เลือกสีพื้นเพื่ออ่านบทความ >>> พื้นขาว พื้นดำ พื้นครีม

วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2561

GDN 351 ครึ่งหลังของมังกรอัศวิน

แปลโดย ข้าแปลเจ้าอ่าน 
ให้กำลังใจผู้แปลโดยงด การกอปปี้ งดแชร์ 
แล้วมาอ่านด้วยกันที่ https://imakeuread.blogspot.com/



"เจ้าคือ?" ชายชราถามอย่างสงสัย

ชายหนุ่มมีคิ้วคู่เหมือนดาบและใบหน้าที่ดูหล่อเหลามาก เขายิ้มและพูดว่า "ข้าชื่อ เสี่ยวเยวีย ข้ามาที่นี่เพื่อพาเจ้าไปที่ค่ายของเรา"

"ค่ายอะไร?" ชายชราถามออกมาด้วยความสับสน

"มันเป็นสถานที่สำหรับทุกคนเพื่อใช้ชีวิตในบั้นปลาย" เสี่ยวเยวียพูดออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก

ชายชราเห็นเสี่ยวเยวียใช้มือวาดไปในกลางอากาศ จากนั้นปรากฏประตูที่มีแสงสว่างขึ้นในทันที ก่อนที่ชายชราจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้าเหลืองก็กระโดดเข้าไปในประตู

ด้วยความอยากรู้อยากเห็นชายชราจึงเดินตามเสี่ยวเยวียเข้าไปในประตู หลังจากที่เดินผ่านประตูที่เต็มไปด้วยแสงสว่าง ชายชราได้ตระหนักว่าเขาได้มาอยู่ที่ชายหาด บนผืนทรายมีผู้คนจำนวนมากเช่นเขา ไม่ว่าจะเป็นคนจากชนเผ่าอารยัน คนจีน ผิวขาว ชาวอินเดีย เมโสโปเตเมีย ชาวอารเบีย ชาวแอฟริกัน ทุกคนที่ไม่ต้องการออกจากโลกต่างมารวมตัวกันอยู่ที่นี่

ชายหาดเต็มไปด้วยเก้าอี้ ลูกบอลแสงหลายลูกถูกแขวนอยู่บนต้นไม้ หรือแม้แต่ลอยอยู่ในมหาสมุทร นับตั้งแต่ดวงอาทิตย์ได้หายไปจากโลก ทั้งโลกก็หนาวมาก หากแต่อากาศที่นี่กลับอบอุ่น ชายชรารู้สึกเหมือนโรคข้ออักเสบของเขาหายไป

ในช่วงเวลานั้นชายชรามองไปรอบ ๆ เสี่ยวเยวียได้หายตัวไปในอากาศ เจ้าเหลืองพบเพื่อนใหม่และตอนนี้กำลังไล่ตามเต่าที่คลานอยู่บนพื้นทรายอย่างช้า ๆ อาจเป็นผลจากความจริงที่ว่าสถานที่นี้เต็มไปด้วยแสงสว่าง สัตว์จำนวนมากจากมหาสมุทรจึงมารวมกันที่นี่

เนื่องจากมีผู้คนมาจากทั่วโลก พวกเขาต่างพูดภาษาสากลทั้งหมด ความเป็นจริงได้แสดงให้เห็นว่าภาษาเก่าแก่เช่นนี้สามารถใช้กันได้ทั่วจักรวาล

ชายชราจากภาคเหนือของมณฑลส่านซี ทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็วผ่านภาษาสากล เขาไม่ได้เป็นเด็กหนุ่มที่มีความทรงจำในเรื่องภาษามากนัก มันต้องใช้เวลามากในการเรียนรู้ภาษาที่ซับซ้อนในช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ก็ไม่เป็นไร เนื่องจากสภาพแวดล้อมทางภาษาที่เปลี่ยนไป เขาสามารถปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตได้อย่างรวดเร็ว

"พวกเจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?"

"มีคนพาข้ามาที่นี่"

"เขาชื่อเสี่ยวเยวียใช่หรือไม่?"

"ไม่ ข้าจำได้ เขาชื่อว่าสวรรค์เพลิง เขาเป็นชายหนุ่มที่ดูหล่อมาก ๆ ใบหน้าสีพีชและมีกล้ามเนื้อแข็งแกร่งกว่าข้า เมื่อตอนที่ข้าอายุเท่ากับเขา"

"ข้าไม่เห็นคนทำการเพาะปลูกอะไร เจ้ากินอะไรกัน?"

"ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ ปลา อาหารทะเล ทุกอย่างที่เจ้าต้องการกิน!"

"อาหารมาจากที่ไหนกัน?"

ไม่แน่ใจ แต่มีอาหารในบ้านที่อยู่ข้างชายหาดเสมอ ..บ้านสีขาวที่ตั้งอยู่ข้างชายหาดนั่นก็เป็นที่เก็บอาหารจำพวกนม บ้านสีแดงเป็นที่เก็บอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ สีเขียวเป็นที่เก็บอาหารจำพวกผักสด และที่บาร์ขนาดใหญ่พิเศษตรงโน้นก็เต็มไปด้วยเฟอร์นิเจอร์ ถ้าเจ้าต้องการเจ้าก็สามารถไปเลือกได้ แต่แน่นอนว่าเราต้องทำอาหารเราเอง ใช่แล้วเจ้าเป็นชาวจีนเจ้าน่าที่จะทำอาหารเป็นใช่ไหม?"

ชายชราจากจังหวัดเซียเปิ่ยเริ่มหัวเราะ "ข้าสามารถทำก๋วยเตี๋ยวน้ำได้!" เขากล่าวออกมาอย่างภาคภูมิใจ

"มันฟังดูน่ากินจัง เจ้าควรปรุงมันคืนนี้ ข้าจะไปช่วยเจ้า!"

"แน่นอน เจ้ากินเผ็ดไหม? ก๋วยเตี๋ยวจะไม่อร่อยถ้าไม่เผ็ด"

"อย่ากังวลใจไปสหาย แม้ว่าข้าจะไม่เคยเห็นพริกทุกชนิดมาก่อน หากความหลากหลายของอาหารที่นี่ จะทำให้เจ้าต้องประหลาดใจและมีความสุขมากเลยทีเดียว"

ชายชราจากจังหวัดเซียเปิ่ยและชายชราชาวอเมริกันเชื้อสายอเมริกาเหนือ พากันเดินไปที่บ้านที่เก็บวัตถุดิบเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับงานเลี้ยงอาหารค่ำในคืนนี้ พวกเขาเริ่มที่จะปรับตัวให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ที่นี่แล้ว สำหรับคนเหงาเหล่านี้ สถานที่นี้อาจเป็นที่ที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขาที่จะใช้ชีวิตหลังเกษียณของพวกเขา

ภูเขาลูกหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปตามแนวชายฝั่งประมาณ 15km

ในขณะนั้นมีชายสองคนยืนอยู่บนหน้าผา หนึ่งในนั้นคือเสี่ยวเยวียที่พาชายชราจากจังหวัดเซียเปิ่ยมา เขาเต็มไปด้วยพลังพร้อมด้วยใบหน้าที่มักจะมีรอยยิ้มอยู่เสมอ แต่ข้าง ๆ เขาเป็นผู้ชายที่มีใยหน้าที่นิ่งสุขุมเหมือนหิน พร้อมด้วยหนวดเหนือริมฝีปาก เขายืนอยู่โดยไม่ได้ขยับเขยื่อนไปไหน

"เจ้าพาพวกเขามาทั้งหมดแล้วหรือยัง?" ชายหน้านิ่งถามออกไป

"เรียบร้อยแล้ว สองล้านสามแสนเจ็ดหมื่นสี่พันหนึ่งร้อยห้าสิบแปดคน" เสี่ยวเยวียกล่าวออกมาพร้อมด้วยรอยยิ้ม "ที่นี่เป็นสถานที่ที่ดีจริง ๆ พวกเขาไม่ควรที่จะมีปัญหาอะไรที่จะใช้ชีวิตเกษียณที่นี่"

ชายอีกคนหนึ่งส่ายหัว เขาเหลือบตามองแผงวงโคจรของดวงดาวที่ดูซับซ้อน ก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงทุ้มลึกว่า "ทุกอย่างเป็นเพียงแค่ชั่วคราว..เราอยู่ห่างจากการโจมตีครั้งต่อไปอีก 41 วันกับอีก 9 ชั่วโมง ข้าหวังว่าพวกเขาจะยังคงมีความสุข"

เสี่ยวเยวียยังคงยิ้มออกมาก่อนกล่าวออกไปว่า “ทำไมเจ้าถึงมองโลกในแง่ร้ายนักละ? เราสามารถหนีรอด ออกมาจากสถานการณ์ที่ที่อันตรายที่สุดมาได้แล้ว และเราก็จะสามารถหลบหนีด่านต่อไปได้อีกด้วย”

ชายหน้านิ่งเห็นได้ชัดว่าไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่ดี เขาถอนหายใจและพูดว่า "อืม แม้ว่าเราจะหนีไปในครั้งต่อไปได้อีกครั้ง แล้วไง เราได้เปิดเผยที่หลบภัยของเราแล้ว ไม่ว่าเราจะวิ่งไปที่ใด เทคโนโลยีไล่จับดวงดาวที่มีประสิทธิภาพทั้งหมดจะสามารถหาเราพบได้ภายใน 49 วันดังนั้นเราจึงต้องเปลี่ยนสถานที่ต่อไป"

"เจ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรคือสิ่งที่เลวร้ายที่สุด?"

เสี่ยวเยวียส่ายหน้าในขณะที่ยังมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าของเขา

"สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือเมื่อเราเริ่มต้นหนี เราไม่สามารถหยุดได้ในอีก 100 ปี 1000 ปี 10000 ปีจนกระทั่งวันที่เราตาย เราก็ต้องวิ่งต่อไป"

เสี่ยวเยวียที่มักจะยิ้มอยู่เสมอ เขาเลิกคิ้วขึ้นและพูดว่า "อย่ามองโลกในแง่ร้ายมากนัก เมื่อเทียบกับดาวพลูโต เรายังมีชีวิตอยู่ ซึ่งนับว่าเราเองก็โชคดีมากแล้ว ถ้าเรายังคงหดหู่ใจนี้อยู่เช่นนี้แล้ว เราจะเผชิญหน้ากับพลูโตและเพื่อนมากกว่า 450 ล้านดวงที่เสียสละตัวเองเพื่อเราได้อย่างไร"

"วันนี้ที่เรายังอยู่รอดปลอดภัย มันไม่ใช่เพราะความโชคดี หากแต่เป็นเพราะพลูโตได้ใช้แม็คเมค เซเรส ตัวเองพร้อมกับเพื่อนอีกมากกว่า 450 ล้านดวงดาว เราควรให้ความสำคัญกับทุก ๆ วันที่เรามีชีวิตอยู่"

"มองไปที่มนุษย์เหล่านี้พวกเขาไม่ได้มีชีวิตนิรันดร์เหมือนเรา ..พวกเขาอาจจะตายในวันพรุ่งนี้ แต่พวกเขาก็ยังคงมีความสุขมากในวันนี้"

ชายหน้านิ่งชะงักไปครู่หนึ่งแล้วก็พึมพำออกมาว่า "บางทีเจ้าอาจจะพูดถูก แต่ไม่ว่าสถานการณ์ของเราจะย่ำแย่ หากปราศจากการปกป้องของอัศวินมังกร พวกเราคงทำได้แต่เพียงวิ่งหนี"

เสี่ยวเยวียยิ้มบาง ๆ ออกมาและพูดเบา ๆ ว่า "เจ้าพูดผิด เรามีอีกหนึ่ง อัศวินมังกร"

"เจ้าหมายถึงเขาใช่หรือเปล่า?" แต่เขามียีนของอัศวินมังกรเพียงครึ่งเดียว เขาสามารถนับได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของอัศวินมังกรอย่างมากที่สุดเท่านั้นอีกอย่างเขาก็ยังเด็กเกินไป"

เสี่ยวเยวียเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าภายในดาร์คเน็ต ไม่มีดวงดาวบนท้องฟ้า บรรยากาศดูเหมือนจะเงียบเหงามาก

อย่าลืมคำสาบานของอัศวินมังกร เราจะปกป้องเสรีภาพของเราด้วยชีวิตของเรา เราจะต่อสู้จนกว่าหมดครึ่งชีวิตของเรา!

"มันเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่ข้ามักจะคิดถึงคำสาบานของอัศวินมังกร ครึ่งชีวิต ทำไมพวกเขาไม่สัญญาว่าจะต่อสู้จนกว่าพวกเขาจะตาย? มันน่าจะสมเหตุสมผลมากกว่าหากจะสู้จนชีวิตจะหาไม่"

"นี่เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก หลังจากการต่อสู้ที่โหดร้ายจนถึงวันนี้ จักรวาลมีเพียงอัศวินมังกรครึ่งชีวิตเท่านั้น มันอาจเป็นไปได้ว่าตั้งแต่เริ่มแรก อัศวินมังกรได้มองเห็นอนาคตหรือไม่ และเสรีภาพของเราจะได้รับการช่วยเหลือโดยอัศวินมังกรอีกครึ่งชีวิต?"

ชายหน้านิ่งไม่พูดอะไรออกมา เขาคิดชั่วครู่หนึ่งและส่ายหัว

"เสี่ยวเยวีย เจ้ามองโลกในแง่ดีมาก ๆ"

"ข้ามองโลกในแง่ดีเสมอ" เสี่ยวเยวียกล่าวโดยไม่หยุดคิด

"ตามความคิดในแง่ดีของเจ้า เจ้าคิดว่าเราควรจะทำอะไรต่อไปในอนาคต?" ชายหน้านิ่งถาม

เสี่ยวเยวียยิ้ม "วิ่งหนีไม่หยุดจนกว่าครึ่งชีวิตสุดท้ายของอัศวินมังกรจะเติบโตขึ้น"

"ต้องใช้เวลากี่ยุค?" ชายหน้านิ่งถาม

"คงไม่นานหรอก" เสี่ยวเยวียกล่าวออกไปว่า "เจ้าเคยเห็นอัจฉริยะที่สามารถเข้าถึงระดับขุนศึกภายในเวลาเพียงสี่ปีได้หรือไม่?"

"ไม่"

"เจ้าเคยได้ยินจากใครที่เป็นเช่นนั้นหรือไม่?"

"ไม่"

"แล้วทำไมเจ้าถึงคิดว่าเขาคงต้องใช้เวลาหลายปีในการเข้าถึงระดับที่สามารถสังหารพระเจ้าและฆ่าปีศาจได้?"

"อ่า ... " ชายหน้านิ่งไม่มีคำตอบที่ดี เขาเลยหยุดพูด

เสี่ยวเยวียหัวเราะเสียงดังก่อนกล่าวออกไปว่า "เราโชคร้ายมากที่มีเพียงครึ่งชีวิตของอัศวินมังกรที่สามารถปกป้องเราได้ แต่เราก็โชคดีมากเพราะเขาไม่ใช่อัศวินมังกรที่บริสุทธิ์ อุปสรรคและเหตุการณ์ที่เขาต้องเจอ มีมาก... ผจญปีศาจที่ไม่ซ้ำกัน"

"แม้ว่าสิ่งที่เขาประสบความสำเร็จจะดูน่าประทับใจมาก แต่ทั้งเจ้าและข้ารู้ว่ามีเพียงทางเดียวเท่านั้นคือวิธีที่เหมาะสมที่สุดที่จะกลายเป็นสุดยอด"

เสี่ยวเยวียส่ายหัว "ขอนไม้นิ่ง เจ้าผิดแล้ว มันก็จริงที่เรามี อัศวินมังกร เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ดังนั้นถ้าเขาเดินไปตามเส้นทางเดียวกันกับอัศวินมังกรอื่น ๆ เส้นทางที่ "ถูกต้อง" ก็อาจจะทำให้เขามีโอกาสกลายเป็นสุดยอด แต่เจ้าอย่าลืมว่าบรรดาอัศวินมังกรที่กลายเป็นสุดยอดได้ผ่านเส้นทาง "ถูกต้อง" ไปทั้งหมดแล้ว สิ่งที่เราเหลืออยู่นี้เป็นเพียงครึ่งชีวิตหลังของอัศวินมังกร เจ้าคิดว่ามันสามารถเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่างได้ด้วยการเดินบนเส้นทางเดียวกัน?"

"ไม่ แน่นอนว่าไม่ได้ เขาสามารถเดินไปตามเส้นทางที่ไม่มีใครเคยเดินมาก่อน และใช้วิธีแหกคอกที่เราไม่สามารถจินตนาการ เพื่อพลิกกลับสถานการณ์ที่วุ่นวายนี้"






1 ความคิดเห็น: