หลังจากฟังคำพูดของหยางเฉินแล้ว
ซ่างกวนเฟงรู้สึกราวกับว่าเขารู้แจ้งกระจ่างชัดในข้อสงสัยที่เคยมีในอดีต หลายปีที่ผ่านมาเขาได้รับฟังประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญมากมายหลายคนที่อยู่ในระดับก่อสร้างรากฐานและพวกเขาทั้งหมดต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าจุดคอขวดสุดท้ายเป็นจุดที่ยากที่สุด
ส่วนใหญ่ของพวกเขาต้องใช้วิธีการทุกอย่างเพื่อที่จะฝ่าด่านนี้ออกไปได้
ซ่างกวนเฟงได้ครุ่นคิดมาโดยตลอดสำหรับวิธีที่จะผ่านมันโดยทดลองนำประสบการณ์ของคนที่ทำได้มาก่อนเป็นพื้นฐาน
แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะประสบความสำเร็จ
ความพยายามของเขาล้มเลวในช่วงเวลาสุดท้ายมาโดยตลอด มันเป็นการยืนยันข้อสรุปที่ว่าในช่วงเวลาสุดท้ายของการผ่านเข้าสู่ดินแดนก่อสร้างรากฐานนั้นยากลำบากมากเพียงใด
เขาจะต้องใช้ความแข็งแกร่งอย่างมากในช่วงสุดท้าย
อย่างน้อยที่สุดผู้เชี่ยวชาญที่เข้าสู่ดินแดนก่อสร้างรากฐานได้กล่าวว่านี่เป็นกลยุทธ์ที่ถูกต้อง
แต่ประสบการณ์ของคนอื่นอาจไม่เหมาะสมสำหรับทุกคน
ดังนั้นซ่างกวนเฟงจึงพยายามอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายปี
ในตอนท้ายความแข็งแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจของเขาถูกใช้ไปจนหมด
ความผิดหวังตลอดระยะเวลาในสิบปีที่ผ่านมา
ทำให้เขาสูญเสียความหวังทั้งหมดและในที่สุดเขาก็รู้สึกท้อแท้ และไม่เหลือความหวังใดๆที่จะเข้าถึงระดับก่อสร้างรากฐาน
จากนั้นเป็นต้นมาเขาจึงเข้ามาดูแลตำหนักเย่ซิวแห่งพระราชวังหยางบริสุทธ์อย่างเข้มแข็งจนถึงทุกวันนี้
จากความทรงจำของหยางเฉินในชีวิตก่อนหน้านี้ ซ่างกวนสามารถเข้าถึงระดับก่อสร้างรากฐานได้โดยการที่เขาใช้พลังออกไปอย่างเต็มที่ในขณะทีอยู่ในช่วงสุดท้ายเพื่อที่จะฝ่าข้ามดินแดนโดยไม่มีการยับยั้งใดๆ
ในเวลานั้นเขายังคงรู้สึกเสียใจที่ถ้าเขาใช้วิธีการแบบนี้เมื่อหลายร้อยปีก่อนบางทีเขาอาจจะเข้าสู่ระดับก่อสร้างรากฐานและกลายเป็นศิษย์สายในได้ก่อนหน้านี้เป็นเวลานานและไม่ต้องเสียเวลาถึงสองร้อยปีไปกับการบ่มเพาะ
ในชีวิตนี้ตั้งแต่ซ่างกวนเฟงได้แสดงให้หยางเฉินได้เห็นมุมมองและความคิดที่ไม่มุ่งร้ายต่อเขา
หยางเฉินจึงบอกกล่าวเกี่ยวกับข้อมูลนี้กับซ่างกวนโดยไม่ปิดบัง สิ่งนี่จะสร้างความประทับใจให้กับผู้ดูแลตำหนักเย่ซิว
มันไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดีสำหรับเขา นอกจากนี้การทำเช่นนี้ยังสร้างบุญคุณได้มาก
โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะเขาจะไม่ทำมัน
อย่างไรก็ตามซ่างกวนเฟงไม่ได้รู้สึกเช่นนี้
เดิมทีเขาสูญเสียความหวังทั้งหมด แต่ในขณะนี้ความปรารถนาอันเร่าร้อนกำลังลุกไหม้อยู่ภายในใจของเขาอีกครั้ง
เมื่อเขาคิดถึงวิธีที่หยางเฉินได้เอ่ยออกมา
เขาฝันถึงตัวเขาเองเมื่อก้าวเข้าสู่ดินแดนก่อสร้างรากฐาน
หลังจากขบคิดสักครู่แล้วเขาก็ลุกขึ้นกล่าวคำขอบคุณอย่างสุดซึ้งต่อหยางเฉิน
"ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะ
หากข้าประสบความสำเร็จในการเข้าสู่ดินแดนก่อสร้างรากฐานในอนาคต
ข้าจะไม่มีวันลืมบุญคุณของน้องหยางในครั้งนี้”
เขากล่าวคำขอบคุณเหล่านี้ออกไปพร้อมกับที่ในใจของเขารู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณ
"ก่อสร้างรากฐาน?"
หยางเฉินแกล้งทำเป็นยิ้มอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมาว่า
"ศิษย์พี่ซ่างกวน
พวกเราเพียงแค่คุยกันในเรื่องเคล็ดวิชาการต่อสู้ที่พวกเราเคยประสบมา
มันไม่มีความเกี่ยวข้องกับการเสริมสร้างระดับบ่มเพาะเพื่อเข้าสู่ระดับก่อสร้างรากฐานแต่อย่างใด
ถ้าพี่ชายสามารถเข้าใจมันได้ นั่นก็ถือว่าเป็นเพราะความโชคดีของพี่ชาย ซึ่งมันไม่ได้มาจากข้า"
แม้ว่าหยางเฉินจะกล่าวเช่นนี้ หากแต่ซ่างกวนเฟงไม่ได้คิดเช่นนั้น
ยิ่งหยางเฉินไม่ยอมรับว่าเป็นคำแนะนำของเขามากเท่าไหร่
มันยิ่งทำให้เขาดูเป็นคนดีมากขึ้นเท่านั้น
ดูเหมือนว่าซ่างกวนเฟงยิ่งรู้สึกซาบซึ้งในใจของเขามากขึ้น
ซ่างกวนรู้สึกมีความสุขในตอนนี้เขาไม่สนใจใครอีก
และอีกครั้งเขาป้องมือต่อหน้าหยางเฉินเพื่อแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจ
"น้องหยาง
ข้าจะต้องเก็บตัวฝึกซ้อมเป็นเวลาหนึ่งถึงสามเดือน และทันทีที่ข้าออกมา
ข้าจะให้คำแนะนำกับเจ้า!
คนอื่นอาจไม่กล้าที่จะสอนลูกศิษย์ระดับรวบรวมลมปราณขั้นปลาย แต่ชายชราคนนี้ยังมีคุณสมบัติพอหรือไม่ที่จะให้คำชี้แนะกับเจ้า?"
"ถ้าอย่างนั่น
ข้าก็ปราถนาให้พี่ชายประสบความสำเร็จ!"
หยางเฉินยังไม่ลืมที่จะอวยพรซ่างกวนเฟง
และไม่นานหลังจากนั้นเขาก็พูดขึ้นมาว่า
"ขอบคุณมากพี่ชายซ่างกวน!"
โดยไม่ได้ตั้งใจเขาเริ่มเรียกอีกฝ่ายว่าพี่ชายไม่ใช่ผู้ผู้ดูแลเหมือนเมื่อก่อนหน้านี้
ในตอนนี้ ซ่างกวนเฟงเร่งมือจัดการสิ่งต่างๆ ในตอนเย็นของวันเดียวกัน
คนรับใช้ทั้งสี่ที่ได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้กับหยางเฉิน ถูกส่งมาที่หอล้ำลึก
อาการบาดเจ็บที่ร่างกายของพวกเขาเกือบจะฟื้นตัวแล้ว
บาดแผลภายนอกไม่สามารถมองเห็นได้อีกต่อไป
อาจเป็นไปได้ที่ว่าพวกเขาได้ใช้ยาที่มีคุณภาพสูงเพื่อทำการรักษา
ในตอนกลางคืนเมื่อซ่างกวนเฟงจัดการทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว
เขารีบปิดประตูฝึกบ่มเพาะเพื่อก้าวผ่านดินแดนก่อสร้างรากฐาน
เมื่อเซิ่นต้าและอีกสามคนเห็นหยางเฉินอีกครั้ง
พวกเขาในตอนนี้ก็ไม่ได้ดื้อรั้นเหมือนเช่นก่อนหน้านี้
ทั้งสี่คนนี้เป็นเพียงแค่คนรับใช้
แต่หลังจากที่ให้การต้อนรับอย่างเย็นชาแก่หยางเฉินในตอนเช้า
เมื่อแรกที่พวกเขามีความคิดชั่วร้ายและได้ทำการต่อสู้กับหยางเฉินที่ยากจะเอาชนะได้
พวกเขาทั้งหมดได้รับความพ่ายแพ้จนหมดสติและนอกจากนั้นซ่างกวนเฟงได้กล่าวเตือนซ้ำพวกเขาอีกครั้งในเรื่องนี้
ทั้งสี่จึงไม่กล้าที่จะมีความรู้สึกที่ไม่ดีอีก
เมื่อเผชิญหน้ากับหยางเฉินพวกเขาทุกคนทำความเคารพ
และเมื่อหยางเฉินขอให้พวกเขาทำอะไรบางอย่างก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ
ขณะที่ซ่างกวนเฟงเก็บตัวเพื่อฝึกซ้อม หยางเฉินไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเผชิญกับการเคลื่อนไหวที่เป็นอันตรายของชูเฮิงอีกครั้ง
เขาได้วางหยางเฉินในตำแหน่งที่สูงเพื่อให้ทุกคนที่พบเขาต้องทำความเคารพและสุภาพกับหยางเฉิน
เพื่อที่หยางเฉินจะไม่สามารถบ่นเกี่ยวกับอะไรได้
แม้ว่าหยางเฉินไม่สนใจเกี่ยวกับการเรียนรู้ความรู้พื้นฐานใดๆ
เพราะเขาไม่จำเป็นต้องใช้มัน แต่เพื่อไม่ให้เกิดความสงสัยใดๆ เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่เขาจำเป็นต้องทำตัวเหมือนว่าเขากำลังเรียนรู้ตั้งแต่เริ่มแรก
ไม่อย่างนั้นถ้าคนที่เต็มไปด้วยภูมิปัญญาทางด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีความสามารถทางด้านโอสถและสามารถแยกแยะส่วนประกอบของยาต่างๆได้
หรือผู้ที่มีความรู้ที่ใกล้ขั้นสมบูรณ์แบบในเรื่องของดวงดาว
อะไรก็ตามที่ไม่ใช่เพชฌฆาต มันย่อมต้องเป็นที่น่าสงสัย
นิกายบ่มเพาะทั้งหลายต่างให้ความสำคัญในการสอนคนรุ่นใหม่เป็นอย่างมาก
หากหยางเฉินได้เปิดเผยความรู้ทั้งหมดนี้เขาก็จะถูกมองว่าเป็นสายลับจากนิกายอื่นที่ส่งเข้ามาเพื่อขโมยเคล็ดวิชาของพระราชวังหยางบริสุทธิ์
หากเหตุการณ์ดังกล่าวได้เกิดขึ้นจริง แน่นอนว่าชูเฮิงย่อมจะชื่นชมยินดีเป็นอย่างมากที่สามารถกำจัดหยางเฉินออกไปได้
ในเวลาเดียวกันก็จะถือว่าเป็นการทำความดีความชอบให้กับนิกาย
ดังนั้น หยางเฉินจึงต้องแกล้งทำเป็นว่าเริ่มเรียนรู้ตั้งแต่ต้น ทุกคนต่างรับรู้ว่าพื้นหลังของหยางเฉินเป็นเพชฌฆาตที่ไม่รู้หนังสือไม่มีความรู้เกี่ยวกับตัวอักษร
อย่างดีเขาอาจจะรู้บางตัวอักษร แต่ที่แน่ๆไม่เกินร้อยตัวอักษร
ซ่างกวนเฟิงกล่าวว่าหลังจากออกจากการเก็บตัวเพื่อฝึกซ้อม เขาจะสอนหยางเฉินด้วยตัวของเขาเอง แต่ในสายตาของหยางเฉินเรื่องนี้ซ่างกวนเฟิงเป็นคนจัดการเอง
ซึ่งมันเป็นเพียงแค่ใช้คนพิเศษในจุดที่ไม่สำคัญ การใช้เรื่องที่เรียบง่ายนี้เพื่อตอบแทนกับบุญคุณอันยิ่งใหญ่ของหยางเฉินนั้นมันราคาถูกเกินไป
เช้าวันรุ่งขึ้น เซิ่นต้าเดินนำหยางเฉินไปที่หอคัมภีร์อีกครั้ง
ที่ซึ่งเหล่าผู้เตรียมเป็นศิษย์ทั้งหลายสามารถศึกษาหาความรู้ แต่คราวนี้เขาไม่ได้ตรงไปที่ศาลาของกลุ่มศิษย์ที่เข้าร่วมนิกายพร้อมกับเขา
หากแต่เขาเดินไปอีกศาลาหนึ่ง มันเป็นศาลาของศิษย์ที่เข้ามาร่วมกับนิกายเมื่อหนึ่งปีก่อนขณะที่พวกเขากำลังศึกษาอยู่
เมื่อเห็นหยางเฉิน อาจารย์เฒ่าที่อยู่ในห้องได้หยุดทำการสอน เขาป้องมือและกล่าวต้อนรับ
"ศิษย์พี่หยาง เป็นเกียรติอย่างยิ่งสำหรับพวกเราที่ท่านได้มาที่ศาลาห่านหลิน
ท่านพอจะให้คำแนะนำกับน้องๆเหล่านี้ได้หรือไม่? เชิญท่านนั่งเพื่อเป็นเกียรติให้กับเรา!
"
พวกเขาให้เหตุผลเช่นเดียวกับเมื่อวานนี้ เหล่าศิษย์ที่นั่งอยู่นี้ต่างพากันลุกขึ้นยืนและแสดงความนับถือทุกอย่างเหมือนกับวันวานโดยไม่มีข้อแตกต่างใดๆ
"ข้ามิกล้า หยางเฉินผู้นี้เป็นแค่ผู้มาใหม่ที่ยังไม่เข้าใจอะไรหลายๆอย่าง
ข้ายังคงต้องการคำชี้แนะบางอย่างจากอาจารย์!"
หยางกล่าวออกมาด้วยความถ่อมตน
"หื้ม...ข้ามิกล้า! ใครจะกล้าสอนศิษย์พี่หยาง!"
อาจารย์เฒ่าตอบกลับในลักษณะที่พูดเกินจริง ป้องมือทั้งสองในขณะที่พูดออกมา
"ข้าคงไร้ความความสามารถที่จะชี้แนะท่านได้!"
"เจ้าไม่สามารถที่จะแนะนำข้าได้?"
เมื่อเห็นลักษณะที่ไม่ใส่ใจแบบนี้ น้ำเสียงของหยางเฉินก็เปลี่ยนไปในทันที
"แน่นอนว่าข้ามิบังอาจ! ศิษย์พี่หยาง!"
อาจารย์เฒ่ายังคงลักษณะท่าทางและคำพูดเอาไว้เช่นเดิม
"ท่านเป็นศิษย์ขั้นปลายระดับรวบรวมลมปราณ แล้วเราจะกล้าสอนท่านได้อย่างไร? มันย่อมไม่ได้อย่างแน่นอน!"
"ฮึ!"
หยางเฉินเปล่งเสียงเย็นขึ้นจมูกออกมา
"เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะไม่ทำให้เจ้าต้องลำบาก ข้าเกรงก็แต่ว่าเจ้านั้นจะขี้เกียจและไร้ความสามารถ
ซึ่งมันอาจขัดขวางความก้าวหน้าของศิษย์ทั้งหลาย ดังนั้นก่อนอื่นข้าจะทดสอบเจ้า"
ปัง!
หนังสือเล่มหนึ่งถูกโยนไปข้างหน้าอาจารย์เฒ่าและหยางเฉินใช้กระบี่ทองคำขนาดใหญ่ชี้ไปที่เบาะนั่ง
"อ่านมันทุกตัวอักษรทุกประโยคจากคัมภีร์เล่มนี้แล้วอธิบายให้ข้าฟัง ข้าจะฟังและตรวจสอบว่าเจ้าได้ทำผิดพลาดไปหรือไม่!"
หลังจากที่หยางเฉินกล่าวอย่างนี้ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์เฒ่าหรือเหล่าผู้เตรียมเป็นศิษย์ทั้งหมด
ต่างเหมือนกับเซิ่นต้า พวกเขาจ้องมองไปที่หยางเฉินอย่างโง่เขลา ทดสอบอา- จารย์? นี่คืออะไรกัน?
ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร ต่างก็ไม่มีใครกล้าที่จะไม่เห็นด้วย หยางเฉินได้รับสถานะเป็นศิษย์ขั้นปลายระดับรวบรวมลมปราณซึ่งได้รับการตัดสินใจและส่งผ่านโดยศิษย์ที่มีพรสวรรค์ชูเฮิง
และในเวลาเดียวกัน ก็สามารถจัดการกับผู้ดูแลซ่านกวน แล้วใครจะกล้าทำให้เขาเสียชื่อเสียง?
เนื่องจากเขาเป็นศิษย์สายนอกขั้นปลายระดับรวบรวมลมปราณเขาจึงมีอำนาจในการตรวจสอบและทดสอบเหล่าผู้เตรียมเป็นศิษย์คนอื่นๆและยังมีอำนาจในการตรวจสอบอาจารย์ทั้งหลาย
แต่ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นแล้วแผนการณ์ของอาจารย์อาชูยังคงเป็นประโยชน์อยู่อีกหรือไม่?
คนแรกที่ตอบรับคือเซิ่นต้า นับตั้งแต่ที่หยางเฉินได้สอนเขาอย่างโหดเหี้ยมเขาก็ไม่มีความคิดถึงเรื่องอื่นใดในใจของเขาและด้วยคำเตือนของซ่างกวนเฟิงที่ย้ำแล้วย้ำอีกทำให้เซิ่นต้า
เข้าใจสถานการณ์นี้เป็นอย่างดี
แน่นอนว่าจุดสำคัญที่สุดของเรื่องทั้งหมดนี้คือการกระทำของ หยางเฉินนี้ไม่ได้ทำลายกฎที่จัดตั้งขึ้นโดยอาจารย์อาชูและเป็นไปอย่างสมเหตุสมผลและยุติธรรมดังนั้นแม้ว่าเขาจะมาที่นี่เขาก็จะไม่สามารถพูดอะไรได้
เพราะฉะนั้นเซิ่นต้าจึงตะโกนออกไปด้วยเสียงที่ดังต่อหน้าอาจารย์เฒ่า
"นายน้อยหยางออกคำสั่ง เจ้ายังไม่ปฏิบัติตามอยู่อีกหรือ?"
อาจารย์เฒ่าไม่กล้าละเลยเสียงตะโกนนี้ เขารีบหยิบคัมภีร์ที่ หยางเฉินโยนออกมาและเริ่มอ่านคัมภีร์เสียงดัง
ตั้งแต่ที่เขารู้แล้วว่าแผนการณ์ของอาจารย์อาชูเฮิงไม่มีความหมาย ในตอนนี้อาจารย์เฒ่าก็มองไปที่หยางเฉินอย่างมีความหมาย
เขาไม่เพียงแต่จะเริ่มอ่านคัมภีร์ออกไปด้วยเสียงที่ดังอย่างช้าๆ แต่เขายังอธิบายข้อความที่อ่านอย่างชัดเจนพร้อมด้วยเหตุผล
โดยไม่มีทีท่าว่าจะมีเล่ห์กลอันใด
ผู้ที่เตรียมเป็นศิษย์คนอื่นๆ ต่างมองไปที่หยางเฉินดูเหมือนว่าพวกเขาได้เปลี่ยนไปนิดหน่อย
เนื่องจากหยางเฉินสามารถใช้วิธีการนี้เพื่อทำลายอุปสรรคที่ขัดขวางเขา นอกจากนี้เขายังสามารถเพลิดเพลินกับสถานะที่สูงเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ
ซึ่งรวมถึงทรัพยากรที่ได้รับเพื่อใช้ในการบ่มเพาะอันมากมาย บางทีเขาอาจจะสามารถพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็วเหนือทุกคนแต่ไม่มีใครสามารถพูดอะไรออกไปได้
ดังนั้นพวกเขาทุกคนจึงทำได้แต่เพียงฟังอาจารย์เฒ่าที่กำลังอ่านคัมภีร์ทำราวกับว่าพวกเขาได้ฟังมันเป็นครั้งแรกและยังไม่สามารถเข้าใจอะไรดีอยู่อย่างเงียบๆ
คัมภีร์ที่อยู่ในมือของหยางเฉิน มันดูเหมือนกับคัมภีร์ในมืออาจารย์เฒ่า
เขาแกล้งทำเป็นพลิกไปทีละหน้าและอ่าน
แต่ในสายตาของคนอื่นดูเหมือนว่าเขาพยายามจดจำอะไรบางอย่าง และพวกเขาก็ไม่กล้าขัดขวาง
เมื่อวานนี้หยางเฉินได้ต่อสู้กับคนรับใช้ขั้นปลายระดับรวมรวมลมปราณถึงสี่คน สามในสี่คนมีอาวุธบ่มเพาะและหนึ่งในนั้นก็ได้บ่มเพาะพลังฝ่ามือเจิดจ้า
พวกเขาทั้งหมดต่างพ่ายแพ้ให้กับหยางเฉินข่าวนี้ได้แพร่กระจายออกไป ดังนั้นย่อมเป็นเรื่องปกติที่จะไม่มีใครกล้าที่จะเมินเขา
ในวันถัดๆไป ทุกวันหยางเฉินจะเปลี่ยนอาจารย์และคัมภีร์ทุกครั้งอาจารย์จะถูกบังคับให้อ่านคัมภีร์และอธิบายให้เขาโดยใช้เหตุผลอันโอ่อ่าของการทดสอบพวกเขาเพื่อตรวจสอบว่าพวกเขามีความรอบรู้หรือไม่
ในทุกๆครั้งบุคคลที่เขาต้องการจะทดสอบต้องอ่านคัมภีร์เป็นเวลาหนึ่งวันหรือครึ่งวันและในที่สุดทุกคนก็ได้อ่านและอธิบายคัมภีร์หนึ่งหรือสองเล่มก่อนที่เลิก
ครูทุกคนกลายเป็นคุ้นเคยกับเรื่องแบบนี้ ประการแรกหยางเฉินไม่ได้หักกฎใดๆ
และประการที่สองก่อนที่ซ่างกวนเฟิงจะเก็บตัวฝึกซ้อมเขาได้ดูแลเรื่องนี้และได้สั่งการอาจารย์ผู้สอนทุกคนให้คอยช่วยเหลือหยางเฉินให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ดังนั้นพวกเขาจึงทำตามคำขอของหยางเฉินเท่าที่จะทำได้โดยไม่ก่อให้เกิดปัญหามากนัก
ในขณะเดียวกันในขณะที่หยางเฉินกำลังอำลาอาจารย์ที่มาเพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับการปรุงยา
ตูเชี่ยนได้ปรากฏตัวใน หอล้ำลึกหลังจากที่ส่งพวกเขาออกไปหยางเฉินหันไปหาตูเชี่ยน มองเขาพร้อมด้วยรอยยิ้มแต่ไม่ใช่รอยยิ้ม
"อาจารย์อาตู!"
หยางเฉินรีบทักทายเขาตามมารยาทที่ถูกต้องนั่นเป็นกฎที่ไม่สามารถที่จะละเลยได้
"เดิมทีข้าคิดว่าด้วยคำสั่งการที่เฉพาะเจาะจงของชูเฮิงจะสร้างความลำบากให้กับเจ้า
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเจ้าก็อยู่สุขสบายดี?"
ในก่อนหน้านี้ตูเชี่ยนรู้สึกชื่นชมหยางเฉินเป็นอย่างมากบางทีอาจเป็นเพราะอดีตของหยางเฉินคือเพชฌฆาตซึ่งมันคล้ายคลึงกับสถานะของตัวเขาเองในฐานะศิษย์ของวิหารพิทักษ์กฏ
นอกจากนี้ในเวลานั้นหยางเฉินได้ทำลายชื่อเสียงของชูเฮิงอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นตูเชี่ยนเลยเชื่อว่าชีวิตของหยางเฉินจะต้องไม่ได้รับความสะดวกสบาย
แต่หลังจากที่มาถึงที่นี่ความเชื่อนี้ได้เปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์
ตูเชี่ยนถามออกไปว่า
"ชูเฮิงได้เพิกถอนสถานะของเจ้าหรือไม่?"
"สถานะของข้ายังคงเหมือนเดิม!"
หยางเฉินตอบพร้อยด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน
"แล้วทำไมอาจารย์คนนั้นจึงกล้าที่จะสอนวิชาปรุงยาให้กับเจ้า?"
ตูเชี่ยนไม่เข้าใจ เดิมทีเขาคิดที่จะมาช่วยหยางเฉินแต่ดูเหมือนว่าในตอนนี้หยางเฉินไม่ต้องการมันแล้ว
"สอนวิชาปรุงยาแก่ศิษย์? ไม่ ไม่
ไม่! อาจารย์อาตู ท่านเข้าใจผิด! "
หยางเฉินส่ายนิ้วขณะที่กล่าวตอบอย่างจริงจัง
"เขาไม่ได้สอนปรุงยาให้กับข้า!"
"ข้าได้เห็นมันด้วยสายตาของตัวเอง แล้วมันจะผิดได้อย่างไร?"
ตูเชี่ยนหัวเราะบ่นเขา แต่ไม่นานหลังจากที่เขาถามออกไป
"เขาไม่ได้สอนให้เจ้าเพื่อมาถกปัญหาเรื่องของการปรุงยา
แล้วมันคืออะไร? หรือเจ้าเป็นคนสอนเขา?"
"มากหรือน้อย อาจารย์อาตู! ฮี่ฮี่!"
หยางเฉินหัวเราะ
"เขาไม่ได้สั่งสอนศิษย์คนนี้ ศิษย์นี้เพียงแค่กำลังตรวจสอบว่าเขามีความรอบรู้ในเรื่องที่เขาต้องสอนให้กับศิษย์ร่วมนิกายมากน้อยเพียงใด
ศิษย์ทั้งหลายจะได้รับการชี้แนะที่ไม่ผิดพลาด นอกจากนี้ ท่านก็ตระหนักดีว่า ศิษย์มีสถานะที่สูงกว่าสหายศิษย์ทั้งหลาย
ดังนั้นศิษย์นี้จึงถูกขอให้รับผิดชอบในการทดสอบและตรวจสอบ ข้าไม่เต็มใจแต่ก็ต้องยอมรับทำเรื่องนี้
ข้าทดสอบพวกเขาอย่างจริงจังเพื่อหลีกเลี่ยงการโกงใดๆที่บางคนอาจทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของพวกเขา
และละเลยอนาคตของ สหาย พี่น้อง ทั้งหลาย"
เมื่อได้ยินคำพูดที่ไร้ยางอายที่เต็มไปด้วยความภูมิใจของหยางเฉิน ตูเชี่ยนซึ่งเป็นคนซื่อสัตย์
เขาทำได้เพียงแต่ยิ้มและส่ายศีรษะ
ถึงแม้จะเป็นคำถามที่ตูเชี่ยนอยากให้ความช่วยเหลือแก่ หยางเฉินที่มอบความรู้สึกคุ้นเคยให้กับเขา
แม้ว่าการมาเยือนในครั้งนี้ของตูเชี่ยนจะไม่ได้มีจุดมุ่งหมายใดๆ แต่เมื่อเห็นว่าหยางเฉินได้รับโอกาสเช่นเดียวกับศิษย์อื่นๆ
มันทำให้เขารู้สึกโล่งใจ เมื่อไม่มีปัญหาอะไร เขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องยุ่งเกี่ยว
ดังนั้นเขาจึงอำลาและจากไป
หยางเฉินกำลังเรียนรู้อย่างรวดเร็ว อย่างน้อยที่สุดในสายตาของคนอื่นมันก็เป็นเช่นนั้น
ไม่ว่าจะเป็นคัมภีร์เล่มใด หากเมื่ออ่านและอธิบายครั้งเดียว หยางเฉินสามารถจำได้ในทันทีในช่วงระยะเวลาสั้นๆเพียงสองเดือน
คัมภีร์เรียนเกี่ยวกับตัวอักษร ปรุงยา แผนผังของดวงดาว ซึ่งผู้เตรียมเป็นศิษย์จะต้องเรียนรู้ในช่วงเวลาสามปี
หยางเฉินได้เรียนรู้จนหมดแล้ว
ขณะที่ผู้เตรียมเป็นศิษย์คนอื่นๆ ที่ได้เข้าร่วมนิกายมาพร้อมกับหยางเฉินกำลังเรียนรู้การอ่านและเขียนตัวอักษรอย่างช้าๆ
หยางเฉินก็มายืนอยู่ที่ประตูห้องความสำเร็จซึ่งเป็นส่วนสำคัญของตำหนักเย่ซิว ที่นี่มีศิษย์สายนอกดูแลรักษาการณ์ตลอดเวลาอยู่สองคน
เพื่อดูแลเคล็ดวิชาบ่มเพาะเริ่มต้นสำหรับผู้ที่เข้ามาในนิกาย โอกาสที่จะได้รับเคล็ดวิชาการบ่มเพาะในระดับอื่นๆนั้นหาได้ยาก
เพื่อทดลองเคล็ดวิชาบ่มเพาะระดับสูงพวกเขาจะต้องกลายเป็นศิษย์สายนอกอย่างเป็นทางการเสียก่อนจึงจะสามารถไปเรียนรู้จากศิษย์สายนอกที่ประสบความสำเร็จได้เป็นการส่วนตัว
"ข้า หยางเฉิน ข้ามาที่นี่ในวันนี้เพื่อเข้าสู่ห้องบ่มเพาะเพื่อหาทักษะที่เหมาะสมเพื่อทำการบ่มเพาะ
พี่ชายพอจะช่วยเหลือข้าได้หรือไม่!
หยางเฉินกล่าวพร้อมกับคำนับศิษย์สายนอกที่คอยดูแลห้องบ่มเพาะ
"หยางเฉิน? ข้ารู้ว่าเจ้าเพิ่งเข้ามาที่ตำหนักเย่ซิวเมื่อหลายวันก่อน
หลังจากผ่านไปเพียงแค่สองสามวัน เจ้าต้องการเคล็ดวิชาเพื่อบ่มเพาะพลัง? เจ้าคิดว่า พระราชวังหยางบริสุทธ์ของข้า มันง่ายขนาดนั้น!"
ความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์ที่ดูแลห้องบ่มเพาะกับซุนไห่จิ้งนั้นดีมากๆ
ดังนั้นเขาจึงเคยได้ยินเรื่องที่ซุนไห่จิ้งได้รับความพ่ายแพ้จากหยางเฉินและเขาจงใจพยายามที่จะสร้างความลำบากให้กับหยางเฉิน
"เจ้าเชื่อจริงๆหรือว่าเจ้าได้กลายเป็นศิษย์ระดับรวบรวมลมปราณขั้นปลาย?"
หยางเฉินยังคงไม่ตอบอะไร แต่จู่ๆภายในตำหนักเย่ซิวมีการระเบิดพลังแห่งสวรรค์
พลังขยายออกไปอย่างน่าประทับใจ ไม่นานหลังจากนั้น พลังก็ถอยตัวกลับพร้อมด้วยการรับรู้ทางจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งกวาดไปทั่วบริเวณ
ที่ซึ่งส่งผลต่อผู้ที่สัมผัสมัน
"อาจารย์อาผู้ใดประสบความสำเร็จในการก่อสร้างรากฐาน?"
เมื่อเห็นสถานการณ์นี้แล้วศิษย์สายนอกคนหนึ่งถามออกไป ด้วยความรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก
แต่หยางเฉินรู้ได้อย่างชัดเจนว่าเขาเป็นใคร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น