หยางเฉินตรวจพบว่าตาข่ายขนาดใหญ่นี้ถักขึ้นจากเส้นไหมของ
ไหมหิมะล้ำเลิศ
และได้รับการขัดเกลาหลายครั้ง เนื้อของมันจึงเหนียวแน่นอย่างหาอะไรเปรียบไม่ได้
ไม่ว่าน้ำหรือไฟก็ไม่อาจทำลายได้แม้กระทั้งตัดด้วยดาบ
ถ้าหากเขาเข้าไปวุ่นวายกับมันก็เหมือนหมูที่พร้อมโดนเชือด
สิ่งที่สำคัญที่สุดที่หยางเฉินพบคือ... เส้นไหมนี้ถูกขัดเกล้าโดย
ผู้เชี่ยวชาญขั้นก่อลำต้น แม้กระทั่งในแสงสลัวของอัญมณีที่ส่อง
ประกายก็สามารถบอกได้ว่าไหมตาข่ายนี้มันพิเศษ
อาวุธเวททั้งหมดที่หยางเฉินมีอยู่ก็ไม่สามารถทำลายตาข่ายไหมได้
ไม่ว่าจะเป็นกล่องกระบี่หรือกระทั่งกระบี่บิน
หากเขาจะใช้ไฟเผาก็จะเป็นการเสียเวลาเปล่าเพราะไฟธรรมดาไม่สามารถทำอะไรไหมของไหมหิมะล้ำเลิศได้
และในตอนนี้เขาก็ไม่มีเปลวไฟที่มีพลังเพียงพอ ดังนั้นตอนนี้เขาต้องหลบเลี่ยง
สาเหตุที่เขาต้องหลบและไม่ใช้เจตจำนงค์แห่งการฆ่า
แต่ปลดปล่อยพลังจิตวิญญาณออกมาจากทะเลจิตวิญญาณแม่น้ำโลหิตสายยาวของเขา เพื่อข่มศัตรูเพราะหยางเฉินพบการปรากฏตัวของคนที่กำลังติดตามเขาอยู่
ถึงแม้ว่าเจตจำนงค์แห่งการฆ่าที่หยางเฉินปลดปล่อยออกมาจะมีอานุภาพแข็งแกร่งพอที่จะข่มขู่ผู้คนในวงกว้างได้
แต่คนหนึ่งที่หยางเฉินกลัวที่สุดคือผู้อาวุโสหวู
ถ้าหากผู้อาวุโสหวูรู้ว่าหยางเฉินเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเจตจำนงค์แห่งการฆ่าเมื่อครั้งก่อน
เห็นที่เขาคงไม่รอด
และอีกหนึ่งเหตุผลคือ...
ถ้ามีใครคนใดคนหนึ่งรู้เรื่องมหันตภัย
เจตจำนงค์แห่งการฆ่าเขาก็ไม่สามารถให้เหตุผลที่ชัดเจนได้
ก่อนที่จะเริ่มการบ่มเพาะเขาอาจบอกได้ว่าเป็นเพราะเพชฌฆาต
มันคือจิตวิญญาณแห่งการฆ่าที่ได้รับจากการสังหารผู้คน
แต่ในเวลานี้หลังจากที่เขาเริ่มการบ่มเพาะแล้วเขาก็ไม่สามารถอธิบายเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังได้
แม้ว่าเขาจะบอกว่าเป็นเพราะการสังหารจิตวิญญาณสัตว์อสูรใต้พิภพ
แต่ว่าก็ไม่มีใครสังหารจิตวิญญาณสัตว์อสูรได้สักคน? นอกจากจะสร้างชื่อเสียงให้ หยางเฉินกลายเป็นปีศาจน่ากลัวก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีก
ดังนั้นหยางเฉินจำเป็นต้องใช้ทะเลจิตวิญญาณของเขาในแม่น้ำโลหิตเป็นทางออกสุดท้ายในการเอาตัวรอดและไม่สามารถใช้
ได้บ่อยๆ
ส่วนมากมักใช้การข่มขู่เล็กๆน้อยๆกับจิตวิญญาณ
สัตว์อสูรก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่อะไรแต่การพยายามข่มขู่สิ่งมีชีวิตทั้งหมดนั้นอย่างนักบ่มเพาะก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
หลังจากสูญเสียเป้าหมายใหญ่ไปเหล่าศัตรูก็เก็บของทันทีแล้ว
ไล่ตามหยางเฉินไปด้วยความเร็วในลาวา
เวลานี้คนที่ไล่ตามหลังหยางเฉินมานั้นก็ใกล้จะตามทันแล้วพวกเขารู้สึกมี
อะไรแปลกๆเกิดขึ้นดังนั้นจึงรีบเร่งไปเพื่อให้ทันดูเหตุการณ์
แต่เมื่อไปถึงก็พบแต่แม่น้ำลาวาที่วางเปล่าไม่มีร่องรอยใดๆ
เหลืออยู่แม้แต่เงาเดียว
คราวนี้ทุกคนต่างพบหน้ากัน
ผู้ที่เป็นปรปักษ์เผชิญหน้ากัน โดยใช้สายตาเหลือบมองกันและกัน ในทันทีก็มีคนตะโกน
ขึ้นมาว่า :
“เขาจะตกเป็นของคนแรกที่สามารถจับเขาได้!”
นี่เป็นข้อตกลงที่ชัดเจนที่สุดในการแบ่งเชลยกันและแสดงให้
เห็นว่าพวกเขาเห็นหยางเฉินเป็นเพียงสิ่งของที่พวกเขาต้องการ มาครอบครอง
“เยี่ยม!”
บางคนการตอบรับคำประกาศนั้นโดยการวิ่งตรงไปยังแม่น้ำลาวาและหายตัวไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อคนอื่นเห็นแบบนั้นก็ไม่
เสียเวลาอีกจำนวนผู้คนที่วิ่งตรงมุ่งไปยังแม่น้ำลาวานั้น
เหมือนลำแสงที่ส่องไปยังแม่น้ำแล้วหายไปในทันที
แม่น้ำลาวานั้นยาวมากเปลวไฟจากใต้พิภพฟุ้งกระจายไปยังจุดต่างๆ
ครอบคลุมพื้นที่มากกว่าสามฉื่อรอบด้านข้าง
นอกจากนี้ทางน้ำของแม่น้ำลาวานั้นไม่ได้เรียบเนียนเป็นผืนเดียวแต่มีความขุขระและซับซ้อน
ทางออกของลาวามีทุกทาง ธรรมชาติของแม่น้ำลาวานั้นแบ่งออกเป็นลาวาขนาดใหญ่
ศูนย์กลางของลาวาขนาดใหญ่นั่นเป็นทะเลสาบลาวาขนาดใหญ่
ทางออกของลาวาขนาดใหญ่ส่วนมากไหลผ่านมาทางลาวาที่
สว่างที่สุด
ลาวาตรงจุดนี้ไม่ได้เป็นสีแดงเข้มแต่เป็นสีแดงอ่อนๆ ที่ส่องแสง
สว่างสีขาวอยู่ตรงศูนย์กลางของลาวา
ศัตรูที่ไล่ล่าหยางเฉินนั้นรู้ว่าเขากำลังตามหาเปลวไฟแก่นพิภพอยู่แต่พวกเขาก็ไม่แน่ใจว่าเปลวไฟแก่นพิภพนั้นตั้งอยู่ที่ไหนใน
ลาวาขนาดใหญ่นี้ มันทำให้พวกเขาไม่สามารถรู้ถึงปลายทางของหยางเฉิน ธรรมชาติของหยางเฉินก็ไม่ใช่คนโง่
เขาไม่ได้วิ่งตรงไปยังเปลวไฟแก่นพิภพแต่วิ่งเป็นวงกลมแทน
หยางเฉินไม่รู้ว่าเหล่าคนที่วิ่งไล่ตามเขานั้นมีเข็มทิศที่บอกต่ำแหน่งของเขาอยู่ในมือ
ตราบใดที่เขายังอยู่ในรัศมีห้าร้อย ลี้เข็มทิศนั้นก็ยังคงชี้มา
ทิศทางต่ำแหน่งที่เขาอยู่
ในลาวาความเร็วของหยางเฉินไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อยในทางตรงกันข้ามมีแต่เพิ่มขึ้น
แม้ว่าหยางเฉินเป็นนักบ่มเพาะขั้นต้น
แต่ทักษะการหลบหลีกไฟเขาก็ใช้ได้ขั้นสมบูรณ์แบบ
ภายใต้เส้นทางลาวานี้เขาก็เหมือนปลาได้น้ำ
ยิ่งศัตรูวิ่งเข้ามาใกล้เขามากเท่าไหร่ความหงุดหงิดของหยาง
เฉินก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
ในเส้นสายของลาวาเป็นที่อยู่อาศัยของ สัตว์อสูรที่เกิดจากไฟ
บางครั้งฝูงของมันก็จะปรากฏตัวขึ้น
หยางเฉินไม่ได้ขัดขวางศัตรูที่รับมือกับฝูงสัตว์อสูรที่โหดร้าย
แม้แต่น้อยและระหว่างที่พวกนั้นสังหารสัตว์อสูรหยางเฉินก็มุ่งไปข้างหน้าออกไปไกลจากตรงนี้
เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าและหยางเฉินก็ไม่มีทางที่จะยอมแพ้
สิ่งที่น่ารำคาญที่สุดสำหรับพวกเขาคือสัตว์อสูรจิตวิญญาณที่โจมตีอยู่นี้เหมือนได้รับแรงยั่วยุบางอย่างทำให้บ้าคลั่ง
ทำให้เหล่าศัตรูของหยางเฉินนั้นบ่นไม่หยุด เป็นไปได้ไหมว่าเขาได้ เข้ามาในรังของสัตว์อสูรนานเเล้ว? ไม่เช่นนั้นมันเกิดอะไรขึ้นที่นี่? ไม่มีใครรู้สาเหตุที่แท้จริงว่าสัตว์อสูรจิตวิญญาณเหล่านี้
ตื่นกลัวเจตจำนงค์แห่งการฆ่าที่แผ่กระจายออกมาจากหยางเฉิน
และความรู้สึกของพวกมันก็จะโจมตีอย่างโหดเหี้ยมต่อทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้ามัน
อย่างรวดเร็วไม่สามารถเห็นร่างกายของหยางเฉินได้อีก
คนแรกๆที่สามารถหลุดออกมาจากแม่น้ำลาวาและมาถึงเขาได้แต่ครวญครางด้วยความอาลัย
แต่อย่างไรพวกเขาก็ยังคงค้นหา หยางเฉินต่อทันทีอย่างไม่หยุด
เรื่องแปลกคือคนเหล่านั้นวิ่งไล่ ไปอย่างไรทิศทางโดยใช้ความรู้สึกว่าเป็นทิศทางที่หยางเฉินอยู่
“เอ๊ะ?”
ในมือของคนเหล่านั้นยังคงมีเข็มทิศที่บอกตำแหน่งของหยางเฉิน
ในทันทีเขารีบวิ่งไปยืนหลังคนที่ถือเข็มทิศที่อยู่ใกล้ที่สุด
คนนั้นไม่คาดคิดว่าจะมีใครเข้าประชิดตัวเขาได้ จึงตะโกนจาก ตรงนั้นว่า :
“พวกเราเห็นพ้องกันใช่ไหมว่ามันจะตกเป็นของคนแรกที่จับตัวมันได้? อยากทำอะไรกับมันดีหล่ะ?”
คำพูดนี้ยังไม่ทันได้ออกมาเข็มทิศในมือเขาก็ถูกคว้าไปให้กลายเป็นอดีตทันที
หลังจากที่เขาตกใจงงอยู่พักนึง เมื่อเขายังหาวิธี
เอามันกลับมาไม่ได้ก็ยอมจำนน
ไม่มีอะไรจะเอ่ยอีก เขารู้สึกได้ว่าคนคนนั้นมีพลังสูงมากและที่มากกว่านั้นเขาไม่เห็นด้วยกับข้อตกลงก่อนหน้านี้
เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าไม่ควรทำให้คนคนนี้โกรธในทุกกรณี
เว้นแต่ว่าเขาจะเป็นซากศพเดินได้
“นี่มันคืออะไรกัน?”
เขายกเข็มทิศที่อยู่ในมือขึ้น
ถามคนอื่นๆอย่างหยิ่งยะโส จากคนที่เขาเพิ่งเอาเข็มทิศมา
“เข็มทิศในมือผู้เยาว์สามารถแสดงตำแหน่งของกระเป๋าจัดเก็บได้”
คนที่อยู่ภายในลาวาตอบอย่างจริงใจ
“ถ้าหากท่านอาวุโสต้องการก็เอาไปเถอะ”
พอเขาพูดจบก็รู้สึกมีตาข่ายอยู่รอบตัวเริ่มขยับมัดแน่นขึ้น
เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ร่องรอยของความรุนแรงเริ่มผลักดันเขาขึ้น
ราวกับกำลังกลืนกินเขา
ดูเหมือนว่ามันจะสูบเลือดออก จากร่างกายเขา
เขาเริ่มกลัวอย่างรุนแรงและเริ่มตะโกนออกมา:
“โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยท่านอาวุโส!
โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย!”
คนที่ถือเข็มทิศอยู่ในมือสังเกตุว่าปลายเข็มทิศชี้ไปยังทิศทาง
ด้านหน้า เห็นแบบนี้เขาก็ยิ้มเย็นขึ้นมาโดยไม่เอ่ยอะไร
ตอนนี้คนที่อยู่ภายในเส้นสายนี้คิดว่าเขาหมดหนทางไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้
หลังจากนั้นเกิดเสียงดังสนั่นขึ้น แล้วคนที่อยู่ในตาข่ายก็กลายเป็นกองเลือด
ทุกอย่างถูกดูด กลืนเขาไปในตาข่ายขนาดใหญ่ กระเป๋าจัดเก็บและอาวุธ
วิเศษทั้งหมดที่เขามีลอยไปยังศูนย์กลางของตาข่ายอย่างพอดี
หลังจากที่หยางเฉินแยกตัวออกมาอย่างยากลำบากก็พบเงาของใครบางคน
คนพวกนี้นั้นเหมือนกาวที่ติดหนึบอย่างจงรักภักดีในการไล่ลาหยางเฉินไม่ว่าเขาจะหันไปทิศทางไหน
เหมือนว่าพวกเขาจะสามารถค้นพบการปรากฏตัวของเขาได้ทุกที่ที่เขาผ่าน โชคดีที่คนเหล่านี้ไม่เป็นปัญหากับเขาเหมือนกลุ่ม
คนตอนเริ่ม หยางเฉินสามารถหลบหนีจากพวกเขาได้เสมอ
ในไม่ช้าท่าทางของคนที่ปรากฏตัวในแม่น้ำลาวาก็เริ่มจับตามาที่หยางเฉินทันที
เข็มทิศในมือพวกนั้นก็อยู่ความสนใจในหยางเฉินเช่นกันหลังจากพิจารณามาสักพักหยางเฉินก็คิดว่าต้องมีวัตถุบางอย่างบนตัวเขาที่ช่วยให้คนพวกนี้สามารถค้นหาการปรากฏตัวของเขา
ผู้มีประสบการณ์มากอย่างหยางเฉินรีบตรวจดูอาวุธเวทตามตัวและเขาก็สรุปได้ในทันทีว่าต้องเป็นกระเป๋าจัดเก็บของเขาอย่างแน่นอน
กระเป๋าจัดเก็บของแต่ละนิกายทั้งหมดนั้นมีการสลักอักขระ
ยิ่งกว่านั้นยังมีชูเฮิงที่อยู่ในพระราชวังหยางบริสุทธิ์ หยางเฉิน
ไม่มีปัญหากับวิธีการที่คนเหล่านั้นไล่ลาเขาหรืออะไรที่อยู่ในเข็มทิศในมือพวกเขา
หยางเฉินห้อยกระเป๋าจัดเก็บไว้เพียงแค่เพื่อประดับร่างกาย
ส่วนของสำคัญทั้งหลายอยู่ในแหวนแห่งความสำเร็จ การขจัด ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องยากเพียงแค่เขานำกระเป๋าจัดเก็บไปใส่ไว้ในแหวนแห่งความสำเร็จ
คนที่ติดตามเขาในไม่ช้าก็รู้ว่าหยางเฉินหลบหนีไปอยู่ตรงศูนย์
กลางของแม่น้ำลาวา ในฐานะคนที่ค้นพบเส้นสายขนาดใหญ่นี้
เขาได้แต่ตบหน้าผากตัวเองด้วยความเสียใจ เขารู้ตั้งแต่แรก
แล้วว่าหยางเฉินตามหาเปลวไฟแก่นพิภพอยู่ และสถานที่ที่
น่าจะเป็นจุดศูนย์กลางมากที่สุดก็น่าจะเป็นบริเวณนี้ที่มีแสงสว่างมากที่สุดในทะเลสาบลาวา
นี่เป็นโจทย์ที่ง่ายมากแต่เขาก็ไม่
เอะใจคิดถึงมัน
ถ้าเขารู้ตัวเร็วกว่านี้ก็คงมาซุ่มรอไม่ให้กระต่ายตื่นตัว มันคงจะดีกว่านี้
กลุ่มคนเริ่มแบ่งออกไปหลายทิศทางรอบๆและเริ่มมุ่งตรงมายังทะเลสาบลาวา
คนในกลุ่มแรกๆก็รวมตัวอยู่ในนั้นด้วย
เพียงแค่การปรากฏตัวของผู้คนจำนวนมากมันไม่ง่ายเลยที่จะสังหารทั้งหมด
เขายังติดอยู่ในทางหนึ่ง
เหล่าคนที่อยู่บนทะเลสาบลาวายังคงตรวจสอบเข็มทิศของตนด้วยความสงบและอดทนต่อความร้อนจากการเผาไหม้
หยางเฉินเห็นความเคลื่อนไหวตรงศูนย์กลางทะเลสาบลาวา
อย่างชัดเจน พื้นที่ตรงนั้นเป็นพื้นที่ที่ร้อนและน่ากลัวที่สุด
แม้แต่คนที่มาถึงแล้วก็ยังคงไม่กล้าที่จะประมาท
ทักษะอัคคีหลบหนีสามารถทำให้พวกเขาเคลื่อนที่ผ่านลาวาที่ไร้สิ่งกีดขว้าง
ได้ตลอดเวลา แต่ไม่ใช่ในกรณีนี้ ที่นี่พวกเขาต้องการสิ่งป้องกัน ร่างกายที่พิเศษ
เกราะเวท หรือ เคล็ดวิชาอาคมที่พวกเขาจะใช้ช่วยเหลือตัวเองได้
พวกเขาไม่รู้ว่าในจุดนี้หยางเฉินนั้นจะรู้ตัวหรือไม่
แต่ทุกคนมองไปยังเข็มที่ชี้ของเข็มทิศและที่เริ่มเคลื่อนไหวไปยังทิศทางนั้น
จู่ๆปลายเข็มทิศก็เริ่มสั่นและหมุนไปรอบๆในทุกทิศทาง
ไม่สามารถชี้จุดใดจุดหนึ่งได้ ทุกคนตกตะลึงอย่างสิ้นเชิง
อย่างนี้หมายความว่าอย่างไร? บางคนที่รับมือกับเหตุการณ์
นี้ได้อย่างรวดเร็ว นั่นหมายความว่าการปรากฏตัวของกระเป๋า จัดเก็บได้หายไป
อย่างงี้หมายความว่าหยางเฉินผู้เยาว์ที่
ต้องการจะดูดซับเปลวไฟแก่นพิภพทั้งที่ยังอยู่ในขั้นรวบรวมลมปราณไม่รู้จักความยิ่งใหญ่ของสวรรค์และโลกได้ถูกเผาไหม้ตายไปแล้วหรือ?
โดยทั่วไปนักบ่มเพาะจะถือกระเป๋าจัดเก็บไว้เพื่อเก็บสมบัติ
ของตนไว้ใน เมื่อการปรากฏตัวของกระเป๋าจัดเก็บนั้นหายไป
ก็หมายความว่ากระเป๋าจัดเก็บนั้นถูกทำลายไปแล้ว
ในกรณีนี้
มันหมายความได้อย่างเดียวว่าหยางเฉินถูกสังหารโดยลาวาใต้พิภพ
ความกระตือรือร้นของคนกลุ่มนั้นก็ลดลงในทันที
ถ้าพวกเขารู้ว่ามันจะจบลงแบบนี้จะไม่ทำให้หยางเฉินกลัว
แต่จะปล่อยให้เขาค่อยๆพบความยากลำบากในทะเลสาบ ลาวา
เมื่อเขากลับมาพร้อมความล้มเหลวพวกเขาค่อยล้อมจับทีหลังได้ทุกเมื่อ
แต่ตอนนี้เป็นเพราะพวกเขาทำให้หยางเฉินตื่นตะหนกและเลือกทางเดินผิดนำพาตนเองไปสู่กระแสน้ำวน
แห่งความตาย
ตั้งแต่เรื่องนี้เกิดขึ้นมันคือการสูญเสียอย่างแท้จริง
ทุกอย่างที่เป็นของหยางเฉินได้กลายเป็นกองลาวา
ยังถือว่าโชคดี
ถึงแม้ว่าหยางเฉินจะตายแล้วแต่พวกเขาก็บรรลุเป้าหมายที่ได้รับมาจากสหายผู้แสนดีอย่างน้อยการเดินทาง
ครั้งนี้โดยรวมก็ไม่สูญเปล่า แม้จะยังมีความโชคร้ายอยู่บ้าง
นักบ่มเพาะทุกคนที่อยู่ที่นี่อดทนรออย่างใจเย็นอยู่ริมทะเลสาบใหญ่
มือหนึ่งสังหารสัตว์อสูรจิตวิญญาณฃ
อีกด้านหนึ่งจับตาสังเกตความเคลื่อนไหวใต้ทะเลสาบ
หลังจากผ่านไปหลายวันพวกเขาไม่พบสิ่งผิดปกติก็เริ่มจากไปทีละคน
ในสุดท้ายก็เหลือแต่คนที่เป็นเจ้าของตะข่ายขนาดใหญ่ที่ยังอยู่
“ฮึ กลุ่มคนโง่...
คนที่สามารถเป็นผู้เชี่ยวชาญปรุงยาเม็ดขั้นที่
สองในระหว่างที่ยังอยู่ในระดับรวบรวมลมปราณเขาจะไม่รู้จัก
ธรรมชาติของไฟได้อย่างไร”
คนที่เหลืออยู่หาที่หลบซ่อนที่เหมาะสมกับตัวเองและคอยจ้องมองการกระทำของคนอื่นๆ
และรู้สึกรังเกียจพวกเขาอยู่ในใจ
“เป็นไปได้อย่างไรที่นักบ่มเพาะทั้งหลายกลายเป็นคนโง่งม? ชั้นเชิงการเบียงเบนแค่นี้ก็สามารถหลอกคนเหล่านี้ได้?”
ผู้เชี่ยวชาญตอนนี้หัวเราะเยาะ
ไม่ได้ตระหนักว่าเหล่าคน ที่จากไปก็หัวเราะเยาะเขาจากที่ห่างไกลเหมือนกัน
“หลบซ่อนใกล้กับจุดที่เกิดความเสียหาย
หยางเฉินไม่ใช่คนโง่ คิดจริงๆหรือว่าเขาจะตายง่ายไปไหม?”
ใครๆก็รู้ว่าหยางเฉินกำลังทำอะไรอยู่จากคำพูดของเขาเมื่อเร็วๆนี้
เกี่ยวกับการเป็นผู้เชี่ยวชาญปรุงยาเม็ดขั้นที่สามหลังออกจาก
หลุมดักเซียนและรวบรวมเปลวไฟแก่นพิภพ
เหตุผลที่เป็นไปได้ที่สุดคือที่นี่เป็นที่ตั้งของเปลวไฟแก่นพิภพ
ตราบเท่าที่พวกเขาสามารถครอบครองเปลวไฟแก่นพิภพได้ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับการไม่ปรากฏตัวของหยางเฉิน
ถ้าหากเขาต้องการเปลวไฟนี่เป็นทางเดียวที่เป็นไปได้
ทุกคนต่างมีความคิดเห็นของตัวเองแต่ไม่มีใครคาดคิดว่าใน
เวลาเดียวกันนี้หยางเฉินก็หัวเราะพวกเขาเหมือนกันจากในบริเวณอื่น
เมื่อตอนที่เขาเข้ามาใกล้ศูนย์กลางของทะเลสาบลาวาขนาดใหญ่เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสามารถทนได้ระหว่างนั้นเขาก็ยัดกระเป๋าจัดเก็บเข้าไปในแหวนแห่งความสำเร็จและหลบหนีไปอีกทาง
การติดตามกระเป๋าจัดเก็บทำให้คนเหล่านั้นหลงทิศทางใน
ทันทีและได้แต่รอคอยโอกาสที่จะจับเขาจากอีกด้านของแม่น้ำลาวาเท่านั้น
หลังจากนี้ทุกที่มีโอกาสสูงที่เปลวไฟแก่นพิภพจะปรากฏตัวขึ้น
ตราบเท่าที่หยางเฉินสามารถได้ครอบครองเปลวไฟแก่นพิภพ เขาก็จะปรากฏตัวในบริเวณใกล้เคียง
เมื่อหยางเฉินจ้องมองไปยังกลุ่มคนโง่งมที่วางแผนจับตัว
เขาอยู่
เขาก็เริ่มหัวเราะจนท้องโย้ ถ้าหากเขามีพละกำลังพอ
เขาจะไปปรากฏตัวตรงหน้าคนเหล่านั้นแล้วหัวเราะถาม พวกเขาว่า :
“ใครบอกว่าเปลวไฟแก่นพิภพอยู่ตรงนี้
แน่ใจหรอ?”
ถูกต้อง!
เปลวไฟแก่นพิภพไม่ได้อยู่ที่ศูนย์กลางของทะเลสาบลาวาอย่างที่ทุกคนคิด
เป็นธรรมดาที่คนเหล่านี้จะคิดว่าบริเวณที่ที่สว่างที่สุดมีโอกาสที่สุดที่จะเป็นที่ตั้งของเปลวไฟแก่นพิภพ
แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่เช่นนั้นเลย
เปลวไฟแก่นพิภพที่สี่นั้นเป็นไฟหยิน
มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับ ไฟสุริยะแท้จริงที่เผาไหม้อย่างรุนแรง ลักษณะของเปลวไฟ
ก่นพิภพนั้นเป็นการเผาไหม้อย่างต่อเนื่องแบบกลางๆ
ดังนั้นบริเวณที่มันจะอยู่นั้นไม่ใช่พื้นที่ลาวาเปิด มันเป็นทางกลับกันทั้งหมด
ดังนั้นในเวลานี้หยางเฉินจึงเดินไปตามลำธารลาวาเล็กๆ
ของแม่น้ำ ลาวา โดยปกติถ้าเดินตรงไปตามลำธารสุดปลายทางลาวาจะ
เริ่มเย็นและจับตัวเป็นหิน
แต่ลำธารสายนี้ต่างออกไปลาวาเหล่านี้เมื่อเทียบกันไม่ได้มีอุณหภูมิสูงเหมือนกับบริเวณศูนย์กลางลาวาแต่มันก็ยังคงเหลวอยู่มาก
หยางเฉินใช้เวลาอย่างมีค่าในการค้นพบพื้นที่นี้
สาเหตุที่ทำให้ลาวาไม่เเข็งตัวและยังคงไหลเวียนอยู่ก็เป็น
เพราะเปลวไฟแก่นพิภพอยู่ข้างใต้
โดนหลอกทั้งยวง เสียดายพลัวสู้ไม่ได้ ไม่งั้นพี่ท่านคงมีวิธีแก้เผ็ดได้เจ็บแสบกว่านี้
ตอบลบ