แม่ของซูไห่โม่รู้สึกแปลกใจที่ซูไห่โม่สามารถหลบการเตะของเธอได้
เธอมองไปที่เด็กน้อยอย่างประหลาดใจ
เธอพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้น
ซูไห่โม่สามารถหลบการเตะของเธอทำให้ข้อเท็จจริงที่ว่าเขาถูกลักพาตัวนั้นดูแปลก
ดังนั้นเธอจึงถามออกไปในทันที: "ถ้าเจ้าสามารถหลบการเตะของข้า
ทำไมเจ้าถึงได้ถูกลักพาตัว?" เธอเหลือบตามองไปทางสามีของเธอที่บอกว่าซูไห่โม่ไม่เคยพยายามฝึกฝน
และเห็นใบหน้าของเขาดำคล้ำ เธอไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากต้องถามด้วยตัวเอง
อย่างรู้สึกผิดเพราะนั่นไม่ใช่ตัวเขา
แต่เป็นซูไห่โม่คนก่อน ซูไห่โม่รีบตอบไปในทันที:
"นั่นมันเกินการควบคุมของข้า! ไม่มีทางที่สามคนอ่อนแอจะเข้ามาในพื้นของขุนนางและลักพาตัวข้า
มันอาจจะมีการวางแผนโดยครอบครัวชั้นสูงอีกครอบครัวหนึ่ง
คนที่ลักพาตัวข้านั้นเป็นนักบ่มเพาะระดับดินแดนควบแน่นแก่นตันเถียน
เขาทำให้ข้าหมดสติก่อนนำตัวไปให้คนเหล่านั้นควบคุม ... "
เขาพูดออกมาช้ากว่าเดิม
เมื่อเขาเริ่มครุ่นคิดอะไรบางอย่าง 'แต่ทำไมพวกเขาถึงเอาข้าไปให้สามคนที่อ่อนแอ
ที่ไม่มีประสบการณ์? เดี๋ยวก่อน...
เป็นเพราะพวกเขาต้องการเริ่มต้นทำสงครามกับครอบครัวของเราหรือไม่? ความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่มีทางที่นักบ่มเพาะดินแดนควบแน่นแก่นตันเถียนจะให้ข้าเห็นป้ายตระกูลของเขาที่เสื้อผ้าของเขาระหว่างการลักพาตัว
...
แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าซูไห่โม่จะกลายเป็นอีกคนที่มาจากอีกโลกหนึ่ง
... น่าจะเป็นเหตุที่ว่า เขาต้องการให้ข้าถูกช่วยชีวิตโดยกลุ่มชนชั้นสูง
และให้ข้าบอกชื่อครอบครัวจากป้ายตราประทับที่ข้าเห็นบนเสื้อของเขากับครอบครัวของข้า
และเริ่มทำสงครามกับพวกเขา
มีความเป็นไปได้คือสองประการ
ประการแรกคือพวกเขาต้องการที่จะใช้พลังอำนาจของครอบครัวของข้าเพื่อทำลายล้างครอบครัวอื่น
ปรากการที่สองคือพวกเขาเป็นครอบครัวของป้ายตราประทับนั้น และมีวิธีเอาชนะ
สามารถต่อสู้กับครอบครัวของข้า แต่ต้องการให้ครอบครัวของข้าเริ่มต้นทำการโจมตีก่อน...
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม
ข้าไม่สามารถให้ชื่อของครอบครัววาลฮานน่ากับแม่ของข้าได้
มิฉะนั้นมันก็จะเป็นว่าเราเดินตามแผนการณ์ของพวกเขา พวกเขาต้องการอะไร!'
"ตระกูลขุนนางไหน
...ไห่โม่ เจ้าสังเกตเห็นหรือไม่ว่าครอบครัวตระกูลไหน มันเป็นใคร?"
แม่ของเขาไม่สนใจว่าเขาเรียกว่าคนทั้งสามคนว่าอ่อนแอ
หากแต่ถามเขาทันทีว่าเขารู้หรือไม่ว่ามันเป็นตระกูลไหน
ใครกันที่เป็นผู้วางแผนอยู่เบื้องหลัง แต่ในขณะที่เขาคาดการณ์
แม่ของเขาจะทำนายอนาคตของเขาต่อไป
"ฮืมมม
ไม่ว่าจะเป็นตระกูลไหน ข้าจะแก้ปัญหานี้ด้วยตัวเอง ข้าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากใคร
เพราะถ้าข้าไม่สามารถแก้ไขอะไรบางอย่างในระดับนี้ได้
ข้ามันก็ไม่ใช่ลูกผู้ชาย"
แม่ของเขาสะดุ้งกับคำตอบที่ได้ยิน
แม่ของเขาต้องการที่จะโต้แย้งว่า ไห่โม่ยังเด็ก แต่กลับยิ้มออกมา
นี่ควรจะเป็นสิ่งที่สมาชิกคนในตระกูลซู ควรจะเป็น ‘เขาอาจเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพไปเนื่องจากการลักพาตัวไม่ใช่หรือ? อย่างนั้นมันก็จะดีที่สุด’
เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครคิดว่าลูกของตัวเองจะถูกใครอีกคนที่มาจากโลกอื่นเข้ามาแทนที่
เมื่อมีเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจ
มันก็อาจส่งผลต่อความคิด และบุคลิกภาพของพวกเขาที่เปลี่ยนไป
แม้กระทั่งในกรณีนี้บุคลิกของซูไห่โม่ได้เปลี่ยนไปเป็นตรงกันข้ามจากก่อนหน้านี้
อย่างน้อยมันก็เป็นปัญหาของ ซูไห่โม่ ในขณะนี้
หลังจากที่พวกเขาสิ้นสุดการสนทนาระหว่างแม่และลูกชาย
พวกเขาก็เริ่มเดินไปหาสมาชิกในครอบครัวคนอื่น
ๆ
ซูไห่โม่เผยรอยยิ้มหวานออกมาเป็นครั้งแรกตั้งแต่ตอนที่เขามาอยู่ในโลกนี้
'ดูเหมือนว่าความรู้สึกจากซูไห่โม่คนก่อนยังหลงเหลืออยู่' แน่นอนเขาไม่เคยคาดหวังว่าพวกมันยังคงมี แต่เป็นเพราะระบบ
แต่แม้ว่าเขาจะรู้ว่ามี แต่เขาก็ไม่สนใจ
แม่ของเขาชื่อ ซูอาเช่
เป็นหญิงวัยกลางคนที่มีผมสีขาวหูสีขาวและหางสีขาวเธอเป็นมนุษย์แมว
เวลาส่วนใหญ่ของเธอจะอยู่นอกราชอาณาจักรเพื่อทำธุรกิจและเพื่อค้นหาทักษะบ่มเพาะ
ผู้ซึ่งเคร่งครัดและเชื่อมั่นว่าสมาชิกทุกคนของครอบครัวตระกูลซู
ควรจะเก่งในเรื่องของการต่อสู้ เธอได้สอนพี่ชายของซูไห่โม่
แต่ไม่เคยมีเวลาที่จะสอนซูไห่โม่ ซึ่งทำให้เขาขี้เกียจเช่นที่เขาเป็น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องขอบคุณพ่อของเขา ที่เอาใจเขามาก
พ่อของเขาชื่อ ซูโม่
เป็นมนุษย์หมาป่า วัยกลางคน เขามีผมสีน้ำตาลหูสีน้ำตาลและหางสีน้ำตาล
ขณะที่เขามักจะมีรอยยิ้มที่น่าหลงไหลขณะอยู่กับครอบครัว
แต่เมื่อเขาเริ่มต่อสู้เขาจะโหดร้ายกับฝ่ายตรงข้ามอย่างมาก
และทุกคนที่ได้ต่อสู้กับเขาจะยังคงฝันร้ายเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่เสมอ
ถ้าพวกเขาสามารถมีชีวิตรอด
พี่ชาย อีท่า
ของเขาคือมนุษย์หมาป่าวัย 15 ปีที่มีผมสีดำหูสีดำและหางสีดำ
เขามักจะเย็นชาต่อซูไห่โม่ แต่ซูไห่โม่ไม่เคยรู้เหตุผล
น้องสาว อาเรีย
ของเขามีอายุเพียง 5 ปี เป็นมนุษย์แมว เธออายุน้อยกว่า ซูไห่โม่ หนึ่งปี
เธอมีผมสีดำหูสีดำและหางสีดำ ซูไห่โม่มักจะคอยเอาใจใส่เธอ
แต่เธอแตกต่างจากพี่ชายที่ขี้เกียจของเธอ เธอขยันฝึกฝนทำการบ่มเพาะ
และในตอนนี้เธออยู่ในช่วงหลอมรวมเส้นชีพจร
"สวัสดีพ่อ แม่
พี่อีท่า และน้องอาเรีย ข้ากลับมาแล้ว"
ซูไห่โม่ยิ้มเมื่อเขาเห็นสมาชิกในครอบครัวของเขา
แม่ของเขายังยืนอยู่ที่เดิม
เธอดูมีความสุขมาก
พ่อของเขาเผยรอยยิ้มที่ดูน่าหลงไหลออกมา
มันดูแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากช่วงเวลาที่ผ่านมาเมื่อตอนที่เขาถูกภรรยาของเขาตำหนิ
พี่ใหญ่ของเขา อีท่า
เพิ่งพูดว่า "อืม" และเดินกลับไปราวกับว่าเขาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับ
ซูไห่โม่ เลย
และท้ายที่สุดน้องสาวคนเล็กอาเรีย
ของเขาก็โผล่เข้ามาพร้อมด้วยรอยยิ้มหวาน ๆ และกระโดดเข้าไปในอ้อมแขนของซูไห่โม่
ขณะพูดว่า "ข้าดีใจที่ท่านพี่กลับมา!" ซูไห่โม่รับรู้ถึงความรู้สึกกังวลและความสุขของเธอ
เขาตบหัวของเธอ ก่อนเผยรอยยิ้มที่สดใสมากกว่าก่อนหน้านี้ออกมา
ความเงียบปกคลุมอยู่สองสามวินาที
แต่ได้ทำลายโดย ซูโม่ เมื่อเขากล่าวออกมาว่า "เข้าไปข้างใน
เจ้าต้องเหนื่อยและก็ถึงเวลาสำหรับอาหารเย็นแล้ว"
"แน่นอน"
พวกเขาเดินไปทางด้านในของคฤหาสน์ ทั้งพ่อและแม่ของเขาต่างมองมาทาง ซูไห่โม่
ขณะที่เขากำลังเดินจับมือกับน้องสาวตัวน้อยของเขา
มันเป็นอาหารมื้อเย็นที่คนรับใช้ได้จัดเตรียมไว้นานแล้ว
ในสถานการณ์ที่ดูแปลกประหลาด
ทุกคนต่างจ้องมองไปที่ซูไห่โม่ด้วยการแสดงออกที่แตกต่างกัน
แม่ของเขาดูเฉย ๆ
พ่อของเขาส่งยิ้มที่น่าหลงไหลออกมา แต่มันเริ่มทำให้ซูไห่โม่หงุดหงิด
พี่ใหญ่ยังคงมองมาอย่างเย็นชาและดูรังเกียจซูไห่โม่
และน้องสาวรู้สึกว่าเป็นปกติเพียงคนเดียวในห้อง
ในขณะที่คุยกันอย่างมีความสุขกับซูไห่โม่
หลังจากรับประทานอาหารค่ำเสร็จ
ซูไห่โม่กลับไปที่ห้องของเขาซึ่งเขาพร้อมที่จะจ่าย 20 BSP เพื่อรับเคล็ดวิชาบ่มเพาะอนันต์วิถีแบบแยกส่วนในระดับหลอมรวมกระดูก (5)
และ หลอมรวมเลือด (15)
[ขอบเจ้าสำหรับการสนับสนุนของเจ้า]
[ตอนนี้เจ้ามี 20 BSP]
ขณะที่ราคาเคล็ดวิชาบ่มเพาะอนันต์วิถีในระดับต่อไปอยู่ที่
25
BSP ซูไห่โม่ ไม่สามารถจ่ายมันได้ในขณะนี้
ดังนั้นเขาจึงเริ่มต้นทำการบ่มเพาะ ขั้นหลอมรวมกระดูกและหลอมรวมเลือดก่อนนอน
ทุกคนคิดว่าเขาเหนื่อยมากจนไม่มีใครมารบกวนเขา
ในขณะที่ เฮน์
นายกองได้รายงานเหตุการณ์ต่าง ๆ กับ ซูอาเช่ และ ซูโม่ ว่าเกิดอะไรขึ้นตอนที่พวกเขากำลังกลับมา
ในขณะที่อยู่ในป่าและเกี่ยวกับความตายของทั้งสามคนที่ลักพาตัว
มันทำให้พ่อและแม่ของซูไห่โม่รู้สึกประหลาดใจ ในตอนนี้พ่อแม่ของเขารู้แล้วว่า
ทำไมซูไห่โม่เรียกสามคนนั้นว่า "อ่อนแอ"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น