เมื่อออกจากห้องฝึกฝนแบบปิด
ทันทีที่หยางเฉินปิดประตูเรียบร้อย เขาเดินออกมาร่างของเขากระทบกับแสงแดดที่สาดส่องมา
หยางเฉินสะดุ้งโดยสัญชาติญาณ เมื่อนึกได้ว่าพรุ่งนี้จะมีการแข่งขันทักษะการต่อสู้ของนิกาย
ซึ่งการแข่งขันภายในของนิกายโดยทั่วๆไปแล้วจะทำการแบ่งระดับการต่อสู้ตามระดับการบ่มเพาะของแต่ละคน
หากเป็นการต่อสู้ของศิษย์ที่มีระดับการบ่มเพาะที่ต่างระดับกันมันจะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง
ถึงแม้ว่าจะมีคนที่มีระดับบ่มเพาะสูงคอยดูแลมันก็ยังคงมีความเสี่ยงอยู่ดี ปกติแล้วศิษย์ที่มีระดับบ่มเพาะเดียวกันจะทำการต่อสู้กัน
ดังนั้นการต่อสู้ระหว่างศิษย์ในดินแดนบ่มเพาะเดียวกันจึงเป็นเรื่องปกติ
ตามกฎของการแข่งขันทักษะการต่อสู้
ศิษย์ที่มีดินแดนบ่มเพาะที่ต่ำกว่าจะเก็บเกี่ยวชัยชนะแต่ละครั้งมาเป็นคะแนนสะสม
เพื่อเลื่อนอันดับให้สูงขึ้น ผู้ที่อยู่ในอันดับที่สูงกว่าจะได้รับสถานะที่ดียิ่งขึ้นและจะได้รับการดูแลอย่างดี
ในขณะที่ผู้ที่อยู่อันดับต่ำกว่าจะต้องเสียคะแนนสะสมมากขึ้นเพื่อรับทรัพยากรในแบบเดียวกัน
กฎเหล่านี้กระตุ้นให้ศิษย์ทุกคนให้ความสำคัญกับการบ่มเพาะมากยิ่งขึ้น
โดยปกติแล้ว
พวกเขามีสิทธิ์ที่จะท้าทายผู้ที่มีระดับการบ่มเพาะที่สูงกว่า เพื่อที่จะได้รับคะแนนสะสมมากกว่าปกติและได้คะแนนพิเศษ
แต่เหตุการณ์เช่นนี้ไม่ค่อยปรากฏออกมาให้เห็นบ่อยนัก หากกล่าวโดยทั่วๆไป
อาจารย์ของพวกเขาไม่แนะนำให้ทำการท้าทายคนที่อยู่ระดับสูงกว่า เพราะนอกเหนือจากจะได้รับบาดเจ็บที่อาจเกิดจากความพ่ายแพ้
มันยังลดความเชื่อมั่นของพวกเขา ซึ่งกำไรไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไป
อันจะเป็นตัวขัดขวางเส้นทางการฝึกในเบื้องหน้าต่อไปด้วย
ผู้ที่หยางเฉินสามารถทำการแข่งขันด้วยได้ก็เป็นผู้ที่มีระดับการบ่มเพาะอยู่ในระดับรวบรวมลมปราณ
ทุกคนที่อยู่ในดินแดนบ่มเพาะระดับรวบรมลมปราณสามารถมีส่วนร่วมในการแข่งขันนี้ได้ภายในวันแรก
จะมีการท้าทายศิษย์คนอื่นๆเพื่อต่อสู้หรืออาจจะถูกท้าทายโดยคนอื่น
สถานที่จัดทำการแข่งขันนี้ย่อมถูกจัดขึ้นที่ตำหนักเก้าปฐพี
จากผลงานที่สร้างชื่อของหยางเฉินและกงซุนหลิงในการปีนบันไดสวรรค์ในปีนี้
การแข่งขันทักษะการต่อสู้ของระดับรวบรวมลมปราณในครั้งนี้ ผู้นำพระราชวังหยางบริสุทธิ์จะมาร่วมงานนี้ด้วยตัวเอง
นี่…นี่เป็นเหตุกระตุ้นทำให้ศิษย์ทุกคนตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
พวกเขามีความกระตือรือร้นที่จะต่อสู้สร้างผลงาน ถ้าหากผลงานเข้าตาผู้นำพระราชวังหยางบริสุทธิ์
พวกเขาก็คงไม่ต้องกังวลอนาคตในเส้นทางแห่งการบ่มเพาะอีกต่อไป?
ผู้ที่จะควบคุมการแข่งขันในครั้งนี้คือศิษย์ผู้ส่งมอบ
ชูเฮิง นอกจากจะตัดสินผลแพ้ชนะแล้ว เขายังมีอีกหน้าที่อีกอย่างนั่นก็คือคอยช่วยเหลือผู้เข้าแข่งขันไม่ให้เป็นอันตราย
ภายใต้การช่วยเหลือของผู้ฝึกบ่มเพาะระดับก่อสร้างรากฐาน อีกนับสิบ รวมทั้งตูเชี่ยนจากวิหารพิทักษ์กฏ
สำหรับหยางเฉินแล้วไม่ได้มีความต้องการที่จะท้าทายต่อสู้กับเหล่าศิษย์ตำหนักเก้าปฐพี
หรือเก็บเกี่ยวผลประโยชน์สำหรับการบ่มเพาะใดๆทั้งสิ้น ความปราถนาเพียงอย่างเดียวของเขาคือการได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับกงซุนหลิง
ในขณะที่ซุนไห่จิ้งก็เป็นเป้าหมายของการท้าทายความเป็นและความตาย ความสัมพันธ์ของพวกเขาแย่ลงไปทุกที
จนมาถึงจุดที่จะต้องตายกันไปข้าง
สามเดือนที่ผ่านมานี้ กงซุนหลิงไม่ได้เสียเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์
เธอสามารถทะลวงผ่านดินแดนบ่มเพาะขึ้นสู่ระดับรวบรวมลมปราณขั้นเจ็ด หากเปรียบเทียบเธอกับก่อนที่จะปีนบันไดสวรรค์
กงซุนหลิงในตอนนี้เปี่ยมไปด้วยพลังและจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ ราวกับว่าเธอพร้อมที่จะทำการต่อสู้กับทุกคนภายใต้ผืนฟ้าเดียวกันนี้
ด้วยพลังและจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้นี้
จากหญิงสาวผู้ที่แต่เดิมมีแต่ความงดงามในยามมองดูเธอ กลับมีลักษณะดุดัน ก้าวร้าว เธอได้รับการฝึกฝนตลอดเวลาสามเดือนที่ผ่านมาและเพิ่งได้ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนเป็นครั้งแรก
ทุกสายตาของเหล่าศิษย์ระดับรวบรวมลมปราณต่างมองไปที่เธอ แม้กระทั่งชูเฮิงก็หยุดชะงักเมื่อมองไปที่กงซุนหลิง
มันทำให้เขารู้สึกประหลาดใจและยากที่อธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
แม้ว่ากงซุนหลิงในก่อนหน้านี้จะเป็นคนที่มีอัธยาศัยที่ดี
แต่ในตอนนี้พวกเขาไม่สามารถสัมผัสมันได้ ลักษณะท่าทางของเธอในตอนนี้ดูเหมือนยากที่จะสามารถเข้าถึงได้
แม้ว่าสายตาของทุกคนจะจ้องมองไปที่เธอแต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะเดินไปพูดคุยกับเธอ
รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าหยางเฉิน หยางเฉินทักทายกงซุนหลิงในทันทีที่เห็นเธอจากระยะไกล
กงซุนหลิงหันไปมองหยางเฉินแล้วส่งยิ้มไปให้ เพียงรอยยิ้มบางๆที่ปรากฏออกมา
มันทำให้ทุกคนรู้สึกราวกับว่าเมฆหล่นลงมาบนศรีษะพวกเขา
การทักทายยิ้มแย้มให้กันของคนทั้งสอง
ได้ทำให้ผู้นำพระราชวังหยางบริสุทธิ์ ผู้ซึ่งเพิ่งมาถึง แต่ยังไม่ปรากฏกาย
รู้สึกถึงความผิดปกติของทั้งสอง คนผู้หนึ่งสามารถทำให้ผู้คนไม่กล้าเข้ามาใกล้
หากแต่เมื่อเธอเผยรอยยิ้มออกมา มันดูราวกับแสงตะวันสาดทะลุผ่านผืนแผ่นเมฆ
ในขณะที่อีกคนไม่ได้สนใจกับสถานการณ์ใดๆ เขายังรักษาความสงบไว้ได้
ราวกับศิษย์ที่ยากจะต่อกร
เป็นที่ทราบกันดี เหล่าศิษย์ทั้งหลายที่อยู่ในตำหนักเก้าปฐพีในตอนนี้
ต่างรู้สึกกลัวว่าความสามารถของพวกเขาจะไม่เป็นที่ประทับใจใดๆต่อผู้นำพระราชวังหยางบริสุทธิ์
ดังนั้นเหล่าศิษย์ต่างพากันระมัดระวังตัวเอง รวมทั้งศิษย์ระดับก่อสร้างรากฐานที่ทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสินและป้องกันในการแข่งขันก็มีความคิดเช่นเดียวกัน
ยกเว้นหยางเฉิน กงซุนหลิงและศิษย์ระดับก่อสร้างรากฐานอีกสองสามคนที่ยังคงรักษาอาการอันสงบไว้ได้
กงซุนหลิงได้ทะลวงผ่านดินแดนการบ่มเพาะรวบรวมลมปราณขั้นเจ็ด
ฉะนั้นด้วยความแข็งแกร่งของเธอที่เพิ่มขึ้น และพลังจิตวิญญาณของเธอได้ทะลวงไปด้วยเช่นกัน
อีกทั้งมันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดหวังได้จากผู้ฝึกตนทั่วๆไป ที่ศิษย์สายนอกระดับรวบรวมลมปราณขั้นสามจะสามารถบ่มเพาะจนมีพลังจิตที่แข็งแกร่ง
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงสามารถปีนบันไดสวรรค์ได้ถึงสองครั้ง และยังสามารถทำให้ผู้เชี่ยวชาญระดับก่อลำต้นทั้งสิบเก้าคนมีระดับการบ่มเพาะที่ถดถอย
บุคคลเช่นนี้ย่อมไม่ใช่คนปกติธรรมดาทั่วๆไป
ถึงแม้ว่าผู้นำพระราชวังหยางบริสุทธิ์
จะอยู่เบื้องหน้าทุกคนและไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา แต่มันก็ยังเป็นแรงบันดาลใจต่อทุกคนที่เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเขามันก็ให้ความรู้สึกเป็นแบบหนึ่ง
เมื่อได้เห็นตัวจริงของเขาทั้งหมดมันก็ดูแตกต่างออกไป
ซุนไห่จิ้ง ยืนอยู่ที่มุมหนึ่งด้วยรอยยิ้มที่ลึกซึ้ง
เขารู้มาจากชูเฮิงว่าทำไมผู้นำพระราชวังหยางบริสุทธิ์จึงมางานในวันนี้ เขาจ้องมองไปที่กงซุนหลิงและหยางเฉินที่ทักทายกันและกัน
แล้วเกิดความรู้สึกว่ามันช่างไร้สาระ ถ้าหยางเฉินที่ท่านผู้นำพระราชวังหยางบริสุทธิ์ตั้งความหวังไว้อย่างสูง
ถูกคัดออกไปจากการแข่งขันในครั้งนี้ ผู้นำพระราชวังหยางบริสุทธิ์จะรู้สึกอย่างไรถ้ามันเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น?
ไม่เพียงแต่พระราชวังหยางบริสุทธิ์
แต่ทุกนิกายล้วนแต่อนุญาตให้เหล่าศิษย์สามารถทำการท้าทายความเป็นและความตายได้ มันเป็นวิธีที่ยุติธรรมในการระงับข้อบาดหมาง
และจะไม่มีใครสืบสาวราวเรื่องต่อจากนั้น แต่มันก็เป็นเพียงแค่สิ่งที่ควรจะเป็น ไม่ว่าจะมองในแง่ไหน
มีเพียงแต่ผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้นที่จะเข้าใจได้อย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตามด้วยข้อจำกัดเหล่านี้ ซุนไห่จิ้งยังจะต้องกลัวอะไรอยู่อีก? กับตัวเลือก ระหว่างการที่จะกำจัดหยางเฉินระหว่างการแข่งขัน
หรือฆ่าหยางเฉินในเวลาอื่นที่เขาจะก็ต้องโดนสอบสวนอยู่ดีและเขาก็ยากที่จะหลุดพ้น แม้แต่คนโง่ยังรู้ว่าเขาควรจะเลือกตัวเลือกไหน
ชูเฮิงได้ประกาศการเริ่มต้นการแข่งขัน
ความตื่นเต้นเริ่มเกิดขึ้นภายในตำหนักเก้าปฐพี
สายตาแต่ละคู่บนลานฝึกของตำหนักเริ่มมองหาคนในระดับการบ่มเพาะเดียวกันที่ตนต้องการที่จะทำการแข่งขันในทันที แต่ในทันใดนั้นปรากฏภาพใบมีดขึ้นบนลานฝึก
หยางเฉินไม่ได้ขยับเขยื่อนไปที่ไหน กงซุนหลิงก็ไม่ได้เคลื่อนไหวเช่นกัน แต่ที่มุมมุมหนึ่ง
ซุนไห่จิ้ง ได้ก้าวออกมาท้าประลองกับผู้ที่มีดินแดนบ่มเพาะระดับรวบรวมลมปราณขั้นสูงสุด
ซึ่งเรียกเสียงฮือฮาท่ามกลางฝูงชน เขาอยู่ในระดับรวบรวมลมปราณขั้นสี่ เขากล้าที่จะทำการท้าทายผู้เชี่ยวชาญระดับรวบรวมลมปราณขั้นสูงสุดได้อย่างไร?
นอกจากนี้คนที่เขาทำการท้าทายยังเป็นเป็นศิษย์สายนอกอันดับหนึ่ง
บนลานประลอง
การท้าทายผู้ที่อยู่ในระดับสูงกว่า เป็นที่มาของคะแนนสะสมที่มากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ที่ถูกท้าประลอง ดูจะมีปัญหาอยู่บ้าง เขาก็อาจถูกตำหนิหากจะดูในแง่ใช้ความแข็งแกร่งที่ได้เปรียบต่อผู้อ่อนแอ
หรือความได้เปรียบในแง่ทักษะ แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าหากต้องพ่ายแพ้
ความขายหน้าก็จะบังเกิด และโดยปกติแล้วมันก็อาจจะพอมีบ้างที่ศิษย์ระดับรวบรวมลมปราณขั้นสามจะทำการท้ายทายศิษย์ระดับรวบรวมลมปราณขั้นสี่
หรือ ระดับรวบรวมลมปราณขั้นสี่จะทำการท้ายทายศิษย์ระดับรวบรวมลมปราณขั้นห้า แต่ไม่เคยมีมาก่อนที่ระดับของผู้ท้าทายและผู้ถูกท้าทายจะต่างกันมากกว่าห้าขั้น
“ศิษย์น้องซุน เจ้าเปลี่ยนความคิดนี้เถอะ”
โจ่วซี
ผู้ซึ่งถูกท้าทายในวัยสามสิบกว่าปี
เขาเริ่มชีวิตของผู้ฝึกตนจนกระทั่งถึงวันนี้
โดยใช้เวลาสิบห้าปีเพื่อทำการฝึกบ่มเพาะ และเหลือเพียงอีกขั้นเขาก็จะเข้าสู่ระดับก่อสร้างรากฐาน
เมื่อไม่กี่ปีมานี้เขาสามารถก้าวขึ้นสู่อันดับหนึ่งของศิษย์สายนอก
เขาไม่ได้หวาดกลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับซุนไห่จิ้ง เพียงแต่เขาต้องการที่จะกล่าวเตือนซุนไห่จิ้งสักครั้งเท่านั้น
ซุนไห่จิ้ง ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
แล้วพลิกฝ่ามือ บนฝ่ามือของเขาพลันเกิดภาพพร่ามัวของกระบี่ได้บินออกมา มันบินหมุนรอบตัวของเขาท่ามกลางอากาศ
“อาวุธเวท”
ผู้ที่ดูอยู่แทบไม่เชื่อในสายตาของตน กระบี่นั้นบินออกมาจากตัวของซุนไห่จิ้ง
มันดูสง่างามและสร้างแรงกดดันแผ่ออกมา เป็นที่แน่ชัดว่ามันเป็นกระบี่บินเวท! มันเป็นไปได้อย่างไร!
เขาอยู่เพียงระดับการรวบรวมลมปราณขั้นสี่ เขาได้กระบี่เวทมาจากไหน? เขาควบคุมมันได้อย่างไร ?
หลายๆคนต่างรู้สึกสงสัยสิ่งที่ปรากฏขึ้นนี้อยู่ภายในใจของพวกเขา
ในขณะที่หยางเฉินมอง เขาขมวดคิ้ว สถานการณ์เช่นนี้เหมือนสถานการณ์ที่เขาเคยรู้
ดูเหมือนว่ามันจะเป็นทักษะการฝึกบ่มเพาะอสูร ซึ่งทักษะนี้มีอยู่ในหอลี้ลับของตำหนักเก้าปฐพี
อย่างไรก็ตาม ผู้ฝึกต้องแลกด้วยค่าตอบแทนที่สูงยิ่ง จึงแทบจะไม่มีผู้ใดทำการฝึกทักษะนี้
‘แทบจะไม่มี’ มันไม่ได้หมายความว่าไม่มีผู้ฝึก เห็นได้ชัดว่าซุนไห่จิ้งได้ฝึกทักษะนี้ในช่วงเวลาไม่กี่เดือนมานี้
ระดับการฝึกของเขาเป็นไปอย่างก้าวกระโดด ผ่านถึงระดับสูงสุดของขั้นรวบรวมลมปราณ
แทบจะแตะระดับก่อสร้างรากฐานด้วยซ้ำ กระบี่บินนี้ เขาได้มาจากผู้ฝึกตนอิสระ
ซึ่งเป็นเหยื่อทดสอบความแข็งแกร่งของเขาเมื่อไม่กี่วันมานี้
ไม่ใช่ทุกคนที่จะเหมือนหยางเฉิน
ผู้ซึ่งอ่านป้ายหยกที่มีอยู่ภายในหอลี้ลับทุกป้าย ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ กว่าเก้าในสิบส่วนไม่ได้ตระหนักถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
เพียงแต่คิดว่า ซุนไหจิ้งได้ปกปิดระดับการบ่มเพาะไว้ แต่ในตอนนี้เขาได้เปิดเผยความแข็งแกร่งของระดับก่อสร้างรากฐานออกมา
จะไม่ทำให้พวกเขาร้องออกมาด้วยความประหลาดใจได้อย่างไร?
พระราชวังหยางบริสุทธิ์ในปีนี้ ค้นพบผู้มีพรสวรรค์แล้วสองคน
ในงานปีนบันไดสวรรค์ มันอาจจะเป็นไปได้ว่าในตอนนี้คนที่เคยซุ่มอยู่เงียบๆ กำลังจะปรากฏออกมาอีกคน? ชื่อเสียงของพระราชวังหยางบริสุทธิ์จะต้องระเบิดดังกระหึ่ม
ด้วยการปรากฏตัวของอัฉริยะเหล่านี้
เสียงสับสนของทุกคนสร้างความพอใจให้กับซุนไห่จิ้งเป็นอย่างยิ่ง
เขารู้สึกราวกับโดนอาบด้วยสายลมเย็นแผ่วละมุนสร้างความสุขในใจของเขาเป็นอย่างมาก
ความรู้สึกนี้เคยมี แต่ได้หายไปนับตั้งแต่เผชิญหน้ากับหยางเฉินต่อหน้าฝูงชนเมื่อก่อนหน้านี้
ทว่าในตอนนี้ความอัปยศนั้นมันสิ้นสุดแล้ว ยิ่งซุนไห่จิ้งรู้สึกพอใจและเบิกบานมากเท่าไหร่
กระบี่บินของเขาก็ทวีความเร็วบินวนรอบตัวเขามากขึ้นเท่านั้น
สีหน้าของโจ่วซีปรากฏความเคร่งเครียดอย่างมิอาจซ่อนเอาไว้ได้
ถึงแม้ว่าซุนไห่จิ้งจะแสดงอาวุธกระบี่บินอย่างกระทันหัน มันก็ยังไม่ถึงขั้นเสี่ยงชีวิต
แต่ซุนไห่จิ้งแสดงออกถึงแรงกดดัน ว่าเขายิ่งใหญ่พอหรือไม่ ดังนั้นในฐานะผู้บ่มเพาะระดับรวบรวมลมปราณขั้นสูงสุด
โจ่วซีไม่ชมชอบที่จะยอมแพ้ในตอนนี้
เมื่อเผชิญกับอาวุธเวท โจ่วซีจึงนำผลึกยันต์ออกมา
ปลดปล่อยกระบี่ออกไป แต่กระบี่นี้มีระดับที่ต่างกันเหลือเกินเพราะมันเป็นเพียงแค่กระบี่ยันต์
ทันทีที่โจ่วซีรวบรวมปราณเย็นของกระบี่ พุ่งเป็นลำไปที่ซุนไห่จิ้ง กระบี่ของซุนไห่จิ้งก็ปลดปล่อยแสงออกมา
“ไม่เห็นโลงศพ
ไม่หลั่งน้ำตา!”
ซุนไห่จิ้งเย้ยหยัน และเริ่มทำการต่อสู้
แต่ในความเห็นของเขา นับตั้งแต่เขาเริ่มนำกระบี่เวทออกมา แสดงการควบคุมกระบี่ออกมาให้เห็น
คู่ต่อสู้ก็ควรที่จะยอมรับความพ่ายแพ้และคำนับเขา หนทางแห่งชัยชนะ
ยังต้องทำการต่อสู้อะไรกันอีก?
มันเป็นการลดทอนชัยชนะอันงดงามไปเสียเปล่าๆ?
ซุนไห่จิ้งได้ใช้ทักษะการฆ่าของเขาโดยเริ่มเคลื่อนไหว
เปิดการใช้กระบี่และทำการจู่โจมโจมตีโจ่วซีผู้ซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะเข้าใจสถานการณ์ดังกล่าวอย่างเฉียบพลัน
แต่โจ่วซีอันดับหนึ่งของศิษย์สายนอกไม่มีความคิดที่จะหนีแต่อย่างใด โจ่วซีควบคุมกระบี่ยันต์เข้าเผชิญหน้าในทันที
เพล้ง!
เสียงปะทะเสนาะโสตได้ยินกันเต็มสองหูทุกผู้คน
แสงเจิดจ้ากระจายไปทุกทิศทุกทาง ก่อนที่กระบี่จะสะท้อนกลับไปยังเจ้าของมัน
แต่แล้วโจ่วซีพลันรู้สึกถึงปัญหา
เขาก้มลงมองไปที่กระบี่ เขารู้สึกแปลกใจเมื่อพบรอยเว้าแหว่งขนาดเม็ดข้าวเล็กๆ
ที่ขอบของกระบี่ เขาก้มดูอีกครั้ง การปะทะครั้งแรกนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาแพ้แล้ว...
ผู้นำพระราชวังหยางบริสุทธิ์ยืนอยู่ด้านหลังโจ่วซี
ได้แต่ถอนหายใจยาวออกมา ถึงแม้ความแข็งแกร่งของซุนไห่จิ้งจะเพิ่มขึ้น
แต่มันก็เป็นเพราะการฝึกการฝึกบ่มเพาะแบบอสูร ...อัจฉริยะรึ? แน่นอน..ว่า..ไม่! เดิมทีเขาเคยคาดว่าจะพบสิ่งที่น่ายินดีแบบที่ไม่ได้คาดฝันไว้ แต่...มันก็คงเป็นแค่เพียงความปราถนาที่เขาคิดไปเอง
ผู้นำพระราชวังหยางบริสุทธิ์เหลือบตามองไปที่ชูเฮิงซึ่งยังทำหน้าที่ในฐานะผู้ตัดสินอย่างไม่พอใจ
ช่างไม่สมศักดิ์ฐานะผู้ควบคุมการแข่งขันซะเหลือเกิน ทำไมเขาถึงอนุญาตให้ศิษย์ฝึกวิชาบ่มเพาะอสูรเช่นนี้!
ชูเฮิงรับรู้ถึงสายตานี้ เกิดความสะท้านยะเยือกไปทั่วทั้งร่าง เหงื่อผุดเป็นเม็ดตั้งแต่ศีรษะ
แข้งขาอ่อนระทวยแทบทรุดลงไปบนพื้นเพื่อคุกเข่าขอรับการงดเว้นโทษ
โชคดีที่ผู้นำเพียงแค่มอง และไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา
ก่อนที่ผู้นำจะทำการปิดเปลือกตา ดูสถานการณ์ต่อไปผ่านทางการรับรู้ทางจิตของเขา
ซุนไห่จิ้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นกระบี่หรือระดับการบ่มเพาะ
เขาเพิ่งได้มาเมื่อเร็วๆนี้ เพราะฉะนั้นเมื่อเทียบกับโจ่วซีที่ฝึกมานาน
ความเข้าใจในกระบี่ของเขาก็มีเพียงแค่ผิวเผิน การควบคุมกระบี่ก็ยังด้อยกว่าโจ่วซี
แต่ด้วยคุณภาพของกระบี่ที่สูงกว่ามาก และความตั้งใจในการพิฆาตศัตรูที่ดุดัน เขาจึงสามารถควบคุมกระบี่เข้าปะทะได้ครั้งแล้วครั้งเล่า
ในตอนนี้กระบี่ยันต์ในมือโจ่วซี
ก็เต็มไปด้วยรอยเว้าแหว่ง ถ้ามีการปะทะอีกครั้ง กระบี่ยันต์จะถูกทำลาย
โจ่วซีคิดแล้วคิดอีก เขาไม่สามารถที่จะทำการต่อสู้ได้อีกต่อไปได้ ระดับก่อสร้างรากฐานรอเขาอยู่ไม่ไกล
และเมื่อถึงวันนั้น กระบี่ยันต์ที่อยู่ในมือนี้ จะได้รับการปรับแต่งและจะกลายเป็นกระบี่เวท
ฉะนั้นเขาจึงไม่อาจปล่อยให้มันถูกทำลายในวันนี้ได้ สิ่งที่จะได้จะไม่คุ้มกับสิ่งที่จะเสียไปในตอนนี้
แล้วค่อยหาโอกาสต่อสู้ใหม่ เมื่อคิดได้เช่นนี้เขาจึงป้องมือไปที่ซุนไห่จิ้ง
“ศิษย์น้องซุน กระบี่ในมือเจ้า
ยากต่อการเอาชนะอย่างยิ่ง ข้าขอยอมรับความพ่ายแพ้”
หลังกล่าวจบ เขาก็หมุนตัวเดินจากไป
โดยปราศจากการเหลียวหลังกลับมา
เมื่อได้ชัยชนะ เสียงกระหึ่มของความแปลกใจพร้อมด้วยความชื่นชมจากผู้ชมดังออกมาทั่วลานประลอง
เมื่อซุนไห่จิ้งยืนฟังนานพอแล้ว เขาหันไปที่หยางเฉินแล้วตะโกนออกไปว่า
"ศิษย์น้องหยาง การท้าทายความเป็นและความตายระหว่างเรา
เจ้าคงไม่คิดที่จะหลบหนี? ศิษย์น้องหยาง เจ้ากล้าที่จะยอมรับการท้าทายครั้งนี้หรือไม่?"
เมื่อซุนไห่จิ้งพูดจบ มันได้สร้างความประหลาดใจให้แก่ผู้ชมอย่างยิ่ง
เพราะตามกฏแล้วศิษย์ที่มีระดับการฝึกที่ต่ำกว่ามีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธคำท้าทายนี้ได้
และหากมันเป็นเช่นเหตุการณ์ปกติ ซุนไห่จิ้งก็จะต้องก็จะต้องหาโอกาสอื่นที่จะจัดการกับหยางเฉิน
ดังนั้นเขาจึงได้ถามออกไปในลักษณะที่เป็นการบังคับให้หยางเฉินตอบรับคำท้าทาย
อย่างไรก็ตาม หยางเฉินหัวเราะเสียงดังออกมา
และปรากฏตัวบนลานประลอง มันทำให้ผู้คนที่อยู่รอบๆต่างรู้สึกแปลกใจ ซุนไห่จิ้งเพิ่งแสดงระดับฝึกตนว่าอยู่ระดับก่อสร้างรากฐาน
ส่วนหยางเฉินมีระดับรวบรวมลมปราณขั้นสาม เขาโง่พอที่จะเอาชีวิตไปขว้างทิ้งอย่างงั้น?
เมื่อหยางเฉินเดินมาถึงที่เบื้องหน้าของซุนไห่จิ้ง
เขาจ้องไปที่ซุนไห่จิ้งที่กำลังลำพอง พร้อมกับกล่าวออกมาว่า
“ศิษย์พีซุน
ตอนที่ท่านจะฝึกทักษะนี้ ท่านได้อ่านคำอธิบายที่ด้านข้างของป้ายหยกหรือไม่?
ท่านทราบหรือไม่ว่าเมื่อฝึกทักษะนี้ ท่านจะสามารถมีชีวิตต่อไปได้อีกครึ่งปี?
เมื่อได้ยินคำถามจากหยางเฉิน สีหน้าและท่าทางของซุนไห่จิ้งเปลี่ยนไปในทันที
อ้าว!ไอทิดยังไงก็ตาย ไม่ตายวันก็ตายพรุ่ง
ตอบลบเจ้ามะเร็งร้าย
โง่ซะไม่มี 5555
ตอบลบเปิดมาก็สงครามวาจาเลยฮะ แถมกดหัวอีกฝ่ายซะมิดเลยด้วย
ตอบลบวัวล้วนนน ไม่มี___ปนอยู่เลยย 555
ตอบลบฆ่าตัวเอง- -
ตอบลบมาถึงก็โจมตีถึงใจเลย...
ตอบลบ