ในช่วงเวลาพลบค่ำ
ฮั่นหลางได้ออกมาจากโรงพยาบาล เขาขึ้นรถไฟใต้ดินกลับไปที่เมือง ก่อนที่จะลงจากสถานีรถไฟใต้ดินที่ย่านธุรกิจแสนแออัด
ซึ่งเป็นสถานที่ที่เคยเกิดการสู้รบในครั้งล่าสุด เขามาที่นี่เพื่อไปพบกับเฉินจ่งและหลวงจีนตามนัด
วันนี้ก็เจ็ดวันแล้วหลังจากที่เอสเปอร์ 7
คนและเหล่าประชาชนได้ตายไปในสมรภูมิรบ วันนี้ถือเป็นวันทำพิธีระลึกสำหรับพวกเขา
ผู้คนจำนวนมากเดินออกมาจากสถานีรถไฟใต้ดิน
ฮั่นหลางเดินตามฝูงชนก่อนที่จะออกจากสถานีที่ทางออก
สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าบนท้องถนน มันทำให้ฮั่นหลางรู้สึกตกใจเมื่อได้เห็น
ในช่วงที่ท้องฟ้ายังไม่มืดสนิท
หลายๆคนได้จุดเทียนขึ้น เทียนสีขาวถูกวางไว้เต็มสองข้างทางของถนน แม้กระทั่งที่บานหน้าต่างของตึกสูงในสถานที่นี้ก็มีแสงของเปลวเทียนที่ถูกจุดขึ้น
ท้องฟ้าค่อยๆมืดลง
ราวกับผู้คนได้นัดเตรียมกันเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ไม่มีใครเปิดไฟใดๆ
มีเพียงแสงสลัวของเปลวเทียนที่เรียงรายอยู่ทั่วท้องถนน
บรรยากาศเต็มไปด้วยความเศร้าหมองและความอาลัย
คืนนี้เมืองทั้งเมืองสว่างไสวด้วยแสงจากเปลวเทียน
เด็กหลายคนถือโคมไฟที่มีแท่งเทียนตั้งอยู่ภายใน
พวกเด็กๆแกว่งโคมไฟไปมาทำให้เกิดแสงสลัวที่สั่นไหว
คุณแม่ที่ดูยังสาวอยู่ได้พาลูกสาวของเธอเดินผ่านฮั่นหลางไป
ในขณะที่เด็กหญิงตัวน้อยใช้มือเล็กๆของเธอถือโคมไฟ ฮั่นหลางสังเกตุเห็นว่าแท่งเทียนภายในโคมไฟนั้นมีขนาดเล็กมาก
“แม่จ๋า
เอสเปอร์คืออะไรเหรอ?” เด็กน้อยเอ่ยถามมารดาของเธอด้วยเสียงเล็กๆ
“พวกเขาเป็นกลุ่มนักรบที่แข็งแกร่งมาก”
มารดาของเธอตอบออกไปพร้อมด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น “พวกเขาเข้าต่อสู้เพื่อปกป้องโลกและพวกเรา”
เด็กน้อยนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนที่จะถามออกมาว่า
“พวกเขาจะปกป้องหนูด้วยไหม?”
“ใช่จ๊ะ”
“พวกเขาจะปกป้องแม่ไหม?”
“ใช่จ๊ะ”
“พวกเขาจะปกป้องคุณปู่ไหม?”
“ใช่จ๊ะ”
“พวกเขาจะปกป้องคุณยายไหม?”
“ใช่จ๊ะ
เอสเปอร์จะปกป้องครอบครัวของเราและทุกคนที่โรงเรียนของหนู
นอกจากนี้ยังช่วยปกป้องคุณป้าและคุณลุงที่อยู่บนถนน พวกเขาจะปกป้องทุกคน” มารดาของเธอกล่าวอธิบายให้กับเด็กน้อยฟัง
โอ้~
ดูเหมือนว่าเด็กสาวตัวน้อยจะเข้าใจในบางอย่าง
เธอพยักหน้าถี่รัว และพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันรื่นรมณ์ “หนูเข้าใจแล้ว เอสเปอร์เป็นคนดี!”
ฮั่นหลางยิ้มออกมาจางๆ
และเร่งเดินผ่านเด็กน้อยน่ารักผู้นี้ไป
บางครั้งความรู้สึกของผู้คนที่มีต่อเอสเปอร์
ก็ไม่ได้เป็นเช่นในวันนี้ มีข่าวเกี่ยวกับเอสเปอร์ที่ใช้พลังของตนรังแกคนอ่อนแอและก่อความวุ่นวายอยู่เสมอ
แต่ผู้คนทั้งหมดเข้าใจจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ว่า
ในกลุ่มของเอสเปอร์และคนธรรมดาต่างก็มีคนชั่วร้ายมากมายที่อยู่ท่ามกลางพวกเขาและก็มีอีกไม่น้อยที่เป็นคนดี
นี้คือสิ่งปกติที่โลกเป็น
คนดีมักจะใช้ชีวิตอย่างปกติธรรมดาก่อนที่พวกเขาจะออกมาต่อสู้กับความชั่วร้าย
เช่นเดียวกับเพงซูหลิน ชายหนุ่มที่แบกรูปปั้นทองสัมฤทธิ์กระโดดลงมาจากอาคารสูง เสียสละชีวิตตนเองเพื่อทำลายเรือรบของเหล่าไรเดอร์และปกป้องพลเรือน
ตอนนี้เพงซูหลินได้กลายเป็นวีรบุรุษที่รู้จักกันในชื่อ
นักรบวัวสัมฤทธิ์ คำพูดสุดท้ายของเขาที่เอ่ยว่า “แม้ว่าโลกจะอ่อนแออย่างไร
มันก็ยังเป็นบ้านของฉันอยู่!” ตอนนี้มันเป็นคำพูดที่ทุกคนรู้จักเป็นอย่างดี
ก่อนที่เพงซูหลินจะกลายมาเป็นวีรบุรุษ
เขาเป็นเพียงครูสอนพละที่สุขุมและขยันขันแข็ง
เขาไม่เคยโม้เกี่ยวกับสถานะของตนในฐานะเอสเปอร์และใช้ชีวิตอยู่อย่างปกติ
วีรบุรุษที่แท้จริงจะลุกขึ้นสู้เมื่อโลกต้องการ
แต่ในเวลาปกติจะไม่มีใครรู้จักพวกเขา
ในฐานะที่เป็นผู้ที่ได้รับประสบการณ์ในการต่อสู้เป็นครั้งแรก
ฮั่นหลางได้เห็นด้วยตาทั้งสองว่าเอสเปอร์เหล่านี้ซึ่งมักจะสุภาพน้อบน้อม พวกเขาไม่สนใจต่อความกลัวต่างพร้อมใจกันวิ่งตรงไปยังสนามรบ
ภายในหนึ่งนาทีสมรภูมิรบมีเอสเปอร์มารวมตัวกันมากกว่า 40 คน และอีกสามนาทีมีเอสเปอร์มากกว่า 200
คนได้มาถึงสมรภูมิรบ พวกเขาไม่ได้เป็นทหารแต่เมื่อเกิดภัยพวกเขาพร้อมที่จะพุ่งตรงมาด้วยความเร็วสูงสุดของพวกเขา
ความเร็วนั้นเร็วยิ่งกว่ากองกำลังทหาร และความกล้าหาญของพวกเขานั้นก็มีมากยิ่งกว่า!
ผู้คนต่างหลั่งไหลเข้ามารวมตัวกันมากยิ่งขึ้น
แม้แสงจากเปลวเทียนจะเป็นเพียงแสงที่หริบหรี่ แต่เมื่อพวกมันมารวมตัวกัน แสงสว่างที่เล็กเล็กน้อยพวกนี้ก็ยังสามารถส่องสว่างออกไปในความมืดมิดได้
ฮั่นหลางหยุดยืนอยู่ที่หน้าต่างของร้านค้าแห่งหนึ่ง
มองไปที่จอทีวีขนาดใหญ่กำลังออกอากาศเพื่อทำพิธีรำลึกวีรบุรุษทั่วโลกจากปักกิ่ง
เซี้ยงไฮ้ และกว่างโจว เริ่มจากเมืองต่างๆที่อยู่ละแวกเอเชีย เมื่อท้องฟ้ามืดลง
แสงเทียนที่เป็นดั่งความหวังได้ถูกจุดให้สว่างไสวขึ้นมา
โซล ไทเป โตเกียว แสงเทียนข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกอันกว้างใหญ่จนไปถึงอเมริกา
และจากมหาสมุทรแอตแลนติกไปยังยุโรป
ฮั่นหลางรู้สึกว่ามีคนมายืนอยู่ด้านหลังของตน
เขาหันกลับไปและเห็นหลวงจีนและเฉินจ่งยืนอยู่ เขาไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เฉินจ่งไปโกนผมทรงหางม้าของเขา
ในตอนนี้หัวของเขานั้นล้านเลี่ยน ในขณะที่หลวงจีนแบกเป้ยักษ์ไว้ที่ด้านหลัง
สองสหายล้านเลี่ยนยืนอยู่ด้วยกันช่างเหมือนเจ้าอาวาสและพระลูกศิษย์จริงๆ
“ผมของนาย…”
เฉินจ่งลูบศีรษะของเขาซึ่งบัดนี้ล้านเลี่ยนไร้เส้นผมแล้วกล่าวออกมาพร้อมด้วยรอยยิ้มว่า
“โกนทิ้ง ทุกวันเพียงเพื่อจัดทรงหางม้านั้น ฉันจะต้องเสียเวลาเป็นชั่วโมง
หากตัดมันทิ้ง ฉันจะได้มีเวลาที่จะสามารถกินอาหารได้เพิ่มขึ้นสักสองสามปอนด์ มันน่าจะดีกว่า”
“แล้วหูฟังของนายล่ะ?”
“ทิ้งไปแล้ว”
“เสื้อเบสบอล?”
“เฮ้
ทำไมนายทำตัวน่ารำคาญจริงๆ?” เฉินจ่งส่ายไขมันบนร่างของเขาและพูดว่า
“ฉันจะบอกว่า
ที่มาพบพวกนายในคืนนี้ฉันวางแผนที่ขังตัวเองจากโลกภายนอกและมุ่งเน้นไปที่การฝึกฝนเพื่อที่จะอ้วนขึ้นเพียงอย่างเดียว
ฉันจะเตรียมทุกอย่างให้พร้อมก่อนจะเริ่มการทดสอบช่วงที่สอง
พวกนายไม่ต้องโทรหาฉันเพราะฉันโยนโทรศัพท์ทิ้งไปแล้วเช่นกัน”
หลวงจีนยักไหล่ของเขา “บังเอิญจริงๆ ฉันก็จะมาบอกพวกนายเหมือนกัน
คืนนี้ฉันจะกลับไปยังภูเขาของฉันเพื่อฝึกฝนและฉันมาที่นี่ในคืนนี้เพื่อบอกลา ในช่วงแรกของการทดสอบ
การทดสอบแรงกดดันไม่ใช่ความถนัดของฉัน แต่กับการต่อสู้นี่มันเข้าทางของฉัน
ดังนั้นฉันจะใช้ประโยชน์จากช่วงเวลานี้เพื่อพัฒนาตนเองให้เพิ่มมากขึ้น”
ฮั่นหลางพยักหน้าเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ใช่คนเดียวที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงจากการต่อสู้ในครั้งนี้ หลวงจีนและเฉินจ่งก็กลายเป็นคนที่มีความพากเพียรมากขึ้นกว่าเดิม
“มันช่างบังเอิญจริงๆ”
ฮั่นหลางนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น “ก่อนหน้าที่ฉันไม่รู้ว่าตนเองมีพลัง
ฉันคิดเสมอว่า หากท้องฟ้ามันถล่มลงมาคนที่แข็งแกร่งก็คงจะจัดการได้ มันไม่ได้มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับฉัน
และในที่สุดฉันก็ตระหนักได้ว่าฉันเป็นคนที่มีความสามารถที่แข็งแกร่งผู้นั้น
และถ้าท้องฟ้ามันถล่มลงมาฉันจะต้องใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันมีเพื่อหยุดยั้งมัน”
ฮั่นหลางยังพูดต่อไปอีกว่า
“อันที่จริงฉันมาที่นี่เพื่อบอกลา ในอีกสองวันหลังจากนี้ฉันจะไปยังศูนย์บริหารอาณาจักรสาปสูญ
พวกเขามีสถานที่ในการฝึกฝนสำหรับฉันและฉันจะขังตัวเองจากโลกภายนอกเช่นกัน”
เฉินจ่งไม่ได้พูดอะไรต่อ
ปีหน้าจะเป็นปีที่มีการจัดการชุมนุมแห่งกาแลคซีและอาจเป็นไปได้ว่าโลกจะกลายเป็นอาณานิคมของดาวเคราะห์ดวงอื่น
แม้ว่าโลกอาจมีโชคพอที่จะไม่ตกเป็นอาณานิคมของดาวดวงอื่น
แต่ก็ยังคงมีเหล่าไรเดอร์จำนวนมากที่เฝ้ามองโลกด้วยเจตนาที่ชั่วร้ายและเป็นภัยต่อโลก
นี่คือยุคกาแลคซี มันเป็นยุคที่ไร้ความปราณีที่มีกฏแห่งความอยู่รอด
ในฐานะกองทัพเดียวของโลก เอสเปอร์กำลังเผชิญหน้ากับความกดดันที่หนักหนาสาหัส
หลวงจีนถามขึ้นมาว่า “ศูนย์บริหารอาณาจักรสาปสูญ? หลี่มู่อวิ๋นและชูหลี่ ต้องการให้นายเป็นหนึ่งในสมาชิกของหน่วยของพวกเขาเช่นกัน”
ฮั่นหลางตอบว่า “แล้วพวกเขามัวทำอะไรอยู่ก่อนหน้านี้.... ฉันได้ยินมาว่ามีหลายคนในกลุ่มเอสเปอร์กำลังจะเข้าร่วมศูนย์บริหารและองค์กรการต่อสู้อื่นๆดังนั้นประธานชูหลี่ไม่น่าที่จะขาดกำลังคน”
เฉินจ่งพยักหน้า “มันก็ถูก
ก่อนหน้านั้น มีคลาร์กที่จัดการทุกอย่างแทนพวกเรา
เอสเปอร์จึงมีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ที่ต้องการ แต่ไม่ใช่ในตอนนี้ที่ไม่มีคลาร์กอยู่
เราต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ ถ้าฉันไม่สามารถผ่านการทดสอบแรงกดดันได้
ฉันก็จะตรงไปสมัครเข้าหน่วยรบทางทะเล”
ทันทีที่เขากล่าวจบประโยค
นาฬิกาบนข้อมือของเขาก็ดังขึ้น
เฉินจ่งวางกระเป๋าเป้สะพายหลังของเขาไว้บนพื้นและหยิบเอาแฮมที่มีน้ำหนักอย่างน้อยสองปอนด์ออกมา
เขาเปิดปากกว้างและเริ่มกลืนกินก้อนเนื้อนั้น ก้อนต่อก้อน
หลังจากที่เฉินจ่งเห็นว่าทั้งฮั่นหลางและหลวงจีนมองเขา
เฉินจ่งได้โยนรูปภาพของตนไปให้พวกฮั่นหลางดู
ในรูปภาพนั้นเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลาร่างกายเต็มไปด้วยมัดกล้าม
นอกจากนั้นยังมีหางม้าเล็กๆบนหัวของเขา พอเห็นแล้วมันยากมากที่จะบอกว่านี่คือรูปลักษณ์ของเฉินจ่งในก่อนหน้านี้
เฉินจ่ง
นั่งอยู่ที่พื้นและเร่งยัดเนื้อแฮมชิ้นยักษ์เข้าไปในกระเพาะอาหารของเขา
เขาดื่มน้ำสองอึกและเริ่มหยิบแฮมชิ้นที่สองออกมา
ฮั่นหลางเห็นว่าคอของเฉินจ่งเปลี่ยนเป็นสีแดงจากการกิน
ราวกับว่าเขาจะสำรอกออกมาได้ตลอดเวลา แต่เขาก็ยังคงกลื่นกินเนื้อลงไปเรื่อยๆ
“ฉันต้องกิน”
“ฉันต้องกินตลอดเวลา”
“มันไม่มีทางอื่นในเมื่อฉันเป็นเอสเปอร์
ประเภทแปลงพลัง หากไร้ซึ่งไขมันแล้วฉันก็ไม่มีพลังต่อสู้แล้วฉันจะไปปกป้องใครได้?”
“ฉันจะกินจนกว่าจะกลายเป็นหมู
แล้วจะได้สัมผัสกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นอีกครั้ง”
“ถ้าพวกนายอยากจะหัวเราะ
ก็หัวเราะออกมาเลยฉันไม่สนใจ”
ฮั่นหลางและหลวงจีนไม่ได้หัวเราะเยาะเขา
ตั้งแต่ที่ได้เห็นรูปภาพนั้นพวกเขาก็นับถือเฉินจ่งมากขึ้น
สำหรับคนอื่นๆ
อาหารอร่อยที่พวกเขาได้ลิ้มรสอาจถือว่าเป็นความเพลิดเพลิน
แต่กับเฉินจ่งมันเป็นความทุกข์ทรมานแสนบริสุทธิ์
โลกที่ย้อมไปด้วยโลหิตนี้
ได้เปลี่ยนเทพบุตรรูปงามกลายเป็นเฉินจ่งในตอนนี้
ฮั่นหลางถอนหายใจเบาๆออกมา
เขาเงยหน้าขึ้นและเห็นแสงเทียนสว่างไสวไร้ที่สิ้นสุดและทุกคนก็อธิษฐานอยู่ภายใต้แสงของเปลวเทียนนั้น
มันช่างงดงามหากมองด้วยสายตา
และมันก็เป็นแรงกดดันที่สุดจะทานทน
ขอสดุดีวีรชนเอสเปอร์ทุกนายที่เสียสละตัวเองเพื่อปกป้องโลก!!
ตอบลบเขียนได้ซึ่งงมากครับ
ตอบลบขอบคุณครับ
ตอบลบทำไมเฉินจ่ง ไม่หาไขมันภายนอกแทนละ
ตอบลบ