เลือกสีพื้นเพื่ออ่านบทความ >>> พื้นขาว พื้นดำ พื้นครีม

วันศุกร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2560

GDN 024 ภายใต้เปลวเทียนที่สว่างไสว


ในช่วงเวลาพลบค่ำ ฮั่นหลางได้ออกมาจากโรงพยาบาล เขาขึ้นรถไฟใต้ดินกลับไปที่เมือง ก่อนที่จะลงจากสถานีรถไฟใต้ดินที่ย่านธุรกิจแสนแออัด ซึ่งเป็นสถานที่ที่เคยเกิดการสู้รบในครั้งล่าสุด เขามาที่นี่เพื่อไปพบกับเฉินจ่งและหลวงจีนตามนัด วันนี้ก็เจ็ดวันแล้วหลังจากที่เอสเปอร์ 7 คนและเหล่าประชาชนได้ตายไปในสมรภูมิรบ วันนี้ถือเป็นวันทำพิธีระลึกสำหรับพวกเขา

ผู้คนจำนวนมากเดินออกมาจากสถานีรถไฟใต้ดิน ฮั่นหลางเดินตามฝูงชนก่อนที่จะออกจากสถานีที่ทางออก สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าบนท้องถนน มันทำให้ฮั่นหลางรู้สึกตกใจเมื่อได้เห็น

ในช่วงที่ท้องฟ้ายังไม่มืดสนิท หลายๆคนได้จุดเทียนขึ้น เทียนสีขาวถูกวางไว้เต็มสองข้างทางของถนน แม้กระทั่งที่บานหน้าต่างของตึกสูงในสถานที่นี้ก็มีแสงของเปลวเทียนที่ถูกจุดขึ้น

ท้องฟ้าค่อยๆมืดลง ราวกับผู้คนได้นัดเตรียมกันเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ไม่มีใครเปิดไฟใดๆ มีเพียงแสงสลัวของเปลวเทียนที่เรียงรายอยู่ทั่วท้องถนน บรรยากาศเต็มไปด้วยความเศร้าหมองและความอาลัย

คืนนี้เมืองทั้งเมืองสว่างไสวด้วยแสงจากเปลวเทียน เด็กหลายคนถือโคมไฟที่มีแท่งเทียนตั้งอยู่ภายใน พวกเด็กๆแกว่งโคมไฟไปมาทำให้เกิดแสงสลัวที่สั่นไหว

คุณแม่ที่ดูยังสาวอยู่ได้พาลูกสาวของเธอเดินผ่านฮั่นหลางไป ในขณะที่เด็กหญิงตัวน้อยใช้มือเล็กๆของเธอถือโคมไฟ ฮั่นหลางสังเกตุเห็นว่าแท่งเทียนภายในโคมไฟนั้นมีขนาดเล็กมาก

แม่จ๋า เอสเปอร์คืออะไรเหรอ?” เด็กน้อยเอ่ยถามมารดาของเธอด้วยเสียงเล็กๆ

พวกเขาเป็นกลุ่มนักรบที่แข็งแกร่งมากมารดาของเธอตอบออกไปพร้อมด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น พวกเขาเข้าต่อสู้เพื่อปกป้องโลกและพวกเรา

เด็กน้อยนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนที่จะถามออกมาว่า พวกเขาจะปกป้องหนูด้วยไหม?”

ใช่จ๊ะ

พวกเขาจะปกป้องแม่ไหม?”

ใช่จ๊ะ

พวกเขาจะปกป้องคุณปู่ไหม?”

ใช่จ๊ะ

พวกเขาจะปกป้องคุณยายไหม?”

ใช่จ๊ะ เอสเปอร์จะปกป้องครอบครัวของเราและทุกคนที่โรงเรียนของหนู นอกจากนี้ยังช่วยปกป้องคุณป้าและคุณลุงที่อยู่บนถนน พวกเขาจะปกป้องทุกคนมารดาของเธอกล่าวอธิบายให้กับเด็กน้อยฟัง

โอ้~

ดูเหมือนว่าเด็กสาวตัวน้อยจะเข้าใจในบางอย่าง เธอพยักหน้าถี่รัว และพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันรื่นรมณ์ หนูเข้าใจแล้ว เอสเปอร์เป็นคนดี!

ฮั่นหลางยิ้มออกมาจางๆ และเร่งเดินผ่านเด็กน้อยน่ารักผู้นี้ไป

บางครั้งความรู้สึกของผู้คนที่มีต่อเอสเปอร์ ก็ไม่ได้เป็นเช่นในวันนี้ มีข่าวเกี่ยวกับเอสเปอร์ที่ใช้พลังของตนรังแกคนอ่อนแอและก่อความวุ่นวายอยู่เสมอ

แต่ผู้คนทั้งหมดเข้าใจจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ว่า ในกลุ่มของเอสเปอร์และคนธรรมดาต่างก็มีคนชั่วร้ายมากมายที่อยู่ท่ามกลางพวกเขาและก็มีอีกไม่น้อยที่เป็นคนดี

นี้คือสิ่งปกติที่โลกเป็น คนดีมักจะใช้ชีวิตอย่างปกติธรรมดาก่อนที่พวกเขาจะออกมาต่อสู้กับความชั่วร้าย เช่นเดียวกับเพงซูหลิน ชายหนุ่มที่แบกรูปปั้นทองสัมฤทธิ์กระโดดลงมาจากอาคารสูง เสียสละชีวิตตนเองเพื่อทำลายเรือรบของเหล่าไรเดอร์และปกป้องพลเรือน

ตอนนี้เพงซูหลินได้กลายเป็นวีรบุรุษที่รู้จักกันในชื่อ นักรบวัวสัมฤทธิ์ คำพูดสุดท้ายของเขาที่เอ่ยว่า แม้ว่าโลกจะอ่อนแออย่างไร มันก็ยังเป็นบ้านของฉันอยู่!ตอนนี้มันเป็นคำพูดที่ทุกคนรู้จักเป็นอย่างดี

ก่อนที่เพงซูหลินจะกลายมาเป็นวีรบุรุษ เขาเป็นเพียงครูสอนพละที่สุขุมและขยันขันแข็ง เขาไม่เคยโม้เกี่ยวกับสถานะของตนในฐานะเอสเปอร์และใช้ชีวิตอยู่อย่างปกติ

วีรบุรุษที่แท้จริงจะลุกขึ้นสู้เมื่อโลกต้องการ แต่ในเวลาปกติจะไม่มีใครรู้จักพวกเขา

ในฐานะที่เป็นผู้ที่ได้รับประสบการณ์ในการต่อสู้เป็นครั้งแรก ฮั่นหลางได้เห็นด้วยตาทั้งสองว่าเอสเปอร์เหล่านี้ซึ่งมักจะสุภาพน้อบน้อม พวกเขาไม่สนใจต่อความกลัวต่างพร้อมใจกันวิ่งตรงไปยังสนามรบ ภายในหนึ่งนาทีสมรภูมิรบมีเอสเปอร์มารวมตัวกันมากกว่า 40 คน และอีกสามนาทีมีเอสเปอร์มากกว่า 200 คนได้มาถึงสมรภูมิรบ พวกเขาไม่ได้เป็นทหารแต่เมื่อเกิดภัยพวกเขาพร้อมที่จะพุ่งตรงมาด้วยความเร็วสูงสุดของพวกเขา ความเร็วนั้นเร็วยิ่งกว่ากองกำลังทหาร และความกล้าหาญของพวกเขานั้นก็มีมากยิ่งกว่า!

ผู้คนต่างหลั่งไหลเข้ามารวมตัวกันมากยิ่งขึ้น แม้แสงจากเปลวเทียนจะเป็นเพียงแสงที่หริบหรี่ แต่เมื่อพวกมันมารวมตัวกัน แสงสว่างที่เล็กเล็กน้อยพวกนี้ก็ยังสามารถส่องสว่างออกไปในความมืดมิดได้

ฮั่นหลางหยุดยืนอยู่ที่หน้าต่างของร้านค้าแห่งหนึ่ง มองไปที่จอทีวีขนาดใหญ่กำลังออกอากาศเพื่อทำพิธีรำลึกวีรบุรุษทั่วโลกจากปักกิ่ง เซี้ยงไฮ้ และกว่างโจว เริ่มจากเมืองต่างๆที่อยู่ละแวกเอเชีย เมื่อท้องฟ้ามืดลง แสงเทียนที่เป็นดั่งความหวังได้ถูกจุดให้สว่างไสวขึ้นมา

โซล ไทเป โตเกียว แสงเทียนข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกอันกว้างใหญ่จนไปถึงอเมริกา และจากมหาสมุทรแอตแลนติกไปยังยุโรป

ฮั่นหลางรู้สึกว่ามีคนมายืนอยู่ด้านหลังของตน เขาหันกลับไปและเห็นหลวงจีนและเฉินจ่งยืนอยู่ เขาไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เฉินจ่งไปโกนผมทรงหางม้าของเขา ในตอนนี้หัวของเขานั้นล้านเลี่ยน ในขณะที่หลวงจีนแบกเป้ยักษ์ไว้ที่ด้านหลัง สองสหายล้านเลี่ยนยืนอยู่ด้วยกันช่างเหมือนเจ้าอาวาสและพระลูกศิษย์จริงๆ

ผมของนาย…”

เฉินจ่งลูบศีรษะของเขาซึ่งบัดนี้ล้านเลี่ยนไร้เส้นผมแล้วกล่าวออกมาพร้อมด้วยรอยยิ้มว่า โกนทิ้ง ทุกวันเพียงเพื่อจัดทรงหางม้านั้น ฉันจะต้องเสียเวลาเป็นชั่วโมง หากตัดมันทิ้ง ฉันจะได้มีเวลาที่จะสามารถกินอาหารได้เพิ่มขึ้นสักสองสามปอนด์ มันน่าจะดีกว่า

แล้วหูฟังของนายล่ะ?”

ทิ้งไปแล้ว

เสื้อเบสบอล?”

เฮ้ ทำไมนายทำตัวน่ารำคาญจริงๆ?” เฉินจ่งส่ายไขมันบนร่างของเขาและพูดว่าฉันจะบอกว่า ที่มาพบพวกนายในคืนนี้ฉันวางแผนที่ขังตัวเองจากโลกภายนอกและมุ่งเน้นไปที่การฝึกฝนเพื่อที่จะอ้วนขึ้นเพียงอย่างเดียว ฉันจะเตรียมทุกอย่างให้พร้อมก่อนจะเริ่มการทดสอบช่วงที่สอง พวกนายไม่ต้องโทรหาฉันเพราะฉันโยนโทรศัพท์ทิ้งไปแล้วเช่นกัน

หลวงจีนยักไหล่ของเขา บังเอิญจริงๆ ฉันก็จะมาบอกพวกนายเหมือนกัน คืนนี้ฉันจะกลับไปยังภูเขาของฉันเพื่อฝึกฝนและฉันมาที่นี่ในคืนนี้เพื่อบอกลา ในช่วงแรกของการทดสอบ การทดสอบแรงกดดันไม่ใช่ความถนัดของฉัน แต่กับการต่อสู้นี่มันเข้าทางของฉัน ดังนั้นฉันจะใช้ประโยชน์จากช่วงเวลานี้เพื่อพัฒนาตนเองให้เพิ่มมากขึ้น

ฮั่นหลางพยักหน้าเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ใช่คนเดียวที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงจากการต่อสู้ในครั้งนี้ หลวงจีนและเฉินจ่งก็กลายเป็นคนที่มีความพากเพียรมากขึ้นกว่าเดิม

มันช่างบังเอิญจริงๆฮั่นหลางนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น ก่อนหน้าที่ฉันไม่รู้ว่าตนเองมีพลัง ฉันคิดเสมอว่า หากท้องฟ้ามันถล่มลงมาคนที่แข็งแกร่งก็คงจะจัดการได้ มันไม่ได้มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับฉัน และในที่สุดฉันก็ตระหนักได้ว่าฉันเป็นคนที่มีความสามารถที่แข็งแกร่งผู้นั้น และถ้าท้องฟ้ามันถล่มลงมาฉันจะต้องใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันมีเพื่อหยุดยั้งมัน

ฮั่นหลางยังพูดต่อไปอีกว่า อันที่จริงฉันมาที่นี่เพื่อบอกลา ในอีกสองวันหลังจากนี้ฉันจะไปยังศูนย์บริหารอาณาจักรสาปสูญ พวกเขามีสถานที่ในการฝึกฝนสำหรับฉันและฉันจะขังตัวเองจากโลกภายนอกเช่นกัน

เฉินจ่งไม่ได้พูดอะไรต่อ ปีหน้าจะเป็นปีที่มีการจัดการชุมนุมแห่งกาแลคซีและอาจเป็นไปได้ว่าโลกจะกลายเป็นอาณานิคมของดาวเคราะห์ดวงอื่น แม้ว่าโลกอาจมีโชคพอที่จะไม่ตกเป็นอาณานิคมของดาวดวงอื่น แต่ก็ยังคงมีเหล่าไรเดอร์จำนวนมากที่เฝ้ามองโลกด้วยเจตนาที่ชั่วร้ายและเป็นภัยต่อโลก

นี่คือยุคกาแลคซี มันเป็นยุคที่ไร้ความปราณีที่มีกฏแห่งความอยู่รอด ในฐานะกองทัพเดียวของโลก เอสเปอร์กำลังเผชิญหน้ากับความกดดันที่หนักหนาสาหัส

หลวงจีนถามขึ้นมาว่า ศูนย์บริหารอาณาจักรสาปสูญ? หลี่มู่อวิ๋นและชูหลี่  ต้องการให้นายเป็นหนึ่งในสมาชิกของหน่วยของพวกเขาเช่นกัน

ฮั่นหลางตอบว่า แล้วพวกเขามัวทำอะไรอยู่ก่อนหน้านี้.... ฉันได้ยินมาว่ามีหลายคนในกลุ่มเอสเปอร์กำลังจะเข้าร่วมศูนย์บริหารและองค์กรการต่อสู้อื่นๆดังนั้นประธานชูหลี่ไม่น่าที่จะขาดกำลังคน

เฉินจ่งพยักหน้า  มันก็ถูก ก่อนหน้านั้น มีคลาร์กที่จัดการทุกอย่างแทนพวกเรา เอสเปอร์จึงมีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ที่ต้องการ แต่ไม่ใช่ในตอนนี้ที่ไม่มีคลาร์กอยู่ เราต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ ถ้าฉันไม่สามารถผ่านการทดสอบแรงกดดันได้ ฉันก็จะตรงไปสมัครเข้าหน่วยรบทางทะเล

ทันทีที่เขากล่าวจบประโยค นาฬิกาบนข้อมือของเขาก็ดังขึ้น

เฉินจ่งวางกระเป๋าเป้สะพายหลังของเขาไว้บนพื้นและหยิบเอาแฮมที่มีน้ำหนักอย่างน้อยสองปอนด์ออกมา เขาเปิดปากกว้างและเริ่มกลืนกินก้อนเนื้อนั้น ก้อนต่อก้อน

หลังจากที่เฉินจ่งเห็นว่าทั้งฮั่นหลางและหลวงจีนมองเขา เฉินจ่งได้โยนรูปภาพของตนไปให้พวกฮั่นหลางดู ในรูปภาพนั้นเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลาร่างกายเต็มไปด้วยมัดกล้าม นอกจากนั้นยังมีหางม้าเล็กๆบนหัวของเขา พอเห็นแล้วมันยากมากที่จะบอกว่านี่คือรูปลักษณ์ของเฉินจ่งในก่อนหน้านี้

เฉินจ่ง นั่งอยู่ที่พื้นและเร่งยัดเนื้อแฮมชิ้นยักษ์เข้าไปในกระเพาะอาหารของเขา เขาดื่มน้ำสองอึกและเริ่มหยิบแฮมชิ้นที่สองออกมา ฮั่นหลางเห็นว่าคอของเฉินจ่งเปลี่ยนเป็นสีแดงจากการกิน ราวกับว่าเขาจะสำรอกออกมาได้ตลอดเวลา แต่เขาก็ยังคงกลื่นกินเนื้อลงไปเรื่อยๆ

ฉันต้องกิน

ฉันต้องกินตลอดเวลา

มันไม่มีทางอื่นในเมื่อฉันเป็นเอสเปอร์ ประเภทแปลงพลัง หากไร้ซึ่งไขมันแล้วฉันก็ไม่มีพลังต่อสู้แล้วฉันจะไปปกป้องใครได้?”

ฉันจะกินจนกว่าจะกลายเป็นหมู แล้วจะได้สัมผัสกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นอีกครั้ง

ถ้าพวกนายอยากจะหัวเราะ ก็หัวเราะออกมาเลยฉันไม่สนใจ

ฮั่นหลางและหลวงจีนไม่ได้หัวเราะเยาะเขา ตั้งแต่ที่ได้เห็นรูปภาพนั้นพวกเขาก็นับถือเฉินจ่งมากขึ้น

สำหรับคนอื่นๆ อาหารอร่อยที่พวกเขาได้ลิ้มรสอาจถือว่าเป็นความเพลิดเพลิน แต่กับเฉินจ่งมันเป็นความทุกข์ทรมานแสนบริสุทธิ์

โลกที่ย้อมไปด้วยโลหิตนี้ ได้เปลี่ยนเทพบุตรรูปงามกลายเป็นเฉินจ่งในตอนนี้

ฮั่นหลางถอนหายใจเบาๆออกมา เขาเงยหน้าขึ้นและเห็นแสงเทียนสว่างไสวไร้ที่สิ้นสุดและทุกคนก็อธิษฐานอยู่ภายใต้แสงของเปลวเทียนนั้น

มันช่างงดงามหากมองด้วยสายตา


และมันก็เป็นแรงกดดันที่สุดจะทานทน

4 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ20 ตุลาคม 2560 เวลา 05:18

    ขอสดุดีวีรชนเอสเปอร์ทุกนายที่เสียสละตัวเองเพื่อปกป้องโลก!!

    ตอบลบ
  2. เขียนได้ซึ่งงมากครับ

    ตอบลบ
  3. ทำไมเฉินจ่ง ไม่หาไขมันภายนอกแทนละ

    ตอบลบ