งให้เจ้าเมืองนี้ทราบเช่นนั้นหรือ?”


"ข้าคิดอย่างนั้น ถ้าข้าแจ้งเขา กำหนดการของเราจะเลื่อนออกไปอย่างไม่มีเงื่อนไข”


ถ้าเธอเปิดเผยตัวตนของเธอในฐานะเจ้าหญิงมังกรปีศาจ พวกเขาจะต้องจัดงานเลี้ยงต้อนรับเธอ งานเลี้ยงต้อนรับจะไม่จบลงหลังจากที่เธอพักหนึ่งคืน และเธอจะต้องตกที่นั่งลำบาก


เธอต้องรักษาความสัมพันธ์ของเธอในสังคมชั้นสูง ดังนั้นเธอคงไม่สามารถแก้ตัวได้เว้นแต่ว่าเธอจะมีเรื่องเร่งด่วน นี่คือเหตุผลที่อาเรียต้า ปฏิเสธที่จะเปิดเผยตัวตนของเธอ และเธอตัดสินใจเช่นนั้นออกมา


อาเรียต้าพูด


“ข้าจะไปอาบน้ำและพักผ่อน”


“ข้าคิดว่าข้าจะไปเล่นกับ เซอร์ไจล์ส ในช่วงเวลาสั้นๆ”


“เล่น? หมายความว่าไง?”


อาเรียต้าไม่แน่ใจ เธอจึงถามคำถาม เธอไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร


อาเซลล์ตอบกลับมา


“เราตัดสินใจที่จะประลองกันเอง”


“โฮ่ โฮ่”


อาเรียต้าแสดงความสนใจออกมา ในฐานะมังกรปีศาจ พลังเวทโดยกำเนิดของเธอโดดเด่น เธอฝึกฝนวิชาดาบมาตั้งแต่เด็ก เธอยังเป็นนักต่อสู้ที่ได้เรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ต่างๆ


“รังเกียจไหมถ้าข้าจะขอชม”


“ข้าไม่รังเกียจ เซอร์ไจล์สอาจรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย”


“เขาเองก็เป็นอัศวินด้วย ดังนั้นเขาจะถือว่า ที่ข้าสนใจเข้าร่วมชมนั้นเพื่อเป็นเกียรติ แน่นอน เขาจะไม่ถือว่านี่เป็นโอกาสหรือ?” (tLN: เพื่อสร้างความประทับใจให้กับเจ้าหญิง)


“อืม? ข้าเดาว่ามันจะเป็นเช่นนั้น”


ถ้ามีใครสามารถแสดงความสามารถต่อหน้าเจ้าหญิงมังกรปีศาจ อาเรียต้า ได้ มันอาจจะนำไปสู่การเลื่อนตำแหน่ง อาเรียต้า เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าสถานภาพของเธอนั้นเป็นเช่นไร


อาร์เรียต้าพูดขึ้น


“ยิ่งไปกว่านั้น เขามีพรสวรรค์ ในฐานะที่เป็นผู้บัญชาการ ดังนั้นข้าจึงอยากเห็นทักษะของเขา เขายังเด็กอยู่มาก...”


“.......”


“ทำไมมองข้าแบบนั้น”


“เจ้าหญิงเรียกเซอร์ไจล์สว่า ‘เด็ก’ และข้าคิดว่ามันไม่เข้าท่าจริงๆ”


อาเรียต้า เป็นเด็กสาวอายุ 16 ปี และ เซอร์ไจล์ส เป็นอัศวิน ไม่ว่าทหารจะอายุน้อยแค่ไหน อย่างน้อยก็ต้องมีอายุ 19 ปี เมื่อมีคนได้ยินคำพูดเช่นนี้ ก็ไม่แปลกใจเลยที่จะรู้สึกแปลกๆ


อาเรียต้าหัวเราะอย่างขมขื่น


“อืมข้าเข้าใจที่ว่ามันฟังดูเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร อย่างไรก็ตาม เมื่อข้ามีปัญหากับอายุของบุคคลหนึ่ง ข้ามักจะไม่เปรียบเทียบอายุของพวกเขากับของข้า”


“ข้าเข้าใจที่เจ้าทำอย่างนั้น”


“เซอร์อาเซลล์ เจ้าคิดอย่างไรกับเขา”


“เจ้าหมายถึงทักษะของเซอร์ไจล์สหรือเปล่า”


"ใช่"


“ข้าไม่คิดว่าเขาด้อยกว่าเมื่อเทียบกับเซอร์โบอาร์ ข้าไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเขาจะทำอย่างไรในการต่อสู้จริง ข้าแค่มองไปที่ความสามารถของเขาในฐานะนักบ่มเพาะควบคุมจิตวิญญญาณ”


“ข้ายังคิดว่าเขามีพลังเวทอยู่พอสมควร ความสำเร็จของเขาน่าประหลาดใจเมื่อพิจารณาจากอายุของเขา”


“ตอนที่เจ้าหญิงพูดคำนั้น มัน.....”


“เจ้ากำลังแสดงความคิดเห็นในทุกคำที่ข้าพูด ถ้านี่คือพระราชวัง ข้าคงตบเจ้าอย่างแรงเพราะความอวดดีของเจ้า ไม่น่าแปลกใจที่เธอจ้องเจ้าอย่างคมกริชจากด้านข้าง”


อาเรียต้าพูดสิ่งนี้ในขณะที่เธอหัวเราะ สิ่งนี้ทำให้ อาเซลล์ แอบมองด้านข้างของเขา


อีนอร่ากำลังเดือดดาล และเธอก็จ้องมองเขา ดูเหมือนว่าเธอกำลังรั้งตัวเองไม่ให้พูดอะไรกับเขา หากอาเรียต้าไม่แสดงท่าทีเฉยเมย เธอคงก้าวไปข้างหน้าแล้วพูดอะไรบางอย่าง


อาร์เรียต้าพูดขึ้น


“ข้าไม่ใช่ผู้นักบ่มเพาะควบคุมจิตวิญญาณ แต่...”


ในฐานะ มังกรปีศาจ เธอไม่สามารถเป็นนักบ่มเพาะควบคุมจิตวิญญญาณ ได้ ในตอนแรก การควบคุมจิตวิญญาณ เป็นเคล็ดวิชาที่สร้างขึ้นโดยมนุษย์เพื่อมนุษย์


อย่างไรก็ตาม พลังเวทของมังกรปีศาจไม่ได้ใช้เวทอาคมเป็นรากฐาน เผ่าพันธุ์มังกรปีศาจและมังกรปีศาจใช้บางสิ่งที่ไวกว่าเวทอาคม เคล็ดวิชานี้ถือได้ว่าเป็นต้นกำเนิดของการควบคุมจิตวิญญาณ และเคล็ดวิชาที่ว่านี้ก็ถูกเรียกว่า 'ทักษะจิตวิญญาณมังกร' ก็ถูกส่งต่อมาในหมู่พวกเขา


อาเรียต้าเป็นผู้ฝึกฝน จิตวิญญาณมังกร ในระหว่างการต่อสู้ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเธอจึงมักใช้คำพูดที่ทรงพลังเป็นสื่อกลางในเวทมังกรปีศาจ


“ข้าเคยเห็นนักบ่มเพาะควบคุมจิตวิญญาณ มามากมาย ดังนั้นข้าจึงมีความสามารถในการแยกแยะความสามารถของพวกเขาได้ในระดับหนึ่ง มันยากที่จะหาคนอย่างเซอร์ไจล์สในความทรงจำของข้า ผู้ซึ่งประสบความสำเร็จมากมายด้วยในวัยนั้น ข้าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับครอบครัวที่นำโดย ไวเคาท์*วินซ์ แต่ลูกหลานของเขาได้รับการศึกษาที่ดี”

[*นายอำเภอ ตำแหน่งสูงกว่าบารอน แต่ต่ำกว่า เอิร์ลล


“ข้าเดาว่าครอบครัวของ เซอร์ไจล์ส ไม่ได้มีชื่อเสียงขนาดนั้น”


“อย่างน้อยที่สุด ก็เป็นครอบครัวที่ข้าไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน มีตระกูลสูงส่งมากมายเท่าเม็ดทราย เว้นแต่จะมีความสัมพันธ์กับครอบครัวอื่น ๆ คน ๆ หนึ่งก็จะไม่รู้จักชื่อของพวกเขา”


“ข้าเข้าใจ....”


อาเรียต้าอาจมีชื่อของผู้คนมากมายที่เธอต้องจำ ในฐานะเจ้าหญิงมังกรปีศาจ นางจะจดจำเฉพาะตระกูลที่มีชื่อเสียงหรือผู้ที่มีความสำคัญเป็นพิเศษต่อราชวงศ์เท่านั้น


นอกจากนี้ หลังจากได้ยินเรื่องราวของเธอ เขาก็เข้าใจว่าทำไมเซอร์ไจล์สซึ่งเกิดในตระกูลขุนนางและเลื่อนตำแหน่งเป็นอัศวิน จึงทำงานเป็นทหารในหน่วยพิทักษ์ชายแดนตะวันตก ครอบครัวของเขาไม่ได้มีฐานะสูงส่งและไม่มีสายสัมพันธ์ใดๆ มันยากที่จะได้รับตำแหน่งที่เหมาะสมด้วยทักษะของเขาเท่านั้น


อาร์เรียต้าพูดขึ้น


“งั้นเราไปกันเถอะ จะไปประลองกันที่ไหน”


“ข้าเห็นสวนด้านหลังที่พัก”


อาเรียต้า อาเซลล์ และ อีนอร่า พากันไปที่สวน ไจล์สซึ่งมาถึงก่อนหน้านี้รู้สึกประหลาดใจ


“เจ้าหญิง?”


“ข้าได้ยินมาว่าพวกเจ้าสองคนจะประลองกัน”


“นั่นก็ใช่ แต่ว่า....”


“ข้าอยากเห็นทักษะของเจ้า ซึ่งผู้บัญชาการชื่นชมมาก เจ้าสามารถแสดงให้ข้าดูหน่อยได้ไหม?"


ไจล์สที่ตกตะลึงกับคำถามของอาเรียต้า ทำให้ใบหน้าของเขาแข็งทื่อ จากนั้นแสงในดวงตาของเขาก็เปลี่ยนไปเมื่อเขาตอบกลับ


“มันย่อมจะเป็นเกียรติของข้า”


อาเซลล์รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับท่าทีของเขา


'ไม่คาดฝัน เขาอาจมีความทะเยอทะยานที่จะประสบความสำเร็จ?'


จากมุมมองของอาเซลล์ ไจล์สไม่ใช่คนที่ยึดติดกับการเลื่อนตำแหน่งหรืออำนาจมากเกินไป เมื่อพวกเขาอยู่ในกองกำลังรักษาการณ์ชายแดนตะวันตก เขาไม่เคยแสดงอำนาจข่มอาเซลล์ที่ยังไม่รู้ที่มา แม้กระทั่งทุกวันนี้ เขาก็ไม่ได้ตอบสนองต่อทุกกรณีที่เซอร์โบอาร์พยายามยึดตำแหน่งผู้นำ คนแบบนี้กลับเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นเมื่อ อาเรียต้า แสดงความปรารถนาที่จะเห็นทักษะของเขา มันแปลก


'บางทีเขาอาจจะอยากอยู่ในใจ แต่นิสัยของเขาไม่ได้เป็นแบบนั้น'


นั่นอาจเป็นไปได้ เขาอาจต้องการแสดงความก้าวร้าวในสนามรบ เขาอาจต้องการได้รับการยอมรับในทักษะของเขา และได้รับการเลื่อนขั้นจากความสำเร็จของเขา อย่างไรก็ตาม มีคนเช่นเขาที่ซุ่มซ่ามในการสร้างโอกาสต่างๆ สำหรับการเลื่อนตำแหน่ง


ไจล์สพูดต่อหน้าเขาในขณะที่ อาเซลล์ แสดงความสนใจ


“อาเซลล์ ไม่ใช่สิ… เซอร์อาเซลล์ เรามาเปลี่ยนข้อตกลงได้ไหม”


"ยังไง?"


หลังจากที่ อาเซลล์ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นอัศวิน เขาก็พูดกับไจล์ส ในฐานะผู้เท่าเทียมกัน ก่อนหน้านี้อาเซลล์ทำเพื่อเคารพยศของเขา แต่ตอนนี้มันไม่มีเหตุผลที่จะทำเช่นนั้น


เขายังบอกไจล์สให้ปฏิบัติต่อเขาอย่างง่ายๆ และเขาควรละทิ้งรูปแบบการพูดที่ให้เกียรติ ไจล์สยอมรับทัศนคติที่เปลี่ยนไปของอาเซลล์ อย่างกะทันหันโดยไม่คาดคิด


ไจล์สพูด


“ให้พวกเราประลองกัน เพื่อเราจะได้แสดงทุกสิ่งที่เรามี”


“เราจะทำอย่างนั้น อย่างไรก็ตาม ให้เรายับยั้งตัวเองจากการใช้เคล็ดวิชาขนาดใหญ่ที่มีผลกระทบทางกายภาพ ดังนั้นเราจึงไม่ทำลายสิ่งรอบข้าง”


“เข้าใจแล้ว”


ทั้งสองยกดาบขึ้นเผชิญหน้ากัน


อาเซลล์ กังวลว่าจะทำอย่างไรเมื่อเห็น ไจล์สซึ่งจริงจังกว่าที่เคยเป็นมา


'ข้าควรทำอย่างไรดี?'


ไจล์สยังไม่รู้เกี่ยวกับระดับทักษะของอาเซลล์ เป็นเพราะเมื่ออาเซลล์ เผชิญหน้ากับไจล์ส เขาจะออกแรงแค่บางส่วนเพื่อให้เหมาะสมกับระดับของไจล์ส


อย่างไรก็ตาม อาเรียต้ารู้อยู่แล้วเกี่ยวกับระดับทักษะของอาเซลล์ เธออาจจะเป็นคนเดียวในยุคปัจจุบันที่มีข้อมูลเกี่ยวกับเขามากที่สุด


'ข้าเดาว่า ข้าไม่สามารถทำได้'


อาเซลล์คิดอยู่ครู่หนึ่ง และในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้ อย่างไรก็ตาม มันไม่ยุติธรรมสำหรับเขาที่จะแสดงทักษะของเขาต่อไจล์สทันที เขาตัดสินใจที่จะกระตุ้นความสนใจของเขา


“เซอร์ไจล์ส ข้าจะโจมตีก่อน”


“นี่เป็นเรื่องผิดปกติ”


ไจล์สพบว่ามันแปลก อาเซลล์มักจะรอและโจมตีสวนกลับในระหว่างการซ้อม และเขาแทบไม่ได้ริเริ่ม อาเซลล์กลับทำสิ่งนี้เพื่อประกาศให้ไจล์สรู้ว่า 'ข้าขาดพลังเวท' 


แน่นอนว่า อาเซลล์ ยังขาดแคลนพลังเวท ความแข็งแกร่งที่เขาได้รับจากพิธีกรรมสังหารมังกร ได้รับการประมวลผลอย่างรวดเร็ว และมันถูกนำไปใช้เพื่อสร้างวงแหวนชีวิตที่สองของเขาให้เสร็จสมบูรณ์ เกิดเป็นวงแหวนแถบคู่ เขาก็เริ่มสร้างวงแหวนแห่งชีวิตวงที่ 3 ของเขาแล้ว แต่มันเทียบไม่ได้กับยุครุ่งเรืองของเขา


อย่างไรก็ตาม หากเขาเปรียบเทียบตัวเองเมื่อสองสามวันก่อน ความแตกต่างก็นับว่าห่างไกลกันราวกับแผ่นดินกับสวรรค์ ไม่เพียงแต่ปริมาณของพลังเวทในร่างกายของเขาเปลี่ยนไปเท่านั้น แต่คุณภาพก็เปลี่ยนไปด้วย เมื่อผู้ใช้พลังเวทระดับแรกมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างการขยายพลังผ่านวงแหวนแห่งชีวิตวงที่หนึ่งและวงแหวนแห่งชีวิตวงที่สอง  หลังจาก วงแหวนแถบคู่ เสร็จสมบูรณ์ ความแตกต่างก็มีมากขึ้นอีกครั้ง


หากผู้ควบคุมพลังมีทักษะเทียบเท่ากับอาเซลล์ ก็ไม่ต้องบอกเลยว่าเขาจะต้องโดดเด่น


ไจล์สตัวสั่นเมื่อเขามองเข้าไปในดวงตาของ อาเซลล์


'มันคืออะไร?'


จนถึงตอนนี้ เขารู้สึกถึงความรู้สึกที่ไม่เคยรู้สึกเมื่อเผชิญหน้ากับอาเซลล์ เขายอมรับแล้วว่า อาเซลล์เป็นนักบ่มเพาะควบคุมจิตวิญญญาณ  ด้วยเคล็ดวิชาที่โดดเด่น อย่างไรก็ตาม เมื่อเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายในตอนนี้ มันเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกถึงความสง่างามที่ได้ปลดปล่อยออกมาจากตัวเขา มันให้ความรู้สึกคมชัดพอที่จะตัดผ่านอากาศ


สวบ!


ในชั่วพริบตาต่อมา ดาบเล่มหนึ่งก็ฟันไจล์ส และมันก็ผ่านไป


'หะ.....?'


ในชั่วพริบตา ไจล์สรู้สึกถึงความรู้สึกที่ถูกตัดขาด ใบมีดบินออกไปโดยไม่แสดงสัญญาณใด ๆ และตัดเข้าที่ร่างกายของเขาอย่างแม่นยำ


อย่างไรก็ตาม แม้ในขณะที่สิ่งนี้กำลังเกิดขึ้น ไจล์สก็เหวี่ยงดาบของเขาขณะที่เขาถอยกลับไป


เคล้ง!


ดาบปะทะกันและมีเสียงที่แหลมคมดังขึ้น


เสียงนี้ปลุกไจล์สจากอาการมึนงง ไจล์สหายใจหอบขณะที่เขาหายใจถี่ๆ


"...เกิดอะไรขึ้น?"


“อย่างที่คาดไว้ เซอร์ไจล์สมีไหวพริบ ข้าไม่รู้ว่าใครเป็นอาจารย์ของเขา แต่เขาฝึกฝนเขามาอย่างดี ละเอียดมาก”


อาเซลล์กำลังหัวเราะต่อหน้าเขา เมื่อไจล์สเห็นเขายิ้มอย่างสบาย ๆ เหงื่อเย็น ๆ ก็เริ่มไหลลงมาตามใบหน้าของเขา เมื่อต่อสู้กับใครสักคน เขาจะเฝ้าดูคู่ต่อสู้ของเขา และเขาจะทำนายการเคลื่อนไหวต่อไป การจ้องมอง การแสดงออก การหายใจ การเคลื่อนไหวของไหล่ ฯลฯ .... เราต้องประมวลผลข้อมูลทั้งหมดจากประสาทสัมผัสทั้งห้า และมันกลายเป็นส่วนประกอบสำหรับการหยั่งรู้


ดังนั้น หากเผชิญหน้ากับใครก็ตามที่มีทักษะ คู่ต่อสู้ก็ย่อมพยายามขัดขวางความเข้าใจของอีกฝ่าย การเคลื่อนไหวจะผสมผสาน การเสาะหาจุดอ่อน พร้อมกับเพื่อหลอกคู่ต่อสู้ มันลดเวลาที่จำเป็นในการตอบสนองลงอย่างมาก


แต่การโจมตีครั้งก่อนโดยอาเซลล์.... ไม่มีการเตือนว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร ที่ไหน หรืออย่างไร


'เขาไม่ขยับเลยด้วยซ้ำ ไม่ เขาย้ายหลังจากที่เขาแทงไปแล้ว'


จิตใจของไจล์หวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่


พวกเขาเริ่มแผ่พลังเวทออกมาบาง ๆ เพื่อสอบสวนซึ่งกันและกัน ทันใดนั้น พลังเวทของ อาเซลล์ ก็แข็งแกร่งขึ้น และเกลียวคลื่นจิตวิญญาณก็ทะลวงผ่านเข้าไปในอาณาเขตของไจล์ส ปรากฏภาพลวงตาของใบมีดที่กำลังเฉือนเขา


หลังจากนั้น อาเซลล์ ก็วิ่งไปข้างหน้า พร้อมกับเหวี่ยงดาบของเขา


ไจล์สสกัดกั้นการโจมตีได้ทันท่วงที เมื่อเขาเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ของครอบครัวและความลึกลับของเคล็ดวิชาควบคุมจิตวิญญญาณ เขาได้เรียนรู้เคล็ดวิชาที่ทำให้เขาสามารถแยกจิตใจและร่างกายออกจากกันได้ หากเขาไม่ได้เรียนรู้ที่จะปิดกั้นด้วยเคล็ดวิชานี้ ถ้าอย่างนั้นเขาคงแพ้ในการโจมตีครั้งเดียว


ไจล์สพูด


"...น่าประทับใจ แม้แต่พ่อของข้าก็ไม่เคยแสดงเคล็ดวิชาแบบนั้นให้ข้าดูเลย ข้าคิดว่าข้ากำลังจะถูกตัดผ่านจริงๆ มันคล้ายกับเวทอาคมลวงตาที่จอมเวทใช้ เป็นไปได้อย่างไร”


จากคำพูดนั้น อาเซลล์ก็พูดราวกับว่าเขาเป็นอาจารย์สอนลูกศิษย์ของเขา


“การควบคุมจิตวิญญาณเป็นเคล็ดวิชาที่สามารถควบคุมจิตใจได้ เมื่อคนหนึ่งฝึกศิลปะการต่อสู้ เท่ากับเจ้าฝึกร่างกาย เรียนรู้เคล็ดวิชาพร้อมกับการฝึกจิตใจ อย่างไรก็ตาม เคล็ดวิชาควบคุมจิตวิญญาณ นั้นตรงกันข้าม ในขณะที่เจ้าฝึกจิตใจ เจ้าจะรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของพลังเวท จากนั้นเจ้าก็จะได้เรียนรู้เคล็ดวิชา ในที่สุดเจ้าก็นำไปใช้กับร่างกายของเจ้า”


“โดยพื้นฐานแล้ว สิ่งนี้เป็นไปได้หากเรียนรู้เคล็ดวิชาควบคุมจิตวิญญาณ?”


"ใช่"


นี่คือเหตุผลว่าทำไมจึงถูกเรียกว่า เคล็ดวิชาควบคุมจิตวิญญญาณ มังกรปีศาจและเผ่าพันธุ์มังกรปีศาจใช้พลังเวทมังกรปีศาจเป็นศูนย์กลางของพวกมัน มันเป็น 'เวทอาคมที่หยั่งรู้และอาศัยความรู้สึกที่ใช้ผ่านร่างกาย' ดังนั้นมันจึงพัฒนาเป็นเวทอาคมรูปแบบอื่น


อาเซลล์รู้สึกประหลาดใจ


'เคล็ดวิชาที่ใช้จัดการกับพลังเวทและเคล็ดวิชาที่ใช้ร่างกายของคนๆ หนึ่งนั้นเทียบได้กับยุคสมัยของข้า แต่มีบางด้านที่ดีกว่า เขาไม่โชคดีจากการปิดกั้น มันเป็นผลมาจากการฝึกฝนเคล็ดวิชาที่สร้างขึ้น'


อย่างไรก็ตาม เคล็ดวิชาควบคุมจิตวิญญญาณ ก็ยังมีมาตรฐานต่ำมาก ไจล์สไม่มีประสบการณ์หรือไม่?


'อาจจะไม่'


เมื่อเขามองย้อนกลับไปเมื่อสองสามวันก่อน มันไม่ใช่อย่างนั้น ในตอนนั้น สัตว์ประหลาดกลุ่มเล็ก ๆ ไม่ได้ซ่อนพลังจิตวิญญาณของพวกมัน เมื่อพวกมันทำการลอบโจมตี นอกจากนี้ กองกำลังไม่สามารถอ่านค่าพลังจิตของพวกมันได้


ถึงกระนั้น ไจล์สก็ได้เรียนรู้เคล็ดวิชาระดับสูงในการปกป้องจิตใจของเขา มันไม่ใช่ทักษะใช้งาน มันเหมือนกับการสร้างกำแพงปราสาทล้อมรอบจิตใจ มันเป็นวิธีที่ไร้เดียงสาที่จะทำ แต่คุณภาพนั้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วไป


ดูเหมือนว่าเคล็ดวิชาหลายอย่างที่สามารถมีอิทธิพลต่อจิตใจของคู่ต่อสู้จะสูญหายไป ถ้าใครคิดถึงต้นกำเนิดของ ควบคุมจิตวิญญญาณ นี่มันไร้สาระสิ้นดี





DMW 031 ยกระดับสถานะทางสังคม (5)



อาเซลล์ถอยออกมา แล้วเขาก็พูด


“เอาล่ะ ข้าเดาว่านี่จะเป็นการสิ้นสุดการอุ่นเครื่องของเรา”


“เซอร์อาเซลล์ เจ้าเป็นคนใจดีมาก”


“ข้าค่อนข้างจะเป็นคนยุติธรรม”


อาเซลล์รู้ว่าไจล์สรู้ถึงเจตนาของเขา ดังนั้นเขาจึงหัวเราะ หลังจากการแลกเปลี่ยนครั้งแรก ไจล์สก็สลัดความคิดที่จะดูถูกอาเซลล์ออกไป อย่างน้อยที่สุด เขาก็ยอมรับความจริงว่า อาเซลล์เก่งกว่ามากในแง่ของทักษะ


ไจล์สทำให้เกราะป้องกันทางจิตใจของเขาแข็งแกร่งขึ้น พลังเวทที่เขาสามารถใช้ในการโจมตีนั้นน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด แต่เขาไม่มีทางเลือก โดยปกติแล้ว เขาจะสร้างกำแพงที่แข็งแรงพอ แต่อาเซลล์จะไม่เจาะผ่านเข้าไปง่ายๆ เหรอ?


จากนั้น ไจล์สก็เริ่มโจมตีโดยประมาท


เคล้ง เคล้ง!


มันเป็นการโจมตีที่รวดเร็วจนน่ากลัว ทุกครั้งที่ดาบกระทบกัน จะเกิดประกายไฟและแสงสีเงินเจิดจ้าผ่านอากาศ


ไจล์สซึ่งกำลังจู่โจมอย่างน่าเวียนหัว จู่ๆ ก็รู้สึกว่าการเคลื่อนไหวของอาเซลล์แปลกไป อาเซลล์เคลื่อนไหวอย่างกระฉับกระเฉงตามจังหวะของเขา แต่ตอนนี้การเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายก็ช้าลงมากพอที่จะแตกต่างออกไป จากนั้นมันาก็ไหลไปด้านข้างอย่างราบรื่น


'ฮึก!'


ราวกับว่าเขากำลังเล่นกับความดื้อรั้นของไจล์ส ใบมีดที่หักทะลุออกมาในมุมเฉียง


ไจล์สถอยหลังด้วยความตกใจ ราวกับว่าอีกฝ่ายกำลังรอให้เขาทำเช่นนั้น ดาบของอาเซลล์ติดตามเขาเหมือนงูที่กำลังเต้นรำ


เคล้ง!


ไจล์สสกัดกั้นการโจมตีแทบไม่ได้ และเขาก็รีบถอยห่างอาเซลล์ออกมา


ไจล์สถามคำถามในขณะที่เหงื่อเย็นไหลออกมา


“วิชาดาบเหล่านี้คืออะไร?”


เขารู้ตัวช้าไปหนึ่งก้าว อาเซลล์ใช้เคล็ดวิชาดาบหลายประเภท


เขาเคยคิดว่าเขาเข้าใจเคล็ดวิชาดาบของอาเซลล์ หลังจากช่วงซ้อมประลอง อย่างไรก็ตาม เขาไม่รู้ว่า อาเซลล์ ได้เรียนรู้ศิลปะดาบที่แตกต่างกันอย่างมาก


อาเซลล์ได้ตอบกลับ


“ข้าจำไม่ได้ว่ามันเรียกว่าอะไร อย่างไรก็ตามข้าได้เรียนรู้ศิลปะดาบมากมายในลักษณะที่ผสมผสานกัน”


คำพูดของเขาเป็นความจริง อาเซลล์ได้เรียนรู้ศิลปะดาบมากมายในช่วงชีวิตของเขา เขาเข้าใจทั้งหมดเพื่อสร้างรูปแบบดาบของเขาเอง หลังจากสงครามมังกรปีศาจสิ้นสุดลง จักรพรรดิมีคำสั่งให้รูปแบบดาบของเขากลายเป็นรูปแบบดาบอย่างเป็นทางการของอัศวินแห่งราชวงศ์ นาดิค


'ข้าสงสัยว่ามันจะยังมีการสืบทอดมาถึงปัจจุบันไหม'


หลังจากผ่านไป 220 ปี เขาสงสัยว่ารูปแบบดาบที่เขาสร้างขึ้นนั้นยังคงอยู่หรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้น มันจะเป็นเกียรติสูงสุดของเขา


“ข้าจะยอมรับความพ่ายแพ้ของข้า”


“อืม? ยอมแพ้แล้ว?"


“น่าเสียดาย แต่ข้าไม่คิดว่าข้าจะเป็นคู่ต่อสู้ของเจ้าได้ด้วยทักษะระดับปัจจุบันของข้า แม้ว่าข้าจะโจมตีเจ้า แต่ข้าก็ไม่สามารถบังคับให้เจ้าถอยไปได้แม้เพียงหนึ่งก้าว”


ตามคำพูดของเขา การโจมตีที่รุนแรงของไจล์สไม่สามารถทำให้อาเซลล์ ขยับได้แม้แต่ก้าวเดียว เขายืนอยู่กับที่เหมือนตะปูที่ฝังแน่น ยิ่งไปกว่านั้น เขายังให้ไจล์สอยู่ข้างหน้าเขา และเขาได้หลอกความรู้สึกของไจล์สเพื่อสร้างช่องเปิด


ไจล์สมีพลังเวทมากกว่าอาเซลล์ และเขายังแข็งแกร่งกว่าและเร็วกว่าด้วย อย่างไรก็ตาม เคล็ดวิชาของอาเซลล์ เหนือกว่าอย่างท่วมท้นจนเพียงพอที่จะล้มล้างความได้เปรียบทางกายภาพทั้งหมดที่เขามี


ไจล์สพูด


“นี่เป็นบทเรียนที่ดี ข้าขอให้เจ้าเป็นคู่ประลองของข้าต่อไปในอนาคตได้ไหม”


"แน่นอน"


หลังจากที่ อาเซลล์ พยักหน้า ไจล์สก็คำนับไปทาง อาเรียต้า


“ข้าขอโทษที่แสดงข้อบกพร่องของข้า”


“ไม่ มันเป็นการแสดงที่สนุกสนาน เซอร์อาเซลล์ เจ้าเป็นคนซุกซนมาก”


“อย่างนั้นเหรอ?”


“ถ้าเจ้าตัดสินใจที่จะสอนใครซักคน ข้าแน่ใจว่าลูกศิษย์จะต้องบ่นมากมายเกี่ยวกับเจ้าในฐานะครู”


“ความคิดเห็นนี้ดูเหมือนจะมาจากประสบการณ์ส่วนตัว ข้าเข้าใจผิดหรือเปล่า”


"ไม่ น่าเสียดายที่เจ้าพูดถูก เจ้ามีความคล้ายคลึงกับครูของข้า”


“โฮ่...แล้วเจ้าก็ได้รับการสั่งสอนจากคนดี”


“เจ้ามีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดาในการทาหน้าด้วยสีทอง (TLN: สร้างภาพว่าตัวเองดี) ถ้า ดยุคทารันทอส อาจารย์ของข้าได้ยินเจ้า เขาต้อง... อืมมม เขาคงจะหัวเราะ”


“คนที่สอนเจ้าหญิงคือดยุคมังกรปีศาจ?”


ไจล์สรู้สึกประหลาดใจ เขาก้มหัวลงด้วยความประหลาดใจ สิ่งนี้ทำให้สายตาของ อาเรียต้ามองมาที่เขา 


"ข้าขอโทษ"


"ไม่เป็นไร เราไม่ได้อยู่ในสถานที่โอ่อ่า เจ้าจึงไม่ต้องกังวล บอกความจริงกับเจ้า มันน่ารำคาญ”


หลังจากที่เธอบ่น อาเรียต้าก็พูดต่อ


“ดยุคมังกรปีศาจ ใช่ มันคือเขา”


"พระเจ้า คนผู้นั้นไม่ค่อยแสดงตัวแม้ในโอกาสที่เป็นทางการ...”


“เขาเป็นคนที่มีความผูกพันกับราชวงศ์มาก ถ้าราชวงศ์ร้องขอก็จะยอมทำตามโดยไม่ปริปากบ่น”


เมื่อได้ยินคำพูดนั้น อาเซลล์ก็เอียงศีรษะ


'ดยุคอัศวินมังกร ใช่ไหม มันฟังดูเป็นชื่อเล่นที่ดูค่อนข้างสูงไม่ใช่หรือ'


ชื่อเล่นของ อาเซลล์ เองก็ยิ่งใหญ่เช่นกัน ช่วยไม่ได้เพราะเขาคือผู้ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในสงครามมังกรปีศาจ และเขายังเอาชนะราชามังกรปีศาจเอเธนได้ด้วย


อาเซลล์ถาม


“ดยุคมังกรปีศาจ เป็นคนแบบไหน?”


“....เจ้าไม่รู้ว่าใครคือ ดยุคมังกรปีศาจ?”


ไจล์สจ้องมองที่อาเซลล์ ด้วยสีหน้าตกตะลึงราวกับจะบอกว่าเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสิ่งนั้นจะเป็นไปได้


อาเซลล์รู้สึกเหมือนเดจาวูตั้งแต่ได้รับการจ้องมองแบบเดียวกันจากใครบางคน


'อ่า เป็นสีหน้าเดียวกับริคตอนที่ข้าพูดว่าข้าไม่รู้ว่าใครคือเจ้าหญิงมังกร'


ดยุคมังกรปีศาจ เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงพอๆ กับ เจ้าหญิงมังกรปีศาจ ดังนั้นถ้าใครไม่รู้จักพวกเขา ก็จะถือว่าเป็นสายลับ


อาเรียต้าหัวเราะ


“เซอร์อาเซลล์สูญเสียความทรงจำ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้”


“ความจริงแล้ว ข้าไม่รู้เกี่ยวกับเจ้าด้วยซ้ำ เจ้าหญิง เมื่อข้าถามว่า เจ้าหญิงมังกรปีศาจ เป็นเจ้าหญิงของอาณาจักรที่ก่อตั้งโดยเผ่าพันธุ์มังกรปีศาจหรือไม่ แพทย์ประจำกองทัพ ริค มองมาที่ข้าด้วยสีหน้าเดียวกับที่ เซอร์ไจล์สทำ”


“นี่เป็นประสบการณ์ที่ดูน่าสนุกมาก”


“อย่างนั้นเหรอ?”


“ตั้งแต่ข้าเกิดมาจนถึงตอนนี้ไม่มีใครจำข้าได้ พวกเขาอาจไม่รู้จักข้าเป็นการส่วนตัว แต่พวกเขารู้เกี่ยวกับการมีอยู่ที่เรียกว่า 'เจ้าหญิงมังกรปีศาจ'


"จริงแท้แน่นอน"


อาเซลล์พยักหน้าของเขา ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา เขาได้ศึกษาเกี่ยวกับยุคนี้ และการดำรงอยู่ของเธอก็เป็นความรู้ทั่วไป


อาเซลล์ถาม


“ดยุคมังกรปีศาจ เป็นชื่อที่สืบทอดมาเหมือนกับเจ้าหญิงมังกรปีศาจ หรือไม่”


“ไม่ มันไม่ใช่อย่างนั้น ดยุคมังกรปีศาจเทียบกับเจ้าหญิงมังกรปีศาจ... อืมมม ใช่...มันเหมาะที่จะคิดว่ามันเป็นความแตกต่างระหว่างตำนานและความรู้ทั่วไป”


“เจ้ากำลังบอกว่า เจ้าหญิงมังกรปีศาจนั้นเป็นความรู้ทั่วไป และ ดยุคมังกรปีศาจเป็นตำนาน?”


"อา......"


เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์มังกรปีศาจที่เข้าร่วมกับสังคมมนุษย์แล้ว อย่างไรก็ตาม มันรู้สึกสนุกเมื่อได้ยินเกี่ยวกับตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม ดยุคที่มาจากเผ่าพันธุ์มังกรปีศาจ และเขาเป็นขุนนางที่ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรที่สร้างโดยมนุษย์ เขายังเป็นอาจารย์ของเจ้าหญิงอีกด้วย


'มันค่อนข้างสนุก'


อาเซลล์ ต้องการพบเขาอย่างน้อยหนึ่งครั้ง


มีผู้นับถือเผ่าพันธุ์มังกรปีศาจอยู่ทุกหนทุกแห่ง


ปัจจุบัน โลกถูกเข้าใจผิด เนื่องจากถูกปกครองโดยมนุษย์ มีหลายคนที่เชื่อในการบรรลุอุดมคติที่ราชามังกรปีศาจกำหนดไว้ ผู้เชื่อเหล่านั้นแทรกซึมอยู่ในทุกชนชั้นวรรณะ แม้ว่าจะไม่ใช่คนจากเผ่าพันธุ์มังกรปีศาจที่เติบโตมาอย่างถูกเลือกปฏิบัติ แต่ก็ยังมีผู้คนอีกมากมายที่ร่วมมือกับพวกเขาโดยซ่อนตัวตนของพวกเขาไว้


นี่เป็นรูปแบบหนึ่งของศาสนา คนเหล่านี้เป็นคนที่ไม่กล้าก้าวเข้าสู่ดวงอาทิตย์ที่สว่าง พวกเขาเฝ้ารอผู้กอบกู้ ราชามังกรปีศาจ จากความมืด เพื่อสักวันหนึ่งจะกลับมา...


“มันเป็นอย่างนั้น สถานการณ์ซับซ้อนขึ้น”


....


สมาคมลับที่ถูกเรียกว่าเงามังกร เรจิน่า ได้รับรายงานจากลูกน้องของเธอ และเธอพึมพำด้วยเสียงแหบแห้ง ในบรรดาองค์กรจำนวนนับไม่ถ้วนที่บูชาราชามังกรปีศาจ เงามังกรเป็นองค์กรระดับสูงที่มีองค์กรรองลงมามากมาย การที่เธออยู่ในกลุ่มนี้แสดงว่าเธอเป็นปลาตัวใหญ่ เธอสามารถไปที่ไหนก็ได้ในโลกนี้และขอความร่วมมือจากองค์กรย่อยที่เชื่อมต่อกับสาขาหลัก เครือข่ายข้อมูลน่ากลัวเป็นพิเศษ


เมื่อเธอกำลังจะพูดกับลูกน้องของเธอซึ่งก้มหน้าอยู่ เธอก็ได้ยินเสียงผู้หญิงจากข้างใน


“สถานการณ์ซับซ้อนอะไร”


แล้วเวลาก็หยุดลง


ไม่ ในความเป็นจริง เวลาไม่ได้หยุดเดิน อย่างไรก็ตาม มันรู้สึกเช่นนั้นสำหรับเรจิน่า


ลูกน้องที่อยู่ข้างหน้าเธอหยุดเคลื่อนไหว พวกเขาไม่เพียงแค่หยุดเคลื่อนไหว พวกเขาไม่กระพริบตาและไม่หายใจ พวกเขาหยุดอยู่กับที่


เรจิน่าหันไปมองบุคคลที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์แปลกประหลาดนี้


“เจ้า ไนบีริส นิม ถ้าเจ้าปล่อยให้มนุษย์อยู่ในสภาพนี้ พวกเขาจะตายในไม่ช้า”


“อย่ากังวลไปเลย ถึงข้าจะรู้มากขนาดนั้นก็ตาม”


ไนบีริสเป็นผู้หญิงอายุ 20 กลางๆ ที่มีผมสีดำและดวงตาสีน้ำตาล จากรูปลักษณ์ภายนอกของเธอ เธอดูเหมือนสาวงามที่เย็นชา แต่ภายในร่างกายนี้ไม่ใช่มนุษย์ เธอเป็นผู้บริหารระดับสูงซึ่งมีตำแหน่งสูงกว่าเรจิน่ามาก


ไนบีริสชำเลืองมองไปยังลูกสมุนที่ถูกแช่แข็ง และสถานะของพวกเขาก็เปลี่ยนไป พวกเขายังคงแข็งอยู่กับที่ แต่เริ่มหายใจช้าๆ เธอไม่ต้องการเปิดเผยตัวเองต่อผู้มาสักการะ และนี่เป็นวิธีที่จะลดข้อมูลไม่ให้แพร่งพรายออกไป


ไนบีริสพูด


“ตอบคำถามก่อนหน้านี้ของข้า”


“รวมถึงองค์หญิงมังกรปีศาจด้วย พวกเขาเป็นเพียงกลุ่มเล็กๆ ที่มีเพียง 5 คนเท่านั้น”


“ห้าคน?”


"ใช่"


“มีคนจำนวนเพียงเท่านั้นที่ติดตามองค์หญิงมังกรปีศาจ?”


"ใช่"


“เธอกำลังคิดอะไรอยู่? บางทีนี่อาจเป็นกับดัก ใช้คนอื่นปลอมตัวมา? นี่เป็นการเบี่ยงเบนความสนใจหรือไม่”


“เรายืนยันว่าไม่ใช่อย่างนั้น”


"อืม แล้วทำไมถึงบอกว่ามันซับซ้อนมากขึ้น”


ไนบีริสเอียงศีรษะเป็นคำถาม เธอไม่เข้าใจว่าทำไม อาเรียต้าถึงเลือกทำเช่นนี้ นอกจากนี้ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเรจิน่าถึงคิดว่าภารกิจนี้ซับซ้อนมากขึ้น


เรจิน่า ครุ่นคิดอยู่ข้างในขณะที่เธอมองไปที่อีกฝ่าย


'เธอเติบโตขึ้นภายในกำแพงที่แข็งแกร่ง'


ไนบีริส เป็นลูกหลานของผู้บริหารระดับสูงภายในองค์กร เธอมีพละกำลังที่ทรงพลัง แต่เธอไม่ได้ออกไปสู่โลกภายนอกจริงๆ เธอเป็นจอมเวทระดับสูง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอฉลาดในทางของโลก


เรจิน่าอธิบาย


“แม้ว่า เจ้าหญิงมังกรปีศาจ จะนำกองทหารมาคุ้มกันเธอได้มากเท่าใดก็ตาม แต่ก็มีขีดจำกัดว่าเธอจะนำมาได้กี่คน ด้วยจำนวนที่สูงสุดก็ประมาณ 70 ถึง 80 คน แม้ว่าจะเป็นทหารรักษาการณ์ชายแดนตะวันตก ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะส่งกองกำลังไปมากกว่านี้”


“นั่นจะยิ่งไม่ลำบากไปกว่า 5 คนเหรอ?”


“จากมุมมองของเรา มันจะดีกว่าถ้าเธอมาพร้อมกับผู้ติดตามที่ค่อนข้างมาก แม้ว่าจะมีจำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่เป็นทหารธรรมดา จำนวนมากหมายความว่าความเร็วในการเดินทางของพวกเขาจะช้าและจะหาตำแหน่งได้ง่ายขึ้น”


"อืม จำนวนที่น้อยหมายความว่าพวกเขาส่วนใหญ่เป็นกองกำลังชั้นยอด และพวกเขาจะมีเวลาหลบหนีได้ง่ายขึ้น? ใช่ไหม”


"ใช่"


เรจิน่าเห็นความตั้งใจของอาเรียต้าอย่างชัดเจน ยิ่งกว่านั้น เธอรู้ว่าทั้งหมดนี้ทำขึ้นเพื่อให้ผู้ไล่ตามของเธอยากขึ้น


“ภูมิภาคนี้แทบไม่มีตัวแทนของเราอยู่เลย คงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะระดมคนของเรามากเกินไป”


“พวกเขามีจำนวนน้อย เหตุใดเราจึงต้องการคนจำนวนมาก”


"เราต้องการมัน"


“ถ้าข้าไป เจ้าคิดว่าจะยังขาดหรือ”


ดวงตาของ ไนบีริส เริ่มเต็มไปด้วยความไม่พอใจ เรจิน่าชะงัก


“แน่นอนว่าถ้าเป็น ไนบีริส นิม เจ้าหญิงมังกรปีศาจและใครก็ตามที่อยู่ข้างๆ เธอ จะต้องรู้สึกหนักใจพอสมควร”


อย่างแรก เธอพูดคำเหล่านั้นเพื่อระงับอารมณ์ของไนบีริส อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่แค่คำเยินยอ แต่เป็นความจริง ไนบีริสเติบโตขึ้นมาในที่กำบังในระดับบนของสมาคมลับ ดังนั้นความรู้สึกของความเป็นจริงของเธอจึงขาดหายไปเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ไนบีริส มีพละกำลังมหาศาลซึ่งเรจิน่าไม่สามารถเปรียบเทียบได้


“อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของเราไม่ใช่เพียงแค่ ต้องใช้พลังต่อสู้และเอาชนะพวกเขา เราต้องจับพวกมันให้ได้ หากบุคคลที่มีความสามารถของเจ้าหญิงมังกรปีศาจเริ่มวิ่งหนี มันไม่ง่ายเลยที่จะจับเธอ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีข้อจำกัดเกี่ยวกับวิธีที่เราสามารถดำเนินการในสถานที่ที่มีประชากรหนาแน่น”


"ข้าเข้าใจ"


ไนบีริสเข้าใจในสิ่งที่เรจิน่าพยายามจะพูด


อย่างไรก็ตาม เธอปฏิเสธที่จะยอมรับมัน


“ถึงกระนั้น เรจิน่า เจ้าคิดถึงสถานการณ์นี้ตามระดับของเจ้าเท่านั้น” 


"อะไร?"


“ถ้าข้าออกโรงเอง เจ้าก็ไม่ต้องกังวลเรื่องพวกนี้ ก่อนอื่น ข้าจะออกไปจับเจ้าหญิงมังกรปีศาจ มันก็เหมือนกับการที่กษัตริย์ใช้ดาบที่ดีที่สุดเพื่อเชือดไก่”


ไนบีริสหัวเราะอย่างเย็นชา ความเย่อหยิ่งของเรจิน่าสั่นคลอน แต่เธอก็พูดโดยที่ยังคงรักษารูปลักษณ์ภายนอกของเธอไว้


ไนบีริสพูดต่อ


“นี่เป็นครั้งเดียวที่ข้าจะออกไปข้างนอก”


"ข้าเข้าใจ"


เรจิน่าตอบกลับ ในโลกปัจจุบัน การดำรงอยู่ของผู้บูชาราชามังกรปีศาจไม่ได้รับการยอมรับ หากเป็นดินแดนที่ปกครองโดยมนุษย์ ก็เป็นเช่นนี้ทุกที่ มีสมาคมลับที่ติดตามผู้บูชาราชามังกรปีศาจด้วย


ไนบีริสพูด


“ข้าจะปล่อยให้เจ้าทำการเตรียมการ เนื่องจากเจ้ากังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก ข้าอยากให้เจ้าสร้างเวทีให้ข้าด้วยความระมัดระวังอย่างที่สุด”


"น้อมรับคำสั่ง"


เรจิน่าก้มศีรษะของเธอ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น