ตำหนักเย่ซิวเป็นชั้นนอกสุดของพระราชวังหยางบริสุทธ์
ซึ่งเป็นส่วนที่เหล่าศิษย์ใหม่ที่มีรากจิตวิญญาณเริ่มทำการบ่มเพาะเพื่อสร้างรากฐานของพวกเขา
บริเวณถัดเข้ามาจากตำหนักเย่ซิวนั้นจะเป็นตำหนักเก้าปฐพีที่ซึ่งศิษย์สายนอกได้พักอาศัยอยู่
แต่ในตอนนี้ที่ตำหนักเย่ซิวมีใครบางคนที่ประสบความสำเร็จในการก่อสร้างรากฐาน
นี่เป็นสิ่งที่ยากที่จะเป็นไปได้ในสายตาของเหล่าศิษย์สายนอก
คนที่มีระดับการบ่มเพาะเช่นนั้นที่ยังไม่ได้กลายเป็นศิษย์สายนอก
หากแต่ประสบความสำเร็จ?
แม้จะรู้สึกประหลาดใจพร้อมด้วยความยินดี
แต่ศิษย์สายนอกที่ประจำอยู่ที่ประตูก็ไม่กล้าที่จะมั่นใจได้
ด้วยที่ว่าเขายังไม่เคยได้รับการฝึกฝนหรือมีประสบการณ์ในการฝ่าคอขวดก้าวสู่ดินแดนก่อสร้างรากฐานนี้
ในขณะที่ศิษย์อาวุโสคนอื่นๆที่ประสบความสำเร็จในระดับก่อสร้างรากฐานของเขา
พวกเขาก็ยังไม่กล้าที่จะตัดสินใจว่านี่คือคนที่ประสบความสำเร็จในระดับก่อสร้างรากฐาน
ณ ที่ ตำหนักเย่ซิว บริเวณชั้นบนสุดของตำหนัก
ได้ปรากฏเงาของบุคคลหนึ่งขึ้นมา เงานั้นดูเหมือนกำลังตรวจสอบทิศทางอะไรบางอย่างอยู่
เมื่อเขายืนยันทิศทางได้แล้วเขาได้บินมุ่งตรงไปยังทิศทางที่หยางเฉินอยู่
ก่อนที่เขาจะปรากฏตัวขึ้น
เขาได้ส่งเสียงของเขาไปที่หูของหยางเฉินและศิษย์สายนอกผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลสถานที่ที่หยางเชิญอยู่
"ฮ่า
ฮ่า ฮ่า พี่หยาง ถ้าไม่ได้คำชี้แนะจากเจ้า ข้าก็คงไม่มีความกล้าที่ทำมัน
จนพบกับความสำเร็จเช่นในวันนี้!"
ซ่างกวนเฟงเพิ่งออกมาจากการเก็บตัวฝึก
เขาทำการตรวจสอบหาหยางเฉินในทันที ก่อนที่จะรีบบินตรงมาหาหยางเฉินที่นี่
เขาประสบความสำเร็จในการก่อสร้างรากฐานของเขาแล้ว
ดังนั้นการบินก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา หลังจากที่เขาได้ก้าวเข้าสู่ระดับก่อสร้างรากฐาน
คนแรกที่เขาต้องการพบก็คือหยางเฉิน
แม้ว่าเขาจะได้พบกับหยางเฉินเพียงสองครั้งแต่ซ่างกวนเฟงรู้สึกกับหยางเฉินราวกับเป็นพี่น้องคลานตามกันมา
มันดูน่าเหลือเชื่อ ถ้าเขาทำตามคำแนะนำของชูเฮิงและแอบสร้างอุปสรรคต่างๆเพื่อขัดขวางการบ่มเพาะของหยางเฉิน
เขาก็จะไม่มีความรู้สึกเช่นนี้
ด้วยคำชี้แนะของหยางเฉินเขาจึงสามารถก้าวเข้าสู่ระดับก่อสร้างรากฐานและเป็นศิษย์สายในได้
ในตอนนี้เขามีวิธีการที่จะต่อต้านชูเฮิง เขาต้องการที่จะช่วยหยางเฉิน
ปัญหาของหยางเฉินก็เหมือนกับเป็นปัญหาของเขา
แต่เมื่อทุกอย่างที่ได้ถูกกล่าวและถูกกระทำ
สิ่งที่ชูเฮิงทำขึ้นมาควรถูกเก็บไว้ใต้โต๊ะดีที่สุดเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของนิกาย
เมื่อซ่างกวนเฟงมาถึง
ศิษย์สายนอกที่ทำหน้าที่ดูแลก็อ้าปากออกเพื่อที่พูดอะไรบางอย่าง
แต่ในที่สุดเขาก็ไม่สามารถพูดออกมาได้
ใครจะคาดคิดว่าคนที่ประสบความสำเร็จในระดับก่อสร้างรากฐานคือซ่างกวนเฟง
ผู้ดูแลตำหนักเย่ซิวซึ่งถือว่าไร้ความหวังที่จะก้าวสู่ระดับก่อสร้างรากฐาน?
"คาระวะอาจารย์อาซ่างกวน!"
ศิษย์ผู้ดูแลใช้คำเรียกว่า ‘อาจารย์อา’
เพื่อระบุฐานะของเขา เมื่อพูดกับซ่างกวนเฟง
ในขณะที่พวกเขายังดูเหมือนจะไม่ค่อยรู้สึกดีกับหยางเฉินสักเท่าไหร่
“อืม!”
ซ่างกวนเฟง ตอบกลับเบาๆ แต่ไม่ได้ให้ความสนใจกับศิษย์ผู้ดูแล
หลังจากนั้นเขาหันไปหาหยางเฉินพร้อมถามออกไปว่า
"พี่หยาง
เจ้าต้องการอะไรจากที่นี่?"
"พี่ชายซ่างกวน!"
หยางเฉินไม่ได้เรียกซ่างกวนเฟงว่า ‘อาจารย์อา’ หากแต่เรียกเขาว่าพี่ชาย
แต่ที่มากกว่านั้นก็คือซ่างกวนเฟงได้เรียกหยางเฉินว่าพี่ชายด้วยความนับถือ
เห็นได้จากคำพูดที่ยืนยันฐานะว่าเป็นพี่ชาย ก่อนที่เขาจะพูดออกไปว่า
"ข้ามาที่นี่เพื่อหาทักษะการบ่มเพาะของนิกายที่เหมาะสมกับข้า"
"ถ้าอย่างนั้นก็เข้าไปในห้องและเลือก!"
ซ่างกวนเฟงโบกมือใหญ่ของเขา
ไม่มีคำคัดค้านใดๆที่จะไม่ให้เขาผ่านเข้าไป
ซ่างกวนเฟงยังคงเป็นผู้ดูแลตำหนักเย่ซิวและยังไม่ได้ออกจากตำแหน่งนี้
อีกทั้งในขณะนี้เขาประสบความสำเร็จในระดับก่อสร้างรากฐาน
ฐานอำนาจของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก
ศิษย์ผู้ดูแลที่แสดงความขัดแย้งมาอย่างต่อเนื่องยังไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกไปสักคำเมื่ออยู่ต่อหน้าซ่างกวนเฟง
พวกเขาได้แต่เชื่อฟังและปฏิบัติตาม
"สำหรับการเลือกทักษะการบ่มเพาะ
ข้าจะไม่ไปกับเจ้า เพราะข้าอาจจะแนะนำเจ้าผิดได้ง่าย"
ก่อนที่หยางเฉินจะได้เดินเข้าไปในห้อง ซ่างกวนเฟง เตือนเขาซ้ำอีกครั้ง
"โปรดจำไว้ว่า
เจ้ามีรากจิตวิญญาณธาตุไฟ ดังนั้นก็ควรเลือกทักษะการบ่มเพาะธาตุไฟ"
"ขอบคุณมากสำหรับคำชี้แนะของพี่ชาย!"
หยางเฉินป้องมือของเขาไปที่ซ่างกวนเฟงเพื่อแสดงความขอบคุณ ถึงแม้ว่าซ่างกวนเฟงจะไม่ได้นำทางเขาเข้าไป
หากแต่การที่หยางเฉินได้รับความโปรดปรานอย่างที่เห็นได้ชัดจากคำพูดของซ่างกวนเฟง
ที่แสดงให้เห็นว่าเขาพร้อมจะสนับสนุนและแสดงออกถึงความห่วงใยที่เขามีต่อหยางเฉิน
แม้ว่าซ่างกวนเฟงจะไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่หยางเฉินก็เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเขาควรจะทำหรือไม่ควรทำอะไรต่อไป
ขณะที่มองดูหยางเฉินเข้าสู่ห้องความสำเร็จ
ผู้ดูแลเกือบจะเปิดปากของเขาเพื่อพูดอะไรบางอย่างออกมา
แต่ในที่สุดก็เลือกที่จะปิดปากเมื่ออยู่ต่อหน้าซ่างกวนเฟง
ในตอนนี้ซ่างกวนเฟงสามารถเข้าสู่ดินแดนก่อสร้างรากฐานได้แล้ว ในสองถึงสามวันถัดจากนี้ซ่างกวนเฟงจะต้องจากไป
เมื่อถึงเวลาที่ผู้ดูแลคนใหม่มาถึง
หยางเฉินก็จะยังไม่มีใครแนะนำเขาเกี่ยวกับเรื่องของการบ่มเพาะ
และเขาก็ไม่ใช่คนที่สามารถอ่านคัมภีร์พื้นฐานบางเล่มได้ด้วยตัวเองได้
มันยากที่จะเข้าใจจุดสำคัญของคัมภีร์ได้อย่างรวดเร็วและประสบความสำเร็จได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่เพิ่งเข้านิกาย
พวกเขาต้องอยู่ที่ตำหนักเย่ซิวอย่างน้อยสามปี
ดังนั้นเมื่อถึงเวลานั้นแล้วแล้วหยางเฉินจะเข้าใจทุกอย่างได้เป็นอย่างดี
แม้ว่าพระราชวังหยางบริสุทธ์จะเป็นนิกายเล็ก ๆ
แต่ก็ยังมีทักษะการบ่มเพาะทั้งหยินและหยางของธาตุทั้งห้า
ทักษะการบ่มเพาะเหล่านี้ได้จัดเตรียมไว้สำหรับผู้เตรียมเป็นศิษย์ทั้งหลาย
พวกมันทั้งหมดถูกคัดลอกเอาไว้ในคัมภีร์มากกว่าแผ่นหยกจารึก
ผู้เตรียมเป็นศิษย์จะยังไม่ได้เรียนรู้การบ่มเพาะและสร้างการรับรู้ทางจิตวิญญาณในทันที
ดังนั้นแม้ว่าเคล็ดวิชาการบ่มเพาะจะอยู่ในแผ่นหยกจารึก
เหล่าผู้เตรียมเป็นศิษย์ก็จะไม่สามารถอ่านพวกมันได้
พวกเขาจะต้องไปฝึกการอ่านการเขียนเสียก่อนจึงจะสามารถมาเรียนรู้พวกมันได้
หยางเฉินยังจดจำแผนผังของห้องความสำเร็จได้เป็นอย่างดี
หลังจากที่เข้ามาในห้อง เขาสามารถจำทุกอย่างได้อย่างสมบูรณ์
ด้วยการกวาดสายตาไปรอบๆเพียงครั้งเดียว โดยไม่ลังเลใดๆ
เขาเดินตรงไปยังบริเวณที่เก็บทักษะการบ่มเพาะสำหรับธาตุไฟและเลือกคัมภีร์เล่มที่สี่บนชั้นวางคัมภีร์
นี่เพียงแค่เพื่อให้เห็นได้ชัดขึ้น
ในชีวิตก่อนหน้านี้เขารู้ทักษะการบ่มเพาะธาตุไฟเป็นอย่างดี ดังนั้นในชีวิตนี้เขาจึงไม่จำเป็นต้องเลือกทักษะการบ่มเพาะธาตุไฟอีก
หลังจากนั้นไม่นานหยางเฉินได้เดินไปยังพื้นที่ที่เก็บทักษะการบ่มเพาะของธาตุดิน
จากพื้นที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งภายในห้องความสำเร็จ
คนที่เข้าไปจะต้องผ่านค่ายกลอาคม และคนที่อยู่ข้างนอกจะไม่ทราบถึงทักษะที่บุคคลนั้นเลือก
พวกเขาไม่ได้ตระหนักถึงสิ่งที่ผู้ที่อยู่ภายในทำอะไร
ซึ่งค่อนข้างสะดวกสำหรับหยางเฉิน
ในการเลือกทักษะบ่มเพาะ ผู้บ่มเพาะทั่วไปจะให้โชคชะตาเป็นตัวกำหนด
ปกติแล้วพวกเขาก็ทำเพียงแค่ลองเลือกทักษะบ่มเพาะมาสักอัน
หรือบางคนอาจรู้ล่วงหน้ามาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีนี้
สำหรับผู้ที่เพิ่งเข้านิกายเพื่อเตรียมเป็นศิษย์
ภายใต้สภาวะปกติมันเป็นเรื่องยากมากที่ใครจะสามารถเลือกทักษะพิเศษเฉพาะได้
แม้ว่าจะเป็นรุ่นน้องที่บ่มเพาะในนิกายมาตั้งแต่เด็กๆ
พวกเขาก็เป็นเช่นที่กล่าวมานี้ หลังจากผ่านระดับก่อสร้างรากฐานแล้วพวกเขาก็จะเลือกการบ่มเพาะที่ดีขึ้น
นี่คือเหตุผลที่ห้องความสำเร็จไม่มีการควบคุมใดๆ
หยางเฉินพบทักษะการบ่มเพาะหยินทั้งห้าธาตุของเขาได้อย่างง่ายดาย
ในที่สุดเขาก็หันไปบริเวณที่เก็บคัมภีณ์ธาตุทอง
เพื่อค้นหาคัมภีร์สำหรับทักษะการบ่มเพาะธาตุทอง
หยางเฉินไม่ได้นำคัมภีร์ทักษะการบ่มเพาะอีกสองเล่มออกจากห้อง
แต่เขาจดจำพวกมันไว้ภายใน
เนื่องจากการรับรู้ทางจิตวิญญาณของเขาและการกลับชาติมาเกิดของหยางเฉิน
มันจึงทำให้เขามีความทรงจำที่สูงมาก
ในช่วงเวลาสั้นๆเขาสามารถจดจำความลับที่สำคัญของทักษะการบ่มเพาะทั้งสองได้ทั้งหมด
ในชีวิตก่อนหน้านี้ นอกเหนือจากทักษะการบ่มเพาะธาตุไฟแล้ว
หยางเฉินไม่ได้สนใจเกี่ยวกับการบ่มเพาะในธาตุอื่นๆแม้ว่าสมองของเขาจะจดจำบางอย่างเกี่ยวกับทักษะการบ่มเพาะอื่นๆได้
มันก็เนื่องมาจากที่เขาได้กลับมาเกิดใหม่
เมื่อตอนที่เขารับทักษะการบ่มเพาะจากเซียน เขาได้ฝึกมันจนสำเร็จ
เขาได้ใช้การรับรู้ทางจิตวิญญาณของเขาเพื่อจดจำพวกมัน แต่เขาไม่เคยใช้พวกมันมาก่อน
ปกติในชีวิตที่ผ่านมาของเขา เขาจะไม่สนใจสิ่งอื่นใดที่อยู่รอบๆ
หากแต่จงใจหยิบทักษะการบ่มเพาะหยินหยางทั้งห้าธาตุ
ในเมื่อเขาไม่ได้เป็นผู้นำนิกายดังนั้นเขาจึงไม่ต้องกังวลกับมัน
ในตอนนี้หยางเฉินมีส่วนเริ่มต้นของทักษะลับหยินและหยางทั้งห้าธาตุพร้อม
ขั้นต่อไปเขาจะต้องฝึกทักษะการบ่มเพาะหยินห้าธาตุร่วมกับทักษะบ่มเพาะหยางห้าธาตุในเวลาเดียวกันเพื่อที่ให้พวกมันต้านกันและกันได้อย่างสมดุลและสมบูรณ์แบบ
แน่นอนว่านี่เป็นเป้าหมายสุดท้ายของหยางเฉิน
เป้าหมายในตอนนี้ของหยางเฉินคือการโคจรทั้งสิบทักษะบ่มเพาะหยินหยางของธาตุทั้งห้า
เพื่อที่พวกมันจะต้านกันและกันในเวลาพร้อมกัน และไม่ได้มีเพียงแค่ห้าธาตุ
หากแต่ยังมีหยินและหยางที่ต่างบรรลุจุดสมดุลที่สมบูรณ์แบบ
เขาก็จะสามารถที่จะบรรลุเป้าหมายของเขา
จนกระทั่งถึงเวลานั้น
บางทีหยางเฉินอาจจะถึงเขตแดนของรวบรวมลมปราณขั้นหนึ่ง!
อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาได้รับทักษะการบ่มเพาะแล้ว
เขาก็สามารถเริ่มต้นการบ่มเพาะได้อย่างเปิดเผย
นี่เป็นก้าวย่างสำคัญในการบรรลุความฝันของเขาที่จะเข้าไปเคารพต่ออาจารย์ของเขาอีกครั้ง
อาจจะเร็วๆนี้หยางเฉินจะได้เห็นใบหน้าที่งดงามของอาจารย์และกลายเป็นศิษย์ของเธออีกครั้ง
ทุกอย่างที่หยางเฉินกำลังทำอยู่ในขณะนี้ก็เพื่อที่จะเคารพและเรียนรู้ภายใต้อาจารย์ของเขาอีกครั้ง
สำหรับศัตรูของเขา เขาไม่ยังสนใจในตอนนี้ ในขณะนี้แม้ว่าเขาต้องการที่จะตามล่าศัตรูของเขา
หากเขาที่เป็นเพียงศิษย์ระดับรวบรวามลมปราณผู้ซึ่งเพิ่งได้เข้าร่วมนิกาย
แล้วเขาจะฆ่าเหล่าศิษย์ของนิกายสวรรค์ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร? เฉพาะคนโง่เขลาเท่านั้นที่จะมีความคิดปัญญาอ่อนเช่นนั้น
เมื่อเห็นเป็นเช่นนี้หยางเฉินเดินออกจากห้องความสำเร็จพร้อมด้วยทักษะการบ่มเพาะธาตุไฟ
ซ่างกวนเฟงไม่ได้พูดอะไรมันเป็นเพียงทักษะการบ่มเพาะเบื้องต้นไม่มีอะไรมากและไม่มีอะไรนอกจากนี้
และไม่ได้มีข้อดีหรือข้อบกพร่องที่มากมายอะไร
มันจะช่วยให้ศิษย์ใหม่รู้สึกถึงพลังลมปราณและโคจรพวกมันไปเรื่อยๆ ตระหนักถึงอิทธิพลทางจิตวิญญาณของสวรรค์และปฐพีเพื่อเชื่อมต่อกับมันและในเวลาเดียวกันก็ทำให้เกิดการรับรู้ทางจิตวิญญาณ
ทักษะการบ่มเพาะเหล่านี้มีความแตกต่างกันเพียงแค่ชื่อ
ที่ใช้เรียกในนิกายการบ่มเพาะรายใหญ่ ไม่ว่าทักษะใดที่หยางเฉินเลือก
ทั้งหมดก็เหมือนกัน ตราบเท่าที่มันเป็นธาตุไฟ มันก็ใช้ได้
เมื่อหยางเฉินกำลังเลือกทักษะการบ่มเพาะ
ซ่างกวนเฟงยืนเฝ้าอยู่ที่ทางเข้าห้องสำเร็จอย่างสงบเพื่อรอเขา
บทสนทนาของเขากับหยางเฉินโดยใช้พี่ชายและพี่ชาย เพื่อบ่งบอกสถานะของแต่ละคน
นอกเหนือจากลักษณะที่ตรงไปตรงมาของซ่างกวนเฟง มันได้กล่าวถึงสิ่งต่างๆมากมาย
ถึงแม้ว่าศิษย์ผู้ดูแลจะเล่นแง่บางอย่าง เขาก็ไม่สามารถหาวิธีการใดๆ
และสามารถรออย่างสงบพร้อมกับซ่างกวนเฟง รอหยางเฉิน ออกมา
"พวกเราไปที่หอล้ำลึกกันตอนนี้เลย
แล้วข้าจะอธิบายทักษะการบ่มเพาะนี้เพื่อประโยชน์สำหรับเจ้า!"
ซ่างกวนเฟงคว้าเอาทักษะการบ่มเพาะ
หลังจากที่เขามองมันเพียงครั้งเดียวเขาก็เข้าใจได้อย่างชัดเจนจนแทบจะไม่รอหยางเฉินเพื่อแสดงความคิดเห็นของเขา
เขาหันไปรอบๆ และหายตัวไปพร้อมกับหยางเฉินจากทางเข้าห้องความสำเร็จ
ศิษย์ที่ทำหน้าที่ดูแลห้องสำเร็จไม่กล้าละเลยเรื่องนี้และบอกกับศิษย์คนอื่นๆเพื่อแจ้งไปยังตำหนักเก้าปฐพี
ด้วยการสนับสนุนของซ่างกวนเฟง ถ้าชูเฮิงยังคงต้องการที่จะหยุด หยางเฉิน
มันก็คงจะเป็นเรื่องตลก
"พี่หยางเนื่องจากเจ้าไม่มีการรับรู้ทางจิตวิญญาณ
ดังนั้นเจ้าสามารถฟังคำอธิบายของข้าได้เท่านั้น"
ซ่างกวนเฟงเริ่มอ่านคัมภีร์ทักษะการบ่มเพาะธาตุไฟให้หยางเฉินฟังหนึ่งรอบเพื่อเรียนรู้
ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็เริ่มอธิบายทุกคำในทุกประโยค
แม้ว่าหยางเฉินได้เรียนรู้ทักษะการบ่มเพาะแบบนี้มานานแล้วและเขาก็สามารถอ่านมันได้ด้วยใจ
แต่ในขณะนี้เขายังคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการแสดงออกอย่างจริงใจและตั้งใจฟัง
ซ่างกวนเฟงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
เขารู้ดีว่าบนเส้นทางการบ่มเพาะนอกเหนือจากความสามารถพิเศษตามธรรมชาติ
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการรับรู้ของตัวเองและการทำงานอย่างหนัก
คนที่มีรากจิตวิญญาณมีค่ามาก
พวกเขาสามารถบ่มเพาะได้โดยง่ายและกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับทักษะการเพาะปลูกที่แตกต่างกันและการตระหนักถึงขอบเขตของดินแดนต่างๆนั้นแตกต่างกันไปสำหรับแต่ละบุคคล
หลายคนที่มีรากจิตวิญญาณถูกตัดออกเพียงเพราะเหตุนี้
ระยะเวลาสามปีนี้คือการทดสอบความถนัดของเหล่าผู้เตรียมเป็นศิษย์
ถ้าการรับรู้ของคนไม่ดี ถึงจะฝึกฝนอย่างหนัก มันก็จะไร้ผล
หยางเฉินเข้าใจถึงเจตนารมณ์ของซ่างกวนเฟงอย่างเห็นได้ชัดบวกกับเขาต้องการใช้เหตุผลนี้เพื่อปกปิดความเร็วในการบ่มเพาะที่ดูผิดปกติ
หยางเฉินจึงอยู่ภายในหอล้ำลึกพร้อมด้วยคำชี้แนะของซ่างกวนเฟงเป็นเวลาหลายวัน
ต่อมาหลังจากที่หยางเฉินเข้าใจถึงความลับของทักษะการบ่มเพาะ
ด้วยความช่วยเหลือของซ่างกวนเฟง เขาเริ่มต้นทำการบ่มเพาะเป็นครั้งแรก ที่เรียกว่า 'ครั้งแรก' ก็เป็นเพียงเพื่อแสดงให้ซ่างกวนเฟงเห็น
เขาเริ่มบ่มเพาะเคล็ดวิชาลับสามขั้นแห่งการรู้แจ้งและได้เรียนรู้การใช้ความลับการบ่มเพาะที่สองมาได้หนึ่งสัปดาห์
หลังจากหนึ่งสัปดาห์ได้สิ้นสุดแล้วเขาก็เปิดตาเพื่อหยุดการบ่มเพาะ
เกือบจะไม่มีใครที่สามารถประสบความสำเร็จได้ในครั้งแรกที่พวกเขาทำการบ่มเพาะ
หยางเฉินก็ไม่ใช่ 'ข้อยกเว้น'
ทันทีที่หยางเฉินปรากฏตัวขึ้นมาจากห้องเก็บตัว ภายในหอล้ำลึก
หลังจากช่วงเวลาการบ่มเพาะได้สิ้นสุดลง ซ่างกวนเฟงเดินไปหาเขา
แม้แต่การออกจากการฝึกของหยางเฉิน
ซ่างกวนเฟงก็รีบเข้ามาถามด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง
"เจ้ารู้สึกอย่างไร?"
"ข้าสามารถรู้สึกได้ถึงร่องรอยของพลังลมปราณในอากาศได้รางๆ"
หยางเฉินมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อนดังนั้น
เขาได้ตระหนักถึงความสามารถที่จะทำให้ซ่างกวนเฟงมีความสุขในขณะที่ก็จะไม่กระตุ้นความสงสัยของเขาในเวลาเดียวกัน
"ไม่เลวไม่เลว
เจ้าสามารถรู้สึกถึงพลังลมปราณได้ในความพยายามครั้งแรก แม้ว่าจะเป็นคนที่มีพรสวรรค์ตามธรรมชาติที่ดี
เขาก็คงทำดีกว่านี้ไม่ได้"
ซ่างกวนเฟงดูมีความสุขเป็นพิเศษ
"ดูเหมือนว่าความพยายามของข้าในไม่กี่วันสุดท้ายไม่ได้เสียเปล่า"
"ขอบคุณมากพี่ชาย!"
หยางเฉินหัวเราะออกมาพร้อมกับแสดงความขอบคุณหลังจากนั้นเขาก็รีบเดินไปที่
ซ่างกวนเฟงและถามว่า
"พี่ชายเมื่อไหร่ที่เจ้าตั้งใจจะออกจากตำหนักเย่ซิว?"
ซ่างกวน ไม่ได้คิดที่จะปิดบังอะไร เขาบอกกับหยางเฉิน โดยตรง
"ตั้งแต่ที่ข้าได้ประสบความสำเร็จในการก่อสร้างรากฐานของข้า
ข้าได้แจ้งผู้อาวุโสเกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา และพวกเขาได้เรียกข้าหลายครั้งเพื่อให้เข้าไปเป็นศิษย์สายใน
แต่ข้าตั้งใจเลื่อนเวลาออกไป เพื่อให้คำแนะนำแก่เจ้า
ในตอนนี้เจ้าสามารถเข้าใจมันได้ด้วยตัวของเจ้าเอง
มันก็เป็นเวลาที่ข้าควรที่จะต้องไปด้วย"
หยางเฉินได้คาดการณ์สถานการณ์เช่นนี้ไว้แล้ว เมื่อซ่างกวนเฟงสามารถเข้าถึงระดับก่อสร้างรากฐาน
ดังนั้นมันเป็นเรื่องปกติที่เขาจะกลายเป็นศิษย์สายในและตำหนักเย่ซิว
แน่นอนว่าจะต้องมีผู้ดูแลคนใหม่
โชคดีที่ ซ่างกวนเฟงมาที่นี่ก่อนที่จะออกเดินทาง
สิ่งนี้ช่วยลดปัญหาให้กับหยางเฉินได้มาก
หลังจากนั้นแม้ว่าการบ่มเพาะของหยางเฉินจะไม่ธรรมดานิดหน่อย
แต่อาจถือได้ว่าเป็นคำชี้แนะก่อนหน้านี้ของซ่างกวนเฟง
"หลังจากที่ข้าไป
พี่หยาง เจ้าไม่จำเป็นต้องกลัวและอดทนอยู่อย่างเงียบๆ
ถึงแม้ว่าชูเฮงจะเป็นศิษย์สายใน ข้าในตอนนี้ก็เป็นศิษย์สายในเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ไม่กี่วันที่ผ่านมาพี่ชายตูก็มาหาเจ้า ถ้าชูเฮิงทำให้เจ้าต้องเผชิญกับเรื่องยากลำบากในการเตรียมตัวเป็นศิษย์
ข้าก็เกรงว่าเขาจะไม่สามารถอยู่ในพระราชวังหยางบริสุทธ์ได้
ในตอนนี้เจ้าก็ทำใจให้สบาย"
ซ่างกวนยังคงบอกหยางเฉินต่อไปอีกว่า
"ไม่ว่าผู้ดูแลคนใหม่จะเป็นใคร
ข้าจะบอกให้เขาเอาใจใส่เจ้าให้มากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้
เพื่อที่เจ้าจะได้สามารถมีชีวิตอยู่ได้เหมือนในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา
และไม่มีใครลุกมาต่อต้านเจ้า!"
"ข้าขอแสดงความยินดีกับพี่ชายและขอบคุณที่ท่านคอยสนับสนุนและช่วยเหลือ!"
หยางเฉินไม่อาจที่จะทรยศต่อมิตรภาพของซ่างกวนเฟง
ในชีวิตที่ผ่านมาของเขา ซ่างกวนเฟงได้รับคนชี้แนะที่มีค่าจากเพื่อนของเขา
และในชีวิตนี้ตั้งแต่โชคชะตาได้นำพวกเขามาร่วมกัน เขาได้ช่วยซ่างกวนเฟง
แม้ว่าซ่างกวนเฟงจะต้องออกไปอยู่ในพื้นที่ชั้นใน
แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็จะกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน การบ่มเพาะเพื่อเป็นเซียนเป็นถนนที่ยาวและมีเวลามากพอในภายหลัง
ดังนั้นเขาจึงไม่กังวลมากนัก
หลังจากพูดกับเขาแล้ว ซ่างกวนเฟง
ก็ออกจากตำหนักเย่ซิวไปโดยไม่หยุดที่ไหน หลังจากพักหยางเฉินได้เข้าไปห้องฝึก
เพื่อทำการบ่มเพาะ เขาต้องทำให้คนอื่นรู้สึกว่าเขาขยันขันแข็ง
ไม่มีใครอยู่ข้างๆเขา หยางเฉินยกเลิกปิดกั้นความสามารถของตัวเอง
และเริ่มบ่มเพาะอย่างจริงจัง
ทักษะแรกที่เขาบ่มเพาะได้อย่างแม่นยำคือทักษะการบ่มเพาะธาตุไฟ
เขาคุ้นเคยกับทักษะการบ่มเพาะนี้อยู่แล้ว
ไม่มีอะไรที่เขาจะสามารถทำได้ดีกว่านี้ ไม่มีอุปสรรคใดๆ เขาประสบความสำเร็จในการบ่มเพาะมันในครั้งแรก
ในร่างกายของเขา พลังแห่งธาตุไฟจิตวิญญาณเริ่มโคจรหมุนเวียน
หลังจากที่เขาได้บ่มเพาะทักษะการบ่มเพาะหยินของทั้งห้าธาตุ
ทีละธาตุทีละธาตุ ในชีวิตก่อนหน้านี้ เขาไม่เคยสัมผัสกับมัน
เขามีเพียงประสบการณ์ในการบ่มเพาะหยางห้าธาตุเท่านั้น ในแต่ละทักษะการบ่มเพาะเขาใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก่อนที่เขาจะบ่มเพาะได้อย่างสมบูรณ์
ทุกๆวัน หยางเฉินจะหยุดพักเพียงชั่วครู่
แล้วกลับเข้าไปที่ห้องฝึกเพื่อบ่มเพาะ ยกเว้นคนรับใช้เพียงไม่กี่คนในหอล้ำลึก
คนอื่นๆก็จะไม่ได้เห็นเขา เขาดำเนินรูปแบบนี้ต่อไปอีกประมาณครึ่งเดือน
แต่นี่ก็ยังไม่เพียงพอ ถ้าการบ่มเพาะของหยางเฉินจู่ก็อยู่ในระดับแรก
รวบรวมลมปราณ มันก็จะดูเหมือนเร็วมากสำหรับคนอื่นๆ
แต่เขาได้วางแผนไว้แล้วสำหรับเรื่องนี้ เขายังได้บ่มเพาะหยินห้าธาตุและโคจรพวกมัน
เพื่อที่จะได้สามารถยับยั้งความแข็งแกร่งของเขาได้ หลังจากนั้นด้วยความระมัดระวังในขณะที่ทำการควบคุมหยินและหยางทั้งห้าธาตุ
ไว้ภายใต้สถานการณ์เดียวกัน
จนกระทั่งความลับหยินและหยางทั้งห้าธาตุสามารถบ่มเพาะและสามารถบรรลุความสมดุลที่สมบูรณ์แบบ
หยางเฉินคาดว่าเขาจะสามารถก้าวเข้าสู่ระดับรวบรวมลมปราณขั้นต้นได้ ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์นี้
ด้วยระยะเวลาที่ดีมาก ผู้คนก็จะไม่รู้สึกว่ามันเร็วไปและก็ไม่คิดว่าเขาเป็นคนโง่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น