เป็นที่ทราบกันว่าหยางเฉินได้ใช้เวลามากกว่าครึ่งปีในการอ่านแผ่นจานหยกจำนวนมากในหอลี้ลับของตำหนักเก้าปฐพี
ดังนั้นซุนไห่จิ้งจึงไม่ได้แปลกใจนัก ที่หยางเฉินรู้ในเคล็ดวิชาที่เขาฝึก เพียงแต่รู้สึกประหลาดใจตรงที่หยางเฉินกล่าวถึงคำอธิบายข้างแผ่นจานหยก
ทำไมเขาไม่รู้เรื่องอะไรนี้เลย
นี่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป
ขณะที่เขารู้สึกถึงความกลัวกำลังครอบงำจิตใจของเขา
อาจารย์อาที่คอยสนับสนุนเขาอย่างไม่มีเงื่อนไขอยู่เสมอ
ในขณะนี้กลายเป็นที่มาถึงความวิตกกังวลของเขา
และในเมื่อการฝึกนี้มีผลข้างเคียงมหาศาลเช่นนี้
แล้วเพราะอะไรซูเฮิงจึงไม่บอกกับเขา เขาแทบไม่อยากคิดหาเหตุผล ซุนไห่จิ้งแทบทรุด
ยืนนิ่งราวกับถูกตรึงไว้กับพื้น
ถึงแม้วาจาของคนทั้งสองจะแผ่วเบา
จนแทบจะไม่มีใครได้ยิน แต่สิ่งที่ทุกคนดูอยู่และเห็นคาตา คือหลังจากที่หยางเฉินพูดกับซุนไห่จิ้ง
ซุนไห่จิ้งก็มีท่าทีที่ควบคุมตนเองไม่ได้
มันเป็นเหตุผลเพียงพอที่จะทำให้
ซุนไห่จิ้งแปลกใจเกี่ยวกับการฝึกการบ่มเพาะแบบอสูรนี้
ถึงแม้มันจะช่วยยกระดับความแข็งแกร่งของเขาอย่างรวดเร็ว
แม้แต่โจ่วซียังพ่ายแพ้ต่อมัน แต่แล้วค่าตอบแทนของการฝึกต้องจ่ายด้วยชีวิต..? มันเป็นข้อบกพร่องที่ซ่อนอยู่
และเขาไม่ได้ตระหนักมาก่อน จึงทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
ไม่มีผู้ใดไม่ทราบว่า
ซุนไห่จิ้งและหยางเฉิน มีสัมพันธภาพที่เลวร้ายต่อกัน
ตั้งแต่หยางเฉินต้องการเข้าร่วมกับพระราชวังหยางบริสุทธิ์ ทั้งสองก็เริ่มขัดแย้งกัน
ซุนจิ้งไห่ได้กระทำการอย่างเลวร้ายต่อหยางเฉินเรื่อยมา จนกระทั่งเขาเองพลาดท่า
ต้องนอนพักฟื้นเป็นเวลานาน
ดังนั้นการที่ซุนไห่จิ้งท้าทายเป็นตายตัวต่อตัว
กับหยางเฉินจึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติประการใด
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ซุนไห่จิ้ง
สามารถเอาชนะต่อโจ่วซี ผู้ซึ่งอยู่ในระดับรวบรวมลมปราณขั้นสูงสุด
ก็ดูเหมือนว่าหยางเฉินไม่สมควรรับการท้าทาย ทำให้ทุกคนมึนงงสับสน …รึ..หยางเฉินก็มีระดับรวบรวมลมปราณอยู่ในขั้นสูงสุด? ไม่ก็
อยู่ในขั้นตันของระดับก่อสร้างรากฐานไปแล้ว
แล้วซุนไห่จิ้งก็กลับคืนสู่สภาพปกติ
เขาจ้องทีหยางเฉินและตะคอกด้วยน้ำเสียงที่น่ากลัว
“ถ้าเจ้าคิดว่าข้าจะสูญเสียความตั้งใจที่จะสู้เพราะคำโกหกของเจ้าละก็ เจ้าเข้าใจผิดอย่างมหันต์”
สิ้นสุดเสียงนี้
เขาเริ่มหลอมรวมพลังเพื่อเริ่มการจู่โจม ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีเลือดแดงกล่ำ
สามารถทำให้ผู้คนเกิดความหวาดหวั่น ราวกับพยัฆค์กำลังเขมือบเหยื่อ
“ถึงแม้มันจะผิดไป
แต่กับเจ้า ดูเหมือนมันจะไม่มีความหมายแล้วล่ะ”
หยางเฉินส่ายศรีษะ ด้วยความเสียใจ
สำหรับบุคคลซึ่งเหมือนตายไปแล้วอย่างซุนไห่จิ้ง ไม่ว่าสิ่งที่หยางเฉินกล่าว
มันจะถูกหรือผิด ก็ดูเหมือนจะไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิง
“ฮึ่ม … เจ้าพยายามหลอกลวงข้า”
อย่างไรก็ตาม
ซุนไห่จิ้งไม่ได้คิดว่าเป็นตามที่หยางเฉินบอก ด้วยเขาคิดว่าหยางเฉินใช้วาจา
เพื่อทำให้สภาพจิตใจเขาตกต่ำลง และทำลายสภาวะความต้องการในการต่อสู้ของเขา
เมื่อคิดอย่างนี้เขาจึงฟื้นคืนจากสภาวะและโกรธมาก
ตอนนี้เขาคิดว่า วาจาหยางเฉินเปรียบดังท่อนไม้ที่อาจเปลี่ยนทิศทางของเรือ
แต่ไม่อาจทำให้เรือกลับหลังได้ หลังจากฆ่าหยางเฉินเสร็จ
แล้วค่อยไปดูแผ่นหยกที่หอลี้ลับ ว่ามีคำอธิบายเช่นไร ..จริง..เท็จ ตอนนี้สิ่งที่ต้องทำคือ
..มีชีวิต..ด้วยการต่อสู้เบื้องหน้านี้
“ศิษย์น้องหยาง
เจ้าไม่ได้บอกว่าจะใช้ยันต์จำนวนมาก มาบดขยี้ข้าสินะ ?”
กระบี่บินของซุนไห่จิ้งเริ่มเปล่งแสง
และหมุนรอบตัวของเขาและเพิ่มรังสีจากร่างเขา ..สภาพการณ์เช่นนี้
ยิ่งสร้างความมั่นใจไร้ขีดจำกัดแก่เขา
แล้วถามหยางเฉิน
“ให้ข้าทดสอบเจ้า
แสดงให้ข้าดูซิ เจ้าจะใช้ยันต์ประดิษฐ์ชนิดใดมาสู้กับกระบี่บินของข้า”
เมื่อได้ยินคำถาม
หยางเฉินตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ตอนเดินทาง
ข้าไม่ได้ซื้อยันต์มากมายแต่อย่างใด เกรงว่าต้องทำให้ท่านผิดหวังแล้วล่ะ”
“เมื่อเจ้า
ตอบรับการท้าทายเป็นตายตัวต่อตัวกับข้า
อย่ามาตำหนิว่าข้าไร้ความปราณี”
เสียงหัวเราะอาฆาตพยาบาทปรากฏขึ้น
และเมื่อได้ยินว่าหยางเฉินไม่มียันต์ประดิษฐ์ รอยยิ้มราวปีศาจก็ผุดขึ้น
“เจ้าช่างโชคดี
ที่จะตายภายใต้กระบี่บินของข้า”
หยางเฉินยิ้มอีกครั้งแล้วตอบกลับไปว่า
“เป็นเกียรติแก่ข้ายิ่งนัก
แต่ .. เก็บโชคนี้ไว้ใช้เองเถอะ”
สิ้นเสียงหยางเฉิน ปลอกกระบี่ลอยขึ้นบนอากาศ
บินฉวัดเฉวียนอยู่ด้านหน้าเขา ..มันดูเรียบง่าย ปราศจากซึ่งกลิ่นอาย
“ศิษย์พี่
ท่านมีกระบี่บิน แต่ช่างบังเอิญจริงๆที่ข้ามีปลอกกระบี่ ตามความคิดของข้า
ข้าไม่แน่ใจนักว่ามันจะสามารถสวมเข้ากับกระบี่บินของศิษย์พี่ได้พอดีหรือไม่”
หยางเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
พร้อมกับหันหน้าไปทางซุนไห่จิ้ง
แล้วพบกับความมึนงงไร้ที่สิ้นสุดที่ปรากฏบนใบหน้าซุนไห่จิ้ง
เมื่อมีปลอกกระบี่ปรากฏขึ้นทุกคนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงรู้สึกถึงความกดดันที่แตกต่างกันซุนไห่จิ้ง
ผู้ยืนอยู่บนเวทีก็รู้สึกถึงแรงกดดันที่เกิดจากปลอกกระบี่
ทำให้ใบหน้าของเขาเริ่มมีสีเข้มขึ้น
ผู้นำพระราชวังหยางบริสุทธิ์
ซึ่งอยู่ด้านหลังก็รับรู้ปรากฏการณ์นี้ได้ด้วยจิตวิญญาณ รู้สึกยินดีอย่างยิ่ง
และลืมตา
“เป็นสมบัติที่เยี่ยมจริงๆ”
คำเหล่านี้ทำให้เกิดเปลวไฟลุกไหม้ขึ้นในดวงตาของชูเฮิงซึ่งกำลังทำหน้าที่อยู่บนเวที
“ฮึ่ม บังเอิญรึ
เจ้าคิดจะเอากระบี่ข้า เพราะเจ้ามีปลอกกระบี่งั้นรึ ฝันไปเถอะ”
ซุนไห่จิ้งสัมผัสได้ถึงปลอกกระบี่ว่าเป็นสมบัติชั้นดีอันหนึ่ง
แต่..ไม่เคยได้ยินว่ามีผู้เยี่ยมยุทธใดใช้ปลอกกระบี่เป็นอาวุธ
มันจะดีแค่ไหนก็แค่ปลอกกระบี่
และสำหรับผู้ฝึกการบ่มเพาะแล้วกระบี่บินสามารถซ่อนไว้ในตัวเองอยู่แล้ว
จะเอาปลอกมันมาทำไม
“ไม่ว่าข้าจะฝันหรือไม่ก็ตาม
ศิษย์พี่จะตระหนักได้หลังจากนี้”
“เจ้ากำลังรนหาที่ตาย”
ในขณะนี้สำหรับซุนไห่จิ้งแล้ว ความโกรธ
เกลียด ชิงชัง ทั้งเก่าและใหม่พุ่งเข้ามาในหัวใจของเขา
ขณะที่กระบี่หมุนบินรอบกายของเขากลายเป็นรังสีประกายพุ่งตรงไปที่หยางเฉินอย่างรวดเร็ว
มันพุ่งออกไปไม้มีแม้แต่เสียง ทิ้งไว้เพียงสายรุ้งที่ด้านหลัง
อย่างไรก็ตามสิ่งที่สร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้ชมข้างสนามคือภาพหลังจากที่กระบี่บินเข้าไปใกล้หยางเฉิน
ปลอกกระบี่ที่ลอยอยู่ในอากาศตรงหน้าหยางเฉิน
ก็ขยายขนาดใหญ่และเกิดช่องขนาดใหญ่เหมือนมังกรหิวที่อยู่บนท้องฟ้า
….อา…
กระบี่บินได้ถูกกลืนกินเข้าไปในทันที
ไม่ว่าซุนไห่จิ้งจะพยายามควบคุมกระบี่บินยังไงก็ตาม
แต่กระบี่บินที่ถูกกลืนเข้าไปในปลอกกระบี่ก็ไม่มีการตอบสนองใดๆ
ดูเหมือนว่ากระบี่บินจะถูกตัดการเชื่อมต่อกับจิตสำนึกวิญญาณของเขาโดยสิ้นเชิง
ซึ่งสร้างความสิ้นหวังให้กับซุนไห่จิ้ง
“เป็นไปไม่ได้ …เป็นไปไม่ได้!”
หลังจากที่ซุนไห่จิ้งสูญเสียกระบี่บินของเขาไป
เขาตะโกนส่งเสียงกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง
“เจ้ามีเพียงลมปราณชั้นต่ำ…
เจ้า..เจ้าใช้อาวุธเวทได้ยังไง…เจ้าตัดการควบคุมกระบี่ข้าได้ยังไง….”
เพียงชั่วพริบตาที่ทุกคนเห็นปลอกกระบี่ของหยางเฉิน
แต่กระบี่บินของซุนไห่จิ้งกลับหายไปในทันทีที่มันปรากฏตัว
พวกเขาไม่คาดคิดว่าจะมีการถูกยึดไป
ได้ยินซุนไห่จิงตะโกนด้วยเสียงอันดังที่ทุกคนกำลังถูกครอบงำด้วยความตกใจ
การที่จะเข้ายึดการควบคุมกระบี่บินของคนอื่นก่อนการทำงานของมัน
.. ต้องใช้สิ่งใด? แม้ระดับสุดยอดของรวบรวมลมปราณก็มีเพียงอัจฉริยะไม่กี่คนในตึกเก้าปฐพีที่มีอาวุธเวท
แต่ต้องไม่ใช่หยางเฉินแน่
พวกเขารู้การปรับแต่งอาวุธเวท
การปรับแต่งและการใช้กระบี่บิน
และยิ่งรู้ว่าต้องใช้ขีดความสามารถเท่าใดจึงจะสามารถยึดกระบี่บินของคนอื่นได้
“ศิษย์พี่ซุน
ดูว่าโชคท่านจะไม่ดีนัก
ปลอกกระบี่ของข้ามันสามารถเก็บกระบี่บินของท่าน
ซึ่งไม่ได้รับการปรับแต่งได้อย่างพอดี“
หยางเฉินยิ้มเจ้าเล่ห์
ราวกับได้ลาภก้อนโต แถมกล่าววาจาให้ชวนเวียนหัว
“อา
..ขอบคุณศิษย์พี่มาก ทำให้ข้าจะได้ไม่ต้องไปดิ้นรน
หากระบี่บินมาใส่ปลอก”
ซุนไห่จิ้งแทบจะกระอักเลือดหลังจากได้ยินเสียงเยาะเย้ยของหยางเฉิน
การยึดอาวุธเวทของใครซักคน
แล้วจากนั้นต้องมารับรู้ถึงการเยาะเย้ยเขาในลักษณะนี้คงไม่มีใครจะสามารถยืนทนกับการเยาะเย้ย
ถากถาง แบบนี้ได้
หลังจากได้ยินคำพูดของหยางเฉิน
ทำให้เหล่าผู้ชมรู้สึกโล่งใจ
การที่ปลอกกระบี่สามารถหลอมรวมกับกระบี่บินที่ยังไม่ได้รับการปรับแต่งได้นั้น
ก็หมายความว่าหลังจากนี้ หยางเฉินไม่สามารถไปยึดอาวุธเวทของคนอื่นได้อีก
ในบางครั้งการมีความสามารถก็สามารถทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัว นี่อาจเป็นสาเหตุแห่งความโชคร้าย
เพราะหยางเฉินได้ใช้วิธีนี้จัดการกับซุนไห่จิ้ง
ทำให้คนอื่นๆไม่ต้องกังวนใจกับปลอกกระบี่อีก
กับเหตุผลของหยางเฉิน
ที่ว่าต้องเป็นกระบี่ที่ยังไม่ปรับแต่ง เพราะการปรับแต่งจะประทับจิตวิญญาณลงไป
การจะยึดได้ ต้องมีการบ่มเพาะที่สูงยิ่ง
เหตุการณ์ที่เกิดสร้างความตกใจให้กับผู้นำพระราชวังหยางบริสุทธิ์กระทั่งตาทั้งสองข้างเปิดขึ้น
แล้วหลับลงอีกครั้ง หลังจากได้ยินคำพูดของหยางเฉินที่ค่อนข้างสมเหตุสมผล
ถ้ามันไม่ได้รับการปรับแต่งอย่างถูกต้องและถูกทำเครื่องหมายสัญลักษณ์จิตวิญญาณไว้กับมันแล้ว
ทุกคนที่มีระดับการบ่มเพาะระดับสูงสามารถควบคุมมันได้
แม้ว่าหยางเฉินจะมีการบ่มเพาะที่ต่ำกว่า
แต่ด้วยความช่วยเหลือของปลอกกระบี่มันทำให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก
สภาพซุนไห่จิ้งที่ตระหนกอย่างยิ่ง
หมดความทรนง แม้กระทั่งเสียงก็ดูอ่อนลง
“ศิษย์น้อง เจ้ากับข้าไม่ได้เกลียดชังอะไรกัน
เจ้าคงไม่คิดกำจัดข้ากระมัง?”
เมื่อได้ยินเสียงของซุนไห่จิ้ง
ทำให้การต่อสู้นี้หยุดชะงัก แต่ละคนกลับไปประจำที่อยู่ด้านข้างของเวที
มีเพียงเสียงแห่งความสิ้นหวังของซุนไห่จิ้ง
“การท้าทายเป็นตายนี้
ไม่ใช่เรื่องที่เกิดจากศิษย์พี่ซุน? ”
แม้ว่าหยางเฉินไม่ได้ทำร้ายอะไรเขา
แต่ในน้ำเสียงของเขาก็ไม่มีความนัยว่าจะปล่อยเขาไป
“ข้าจำได้
ตอนออกจากตำหนัก ท่านบอกข้าว่า โชคไม่ดีเลย
ที่ท่านไม่มีโอกาสท้าทายเป็นตายต่อข้า
ข้าย่อมไม่กล้าที่จะลืม”
เมื่อจบคำพูดเหล่านี้
ทุกสายตาพุ่งมาที่ซุนไห่จิ้ง ด้วยลักษณะที่แตกต่างกัน ใครบ้างที่จะไม่รู้ว่า
เมื่อคราวที่หยางเฉิน ออกจากตำหนัก ได้ต่อสู้กับเหล่ามือสังหาร เพียงแต่ กลับกัน
มือสังหารถูกสังหาร มันเป็นอะไร
ที่ถูกเตรียมไว้ล่วงหน้าอย่างดีโดยการร่วมมือกับคนภายในตำหนัก
หลังจากจบคำพูดของหยางเฉิน
ปมความสงสัยอันใหญ่ได้ลดลงเป็นเรื่องธรรมดา
ในเมื่อซุนไห่จิ้งต้องการจะฆ่าสาวกนิยายเดียวกัน นี่เป็นความผิดรองจากการทรยศนิกาย
นอกเหนือจากนั้นแม้แต่ในนิกายซึ่งฝึกการบ่มพาะแบบอสูร ก็ไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้
ทันใดนั้นซุนไห่จิ้งก็ตกเป็นเป้าสายตาของทุกคน
ในขณะตอนนี้ไม่ได้มีเพียงคนที่มาชมดูการต่อสู้เท่านั้น
แต่เบื้องหน้ายังมีผู้นำพระราชวังหยางบริสุทธิ์ซึ่งมาร่วมชมการประลอง
ในหมู่ผู้ชมการประลอง บางคนกระโดดลงไปเพื่อต้องการลงโทษเขา
ยิ่งไปกว่านั้นผู้ชมนับไม่ถ้วนยังคงตำหนิเขา
ในเวลานี้เขาได้ทิ้งความประทับใจอย่างลึกซึ้งถึงความชั่วร้ายและเต็มไปด้วยความเกลียดชังไว้กับผู้นำพระราชวังหยางบริสุทธิ์
ซึ่งภายในจิตใจไม่รู้ต้องการจะจัดการกับเขามากเพียงใด
หัวใจของซุนไห่จิ้งแทบจะกระโดดออกมาจากหน้าอกของเขา
ภายใต้ความกดดันนี้ซุนไห่จิ้งจึงกล่าวว่า
บางสิ่งบางอย่างซึ่งอาจทำให้เขาเข้าไปพัวพัน ในเวลานี้ประมุขหยางบริสุทธิ์ได้อยู่ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เขาคงไม่มีโอกาสที่จะหลบหนีแน่นอน ตอนนี้มีเพียงความเสียใจท่วมท้น
ถ้าเขาคาดเดาได้ก่อนว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวันนี้
แล้วเมื่อหยางเฉินเคยได้รับการดูแลจากซุนไห่จิ้งมาก่อน
แต่แทนที่จะใช้สมองของเขาเพื่อค้นหากระบี่บินเพื่อทำให้ตัวเขาแข็งแกร่งขึ้น
ซุนไห่จิ้งรับรู้ถึงความโกรธจากหลายๆคนที่พุ่งตรงเข้ามาที่เขา
ภายในหัวใจของเขารู้แน่ชัดอยู่แล้วว่าเขาจะต้องได้รับความตาย
ดังนั้นเขาจึงไม่นำพาถึงความกังวลอีกต่อไปทุกเรื่องราว และหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ฮา ฮา ฮา ข้าทำ
แล้วยังไง? เจ้าเองก็เป็นเพชรฆาต
ที่ฆ่าโดยไม่คำนึงเหตุผลใด แต่เจ้ายังมายืนอยู่กับพวกเราผู้ฝึกตน
ข้าต้องการฆ่าเจ้า!
สิ่งน่าเสียใจอันเดียวคือ
..พวกมือสังหารมันไร้ฝีมือ..ไม่งั้นป่านนี้เจ้าไปอยู่โลกอื่นแล้ว”
หลังจากที่เขาได้พูดทั้งหมดออกมา
ในตอนนี้หัวใจของชูเฮิงก็รู้สึกสงบลง ขณะนี้ผู้นำหยางบริสุทธิ์อยู่ด้านข้างของเขา
เขาไม่กล้าที่จะปลดปล่อยความโล่งใจออกมา แต่เขาก็รู้สึกสบายใจ
อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้มองไปที่ผู้นำ สายตาหลายคู่ที่มองมา
สื่อควาหมายว่าชูเฮิงเองก็ถูกปิดบัง ผู้คนโน้มเอียงไปทางเขา
ดังนั้นเขาจึงรีบกลับมาเป็นปกติ
“เจ้ายอมรับมัน …ดี”
หยางเฉินกล่าวอย่างเย็นขา
“เมื่อเจ้ายอมรับแล้ว
เจ้าก็ต้องรับการลงโทษ! ”
ปลอกกระบี่ที่ลอยอยู่หายไปกลางอากาศ
หยางเฉินพุ่งออกไปด้วยความเร็วไปที่ซุนไห่จิ้ง
ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ต่างๆขึ้น
ผู้นำไม่ได้กล่าวอะไรออกมา และคนอื่นๆก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปแทรกแซงใดๆ
ทันที่ที่หยางเฉินเก็บอาวุธเวทที่น่าอัศจรรย์ของเขา
และเริ่มต่อสู้ด้วยเพียงมือเปล่า
ทำให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์นี้ต้องขมวดคิ้วของพวกเขา
แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกกังวล อีกฝ่ายมีความแข็งแกร่งระดับก่อสร้างรากฐานขั้นต้น
การกระทำในขณะนี้ของเขาคือการที่เขาต้องการจะเอาชีวิตไปทิ้ง?
“เจ้ากำลังจะตาย
มาให้ข้าช่วยเจ้า!“
ซุนไห่จิ้งรู้สึกฮึกเหิมมากขึ้นเรื่อยๆ
สำหรับเขาแล้วหยางเฉินคือหนามยอกอก
ในตอนนี้เขาได้ตัดสินใจว่าจะไม่นำพาอาวุธเวทของเขา
และเข้าต่อสู้ด้วยเพียงระดับการบ่มเพาะของเขา
นี่เหมือนการส่งมอบเหยื่อมาที่หน้าประตูของเขา
ในตอนนี้เขาได้ตัดความหวังที่จะหาโอกาศหลบหนีใดๆของศัตรู
นี่คือความปรารถนาครั้งสุดท้ายของเขา คือการฆ่าหยางเฉินก่อนเขาที่จะต้องตาย
ในขณะที่คิดอยู่นั้นเขาบินพุ่งตรงไปเพื่อที่จะโจมตีหยางเฉิน
ร่างของทั้งสองคนพุ่งเข้าปะทะกัน
เหล่าผู้ชมได้แต่เปิดตาของพวกเขาให้กว้างๆเพื่อที่ไม่พลาดแม้เพียงชั่วครู่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่พวกเขาเห็นอยู่นั้น
ช่างน่าเหลือเชื่อที่สุดความเร็วในปัจจุบันของซุนไห่จิ้งการโจมตีด้วยหมัดของเขา
แต่มันก็ไม่สามารถทำอะไรหยางเฉินได้ หยางเฉินได้หยุดหมัดของซุนไห่จิ้งก่อนที่จะถึงตัวเขาได้อย่างง่ายดาย
และคว้าจับแขนเหวี่ยงเป็นควงเป็นวงกลมสามตลบบนท้องฟ้า แล้วฟาดลงมา
ปัง! ปัง!
ซุนไห่จิ้ง
โดนหยางเฉินทุ่มลงพื้นครั้งครั้งเล่า กระดูกของเขาแตกหลายแห่ง
ความเจ็บปวดจากกระดูกในร่างของเขาแตกหักทำให้เขารู้สึกวิงเวียนศีรษะ
และไม่มีแรงต่อต้านใดๆอีกต่อไป ในขณะที่เขาเห็นพื้นดินใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา
และจากนั้นเขาก็กระดอนขึ้นไปบนฟ้าอีกครั้ง และอีกครั้ง
ครั้งสุดท้ายเขาเงยหน้าขึ้นไปแต่ก็พบกับกำปั้นที่พุ่งตรงเข้ามาที่ใบหน้าของเขา
โพล๊ะ โพล๊ะ
เสียงบางอย่างกำลังกระแทกต่อเนื่อง พร้อมกับเสียงบางอย่างที่แตกเป็นครั้งคราวสะท้อนออกมาก้องอยู่ภายในหูของทุกคน
หยางเฉินทุบไปที่ศีษระของซุนไห่จิ้งอย่างต่อเนื่อง
เพียงไม่นานศีษระของซุนไห่จิ้งก็ถูกทุบจนเป็นกองเลือด
“เจ้าคิดเหรอ ถ้าข้าไม่มีอาวุธเวท
แล้วข้าจะจัดการเจ้าไม่ได้”
หยางเฉินหยุดทุบศีรษะของซุนไห่จิ้งอย่างป่าเถื่อน
และดึงศีระของซุนไห่จิ้งขึ้นมาแล้วบิด
กร๊อกกก!
ศีรษะของซุนไห่จิ้งถูกบิดเป็นวงกลมก่อนจะกลับมาที่เดิมของมัน
ในตอนนี้พลังชีวิตของเขาได้ถูกตัดขาดออกไปแล้ว
(ตอนพิเศษจากทีมแปล)
ภาคเสียงโดยน้าติง
สวัสดีครับ ผมน้าติ่งจำเป็น มารับหน้าที่ในวันนี้
ฝั่งหยางเฉินพุ่งตัวออกไปแล้วครับ
ซุนไห่จิ้งก้อไม่ยอมน้อยหน้า
ดีดตัวออกไปหวังจะฮุคหยางเฉิน ด้วยระดับที่สูงกว่า
แต่แล้วก็ถูกหยางเฉินคว้าจับ
เหวี่ยงหมุนสามตลบแล้วทิ้งลงอัดกับพื้นครับอย่างต่อเนื่อง
โอ้ว
เสียงกระดูกแตกดังระรัวเลยทีเดียวครับ
ซุนไห่จิ้งตอนนี้ไม่รับรู้ใดๆทั้งสิ้นแล้วครับ
แต่หยางเฉินไม่ยอมให้จบง่ายๆ
จับซุนไห่จิ้งยกขึ้นมาแล้วอัดแบล็คซูเพล็ค ต่อเนื่องครับ
ซุนไห่จิ้งยังไม่หายงง
ก็โดนหยางเฉินทุบหน้าด้วยกำปั้น แบบไม่ยั้งจนกลางเป็นกองเลือดไปแล้ว
เท่านั้นไม่พอ หยางเฉินเข้าไปล็อคคอซุนไห่จิ้งแล้วบิดคอหมุนหนึ่งตลบกลับมาที่เดิม… ดูเหมือนว่าซุนไห่จิ้งจะสิ้นชีพตั้งแต่เมื่อไรไม่อาจทราบได้
RIP.
ขอบคุณที่ติดตามอ่านจนจบครับ
อย่าลืมเม้นเป็นกำลังใจให้คนแปลทุกท่านนะครับ
(บทนี้ 3 คนแปลนะคะ 555)
(5555 ขำๆนะคะ)
5555 ขอบคุณครับ อยากให้มาอีกไวๆครับ สนุกมากๆๆๆ
ตอบลบขึ้นอยู่กับความขยันของบก.เลยค่ะ
ลบขอบคุณครับ..น้าติงมันกว่า
ตอบลบฮ่าๆ พาร์คน้าติงใช้เวลา 30 นาที แต่แปลหยางเฉินใช้เวลา 5 วันค่ะ ฮ่าๆ
ลบ555ฉากมวยปล้ำมันส์มากคะ
ตอบลบตอนพิเศษมีสีสันมาก
ตอบลบขอบคุณมากค่ะ
ลบน่าเค้นความลับมันประจารต่อหน้าฝูงชนก่อน รีบฆ่าไปนิด
ตอบลบให้มันได้ไปดีเถอะค่ะ ฮ่าๆ
ลบขอบคุณครับ
ตอบลบขอบคุณค่ะ ^^
ตอบลบขอบคุณครับ
ตอบลบสนุกมาก ๆ ขอบคุณท่านผู้แปลมากค่ะ
ตอบลบ