หลังจากได้ยินคำพูดเช่นนี้มันทำให้เซิ่นต้าราวกับอยู่ในสวรรค์ชั้นที่เจ็ด
เขาเดาได้ว่ามันเป็นจริง แม้ว่าหยางเฉินจะมีพลังรวบรวมลมปราณขั้นที่หนึ่ง
แต่เขาก็ยังมีมุมมองและความคิดอีกทั้งความรอบรู้ เขาสามารถมองเห็นคอขวดการบ่มเพาะของทุกคนได้อย่างง่ายดายและยังให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการที่จะก้าวผ่านคอขวดได้
ซ่างกวนเฟงและหวังหยวนก็เช่นเดียวกันและตอนนี้ก็ถึงเวลาของเขา
ตอนแรกเขารู้สึกสงสัยเกี่ยวกับหยางเฉิน หลังจากที่เขาค้นพบว่าหยางเฉินมีความคิดที่กว้างไกลมาก
แต่เขาไม่เคยยกเรื่องนี้ขึ้นต่อหน้าคนอื่นแต่ตอนนี้หลังจากฟังคำพูดของ หยางเฉินแล้ว
แม้ว่าคนอื่นๆจะคิดว่าเขาโง่ก็ตามเขาก็จะทำหน้าที่ดูแลหยางเฉินต่อไป
สักครู่หนึ่งคนอื่นๆที่เหลืออีกสามคนมองไปเซิ่นต้า ด้วยความอิจฉาเซิ่นต้าที่ได้รับคำแนะนำจากหยางเฉินอย่างฉับพลัน
แต่พวกเขาไม่รู้ว่าพวกเขาจะได้รับโอกาสอะไรเช่นนี้หรือไม่
"เซิ่นต้า ระดับการรวบรวมลมปราณของเจ้ามีอยู่อย่างพอเพียงแล้ว
เจ้าเพียงไม่ทราบถึงวิธีการที่ก้าวผ่านคอขวด"
หยางเฉินชายตามองไปหูหลิน ติงหยวนและกูฉินและรู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่และกล่าวว่า
"พวกเจ้ายังขาดอีกมาก ต้องพยายามให้มาก!"
"รับทราบ นายน้อย!"
ทั้งสามตื่นขึ้นมาสู่ความเป็นจริงและกล่าวรับกับหยางเฉิน
หลังจากที่หยางเฉินพูดเสร็จแล้ว ก็ยังไม่ได้ขับไล่พวกเขาออกไป หากแต่ยกมือขึ้น
ปรากฏมีลูกไฟขึ้นอีกครั้ง เปลวไฟที่ละเอียดอ่อนบนมือของหยางเฉิน เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นรูปแบบต่างๆ
สักครู่หนึ่งมันกลายเป็นด้ายไฟบางๆ บางช่วงเวลามันกลายเป็นลูกไฟและในบางครั้งมันก็กลายเป็นสัตว์ที่ดูสมจริงที่สร้างมาจากไฟ
ในมือของหยางเฉิน เปลวเพลิงดูราวกับว่ามันมีชีวิตขึ้นมา
เมื่อทั้งสี่คนรับใช้เห็นการควบคุมไฟที่ดูง่ายดายของหยางเฉิน พวกเขาต่างรู้สึกมึนงง
เปลวไฟยังสามารถใช้ในลักษณะที่เป็นของเล่นได้ด้วย? โดยเฉพาะกูฉิน ผู้ฝึกฝ่ามือเจิดจ้าที่เห็นได้ชัดว่ามีรากจิตวิญญาณธาตุไฟเหมือนกับหยางเฉิน
กำลังจ้องมองอย่างเขม็ง จนดวงตาของเขาเกือบจะหลุดออกมา
นั่นเป็นเหตุผลที่หยางเฉิน สามารถปรับแต่งเอาสิ่งสกปรกออกจากยาเม็ดได้อย่างง่ายดาย
การเรียนรู้ที่ยอดเยี่ยมนี้เกี่ยวกับทักษะการควบคุมไฟในระดับสูง มันดูเหนือกว่าศิษย์สายในที่เข้าถึงระดับก่อสร้างรากฐาน
คนรับใช้ทั้งหมดสี่คนต่างรู้สึกชื่นชมยกย่องหยางเฉินเป็นอย่างมาก
"บางครั้งการบ่มเพาะไม่ได้มีไว้เพียงแค่สำหรับการต่อสู้เท่านั้น"
คำพูดของหยางเฉินดังก้องอยู่ในหูของคนรับใช้ทั้งสี่คน
"คิดเกี่ยวกับเส้นทางอื่นๆที่จะปฏิบัติ มันก็จะขยายขอบเขตความสามารถของพวกเจ้า
การบ่มเพาะนั้นไม่เพียงแค่ยึดติดกับการได้รับพลังเวท แต่การควบคุมมันยังเป็นสิ่งที่สำคัญอีกด้วย!"
เมื่อตอนที่หยางเฉินเข้าถึงระดับก่อลำต้นในชีวิตก่อนหน้านี้เขาก็ตระหนักดี
และแน่นอนว่าในชีวิตนี้เขาจะไม่ทำผิดพลาดในจุดเดิม
ในสายตาของคนทั้งสี่ที่ฟังคำพูดเหล่านี้ มันราวกับว่าเป็นเสียงระฆังตอนเช้าซึ่งปลุกพวกเขาให้ตื่นขึ้นสู่โลกใหม่ทั้งหมด
เดิมทีพวกเขาทำการบ่มเพาะด้วยพลังทั้งหมดของพวกเขาเพื่อที่จะบุกเข้าสู่ดินแดนต่อไปและสามารถมีกำลังต่อสู้
แต่ตอนนี้พวกเขาค้นพบว่าพวกเขาได้แยกออกจากถนนสายหลักแล้ว
ขอบคุณมากที่นายน้อยหยางให้คำแนะนำแก่เรา!"
ทั้งสี่คนแสดงความขอบคุณต่อหยางเฉิน คราวนี้หยางเฉินไม่หยุดยั้งพวกเขาและโบกมือสั่งให้พวกเขาออกไป
จากนั้นเขาก็เริ่มทำการสกัดกลั่นพลังเวทที่พลุ่งพล่านอยู่ภายในร่างกายของเขาและเริ่มปรับแต่งมันก่อนที่จะไปที่ตำหนักเก้าปฐพี
เขาควรจะทำยันต์ประดิษฐ์ไว้อีกสักสองสามชิ้น
ยันต์ประดิษฐ์ระดับสูง จำเป็นต้องใช้วัสดุที่มีระดับที่สูงกว่าและพลังเวทที่มากกว่า
หลักการก็เหมือนกับการทำยันต์กระดาษ แต่ยันต์ประดิษฐ์จะมีพลังมากกว่าอย่างน้อยสองถึงสามเท่า
ก่อนหน้านี้หยางเฉินไม่สามารถหาวัสดุสำหรับทำยันต์ประดิษฐ์ได้ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำยันต์กระดาษ
แต่ตอนนี้เขาสามารถพิจารณาที่จะทำยันต์ประดิษฐ์ได้แล้ว
ขณะที่หยางเฉินกำลังสกัดกลั่นพลังเวท ภายในตำหนักเก้าปฐพีของพระราชวังหยางบริสุทธิ์ที่ภูเขาเหมยชิง
ศิษย์แลกเปลี่ยน ชูเฮิง รู้สึกโกรธกับคำสั่งของหวังหยวนจาก ตำหนักเย่ซิว
หยางเฉินผู้เตรียมเป็นศิษย์ ซึ่งถูกคัดเลือกมาเมื่อปีที่แล้ว คนที่เป็นมือเพชฌฆาต
ในระยะเวลาสั้นๆเพียงหนึ่งปีครึ่ง เขาสามารถก้าวผ่านเขตแดนของระดับรวมรวมลมปราณขั้นหนึ่ง
และภายในไม่กี่วันเขาจะถูกส่งไปยังตำหนักเก้าปฐพี
ชูเฮิงเป็นคนที่มีความภาคภูมิใจมากและรู้สึกว่าถ้าเขาจะจัดการกับมนุษย์ธรรมดาโดยใช้สถานะของเขาในฐานะศิษย์ในระดับก่อสร้างรากฐานนั้นจะทำให้เขาเสียหน้า
แต่เนื่องจากงานที่ได้รับมอบหมายจากหลี่ฉิงเฉินแห่งนิกายสวรรค์ยิ่งใหญ่ เขาได้สั่งให้ซุนไห่จิ้งทำให้หยางเฉินพบกับความยากลำบากในขณะที่นิกายกำลังสรรหาศิษย์ใหม่เข้านิกาย
เพื่อที่หยางเฉินจะไม่ได้รับโอกาสใดๆ แต่หลังจากนั้นตูเชี่ยนก็ได้ปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่คาดคิด
และหยางเฉินได้ใช้โอกาสนั้นเพื่อเอาชนะซุนไห่จิ้งซึ่งทำให้ชื่อเสียงของชูเฮิงเสียหาย
ไม่นานหลังจากนั้นชูเฮิงบอกทุกอย่างกับผู้ดูแลทั้งสองของ ตำหนักเย่ซิว
และขอให้พวกเขาสร้างอุปสรรคให้กับหยางเฉิน กฎที่เขากำหนดก็ถูกนำมาใช้อย่างถูกต้องในตำหนักเย่ซิว
ไม่เพียงแต่ในสถานการณ์เช่นนี้แล้วหยางเฉินยังคงสามารถบ่มเพาะและเข้าถึงระดับรวบรวมลมปราณขั้นหนึ่งได้
เขายังเป็นคนแรกที่บรรลุเป้าหมายในหมู่ศิษย์ยี่สิบคนภายในปีแรก สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก
แต่เดิมเขาเชื่อว่าด้วยความช่วยเหลือของผู้ดูแลทั้งสองในการจัดการเรื่องนี้และกฎที่เขาได้ประกาศไว้แล้ว
ซึ่งไม่มีใครกล้าที่จะทำลาย มันจะสามารถจัดการหยางเฉินได้ แต่ตอนนี้มันดูราวกับว่าพวกมันไม่มีผลใดๆ
เขาไม่รู้ว่าใครเป็นคนช่วย หยางเฉิน ถ้าเขารู้ มันผู้นั้นต้องจ่ายค่าตอบแทนกลับคืนมาอย่างสาสม
อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาต้องคิดอย่างจริงจังเกี่ยวกับการจัดการกับหยางเฉิน
การยอมให้หยางเฉินกลายเป็นศิษย์สายนอก นั่นจะทำให้เขาทำผิดสัญญาและชูเฮิงก็ไม่อาจอนุญาตให้สิ่งนี้เกิดขึ้นได้แต่หยางเฉินได้มาถึงระดับรวบรวมลมปราณขั้นหนึ่งแล้วและเขาก็ไม่สามารถทำอะไรเพื่อกีดกันหยางเฉินได้
ดังนั้นสิ่งเดียวที่ชูเฮิงสามารถทำได้ก็คือไปพบซุนไห่จิ้งและแจ้งให้เขาทราบเกี่ยวกับข่าวนี้
"เจ้าจะต้องขัดขวางไม่ให้หยางเฉินมาถึงตำหนักเก้าปฐพี!"
ชูเฮิงยื่นคำขอของเขาออกไปอย่างกะทันหันด้วยเสียงเย็นชา
"เจ้าจะใช้วิธีการใดๆนั้นข้าไม่สนใจ แต่เจ้าไม่สามารถให้ใครรู้ว่าเจ้าเป็นผู้ทีทำลายกฎของนิกาย
มิฉะนั้นข้าจะไม่สามารถช่วยเจ้าได้ แน่นอนว่าสิ่งที่เจ้าทำนั้นข้าไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น
เจ้าเข้าใจหรือไม่?
ซุนไห่จิ้งเร่งรีบพยักหน้าและตอบอย่างสุภาพ
"รับทราบ อาจารย์!"
ฟิ้ว
รังสีแสงบินจากมือของชูเฮิงไปยังซุนไห่จิ้ง
"นี่เป็นอุปกรณบ่มเพาะเพื่อช่วยเจ้าสกัดกลั่น
เจ้าควรสกัดกลั่นมันให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งจะช่วยให้เจ้าได้รับความช่วยเหลือในด้านความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ!
ยิ่งกว่านั้นจงเอาหินจิตวิญญาณเหล่านี้ไปด้วย เพื่อเป็นค่าใช้จ่าย!"
"ขอบคุณมาก อาจารย์!"
ซุนไห่จิ้งดีใจและส่งเสียงขอบคุณเสียงดังอีกครั้งหนึ่ง ด้วยท่าทีที่เคารพ
ระหว่างศิษย์ที่มีต่ออาจารย์ หลังจากที่ชูเฮิงจากไป ซุนไห่จิ้งก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมเผยรอยยิ้มที่เป็นอันตรายแผ่กระจายไปทั่วใบหน้าของเขา
สายตาทั้งสองข้างของเขาเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม
สิบวันผ่านไป หยางเฉินกำลังจะออกจากตำหนักเย่ซิวไปยัง ตำหนักเก้าปฐพี ภูเขาเหมยชิงมีขนาดใหญ่มาก
ระยะห่างระหว่างตำหนักเย่ซิวและตำหนักเก้าปฐพี หากต้องเดินด้วยเท้าจะใช้เวลาเดินทางห้าวันเต็มสำหรับคนธรรมดา
แม้ว่าเขาจะเป็นศิษย์รวบรวมลมปราณขั้นหนึ่ง แต่เขาไม่เคยเรียนรู้เคล็ดวิชาการบินหรือทะยานฟ้าใดๆเลย
ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องใช้เวลาเดินทางประมาณสามวัน ระยะเวลานี้เพียงพอสำหรับ ซุนไห่จิ้งเพื่อทำการวางแผนอุบัติเหตุบางอย่าง
ความทรงจำเมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมาเมื่อหยางเฉินทำให้เขาพ่ายแพ้จนไม่ได้สติต่อหน้าสหายศิษย์ทั้งหลาย
มันทำให้เความโกรธแค้นฝังแน่นอยู่ภายในจิตใจของซุนไห่จิ้ง เมื่อหยางเฉินเดินทางออกมาจากตำหนักเย่ซิว
ซุนไห่จิ้งจะเอาชีวิตของหยางเฉิน ในตอนนี้ด้วยการสนับสนุนของชูเฮิง ซุนไห่จิ้งจะไม่ยอมให้หยางเฉินอยู่นานพอที่จะเข้าสู่ตำหนักเก้าปฐพีได้
ในช่วงเวลาสิบวันที่ผ่านมาหยางเฉินไม่ได้ฝึกซ้อม หากแต่ทำยันต์สองสามชิ้น
เมื่อเขากำลังเตรียมยันต์เหล่านี้คนอื่นๆ ไม่ได้อยู่รอบๆ ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่านอกเหนือจากพลังจิตวิญญาณธาตุไฟแล้ว
เขายังสามารถถ่ายเทพลังจิตวิญญาณธาตุอื่นลงไปในยันต์
ยันต์เกรดสูงสองสามชิ้นนี้ ได้ผ่านเคล็ดวิชากลั่นสมบัติจิตวิญญาณสวรรค์
ดังนั้นเมื่อเทียบกับยันต์แบบปกติพวกมันจึงมีอำนาจค่อนข้างมาก
หลังจากผ่านไปเจ็ดวัน เซิ่นต้า ก็ออกมาจากการเก็บตัวฝึกบ่มเพาะ
สีหน้าของเขาดูแจ่มใสและการแสดงออกทางสายตาของเขาก็ยิ่งดูสดใสขึ้นไปอีก ในที่สุดเขาก็ข้ามระดับรวบรวมลมปราณไปถึงขั้นที่สี่ด้วยคำแนะนำและความช่วยเหลือของ
หยางเฉิน และผลของยาเม็ดลมปราณสามเม็ด ทำให้หูหลิน ติงหยวนนและกูฉินรู้สึกอิจฉา เมื่อพวกเขาได้เห็นรูปลักษณ์ของเซิ่นต้า
แต่ในขณะเดียวกันก็มีความคาดหวังเกิดขึ้นมากมายภายในหัวใจของพวกเขาสิ่งที่เซิ่นต้าประสบในวันนี้พวกเขาอาจประสบกับพรุ่งนี้
เงื่อนไขเดียวก็คือพวกเขายังได้รับคำแนะนำของหยางเฉินเช่นเซิ่นต้า
ในวันที่เก้าทั่วทั้งตำหนักเย่ซิวต่างได้ยินเสียงหัวเราะดังปนเปด้วยความตื่นเต้นของหวังหยวน
พร้อมกับภาพเงาของหวังหยวนปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้าและกระโจนเข้ามาที่หอล้ำเลิศโดยตรง
"ฮ่าฮ่า!"
คล้ายกับเมื่อซ่านกวนเฟงที่ประสบความสำเร็จในการก่อสร้างรากฐานของเขา
ในวันนี้หวังหยวนก็มาถึงหอล้ำลึกและระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
"ศิษย์น้องหยาง คำพูดของเจ้าในช่วงเวลานั้นมันทำให้ศิษย์พี่ก้าวเข้าสู่ระดับรวบรวมลมปราณขั้นเก้า!"
หยางเฉินเร่งรีบออกไปต้อนรับ และรับฟังคำพูดของหวังหยวนพร้อมแสดงความยินดีกับเขาซ้ำๆ
"ขอบคุณศิษย์น้อง นี่เป็นพรที่ศิษย์น้องมอบให้อย่างแท้จริง!"
หวังหยวนหัวเราะเบาๆออกมา และป้องมือของเขาเพื่อทำความขอบคุณหยางเฉิน หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เหลือบไปที่
เซิ่นต้า ที่ยืนอยู่ข้างหลังหยางเฉิน
เขาแปลกใจมากและหลังจากตรวจสอบเซิ่นต้าครู่หนึ่ง เขาก็พยักหน้าไปที่เซิ่นต้าและกล่าวว่า
"ขอแสดงความยินดี เซิ่นต้าเจ้าคงฝึกอย่างหนัก เจ้าไปได้ไกลอย่างแน่นอน!"
"ทั้งหมดนี้เป็นเพราะคำชี้แนะของนายน้อยหยาง"
เซิ่นต้า รีบตอบ เขาเป็นข้ารับใช้ สถานะของเขาค่อนข้างแตกต่างจากศิษย์และเขาก็ไม่กล้าที่จะเรียกร้องความดีความชอบใดๆ
"ความคิดและมุมมองของนายน้อยหยางย่อมเป็นการนำทางที่ดี!"
หวังหยวนไม่ค่อยแปลกใจมากนักเห็นได้ชัดว่าเขาได้เดาว่าความสำเร็จของซ่านกวนเฟง
ในระดับก่อสร้างรากฐานของเขามีอะไรบางอย่างเกี่ยวข้องกับหยางเฉิน
"ทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับคำแนะนำก่อนหน้านี้ของศิษย์พี่ สิ่งที่ข้าได้ทำก็เพียงแค่ฟังคำพูดของศิษย์พี่
และพูดถึงบางส่วนของพวกมันอีกครั้งเท่านั้นเอง"
หยางเฉินกล่าวคำพูดเล็กๆน้อยๆ และผลักดันความดีความชอบทั้งหมดไปให้หวังหยวน
หลังจากพูดถึงเรื่องเหล่านี้หวังหยวนกล่าวว่า
"ศิษย์น้องหยาง เช้าตรู่วันพรุ่งนี้ข้าจะจัดให้คนพาเจ้าไปยัง ตำหนักเก้าปฐพี
แต่น่าเสียดายศิษย์พี่เป็นผู้ดูแลตำหนักเย่ซิว ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถที่จะออกไปโดยไม่ได้รับอนุญาต
มิฉะนั้นข้าก็จะพาเจ้าไป”
"ข้าไม่กล้าที่จะรบกวนศิษย์พี่เช่นนั้น!"
หยางเฉินปฏิเสธอย่างสุภาพแล้วพูดอีกครั้ง
"น้องเล็กของท่านมีคำขอ! ข้ารับใช้ไม่กี่คนนี้ทำหน้าที่ดูแลข้าโดยไม่มีปัญหามานานกว่าหนึ่งปี
ดังนั้นข้าจึงอยากพาพวกเขาไปที่ตำหนักเก้าปฐพีด้วย หวังว่าคำขอนี้จะไม่สร้างปัญหาใดๆให้กับศิษย์พี่?"
"ปัญหาอะไร? เพียงแค่นำพวกเขาไปพร้อมกับเจ้า!"
หวังหยวนไม่ได้พิจารณาเรื่องนี้ว่าเป็นปัญหาใดๆ ศิษย์ทางการทุกคนสามารถเก็บข้ารับใช้ที่คุ้นเคยไว้กับตัวเองได้
อย่างไรก็ตามเขาก็อิจฉาความโชคดีของเซิ่นต้า และคนอื่นๆ
ไม่ว่าจะเป็นตำหนักเย่ซิวหรือตำหนักเก้าปฐพี ทั้งสองที่ต่างมีคนรับใช้
บางคนก็มีระดับการบ่มเพาะที่สูงกว่าศิษย์ทางการด้วยซ้ำ พวกเขาเหล่านี้ต่างเคยเป็นศิษย์แต่เนื่องจากขาดพรสวรรค์ตามธรรมชาติ
ความหวังในอนาคตของพวกเขาจึงถูกจำกัด และด้วยเหตุนี้พวกเขาถูกบังคับให้กลายเป็นข้ารับใช้
แต่พวกเขาทั้งหมดก็ได้รับการบ่มเพาะมาเป็นเวลานานและหลายคนถึงระดับรวบรวมลมปราณขั้นที่เก้า
หรือแม้กระทั่งจุดสูงสุดของระดับรวบรวมลมปราณ
เมื่อพูดถึงศิษย์ที่เป็นทางการ การที่จะมีข้ารับใช้ที่มีระดับการบ่มเพาะสูงกว่าพวกเขา
ทั้งสองสามารถสนับสนุนและกระตุ้นให้พวกเขาใช้ความพยายามมากขึ้นในการฝึกฝน วิธีนี้ไม่ใช่สิ่งที่พิเศษแปลกใหม่อะไร
แต่มันถูกใช้กันอย่างทั่วไปในนิกาย อีกในมุมมองหนึ่งสำหรับศิษย์ที่กลายเป็นข้ารับใช้เหล่านี้
ด้วยความเข้าใจที่ต่ำเพื่อที่จะก้าวต่อไปและในเวลาเดียวกันก็ยังเป็นแรงจูงใจสำหรับเหล่าศิษย์ใหม่นั่นคือการยิงนกสองตัวด้วยหินก้อนเดียว
เมื่อหยางเฉินได้ขอให้คนรับใช้ทั้งสี่ติดตามไปด้วย ในเช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อหวังหยวนออกมาส่งพวกเขาเพื่อเดินทางไปยังตำหนักเก้าปฐพี
นอกเหนือจากพวกเขาแล้ว ยังมีคนรับใช้อีกคนหนึ่งที่กำลังเดินนำหน้าหยางเฉินไป
ข้างหลังหยางเฉินมีคนรับใช้ชายสองคนและหญิงสองคนเดินตามไป
ภูเขาเหมยชิงอยู่ภายใต้การควบคุมของพระราชวังหยางบริสุทธ์ เทือกเขาทอดยาวออกไปเป็นวงรอบประมาณสองพันลี้
ตำหนักเย่ซิวได้รับการยอมรับว่าเป็นพื้นที่ที่มีพลังจิตวิญญาณน้อยที่สุด ตำหนักเก้าปฐพีตั้งอยู่ห่างออกไปราวแปดร้อยลี้มุ่งสู่ภูเขาเหมยชิงและมีพลังจิตวิญญาณที่หนาแน่นขึ้น
คนรับใช้ที่นำทางไม่พูดมากและก้มหน้าเดิน ในหมู่พวกเขา หยางเฉินอยู่ในระดับรวมรวมลมปราณขั้นหนึ่ง
ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถบินหรือทะยานออกไปได้ ทำได้เพียงแค่เดินไปทีละก้าวมุ่งตรงไปที่ตำหนักเก้าปฐพี
อย่างไรก็ตามถ้าเขาสามารถเข้าถึงระดับรวบรวมลมปราณขั้นสอง เขาจะสามารถปรับแต่งยันต์ประดิษฐ์บินบางอย่างได้
เพื่อช่วยในการเดินทาง ในเวลานั้นความเร็วของเขาจะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
ไม่มีปัญหาใดๆ ในวันแรกพวกเขาเดินด้วยพลังเต็มที่ตลอดทาง วิ่งมาได้มากถึงสี่ร้อยลี้ก่อนที่จะหยุดทำสมาธิและโคจรพลังลมปราณภายในร่างกายของพวกเขา
พวกเขาพักอยู่เพียงครึ่งชั่วยามก่อนรีบเร่งเดินทางตลอดทั้งคืน
ในตอนกลางคืนแสงจากฟากฟ้าไม่ค่อยดีนักเนื่องจากแสงดาวมีไม่เพียงพอ
หากยังโชคดีที่คนรับใช้ที่นำทางมีความคุ้นเคยกับเส้นทางไปยังตำหนักเก้าปฐพี อีกทั้งเป็นเส้นทางที่ตรงดังนั้นจึงไม่น่าที่จะหลงทางง่ายๆ
อย่างไรก็ตามหลังจากเดินทางเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม เมื่อสีของท้องฟ้าจางลงเรื่อยๆ
หยางเฉินรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกประหลาดดูเหมือนว่าพลังจิตวิญญาณในสภาพแวดล้อมดีขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย
คนทั่วๆไปจะไม่สังเกตเห็นความแตกต่างเล็กๆน้อยๆเช่นนี้ แต่หยางเฉินเพิ่มความระมัดระวังและในเวลาเดียวกันเขาก็ไปแตะที่บ่าเซิ่นต้าและคนอื่นๆที่วิ่งอยู่ข้างหลังเขาให้ระวังตัว
ทั้งสี่คนนี้ไม่ได้สงสัยอะไร หากแต่เตรียมพร้อม เอามือวางไว้ที่อาวุธและเริ่มสังเกตเห็นสภาพแวดล้อมอย่างละเอียดเห็นได้ชัดว่าคนรับใช้ที่เดินไปข้างหน้าไม่ได้สังเกตเห็นอะไรผิดพลาดและยังคงเดินต่อไปเช่นเคย
แม้ว่าเขาจะไม่หันกลับมาเขาก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ข้างหลังเขาและคิดว่าเซิ่นต้า และคนอื่นๆ
ทั้งสี่เป็นคนไร้สาระ นี่คือดินแดนของพระราชวังหยางบริสุทธ์ ใครจะกล้าทำให้เกิดปัญหาที่นี่?
หลังจากก้าวไปข้างหน้าอีกสิบก้าวก็มีบางสิ่งเปล่งแสงกระพริบขึ้นมาที่ด้านหน้าของทุกคน
และทุกคนค้นพบว่าแม้ว่าพวกเขาจะยังยืนอยู่ที่เดิมหากคนอื่นๆ ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
พวกเขาเตรียมพร้อมอยู่แล้ว เซิ่นต้า และคนอื่นๆ ก็เอาอาวุธออกมาทันที
แต่เขาไม่สามารถสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณใดๆ พวกเขาไม่สามารถมองเห็นศัตรู
หยางเฉินหยุดอยู่ที่ตำแหน่งเดิมของเขาและไม่ได้ขยับไปไหน ก่อนที่เขาจะหันหน้าไปทางหนึ่งและพูดว่า
"เจ้ามาหาข้าใช่หรือไม่?"
"เป็นเพียงแค่ศิษย์สายนอก แต่การรับรู้ของเจ้าเยี่ยมยอดมาก!"
ทันใดนั้นเสียงที่ผิดปกติก็ปรากฏออกมาจากทิศทางที่หยางเฉินหันไป
"มีคนจ่ายเงินให้ข้าสิบหินจิตวิญญาณและอนุญาตให้ข้านำสิ่งของทั้งหมดในร่างกายของเจ้าไปได้
เพื่อแลกกับชีวิตของเจ้า ตอนนี้นรกรอเจ้าอยู่ เจ้าต้องไม่สับสน ข้าเป็นศัตรูของเจ้า!"
"เมื่อฟังจากที่เจ้าพูดดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ใช่มืออาชีพ!"
หยางเฉินกล่าวเย้ยหยันออกไป
"คำพูดเหล่านี้ผิดอย่างสิ้นเชิง!"
“ฮื้ม?
แล้วคำใดถึงจะเป็นคำที่เหมาะสม?"
คนที่ซ่อนอยู่ในความมืดไม่ได้โจมตีหยางเฉินในทันที แต่ถามออกไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
"ข้าคิดเสมอว่าคำพูดของข้าไม่น่ากลัวเพียงพอ บางทีเจ้าอาจจะช่วยข้าเปลี่ยนเป็นสิ่งที่ดีกว่าได้"
"มืออาชีพควรพูดเช่นนี้"
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหยางเฉินขณะที่เขาก้าวไปขน้าหนึ่งก้าว
แล้วพูดออกไป
"สำหรับคนที่มีหนี้ก็คือลูกหนี้
เจ้าและข้าไม่มีความแค้นหรือความเกลียดชังในอดีตที่ผ่านมา หรือแม้แต่ในตอนนี้ เจ้าสามารถตำหนินายจ้างของเจ้าและความโลภของเจ้าเองสำหรับการกระทำผิดนี้!"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น