"ย้ายไปที่ห้องกลั่นสกัดยาของเจ้า!"
โดยไม่มีข้อคัดค้าน จูเฉินเตาก็ยืนขึ้นเพื่อเดินออกไป
ด้วยการย้ายในครั้งนี้ คนอื่นๆที่ยังไม่กล้าลุกขึ้นยืนในก่อนหน้านี้
ต่างรีบลุกขึ้นยืน หากแต่ผู้ที่ดูแลตำหนักเก้าปฐพีได้รีบก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า
"ผู้อาวุโส
ในเมื่อท่านต้องการกลั่นสกัดยา หอโอสถมันน่าที่จะเหมาะสมหรือไม่? นอกจากนี้ ทุกคนยังต้องการที่จะสังเกต และเอาเยี่ยงอย่างทักษะการกลั่นสกัดยาของศิษย์น้องหยาง"
จูเฉินเตาไม่คิดว่าเหตุผลนี้จะเพียงพออีกทั้งความต้องการของผู้นำพระราชวังได้กล่าวไว้แล้วว่า
นิกายให้ความสำคัญกับยาเม็ดสวีนฉีนี้เป็นอย่างยิ่งและไม่ควรมีใครรับรู้ในเรื่องนี้
เมื่อได้ยินคำพูดของผู้ดูแลหอโอสถ
เขาก็ใช้มือของเขาแสดงออกมาอย่างตรงไปตรงมา
"เจ้ามีสมุนไพรที่หยางเฉินต้องการหรือไม่?
หรือเจ้ามีเตาหลอมยาของเขา ที่เขาสามารถใช้โดยไม่มีปัญหา?"
คำพูดไม่กี่คำได้เผยความคิดเห็นของจูเฉินเตาออกมา
โดยธรรมชาติทุกคนที่ได้ยินเรื่องนี้ต่างเข้าใจว่า จูเฉินเตาไม่ต้องการให้ใครก็ตามได้สังเกตดูหยางเฉินทำการกลั่นสกัดยาในที่นี่
พวกเขาแต่ละคนทำได้แต่เพียงตามหลังจูเฉินเตา และ
วางแผนที่จะตามไปดูยาอัศจรรย์ที่หยางเฉินได้กลั่นสกัด
เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น จูเฉินเตาขมวดคิ้วของเขาเล็กน้อย
"เจ้ากำลังทำอะไรกันอยู่?
ไม่มีการงานประจำวันที่จะต้องทำกัน? ไปทำงานของเจ้าซะ
ใครที่ไม่มีอะไรจะทำ ก็ไปฝึกบ่มเพาะซะ อย่าขี้เกียจ!"
แม้แต่คนโง่ก็สามารถเข้าใจได้ว่า จูเฉินเตาไม่ต้องการให้ใครติดตามเขา
ในขณะนี้เมื่อมองไปที่หยางเฉิน ทุกคนต่างรู้สึกอิจฉาเขาเป็นอย่างมาก
นี่เป็นถึงผู้เชี่ยวชาญระดับก่อลำต้นจากหอโอสถ หากสามารถทำให้ผู้ที่มีประสบการณ์ระดับก่อลำต้นนี้มีความสุขและชี้แนะเพียงไม่กี่คำ
มันก็จะเป็นประโยชน์ต่อชีวิตของพวกเขาตลอดชีวิต อะ! ช่างน่าเสียดาย
ที่พวกเขาไม่ได้รับโอกาสดังกล่าว!
เมื่อเห็นสิ่งนี้แล้ว ในใจของชูเฮิงก็ไม่แน่ใจว่าจะทำอะไรต่อไป
เขารีบโบกมือให้ทุกคนและรับคำสั่งออกมาดังๆ
"กลับไปทำงานของพวกเจ้าซะ!
ผู้อาวุโสโปรดอนุญาตให้ลูกศิษย์คนนี้ไปกับท่าน!"
"เจ้าจะช่วยอะไรข้า?
ในเมื่อเจ้าไม่มีธาตุไฟ เจ้าไม่สามารถเรียนรู้การกลั่นสกัดยาได้
เจ้าหวังว่าจะได้อะไรจากการติดตามข้า?"
จูเฉินเตา ไม่สนใจว่าชูเฮิงจะเป็นศิษย์สายในหรือไม่ หรือแม้แต่เขาจะเป็นถึงศิษย์สืบทอดก็ตาม
เขาทำการปฏิเสธอย่างจริงจัง
"เจ้าแน่ใจหรือว่ามันเป็นเรื่องง่ายที่จะเป็นศิษย์สืบทอด
เจ้าไม่มีเรื่องใดที่จะต้องทำในทุกวันนี้?"
เมื่อชูเฮิงได้รับคำตำหนิจาก จูเฉินเตา เขาก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยอะไรออกมาอีกนอกจากโค้งเพื่อขอโทษ
อย่างไรก็ตามเมื่อเขามองข้ามไปที่หยางเฉิน ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งร้าย
จูเฉินเตา เพิ่งสะดุดกับสายตาที่ชูเฮิงมองไปที่หยางเฉิน
เขาจึงกล่าวออกไปด้วยความไม่พอใจอย่างมากว่า
"เจ้ากำลังมองหาสิ่งใดกัน?
ทำไม? เจ้าอิจฉาศิษย์สายนอกเพียงเพราะเขาสามารถกลั่นสกัดยาได้ใช่หรือไม่?
ศิษย์วิหารรัศมีจันทรา ทำไมเจ้าถึงกลายเป็นผู้ที่ไม่คู่ควรกับความสุภาพของข้ามากเข้าไปอีก?
คำพูดเหล่านี้รุนแรงมาก ชูเฮิงไม่กล้าที่จะอยู่ในที่นี้
ทุกคนที่เฝ้าดูก็ไม่กล้าที่จะมองไปที่เขาตรงๆ และรีบจากไปอย่างรวดเร็ว
แม้หลังจากนี้ ดูเหมือนว่าจูเฉินเตาไม่เต็มใจที่จะยกโทษให้ชูเฮิงและตะโกนดังขึ้นต่อมาว่า
"เมื่อทำการบ่มเพาะ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือบ่มเพาะจิตใจและลักษณะตัวตนของเจ้า เจ้ายังต้องทำการฝึกควบคุมอารมณ์และสติบางอย่างให้มากขึ้น!"
หลายคนอาจจะหวังว่าพวกเขาจะได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญระดับก่อลำต้นในสักวันหนึ่ง
แต่ชูเฮิงดูไม่ค่อยมีความสุขในตอนนี้ คำพูดล่าสุดของจูเฉินเตา ทุกคนใน
ตำหนักเก้าปฐพีได้ยินอย่างชัดเจน ในทันทีทันใดนั้นชูเฮิงได้เสียหน้าไปอย่างมาก
หลังจากเหตุการณ์นี้สายตาของศิษย์หลายคนในตำหนักเก้าปฐพีจะต้องหันมามองเขาอย่างรังเกียจ
แน่นอนอยู่แล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ชูเฮิงถือว่าเป็นความผิดของหยางเฉินทั้งหมด
อย่างไรก็ตามหยางเฉินไม่สนใจชูเฮิง ตั้งแต่ที่หยางเฉินได้ถูกยกระดับว่ามีความสำคัญในสายตาของจูเฉินเตาแล้ว
เขาก็มีควรที่จะมีความสุขและพยายามทำให้ตัวเองมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น หยางเฉินได้เชิญจูเฉินเตาอย่างสุภาพไปที่ห้องปรุงยาเล็กๆของเขาและสั่งให้หูหลินเตรียมวัตถุดิบในทันที
เซิ่นต้า ติงหยวนและกูฉิน ยืนอยู่ข้างในรอคำสั่งเพราะกลัวว่า
จูเฉินเตาจะรู้สึกไม่พอใจ
ภายในห้องปรุงยา มันดูเรียบง่ายและไม่ค่อยมีอะไรมากมายนัก
มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในห้อง คนอื่นๆในตำหนักเก้าปฐพี
แม้ว่าจะมีความอยากรู้อยากเห็นอย่างมากอยู่ภายในใจ
พวกเขาก็ยังไม่กล้าที่จะมาเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสระดับก่อลำต้น
หูหลินกำลังสั่นเนื่องจากความกังวลใจ
หลังจากที่นายน้อยของเธอใช้เวลาเพียงเดือนเดียว และอย่างน่าแปลกใจที่เขาได้พบกับผู้อาวุโสระดับก่อลำต้น
ก่อนหน้านี้เธอไม่กล้าจินตนาการถึงเรื่องแบบนี้ แต่ในตอนนี้ผู้อาวุโสระดับก่อลำต้น
กำลังนั่งอยู่ข้างหน้าเธอ ทั้งหมดนี้ดูเหมือนจะเป็นความฝัน
แม้จะกังวลใจ แต่ทักษะพื้นฐานของหูหลินก็ค่อนข้างดี
ในไม่ช้าวัตถุดิบทั้งหมดที่ต้องใช้สำหรับการกลั่นสกัดยาได้เตรียมไว้อย่างถูกต้องและเรียบร้อย
แม้แต่ปริมาณที่ใช้ทั้งหมดต่างถูกชั่งน้ำหนักอย่างถูกต้อง
ไม่นานหลังจากนั้นหยางเฉินหยิบเตาหลอมยาของเขาออกมาจากถุงมิติและวางไว้ที่ด้านข้างหน้าเขา
"นี่เป็นเตาหลอมยาของเจ้า?"
เมื่อมองไปที่เตาหลอมนี้ซึ่งถึงขีดจำกัดแล้ว
จูเฉินเตาอดที่จะเผยความรู้สึกประหลาดใจออกมาไม่ได้ ด้วยเตาหลอมยานี้ หยางเฉิน
สามารถผลิตยาเม็ดสวีนฉีได้ สิ่งนี้หมายความว่าอะไร? มันอาจเป็นไปได้ว่ายาเม็ดพิเศษอื่นจากพระราชวังหยางบริสุทธิ์ผสมผสานเข้าไป?
การแสดงออกที่น่าประหลาดใจนี้ปรากฏอยู่บนใบหน้าของจูเฉินเตาชั่วครู่ก่อนที่จะหายไปในทันที
เขาสนใจที่จะรู้หยางเฉินจะใช้ทักษะอะไรในการกลั่นสกัดยา
เขาได้เห็นส่วนผสมที่ใช้และเมื่อวิเคราะห์แล้วพวกมันไม่ได้แตกต่างจากสมุนไพรทั่วๆไปมากนัก
มีความไม่สอดคล้องกันเล็กน้อยในปริมาณที่ใช้ แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้
จูเฉินเตาไม่สามารถผลิตยาสวีนฉี
สิ่งเดียวที่สามารถอธิบายความแตกต่างนี้ได้อย่างแม่นยำ
คือทักษะที่หยางเฉินใช้ในการกลั่นสกัดยา
ต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญระดับก่อลำต้น หยางเฉินไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากจริงจังมากขึ้น
เขานั่งลงในตำแหน่งของเขา มือทั้งสองของเขาเริ่มจับไปที่เตาหลอมและเริ่มทำงานต่อสายตาของทุกคน
ในตอนนี้บางสิ่งบางอย่างก็เปล่งประกายสว่างออกมาอย่างรวดเร็ว เปลวไฟสองสายได้ปรากฏบนมือของหยางเฉิน
เพียงแค่มองไปที่เปลวไฟในมือของหยางเฉิน จูเฉินเตาก็ตัดสินใจในทันทีว่านี่เป็นแค่ไฟธรรมดาของธาตุทั้งห้าเท่านั้น
และเปลวไฟไม่มีลักษณะพิเศษใดๆ
เรื่องนี้ไม่น่าแปลกใจเลยมันน่าจะเป็นเรื่องมหัศจรรย์ถ้าศิษย์สายนอกระดับรวบรวมลมปราณขั้นหนึ่งจะมีเปลวไฟที่เป็นเอกลักษณ์พิเศษ
ยาเม็ดสวีนฉี ยังไม่มีสัญญาณของเปลวไฟที่ผิดปกติ
ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่ามันเป็นเปลวไฟธรรมดา
ด้วยการควบคุมเปลวไฟของหยางเฉิน มันทำให้ตาของจูเฉินเตาเบิกกว้างจนดวงตาของเขาแทบจะทะลักออกมา
ในขณะที่ทั้งเปลวไฟสองสายที่บางเล็กเริ่มหมุน
เขารีบให้ความสนใจทั้งหมดไปที่เปลวไฟภายในเตาหลอมโดยไม่กระพริบตาแม้เพียงครั้งเดียว
เช่นเดียวกับการกลั่นสกัดในครั้งล่าสุด เมื่อส่วนผสมของสมุนไพรได้ถูกผสมเข้าด้วยกัน
พวกมันละลายเป็นของเหลวแล้วเริ่มหมุนไปรอบๆเตาหลอมและไม่นานหลังจากที่ผสมจนเป็นเนื้อเดียวกัน
สุดท้ายภายใต้การควบคุมเปลวไฟของหยางเฉิน มันก็ประสบความสำเร็จแบ่งกระจายเป็นชิ้นขนาดเล็กๆที่มีสัดส่วนกำลังดี
หลังจากนั้น จูเฉินเตาจ้องมองอย่างทำอะไรไม่ถูก
เนื่องจากหยางเฉินใช้ทักษะในการเก็บรวบรวมยาธรรมดาได้อย่างสมบูรณ์
ก่อนจะนำยาเม็ดที่ได้ออกมาแล้วเก็บไว้ในขวดหยก
ตั้งแต่ต้นจนจบ จูเฉินเตาได้เฝ้าดูทักษะของหยางเฉิน โดยไม่ละสายตา
ด้วยความสนใจอย่างมากเขาได้สังเกตและวิเคราะห์เคล็ดวิชาของหยางเฉินจนกว่า หยางเฉิน
จะเสร็จสิ้นการกลั่นสกัด
หลังจากที่หยางเฉินเก็บยาไว้ในขวดหยกแล้ว
จูเฉินเตาได้หยิบยาสวีนฉีขึ้นมาหนึ่งเม็ดและวางไว้ในปาก
ทันใดนั้นพลังลมปราณส่วนหนึ่งพยายามบุกรุกเส้นลมปราณของเขาในทันทีและหายไป
มันเป็นยาเม็ดสวีนฉีที่แท้จริง
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงหน้าจูเฉินเตา ทำให้เขาไม่สามารถสงสัยอะไรได้
ไม่มีส่วนผสมของยาที่พิเศษ ไม่มีเตาหลอมยาที่ลึกลับ
ไม่มีแม้แต่ยาที่แตกต่างกันและทักษะการเก็บรวบรวมยา สิ่งที่แตกต่างกันคือทักษะการควบคุมไฟของหยางเฉิน
ซึ่งเป็นทักษะที่สมบูรณ์แบบในสายตาของจูเฉินเตาผู้เชี่ยวชาญระดับก่อลำต้น
"เจ้า!
เจ้า!"
จูเฉินเตาชี้นิ้วไปที่หยางเฉิน เขาพูดคำเดียวกันออกมาสองครั้ง
ราวกับว่าเขายังไม่รู้ว่าเขาต้องการที่จะถามอะไร นี่เป็นครั้งแรกของจูเฉินเตาที่ต้องเผชิญกับศิษย์สายนอก
แต่มันก็ยังทำให้เขารู้สึกแบบนี้
พลังจิตวิญญาณของหยางเฉินค่อนข้างต่ำ
จูเฉินเตาไม่ได้คาดหวังว่าศิษย์ระดับรวบรวมลมปราณขั้นหนึ่งจะมีพลังจิตวิญญาณมาก
อย่างไรก็ตามหากพูดถึงความสามารถของเขาในด้านทักษะไฟ ที่เขาได้แสดงออกมาให้เห็น
แม้แต่จูเฉินเตาก็ไม่สามารถที่จะทำได้เช่นนี้เมื่อตอนที่เขาอยู่ระดับรวบรวมลมปราณขั้นหนึ่ง
ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาต้องพึ่งพาระดับบ่มเพาะก่อลำต้นแต่มันก็ยากที่จะทำได้สำเร็จ แต่หยางเฉินกลับทำมันออกมาได้อย่างง่ายดายซึ่งมันยากที่เขาจะสามารถทำได้เหมือน
มันเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องรู้ว่า หยางเฉินทำการควบคุมเปลวไฟสองเส้น รีดพวกมันออกจนบางเล็กและยาวจนถึงขีดจำกัดของเปลวเพลิง
เส้นของเปลวเพลิงนั่นบางมาก ที่แม้แต่ในสายตาของอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่เช่นจูเฉินเตาก็ยังสามารถมองพวกมันเหมือนกับด้ายไหมธรรมชาติ
แม้ว่าจะเป็นจูเฉินเตา แต่การบรรลุผลงานดังกล่าวก็ยังเป็นสิ่งที่ยากลำบากสำหรับเขา
และยิ่งไปกว่านั้นในระหว่างกระบวนการที่จำเป็น สำหรับการผสมยาเม็ด
ต้องไม่มีข้อผิดพลาดใดๆเกิดขึ้น
ในฐานะที่เป็นอาจารย์ปรุงยา จูเฉินเตา
เข้าใจอย่างชัดเจนมากกว่าครึ่งหนึ่งของหลักการที่อยู่เบื้องหลังยาเม็ดสวีนฉีนี้
หลังจากสังเกตเหตุการณ์ทั้งหมดในระหว่างการกลั่นสกัดยา ทั้งหมดที่มีอยู่ ก็คือว่าเปลวไฟที่พันเป็นเกลียวที่ถูกปิดผนึกอยู่ภายในยาเม็ดจะปรากฏทันทีหลังจากที่บริโภคและเมื่อพลันลมปราณพุ่งระเบิดออกมา
คนจะรู้สึกถึงพลังลมปราณที่อยู่ภายนอกซึ่งจะช่วยให้ผู้บ่มเพาะใหม่ได้รับรู้ถึงเส้นสายของลมปราณและจากนั้นก็จะสามารถเข้าสู่สถานะของการรับรู้พลังลมปราณได้อย่างรวดเร็วและนั่นคือทั้งหมดที่มีอยู่
ส่วนที่สำคัญของยาเม็ดสวีนฉีนี้ มาจากเกลียวสองเส้นของเปลวไฟ
พวกมันไม่ได้ตัดกัน ยิ่งพวกมันถูกรีดดึงออกไปยาวเท่าใด
คุณสมบัติยาก็จะเข้มข้นมากขึ้น ในกรณีที่ทั้งเส้นเปลวเพลิงทั้งสองเส้นตัดกัน
การรับรู้ถึงพลังลมปราณจะถูกทำลายในทันทีและแม้แต่เตาหลอมยาก็จะกลายเป็นเศษขยะ
สิ่งที่ทำให้จูเฉินเตารู้สึกตกใจก็คือว่า แม้ว่าเขาจะเข้าใจหลักการทั้งหมดที่อยู่เบื้องหลังของยาเม็ดสวีนฉีนี้
หากตัวเขาเองพยายามที่จะกลั่นสกัดยาเม็ดสวีนฉีด้วยวิธีนี้ เขาก็ไม่กล้ารับประกันความสำเร็จนี้ได้
อย่างไรก็ตามหยางเฉินที่อยู่ข้างหน้าเขา
ภายใต้ความกดดันของผู้เชี่ยวชาญระดับก่อลำต้น จะต้องรู้สึกว้าวุ่นมากขึ้นในการควบคุมไฟเพื่อกลั่นสกัดยาเม็ด
ถึงกระนั้นเขาก็ทำมันออกมาได้สำเร็จอย่างง่ายดาย จุดนี้ทำให้
จูเฉินเตารู้สึกว่าตัวเองนั่นด้อยกว่าหยางเฉิน
หลังจากคิดถึงเรื่องนี้ จูเฉินเตารู้สึกว่าตัวเองนั้นอ่อนหัด
เขาเป็นถึงอาจารย์ปรุงยาระดับก่อลำต้น มีประสบการณ์ในการกลั่นสกัดยานับครั้งไม่ถ้วน
ซึ่งมันมากกว่าหยางเฉินหลายเท่า
แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเตาหลอมและส่วนผสมยาสามัญเหล่านี้
แม้กระทั่งการใช้เตาหลอมเพื่อกลั่นสกัดยาจนรู้สึกหมดเรี่ยวแรง อย่างไม่คาดคิดเขานั้นจะอ่อนด้อยกว่าศิษย์ระดับรวบรวมลมปราณขั้นหนึ่ง
เขาทำมันได้อย่างไร?
"การควบคุมไฟนี้
เจ้าได้เรียนรู้มันมาจากที่ใด?"
จูเฉินเตาคิดทบทวนภายในใจของเขาและได้ตั้งคำถามที่เขาอยากรู้เป็นอย่างมากออกมา
ว่าใครเป็นผู้แนะนำหยางเฉินในการควบคุมเปลวไฟ ซึ่งมันทำให้หยางเฉินดูแปลกไปจากคนทั่วๆไปอีกทั้งมันทำให้เขารู้สึกด้อยกว่า?
"ตอนที่ข้าอยู่ที่ตำหนักเย่ซิว
ผู้ดูแลซ่างกวนเฟงได้ชี้แนะข้าอยู่ครั้งหนึ่ง"
หยางเฉินได้คิดหาข้ออ้างเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการซักถามจากจูเฉินเตา
เขาไม่ได้แม้แต่จะรู้สึกหงุดหงิด และพูดออกไปอย่างตรงไปตรงมา
"เขากล่าวว่า
ในเมื่อข้ามีรากจิตวิญญาณเป็นธาตุไฟ
ดังนั้นในอนาคตเมื่อข้าบ่มเพาะไม่ว่าจะเป็นเรื่องการต่อสู้
การปรับแต่งเครื่องมือหรือการกลั่นสกัดยาเม็ดทั้งหมดจะเชื่อมโยงกับการควบคุมเปลวไฟของข้า
เขายังกล่าวตักเตือนข้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งว่า
ข้าต้องสามารถควบคุมเปลวไฟให้ได้อย่างคล่องแคล่ว ข้าปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ดูแลซ่างกวนเฟงและหลังจากที่ข้าได้เข้าระดับรวมรวมลมปราณขั้นหนึ่ง
ข้าได้ฝึกควบคุมเปลวไฟของข้ามานานกว่าครึ่งปี"
"เจ้าทำการบ่มเพาะโคจรเพียงวันละหนึ่งรอบ
แล้วก็ฝึกควบคุมเปลวไฟมานานกว่าครึ่งปี?"
จูเฉินเตารู้สึกตกใจ เมื่อได้ยินเกี่ยวกับประสบการณ์ของหยางเฉิน
ศิษย์คนนี้หลังจากที่เข้าสู่ พระราชวังหยางบริสุทธิ์ ภายในระยะเวลาหนึ่งปีครึ่ง
เขาสามารถเข้าถึงระดับรวบรวมลมปราณขั้นหนึ่งแล้วก็กลายมาเป็นศิษย์สายนอก
ความเร็วเช่นนี้อาจจะถือได้ว่าเทียบเท่ากับคนที่มีความเข้าใจในเรื่องการบ่มเพาะที่ดีมาก
และโดยไม่คาดคิด เขายังฝึกควบคุมเปลวไฟมามากกว่าครึ่งปี หรืออาจกล่าวได้ว่าเขาสามารถเข้าถึงระดับรวมรวมลมปราณขั้นหนึ่งได้ภายในหนึ่งปี
เซิ่นต้า และคนรับใช้คนอื่นๆ
ที่ยืนอยู่ด้านข้างต่างตกตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน แต่มันก็ทำให้ความสงสัยที่เคยอยู่ในใจได้รับความกระจ่าง
ในตำหนักเย่ซิว หยางเฉินทำการเก็บตัวฝึกฝน
ในช่วงเวลานั้นพวกเขาได้รับรู้ถึงความผันผวนของพลังจิตวิญญาณบางอย่าง
แต่ในเวลานั้นหยางเฉินไม่ได้เปิดเผยอะไร ดังนั้นพวกเขาจึงเก็บข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้
หากแต่ในตอนนี้พวกเขาเข้าใจแล้วว่า หยางเฉินไม่เพียงแต่บ่มเพาะวันละครั้ง
แต่เขายังฝึกทักษะการควบคุมเปลวไฟอีกด้วย
เมื่อเทียบกับอาการตกใจของจูเฉินเตา
ในใจของเซิ่นต้าและคนรับใช้อื่นๆนั้นราวกับคลื่นพายุที่ยกระดับเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
แม้ว่าพวกผู้อาวุโสจะไม่รู้ พวกเขารู้ว่าถนนแห่งการบ่มเพาะของหยางเฉินเป็นเรื่องยากแค่ไหน
ช่วงระยะเวลาที่หยางเฉินได้เรียนรู้ตัวอักษรและพื้นฐานอื่นๆ ถูกลดทอนลง
ดังนั้นเวลาที่หยางเฉินได้เริ่มทำการบ่มเพาะจนถึงระดับรวบรวมลมปราณขั้นหนึ่งย่อมน้อยกว่านั้น
ซึ่งอาจจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆเพียงแค่ครึ่งปี พวกเขารู้ว่าไม่เคยมีใครในพระราชวังหยางบริสุทธิ์สามารถทำสิ่งนี้ได้สำเร็จเช่นที่หยางเฉินทำมาก่อน
"มันเป็นเพราะคำพูดของ
ซ่างกวนเฟง เจ้าทำการฝึกด้วยตัวเองจนสามารถอยู่ในระดับนี้?"
เมื่อเห็นหยางเฉินพยักหน้ายอมรับ
ความประหลาดใจและตกใจหายไปจากใจของจูเฉินเตา
อาการตกใจนี้แตกต่างไปจากเซิ่นต้าและคนอื่นๆ จูเฉินเตารู้สึกตกในเรื่องความเข้าใจในการบ่มเพาะของหยางเฉินที่มีมากอย่างยิ่ง
สำหรับคนที่ประสบความสำเร็จในการบ่มเพาะ นอกเหนือจากรากจิตวิญญาณตามลักษณะของธาตุที่เกิดขึ้นเอง
สิ่งที่สำคัญที่สุดอื่นๆ เช่นความเข้าใจและความเอาใจใส่ตนเอง
พร้อมด้วยความช่วยเหลือที่เขาได้รับจากคนอื่น
แม้ว่าคนที่มีรากจิตวิญญาณที่มีคุณค่า แต่ไม่เข้าใจในเรื่องการบ่มเพาะ
เขาก็ไม่สามารถที่จะทำการบ่มเพาะด้วยตัวเขาเองได้
หยางเฉินไม่ได้รับความช่วยเหลือจากใคร
เพียงแค่ทำตามคำแนะนำของซ่างกวนเฟง
ศิษย์ใหม่ผู้ซึ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นศิษย์สายนอก
เขาได้ฝึกควบคุมเปลวไฟในขอบเขตของเขา สิ่งนี้ทำให้จูเฉินเตาไม่สามารถหาคำอธิบายใดๆออกมาได้
เขาสามารถใช้คำว่า ‘คนไม่ปกติ’
เพื่ออธิบายความสามารถนี้ออกมาได้อย่างสมบูรณ์
จูเฉินเตามีแรงกระตุ้นอย่างฉับพลัน
ศิษย์ที่มีพรสวรรค์ที่แท้จริงเช่นนี้
ผู้นำพระราชวังหยางบริสุทธิ์ควรรู้เกี่ยวกับเขา
ศิษย์สายนอกคนนี้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความกดดันของผู้เชี่ยวชาญนระดับก่อลำต้น
เขายังสามารถพูดตรงไปตรงมาและในขณะที่ทำการกลั่นสกัดสมุนไพร
ก็ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความสับสนแม้แต่น้อย ศิษย์นี้มีศักยภาพที่จะเติบโตสูงที่สุดในบรรดาศิษย์ที่ได้รับคัดเลือกโดยพระราชวังเหยางบริสุทธิ์ในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา
ถ้าศิษย์คนนี้ไม่ได้รับการบ่มเพาะอย่างระมัดระวังแล้วมันอาจทำให้พระราชวังหยางบริสุทธิ์เกิดความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ได้
"เอาละ
หยางเฉิน ข้าจะไม่ถือว่าเจ้าเป็นศิษย์สายนอก
และเจ้าก็ไม่ควรนับถือว่าข้าเป็นผู้อาวุโส ไม่ต้องสนใจสถานะระหว่างพวกเรา พวกเราจะทำการตรวจสอบการควบคุมเปลวไฟของเจ้า
เจ้าต้องการที่จะพูดอะไรหรือไม่?"
ยิ่งเขามองไปที่หยางเฉินมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งชอบหยางเฉินมากขึ้นไปอีก
จูเฉินเตามีความต้องการที่จะรับหยางเฉินเป็นศิษย์อย่างฉับพลัน
แต่เขารู้ดีว่าในปัจจุบันนี้ไม่สามารถทำได้ แต่เขายังสามารถให้คำแนะนำแก่หยางเฉินได้
แน่นอนเขาไม่ต้องการให้หยางเฉินเดินทางผิด
เมื่อคำพูดเหล่านี้ออกมาจากปากของจูเฉินเตา เซิ่นต้า ติงหยวน หูหลิน
กูฉิน ทั้งสี่คนต่างรู้สึกกลายเป็นคนโง่ ใครคือจูเฉินเตา? สำหรับทั้งสี่คนนี้เขาเป็นคนที่อยู่ในตำนาน!
แม้แต่ศิษย์สายนอกคนใดได้เห็นเขา พวกเขาย่อมต้องคุกเข่าคารวะให้แก่ผู้อาวุโส
แต่จูเฉินเตาเขากำลังพูดถึงอะไร? ไม่ต้องสนใจสถานะของพวกเขา?
เพื่อตรวจสอบร่วมกัน อย่างเท่าเทียมกัน? พวกเขาได้ยินผิดหรือไม่
หรือว่าโลกนี้กำลังจะเป็นบ้า?
"ข้าจะให้ผู้อาวุโสลดตัวลงมาได้อย่างไร"
อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าหยางเฉินไม่ได้ตระหนักถึงเจตนารมณ์โดยนัยของจูเฉินเตา
เขาทำการตอบอย่างสุภาพ จากนั้นก็พูดออกมาในทันทีว่า "ข้าไม่ค่อยเข้าใจในสถานการณ์เช่นนี้
ผู้อาวุโสได้โปรดชี้แนะ!"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น