เหตุผลที่หยางเฉินได้ตัดสินใจที่จะเข้าสู่พระราชวังหยางบริสุทธิ์หลังจากที่เขาได้รับโอกาสมาเกิดใหม่
นอกเหนือจากอาจารย์หญิงของเขาแล้ว ก็คือความตั้งใจอย่างแท้จริงของพระราชวังหยางบริสุทธิ์ที่ต้องการที่จะปกป้องศิษย์ทั้งหลาย
ในชีวิตก่อนหน้านี้ เมื่อหยางเฉินได้พบกับอุบัติเหตุ สี่ผู้เชี่ยวชาญระดับผลิดอกจากนิกายสวรรค์ยิ่งใหญ่ได้ทำการต่อสู้กับเขา
แต่พระราชวังหยางบริสุทธิ์ ยกเว้นวิหารรัศมีจันทราที่ได้แตกหัก ด้วยความช่วยเหลือของนิกายสวรรค์ยิ่งใหญ่
พระราชวังหยางบริสุทธิ์ได้ถูกกำจัดทิ้งไปเพียงเพื่อช่วยชีวิตศิษย์ที่ถูกใส่ร้าย
ในขณะนี้มันกำลังจะเป็นเรื่องเดียวกัน ซีเชิงซินได้ตระหนักถึงผลดีและผลเสีย
หลังจากนั้นได้กล่าวถึงสิ่งที่จะสามารถช่วยเหลือหยางเฉินได้ ในสถานการณเช่นนี้พระราชวังหยางบริสุทธิ์จะต้องลดตัวลงมา
แม้ว่าเขาจะถูกลงโทษให้เข้าสู่ความสันโดษเนื่องจากเรื่องนี้ แต่นั่นก็เป็นวิธีที่จะปกป้องเขาได้
ประโยคนี้ทำให้หยางเฉินรู้สึกอบอุ่นอยู่ภายในใจ หยางเฉินไม่ลืมที่จะถามซีเชิงซินออกไปว่า
"อาจารย์อา ใครที่เป็นผู้เริ่มต้นข่าวลือนี้?"
"มันเป็นนักบ่มเพาะอิสระบางคน ที่ได้ออกจากภูเขาลอยฟ้า
และเราก็ไม่ทราบว่าพวกเขาไปที่ไหน"
ซีเชิงซินรู้ว่าทำไมหยางเฉินต้องการถามเรื่องนี้เขาจึงสั่นศีรษะก่อนที่จะกล่าวออกมาว่า
"มันไม่สำคัญว่าเขาจะเป็นใครที่ต้องการจะจัดการกับเจ้า
เขาย่อมจะไม่ยอมให้ใครๆหาเบาะแสเกี่ยวกับตัวเขาได้ง่ายๆ เจ้าก้าวขึ้นไปบนยอดเขาบันไดสวรรค์ซึ่งทำให้คนจำนวนมากไม่พอใจ
และแม้กระทั่งผู้เชี่ยวชาญระดับก่อลำต้นทั้งสิบเก้าคนต่างได้รับบาดเจ็บ มันย่อมมีคนจำนวนมากที่รู้สึกไม่พอใจในตัวเจ้า
แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลใจ หลังจากที่เรากลับไป เพียงแค่เจ้าจะประพฤติดีและปิดประตูเข้าสู่การฝึกฝน
ในเรื่องนี้นิกายจะจัดการให้เจ้าเอง”
"รับทราบ อาจารย์อา!"
หยางเฉินรู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะมีข้อมูลที่พร้อมใช้งาน แม้ในขณะที่ศิษย์ชูเฮิงพยายามที่จะรับมือกับเขา
แต่เขาก็ไม่สามารถหาหลักฐานใดๆเพื่อเอาผิดกับชูเฮิงได้ ยิ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับก่อลำต้นและนิกายของพวกเขาที่หยางเฉินทำให้พวกเขาไม่พอใจ
มันคงยิ่งยากที่จะหาหลักฐานได้
ในขณะนี้เรื่องนี้ยังคงเป็นข่าวลือเช่นก่อนหน้านี้ ซึ่งหยางเฉินไม่จำเป็นที่จะต้องดำเนินการใดๆในตอนนี้
เพราะเรื่องนี้ซีเชิงซินต้องนำหยางเฉินและกงซุนหลิงกลับไปยังพระราชวังหยางบริสุทธิ์หลังจากที่พวกเขาเป็นศิษย์สองคนที่มีความสามารถ
ถ้าพวกเขาประสบกับอุบัติเหตุบางอย่างในขณะที่เดินทางกลับจากภูเขาลอยฟ้า แน่นอนว่ามันย่อมจะเป็นเรื่องตลกที่ยิ่งใหญ่และน่าสยดสยอง
กงซุนหลิงได้ก้าวผ่านระดับรวบรวมลมปราณขั้นหกแล้ว ดังนั้นเธอจึงสามารถบินได้ด้วยตัวเอง
อาศัยพลังของตัวเอง แต่ความเร็วของเธอก็ยังคงช้าอยู่มาก ในขณะที่หยางเฉินไม่มีความสามารถในการบิน
มันจึงทำให้การเดินทางกลับต้องล่าช้ามาก นอกจากนั้นยังมีตัวแปรจำนวนมากในระหว่างการเดินทาง
แต่ผู้เชี่ยวชาญระดับก่อลำต้นยังไงก็ย่อมเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับก่อลำต้น ดังนั้นซีเชิงซินจึงห่อหุ้มทั้งสองคนเอาไว้ในม่านโปร่งแสงและภายในอึดใจพวกเขาสามารถเดินทางได้มากกว่าร้อยลี้
อาวุธเวทที่ใช้บินอยู่นี้เป็นสิ่งที่ซีเชิงซินรู้สึกภาคภูมิใจ
เห็นได้ว่ามีรังสีของความอิจฉาผ่านดวงตาของกงซุนหลิง ซีเชิงซินยิ้มให้กำลังใจเธอ
"อย่ากังวล เพียงแค่ฝึกฝนตามทักษะทั้งสองของเจ้า เพียงรอจนกว่าจะถึงระดับก่อสร้างรากฐานและเจ้าก็จะสามารถปรับแต่งอาวุธเวทได้ดีกว่านี้!"
กงซุนหลิงพยักหน้า แต่หยางเฉินไม่ได้พูดอะไร ด้วยในตอนนี้เขามีอาวุธเวทสองสามชิ้น
ที่เขายังไม่สามารถใช้พวกมันได้ เมื่อเทียบพวกมันกับอาวุธเวทของซีเชิงซินแล้วก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก
ดังนั้นหยางเฉินจึงไม่รู้สึกอะไรภายในใจ
การเดินทางของพวกเขารวดเร็วราวกับฟ้าผ่า เพื่อเดินทางในเส้นทางนี้หากหยางเฉินต้องทำการเดินทางเอง
มันก็ยังคงใช้เวลาหกเดือนเพื่อเดินทางไปถึง แต่นั่นไม่ใช่ซีเชิงซิน
ที่เขาใช้เวลาเพียงแค่วันเดียวก็สามารถที่จะนำพวกเขากลับมาถึงภูเขาเหมยชิง ในครั้งนี้ซีเชิงซินไม่ได้กลับไปยังตำหนักเก้าปฐพี
หากแต่พาพวกเขาไปที่พระราชวังหยางบริสุทธิ์โดยตรง
พร้อมกับการกลับมาของพวกเขา มีการแจ้งเตือนมาจากหลากหลายพื้นที่
ในขณะเดียวกันนิกายที่อยู่ใกล้ๆก็เลียบเคียงมาเพื่อหาข้อมูล น้ำเสียงของบรรดาคำบอกกล่าวเหล่านี้
ล้วนเป็นเพียงข้ออ้างในการกล่าวหาว่าพระราชวังหยางบริสุทธิ์ทำการปกปิดข้อมูล
คนที่รับผิดชอบในการจัดการเรื่องเหล่านี้ นอกเหนือจากซีเชิงซินแล้วก็ยังมีอีกหนึ่งคนที่คุ้นเคยกับหยางเฉิน
นั่นก็คือจูเฉินเตาผู้ดูแลหอโอสถ ผู้ดูแลวิหารรัศมีจันทราซึ่งเป็นอาจารย์ของชูเฮิง
เหลียงเซาหมิง อีกทั้งยังเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับก่อลำต้น คนที่บังคับให้หยางเฉินพบกับอุบัติเหตุมาก่อนหน้านี้
น่าประหลาดใจที่ชูเฮิงก็มาอยู่ที่นี่ด้วย ปกติแล้วมันต้องมีแต่ศิษย์ของวิหารพิทักษ์กฏ
ตูเชี่ยน ซึ่งเป็นคนรู้จักของหยางเฉิน
ตูเชี่ยน เป็นคนหนึ่งที่แนะนำให้หยางเฉินควรเข้าร่วมการชุมนุมภูเขาลอยฟ้า
เพื่อดูว่าเขาจะสามารถปีนบันไดสวรรค์ไปได้กี่ขั้น แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับทำให้คนแนะนำเช่นตูเชี่ยนต้องตกตะลึง
ในขณะนั้นเขาไม่ทราบว่าหยางเฉินจะทำได้สำเร็จหรือไม่ อย่างไรก็ตามเมื่อตูเชี่ยนได้แนะนำบุคคลนี้และเขาก็เป็นศิษย์ของวิหารพิทักษ์กฏ
ซึ่งเป็นผู้ที่จัดการเรื่องของหยางเฉินด้วยในเวลานี้ เขาก็จำเป็นที่จะต้องเป็นคนที่มาอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน
ชูเฮิงได้รับอนุญาตเพราะเขาเป็นศิษย์ส่งมอบมาได้สองสามปีแล้ว ดังนั้นถ้าศิษย์สายนอกคนใดมีอุบัติเหตุ
เขาต้องได้รับแจ้ง เมื่อมองไปที่ความโกรธที่กระจายอยู่ทั่วใบหน้าของชูเฮิง ทุกคนสามารถคาดเดาได้ว่าเขาอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ดีเป็นอย่างมาก
"หยางเฉิน เห็นได้ชัดว่าทำผิด!"
ในขณะที่เขาเห็น หยางเฉินโดยไม่ต้องรอให้ผู้เชี่ยวชาญ ระดับก่อลำต้นเปิดปากของพวกเขาออกมา
ชูเฮิงรีบตะโกนเสียงดังออกไป
การแสดงออกของชูเฮิงราวกับว่าเขากระตือรือร้นที่จะขอร้องให้ทำการลงโทษหยางเฉินในทันที
แต่หยางเฉินเพียงแค่ปรายตามองไปที่ชูเฮิงโดยไม่สนใจชูเฮิงแต่อย่างใด เขาก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับกงซุนหลิง
ทำความเคารพไปที่ผู้เชี่ยวชาญระดับก่อลำต้นทั้งหมด มันเป็นกระทำที่เหมาะสม อันเป็นมารยาทที่ต้องให้ความเคารพแก่คนรุ่นก่อน
แม้แต่ชูเฮิงก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกมา เขาไม่ต้องการให้ผู้เชี่ยวชาญระดับก่อลำต้นคิดว่าการตอบคำถามของเขามีความสำคัญมากกว่าการให้ความสำคัญกับพวกเขา
ชูเฮิงต้องพบกับอาการเฉยเมยและยืนรออยู่ข้างๆ เขาต้องรอหยางเฉินและกงซุนหลิงทำความเคารพทุกคนก่อน
แต่ในเวลาต่อมาหยางเฉินและกงซุนหลิงก็หันไปทางด้านของชูเฮิงและคำนับชูเฮิงในฐานะอาจารย์อา
ในที่ที่มีผู้อาวุโสหลายคนอยู่ ชูเฮิงสามารถรับคำทักทายได้ตามกฎเท่านั้นและเขาก็เปิดปากอีกครั้งเพื่อกล่าวออกไปว่า
"หยางเฉิน มันเป็นความผิดของเจ้า!"
แต่คราวนี้ความทะนงตัวของเขาไม่ได้สูงมากเท่ากับที่เคยเป็นมา
แต่เสียงของเขาก็ยังคงดังมากอยู่
"ข้าไม่ทราบว่า ข้าทำความผิดอะไร!"
เมื่อเทียบกับชูเฮิงแล้วหยางเฉินดูสงบมากขึ้นเรื่อยๆ หยางเฉินหันหน้าไปมองชูเฮิงตรงๆ
"เจ้ายังกล้าที่จะเล่นลิ้นอยู่อีกหรือ!"
ชูเฮิงรู้สึกโกรธมาก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญระดับก่อลำต้น เขาไม่กล้าที่จะดูหมิ่นอย่างเปิดเผย
แต่คนเหล่านี้ก็ยังไม่ได้พูดอะไรออกมา เหมือนกับว่าพวกเขามีความเข้าใจซึ่งกันและกัน
ราวกับว่าพวกเขายอมรับพฤติกรรมของชูเฮิง ดังนั้นชูเฮิงจึงเพิ่มเสียงของเขาให้ดังขึ้นและเริ่มประณามหยางเฉินในทันที
"ข้าไม่รู้จริงๆ"
การแสดงออกที่ไร้เดียงสาปรากฏอยู่บนใบหน้าของหยางเฉิน ในขณะที่หยางเฉินมองไปที่ชูเฮิง
เขาค่อยๆกล่าวออกไปว่า
"ข้าคงต้องขอให้อาจารย์อาชูช่วยชี้แนะ"
"คำพูดที่ยิ่งใหญ่ที่เจ้ากล่าวไว้ในชุมนุมภูเขาลอยฟ้าได้แพร่กระจายไปทั่วทุกพื้นที่”
ชูเฮิงจ้องมองไปที่หยางเฉินเมื่อเขาพูดอย่างช้าๆอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า
"ในตอนนี้บรรดานิกายใหญ่ๆ ได้แจ้งให้พระราชวังหยางบริสุทธิ์ของข้าทราบ
และกล่าวโทษเราในการปกปิดความจริงกับสหายนักบ่มเพาะทั้งหลาย หลังจากที่เสียหน้าให้กับพระราชวังหยางบริสุทธิ์
แล้วเจ้ายังกล้าพูดได้อย่างไรว่าเจ้าไม่รู้ว่าเจ้าทำความผิดอะไร?"
"พระราชวังหยางบริสุทธิ์ของข้าปกปิดอะไรจากเหล่าผู้บ่มเพาะเหล่านี้?
ซึ่งทำให้ชื่อเสียงของเราเกิดความสูญเสียเป็นอย่างมาก?"
หยางเฉินหัวเราะพร้อมกับมองไปที่ชูเฮิงและหยอกล้อเขานิดๆหน่อยๆ
"ฮื้ม เจ้าไม่กล้าที่จะยอมรับมัน? ข้าขอถามเจ้า วิธีการเพาะปลูกทับทิมสายฟ้า ไม่ใช่เป็นเจ้าหรอกหรือที่ได้โม้เกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้?"
ชูเฮิงถามออกไปด้วยท่าทางเยาะเย้ย เขาแสดงออกราวกับว่าหยางเฉินได้สารภาพผิดออกมาแล้ว
"ในตอนนี้นักบ่มเพาะทุกคนกำลังกดดันให้ผู้นำพระราชวังหยางบริสุทธิ์ส่งมอบวิธีการเพาะปลูกมัน
ถ้าไม่ใช่เพราะคำพูดอวดเก่งของเจ้า มันจะเกิดเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร?"
"ข้าเพียงแค่พูดออกไปว่า ข้าต้องการที่จะค้นคว้าหาวิธีที่จะทำให้ทับทิมสายฟ้าเติบโต
ศิษย์พี่หญิงสามารถเป็นพยานได้"
หยางเฉินกล่าวออกไปโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยน รอยยิ้มยังปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขา
"สิ่งอื่นๆนอกจากที่กล่าวออกมานั้นไม่มีความสัมพันธ์กับข้าเลย"
"เพราะเหตุนี้นิกายอื่นๆต่างคิดและมั่นใจว่าพระราชวังหยางบริสุทธิ์ของข้า
จะช่วยเพิ่มชื่อเสียงของเจ้าและแน่นอนว่าพวกเราได้ปิดบังข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการปลูกทับทิมสายฟ้าและนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงพยายามสร้างแรงกดดันต่อ
พระราชวังหยางบริสุทธิ์ของข้า"
ชูเฮิงถามออกไปด้วยเสียงที่เย็นชา
"เจ้าเป็นเพียงศิษย์ระดับรวบรวมลมปราณตัวเล็กๆ
แต่เจ้ากลับทำปากเก่งสร้างความมุ่งมั่นใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร?"
"อาจารย์อาชู!"
ทันใดนั้นหยางเฉินกล่าวออกมาด้วยสีหน้าและท่าทางที่ดูจริงจังกับชูเฮิงว่า
"มีกฎในนิกายใดๆหรือไม่ ที่ศิษย์สายนอกไม่สามารถค้นคว้าวิธีการเพาะปลูกทับทิมสายฟ้า?
หรือมีข้อกำหนดใดในโลกของการบ่มเพาะระบุว่า ศิษย์สายนอกของนิกายใดๆไม่สามารถค้นคว้าวิธีการปลูกทับทิมสายฟ้าได้?"
"นี่!"
คำถามของหยางเฉิน ทำให้ชูเฮิงพูดอะไรออกมาไม่ได้ มันย่อมแน่นอนอยู่แล้วว่าไม่มีกฎดังกล่าวภายในนิกายหรือในโลกการบ่มเพาะ
อย่างเดียวเท่านั้นที่ทุกคนคาดหวังว่าคนที่มีระดับการบ่มเพาะที่น้อยกว่าจะไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
มันก็เท่านั้น หยางเฉินบอกว่าอยากจะทำ แต่สิ่งที่เขาพูดก็ไม่ได้ผิดอะไร
อย่างไรก็ตามชูเฮิงปรับตัวเข้ากับสถานการณ์อย่างรวดเร็วและถามออกไปด้วยเสียงอันดัง
"ข่าวนี้ได้เผยแพร่ไปทั่วทุกนิกายแล้วว่าภายในสองร้อยปีเจ้าจะสามารถค้นคว้าวิธีที่จะเพาะปลูกทับทิมสายฟ้าได้
นิกายจะส่งมอบมันได้อย่างไร?"
"พวกเขาไม่ได้บอกว่าข้ามีเวลาสองร้อยปี?"
หยางเฉินหัวเราะและมองไปที่ชูเฮิง ก่อนที่เขาจะกล่าวออกไปว่า
"ถ้าพวกเขาต้องการที่จะทะเลาะกับเราด้วยเรื่องนี้ พวกเขาสามารถกลับมาอีกครั้งหลังจากผ่านไปอีกสองร้อยปี
ในตอนนี้นิกายไม่ควรจะใส่ใจในเรื่องนี้"
เมื่อได้ยินคำตอบที่กำกวมของหยางเฉิน ตูเชี่ยนผู้ซึ่งอยู่ข้างหลังหยางเฉิน
ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา คำตอบของหยางเฉินนั้นดูเจ้าเล่ห์เกินไป
เสียงหัวเราะของตูเชี่ยนทำให้ชูเฮิงพองตัวด้วยความโกรธ
"ถ้าพวกเขามาหลังจากสองร้อยปี และศิษย์น้องยังไม่สามารถค้นคว้าวิธีการเพาะปลูกได้
แล้วเราจะส่งมอบมันได้อย่างไร?"
"ถ้างานวิจัยไม่ประสบความสำเร็จมันก็ไม่ประสบความสำเร็จจำนวนนับไม่ถ้วนของผู้เชี่ยวชาญระดับผลิดอกและผู้เชี่ยวชาญระดับออกผล
ต่างก็พยายามแต่ก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จ ข้าเป็นเพียงศิษย์ระดับรวบรวมลมปราณหากจะไม่ประสบความสำเร็จมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เราจะเสียหน้าแต่อย่างใด"
หยางเฉินส่ายหัว ในตอนนี้เขาไม่สามารถควบคุมเสียงหัวเราะของเขาเอาไว้ได้
"ถ้าการค้นคว้าไม่ประสบความสำเร็จ มันจะถือว่าเป็นความผิดทางอาญาที่รุนแรง
ที่แม้แต่การตัดหัวก็ดูจะไม่เพียงพอ? อย่างไรก็ตาม ข้าจำได้ว่ามีผู้เชี่ยวชาญระดับผลิดอกจากนิกายสวรรค์ยิ่งใหญ่
รวมถึงผู้เชี่ยวชาญระดับออกผลจากเกาะมรกตอมตะ ที่ยังคงกำลังค้นคว้าหาวิธีการเพาะปลูกทับทิมสายฟ้า
หากคิดจะลงโทษด้วยการตัดหัว เจ้าก็จงตัดหัวของสองอาวุโสก่อน แล้วข้าจะยอมรับการลงโทษจากเจ้า"
ผู้เชี่ยวชาญระดับก่อลำต้นที่นั่งข้างหลังเขาแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เปิดปากพูดอะไรออกมา
แต่ก็ไม่ได้พลาดคำพูดในบทสนทนาของชูเฮิงและหยางเฉิน เห็นได้ชัดว่าการตอบโต้ของ หยางเฉิน
ทำให้ทุกคนคิดหาทางแก้ไขปัญหานี้ได้ แต่พวกเขาปฏิเสธที่จะยอมรับมัน แต่หยางเฉินยังคงกล่าวต่อไปว่ามีผู้เชี่ยวชาญที่ยอดเยี่ยมหลายท่านซึ่งก็ทำการค้นคว้า
และก็ไม่ประสบความสำเร็จ ดังนั้นหากเขาที่ยังเป็นเพียงศิษย์ระดับรวบรวมลมปราณตัวเล็กๆ
มันก็ไม่ได้ทำให้เสียหน้าแต่อย่างใด ใครจะกล้าบอกได้ว่าหยางเฉินจะต้องเสียหน้า เพราะนั่นหมายความว่าไม่มีการกระทำผิด
สิ่งนี้มีนัยสำคัญเกี่ยวกับผู้เชี่ยวชาญระดับผลิดอกและผู้เชี่ยวชาญระดับออกผล
“อันที่จริง...”
ทันใดนั้นนายชูเฮิงก็พบว่าตัวเองสูญเสียคำพูด เห็นได้ชัดว่าเป็นโอกาสที่ดีที่หยางเฉินจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง
แต่ในตอนนี้ หยางเฉินไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่จะถูกลงโทษได้ ดังนั้นเขาจะสูญเสียความหวังนี้ไปได้อย่างไร? โดยไม่ต้องรอให้ชูเฮิงใช้คำพูดของเขาได้อีก หยางเฉินจึงเริ่มตั้งคำถามกับชูเฮิงอย่างเข้มข้น
"ยิ่งกว่านั้น อาจารย์ชู
ทำไมพระราชวังหยางบริสุทธิ์ของข้าจะต้องมอบมัน? ส่งมอบให้กับใคร? พวกเราเป็นหนี้พวกเขาหรือ? "
หลังจากพูดคำเหล่านี้แล้วน้ำเสียงของหยางเฉินก็ยิ่งเย็นลง
“ทำไมอาจารย์อาถึงไม่สนับสนุนพระราชวังหยางบริสุทธ์ของข้า
แต่กลับไปสนับสนุนนิกายอื่นๆ หรือท่านมีเหตุผลอะไรถึงได้ทำเช่นนี้?”
หลังจากที่พูดออกไปทั้งหมดนี้ภายในลมหายใจเดียว หยางเฉินไม่ได้รอให้ใครขัดขวาง
เขาทำการพูดต่อไปในทันที
"พระราชวังหยางบริสุทธ์ของข้าเป็นหนี้อะไรกับใครหรือไม่?
หรือว่าพระราชวังหยางบริสุทธ์ของข้าเมื่อเทียบกับนิกายอื่นๆ นั้นต่ำต้อยจนต้องก้มหัวให้พวกเขา
ถ้าไม่ ทำไมเราต้องมอบอะไรๆที่เป็นของพวกเราให้กับพวกเขา? ถ้าการค้นคว้าของข้าประสบความสำเร็จ
ข้าก็เป็นศิษย์ของพระราชวังหยางบริสุทธ์ที่ทำงานให้กับนิกาย และข้าก็ไม่ได้ฆ่าพ่อแม่ของใครหรือได้กวาดล้างนิกายของคนอื่น
มันเป็นการค้นคว้าของข้าเองดังนั้นด้วยเหตุผลอะไรที่ข้าต้องส่งมอบมันให้กับผู้อื่น?
อาจารย์อาชูทำไมท่านถึงไม่บอกเหตุผลที่ทำอย่างนั้น!"
คำพูดของ หยางเฉิน ทำให้สีหน้าของเหล่าผู้เชี่ยวชาญระดับก่อลำต้นเปลี่ยนไปเป็นเคร่งขรึม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำพูดสุดท้ายที่ทำให้ความกังวลในจิตใจของทุกคนมีมากยิ่งขึ้น 'พระราชวังหยางบริสุทธ์ของเราไม่ได้เป็นหนี้ใคร
และก็ไม่ได้ต่ำต้อยเมื่อเทียบกับนิกายอื่นๆ! งานค้นคว้าของเราเองทำไมเราควรจะส่งมอบมันให้กับผู้อื่น?
"นี่……"
ชูเฮิงกลับสูญเสียคำพูดอีกครั้ง เมื่อต้องเผชิญกับคำถามซ้ำๆ ของหยางเฉินและในขณะที่เขาไม่ทราบว่าจะตอบอย่างไรดี
โชคดีที่เขาคิดได้อย่างรวดเร็ว และเขาคิดว่านี่เป็นเหตุผลที่ใช้ได้ ดังนั้นหลังจากลังเลสักครู่เขาก็ได้ตอบออกไป
"วิธีการเพาะปลูกทับทิมสายฟ้าเกี่ยวข้องกับความยากลำบากของผู้เชี่ยวชาญระดับก่อลำต้น
นี่เป็นเรื่องที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้บ่มเพาะทั้งหมดดังนั้นเมื่อถึงเวลาแล้ว
นิกายบ่มเพาะทั้งหมดจะใช้เหตุผลนี้เพื่อกดดันเรา?"
“ถ้าการค้นคว้าของเราประสบความสำเร็จ ทำไมต้องเป็นพระราชวังหยางบริสุทธ์ของเราที่จะต้องเผยแผ่มันออกไป?”
รอยยิ้มแผ่กระจายไปบนใบหน้าของหยางเฉินอีกครั้ง บุคคลที่มีตาก็จะเห็นได้ว่ามีความโกรธที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใต้รอยยิ้มนั้น
"ข้าจำได้ว่านิกายสวรรค์ยิ่งใหญ่มีใบสั่งยา ยาเม็ดหัวอิ่ง
ซึ่งมีค่ามากและได้รับการกลั่นสกัดสำหรับคนของนิกายเท่านั้น มันสามารถช่วยผู้เชี่ยวชาญระดับก่อลำต้นเพื่อผ่านทะลุดินแดนผลิดอกของพวกเขาได้
ซึ่งจะมีประโยชน์อย่างมากกับนิกายบ่มเพาะอื่นๆ แต่ทำไมข้าไม่เห็นอาจารย์อาชูจะให้คำแนะนำแก่นิกายสวรรค์ยิ่งใหญ่
แต่ในทางตรงกันข้ามท่านต้องการที่จะขายผลประโยชน์ของนิกายของเรา
อาจารย์อาชูท่านได้ผลประโยชน์อะไรจากคนอื่นๆ หรือท่านต้องการที่จะทรยศต่อนิกายและฉ้อโกงอาจารย์ของท่าน?"
"เจ้า เจ้า เจ้าใส่ร้ายข้า!"
ชูเฮิง ไม่สามารถตอบคำถามของหยางเฉินได้ เขาทำได้แต่เพียงพูดออกมาว่า
"เจ้า เจ้า" ชี้ไปที่หยางเฉิน ก่อนที่เขาจะสามารถพูดประโยคอื่นออกมาได้อย่างสมบูรณ์
ทรยศต่อนิกายและฉ้อโกงอาจารย์เป็นข้อกล่าวหาที่ไม่อาจเอาชนะได้ ชูเฮิงนั้นเป็นคนหยิ่งมาก
แต่ก็ยังไม่กล้าที่จะยอมรับกับความผิดนี้
อย่างไรก็ตาม หยางเฉิน ไม่ต้องการให้ชูเฮิงลื่นไถล ดังนั้นเขาก้าวไปข้างหน้านิ้วมือของชูเฮิง
พร้อมกับที่หย่งเฉินตั้งคำถามต่อไปว่า
"อาจารย์อาชู พระราชวังหยางบริสุทธิ์ยังมีทักษะการบ่มเพาะจำนวนมากซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อสหายบ่มเพาะของนิกายอื่น
ท่านไม่คิดว่าพวกเขาควรจะเปิดเผยแพร่พวกมันต่อสาธารณชนด้วยหรือไม่? ข้าไม่ทราบว่าใครเป็นสหายนักเพาะปลูกที่อาจารย์อาชูกำลังพูดถึง แต่อาจารย์อาชูอาจจะบอกเราได้ว่าเป็นใคร
ต่อหน้าทุกคนภายใต้สวรรค์ เราควรถามเขาว่าบริสุทธิ์ใจหรือไม่ พระราชวังหยางบริสุทธิ์ต้องจัดการเรื่องเหล่านี้ด้วยวิธีการดังกล่าว"
หยางเฉินก้าวไปอีกก้าว ในขณะที่ชูเฮิงต้องถอยหลังกลับไปเมื่อถูกบังคับโดยหยางเฉิน
หยางเฉินก้าวไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว ชูเฮิงก็ถอยกลับเช่นกัน ราวกับว่าชูเฮิงไม่กล้าเผชิญหน้ากับหยางเฉิน
คำถามของหยางเฉิน ชูเฮิงยังไม่สามารถตอบได้ ดังนั้นนอกเหนือจากการถอนตัวดูเหมือนว่าไม่มีทางเลือกอื่นสำหรับเขา
อย่างไรก็ตามหลังจากที่เขาถอยหลังไปสองก้าว หลังของชูเฮิงก็ชนกับใครบางคน
และจากด้านหลังของเขาก็มีเสียงของตูเชี่ยนดังออกมา
"สหายชูโปรดตอบคำถาม เจ้าไม่จำเป็นต้องถอยหรือถอนตัว!"
ภายในน้ำเสียงของเขาแทบจะซ่อนความยินดีเอาไว้ไม่มิด
ร่างกายของชูเฮิงพลันแข็งขึ้นและถูกบังคับให้หยุดอยู่กับที่ตรงนั้น หยางเฉินไม่ได้ก้าวเข้าไปอีก
เขาหยุดอยู่กับที่พร้อมกับยิ้มออกมาบางๆและพูดว่า
"โชคดีที่สิ่งเหล่านี้เกิดจากการพูดภายในพระราชวังหยางบริสุทธ์ของเรา
ถ้ามันจะแผ่ขยายออกไปด้านนอกว่าอาจารย์อาชูฉ้อโกงอาจารย์และทรยศต่อนิกายนี้
มันย่อมจะนำความอัปยศมาสู่พระราชวังหยางบริสุทธ์ของเราและจะทำให้เกิดความเสียหายเป็นอย่างมาก
เพื่อชื่อเสียงของเรา!"
ถ้าไม่มีผู้เชี่ยวชาญระดับก่อลำต้นหลายคนในที่นี่ ชูเฮิงก็อาจที่จะฆ่าหยางเฉิน
ก่อนที่หย่างเฉินจะพูดความคิดของเขาออกมา แต่ตอนนี้ชูเฮิงสามารถยืนติดอยู่กับพื้นในสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้
เขาไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้
ในขณะนี้ ผู้ดูแลวิหารวิหารรัศมีจันทรา เหลียงเซาหมิง ซึ่งยังไม่ได้พูดอะไรออกมาจนกระทั่งบัดนี้
จู่ๆเขาก็พูดออกมาว่า
"นี่เป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องสร้างความวุ่นวายให้กับเรื่องนี้
ชูเฮิงเจ้ายังต้องควบคุมอารมณ์ตัวเองอยู่อีกมาก หลังจากการแข่งขันทักษะการต่อสู้ของนิกายในปีนี้
เจ้าจะต้องออกไปฝึกฝนเองที่ข้างนอก! หยางเฉินตามการลงโทษของผู้ดูแลซี เจ้าจะต้องเข้าสู่การฝึกอบรมแบบปิด
เมื่อเขาเปิดปากเอ่ยถึงข้อสรุปในเรื่องนี้ ไม่มีใครคัดค้านใดๆออกมา
หลังจากที่เขาได้มอบหมายบทรลงโทษเรียบร้อยแล้ว เหลียงเซาหมิงก็เริ่มพูดถึงเรื่องอื่นๆ
“กงซุนหลิง หยางเฉิน การชุมนุมภูเขาลอยฟ้าในปีนี้ เจ้าทั้งสองได้สร้างชื่อเสียงและความรุ่งโรจน์ให้กับนิกายของเรา
ดังนั้นผู้นำนิกายได้ตัดสินใจที่จะให้ของตอบแทนพวกเจ้า พวกเจ้าจะต้องอดทนและพยายามอย่างมากในการบ่มเพาะของพวกเจ้าและอย่าทำให้ความคาดหวังของพระราชวังหยางบริสุทธิ์ทั้งหมดต้องล้มเหลว!"
ขอบคุณครับ มาหลายตอนเลยทีเดียว วันนี้
ตอบลบพักยาวเลยนะ เจอกันโน่นนนนนน
ลบเมื่อไหร่มันจะตายซักทีเนี้ยซูเฮิงหมั่นไส้- -
ตอบลบวาจาเชือดเฉือนเป็นใบมีดโกนอาบน้ำผึ้ง
ตอบลบประสบการณ์มันต่างกันมาก
ตอบลบหน้าตานี่ลอยมาเลยฮะ
ตอบลบhttps://i.ytimg.com/vi/W8QRExBfQhs/hqdefault.jpg