เลือกสีพื้นเพื่ออ่านบทความ >>> พื้นขาว พื้นดำ พื้นครีม

วันเสาร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ZX 020 ข้าสามารถชี้แนะเจ้าได้

ความเร็วของพลองเหล็กนั้นเร็วมากอีกทั้งแรงกดดันของมันก็ค่อนข้างมาก มันจะไม่เป็นอันตรายต่อซ่างกวนเฟงหากเขาทำการหลบหลีกไปด้านข้างเพียงเล็กน้อย เขาก็จะสามารถออกจากทิศทางของพลองเหล็กได้

แต่ซ่างกวนเฟงไม่คาดคิดว่าจะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น อีกทั้งก็ไม่ได้หลบเลี่ยงมันหรือแม้แต่จะมีความตั้งใจที่จะทำเช่นนั้น ถ้าวันนี้เขาตัดสินใจที่จะหลบหนีจากมัน แล้ววันพรุ่งนี้ทั้งตำหนักเย่ซิว ลานด้านในรวมทั้งด้านนอกทางเข้าของตำหนักเย่ซิว ก็จะเต็มไปด้วยเรื่องราวที่สนุกสนานบนพื้นฐานเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ เมื่อเขาหันไปเผชิญหน้ากับคนที่เพิ่งเข้าร่วมพระราชวังหยางบริสุทธิ์เมื่อไม่กี่วันก่อนในฐานะเตรียมเป็นศิษย์สายนอก เขาถูกบังคับให้ใช้เคล็ดวิชาต่อสู้เพื่อเอาชนะ

ถ้าข่าวนี้แพร่กระจายออกไปถึงภายนอก มันก็จะเป็นเรื่องที่น่าอับอายเป็นอย่างมาก มากยิ่งกว่าความตายของซ่างกวนเฟง ดังนั้นซ่างกวนเฟงไม่อาจที่จะหลบหลีกพลองเหล็กนี้ หากแต่สามารถทำได้เพียงจับมันอย่างแน่นหนา กับคนที่เพิ่งเข้าร่วมในฐานะเตรียมเป็นศิษย์และยังไม่ได้เริ่มบ่มเพาะเคล็ดวิชาใดๆ แรงที่ส่งออกมาจากการขว้างพลองเหล็ก ผู้ดูแลที่มากประสบการณ์เช่นเขาย่อมสามารถทำลายความเชื่อมั่นและหยุดการกระทำนี้ได้ หากทำได้สำเร็จเขาก็จะสามารถควบคุมหยางเฉินไว้ได้อีกทั้งยังสามารถแสดงให้เห็นถึงพลังที่แท้จริงของตำหนักเย่ซิว

เช่นเดียวกับที่หยางเฉินเคยทำมาก่อน ซ่างกวนเฟงยกมือขึ้นเพียงข้างเดียวเพื่อคว้าพลองเหล็กที่บินเข้าหาเขาผ่านหญิงคนรับใช้ที่เคยอยู่ระหว่างหยางเฉินและซ่างกวนเฟง ตอนนี้ในมุมมองของซ่างกวนเฟง พลองเหล็กที่พุ่งเข้ามาหาเขาดูราวกับเป็นคันธนูยักษ์และเขาก็จะจับคันธนูยักษ์นี้ด้วยมือเดียว

ขณะที่พลองเหล็กสัมผัสกับมือของซ่างกวนเฟง พลันปรากฏเสียงดัง

วูมมม!

สถานการณ์ดูไม่ค่อยดี คลื่นแรงกดดันขนาดใหญ่เกือบทำให้ร่างกายของเขาปลิวออกไปพร้อมกับวิถีแรงของพลองเหล็ก โชคดีที่ซ่างกวนเฟงตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดเขาจึงใช้มืออีกข้างของเขาช่วยลดความเร็วของพลองให้อยู่ภายใต้การควบคุม แต่ในขณะเดียวกันร่างกายของเขาก็จมลงไปกับพื้นและหยุดชะงักอยู่กับที่ ในตอนนี้เขาดูราวกับรูปปั้นของเทพเจ้าโบราณ

อย่างไรก็ตามพลองเหล็กที่อยู่ในมือหลุดออกจากฝ่ามือของเขาไปไม่น้อยกว่าครึ่งฉื่อจากจุดเดิมที่เขาจับยึดไว้ แรงเสียดทานรุนแรงทำให้ซ่างกวนเฟงรู้สึกร้อนมากที่บริเวณฝ่ามือของเขา แต่ในช่วงเวลาสั้นๆนี้ซ่างกวนเฟงได้ทำลายสัญลักษณ์ของยันต์พันชั่งที่ด้านบนของพลองเหล็ก

เมื่อยันต์พันชั่งได้ถูกทำลายไป น้ำหนักของพลองเหล็กก็ลดลงไปหลายเท่า เขาสามารถถือมันได้โดยไม่ลำบากอีกต่อไป พลังที่อยู่ภายในพลองเหล็กก็ลดน้อยลงไปด้วยเนื่องจากน้ำหนักที่ลดลง เพราะฉะนั้นซ่างกวนเฟงจึงสามารถยึดพลองเหล็กให้อยู่ภายในมือได้โดยไม่หลุด

โชคดีที่เขาสามารถหยุดพลองเหล็กได้แม้ว่าจะใช้เวลาไปบ้าง โดยใช้มือทั้งสองข้างกับพลังแปดในสิบส่วนของเขา เพียงเพื่อเอาชนะพลังของหยางเฉินและสกัดกั้นพลังของวัตถุที่กำลังเคลื่อนไหวได้ ซ่างกวนเฟงรู้ว่ามันเป็นเพราะเขาทำลายยันต์พันชั่งด้วยเคล็ดธรรมดาง่ายๆ แต่เมื่อคนภายนอกมองเข้ามา มันดูเหมือนกับว่าเขาสามารถรับมือกับพลองเหล็กที่หยางเฉินโยนมาได้ค่อนข้างสง่างาม

ขณะที่ผู้ดูแลซ่างกวนเฟงรู้สึกโล่งใจ ใต้เท้าของเขาพลันปรากฏเสียงแตกร้าวดังขึ้นสองครั้ง กระเบื้องปูพื้นใต้เท้าทั้งสองข้างของเขาบริเวณด้านบนของประตูทางเข้าพลันปรากฏรอยแยกออกก่อนที่จะแตกเป็นหลายชิ้น ด้วยพลังที่รุนแรงเกินไปและถึงแม้ว่าซ่างกวนเฟงจะใช้กำลังเพื่อควบคุมมันไว้ได้และกอบกู้สถานการณ์ให้กลับมาเป็นปกติ แต่ทว่าพลังที่รุนแรงยังคงส่งผ่านไปที่เท้าของเขาและกระเบื้องปูพื้นที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา พวกมันเป็นวัสดุทั่วๆไปจึงไม่สามารถทนต่อพลังที่รุนแรงได้จึงแตกหักไปในที่สุด

เมื่อได้ยินเสียงนี้ ซ่างกวนเฟงรู้ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นโดยไม่ต้องมอง หากแต่เขาไม่สามารถทำอะไรได้ ทำได้แต่เพียงเผยรอยยิ้มอันขมขื่นออกมา ในการแลกเปลี่ยนระหว่างพวกเขานี้หยางเฉินได้รับชัยชนะ ตัวเขาเองเป็นผู้เชี่ยวชาญขั้นปลายของระดับรวบรวมลมปราณ เมื่อเผชิญหน้ากับสามัญชนมันย่อมจะลดสถานะภาพของเขา แต่ในตอนนี้แม้หลังจากที่เขาใช้พลังความแข็งแกร่งออกไปแปดจากในสิบส่วน  กระเบื้องที่อยู่ใต้เท้าของเขายังถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ มันทำให้เขาเสียหน้า

อืมม! ไม่เลว!"

เสียงของหยางเฉินดังมาจากด้านล่าง จริงๆแล้วเขาเอาชนะคนรับใช้หญิงคนนี้ได้แล้วในตอนนี้ เขาหันไปมองดูผู้ดูแลอย่างสบายๆ แต่ดูไม่ค่อยมีความจริงใจเมื่อเขาร้องเสียงดังออกมาด้วยความกลัว

"ดูแลตัวเองด้วย ผู้ดูแลซ่างกวนเฟง!"

ซ่างกวนเฟงไม่ได้โกรธ จากการแสดงออกของหยางเฉิน ในฐานะผู้ดูแลตำหนักเย่ซิว เขาได้เห็นคนที่มีพรสวรรค์มามากการเยาะเย้ยของหยางเฉินนี้ถือเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ด้วยความอยากรู้อยากเห็นในบางอย่าง เขาจึงถามหยางเฉิน

"หยางเฉินยาเม็ดมหัศจรรย์ชนิดใดที่เทพธิดาซือมอบให้กับเจ้า ถึงทำให้เจ้ามีพลังมากเช่นนี้?"

"เจ้าพอจะบอกข้าให้ทราบได้หรือไม่?"

หยางเฉินยิ้มให้กับเขา โดยไม่ปิดบังอะไร เขาตอบออกไปตรงๆ

"แต่เดิมข้ามีความแข็งแกร่งมาก แต่หลังจากที่กินยาที่ได้รับจากเทพธิดาซือแล้ว มันทำให้ข้ามีความแข็งแกร่งมากขึ้น แต่เธอก็ไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับยาเม็ดนี้"

หลังจากที่หยางเฉินอธิบายเรื่องทั้งหมดนี้ ซ่างกวนเฟงครุ่นคิดอยู่ในใจ โดยไม่แสดงอาการใดๆออกมา

เขาเป็นเพียงเพชฌฆาตที่ไม่สำคัญ แล้วเขารู้วิธีการจัดการกับยาเม็ดที่ได้จากเทพธิดาซือได้อย่างไร?’

ทันใดนั้นเขาก็คิดถึงบางสิ่งบางอย่างและถามหยางเฉินออกไปอีกครั้งว่า

"หยางเฉินเจ้าเคยฝึกทักษะการต่อสู้มาก่อนใช่หรือไม่?"

"ข้าได้ติดตามนายทหารที่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ที่เมืองของข้าเป็นเวลาหลายวัน"

หยางเฉินบอกความจริงเพียงครึ่งเดียว เขาเคยฝึกทักษะการต่อสู้ เพียงแต่ไม่ได้ติดตามนายทหารที่เมืองของเขา เขาเคยฝึกเคล็ดวิชาลับการต่อสู้ของศาลสวรรค์ซึ่งถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของทหารสวรรค์และแม่ทัพ เมื่อเทียบกับเคล็ดวิชาในโลกมนุษย์มันย่อมดีกว่าหลายเท่า

เมื่อได้ฟังคำตอบของหยางเฉินความคิดของซ่างกวนเฟงได้เปลี่ยนไปนับครั้งไม่ถ้วน คนธรรมดาที่ฝึกทักษะการต่อสู้แม้จะมีพลังมหาศาล แต่เขาก็ไม่น่าจะมีพลังเท่ากับพันจิน คำอธิบายเดียวอาจเป็นเพราะเม็ดยาที่เทพธิดาซือมอบให้กับหยางเฉิน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขามันจะเป็นเพียงความสัมพันธ์ธรรมดา ที่สามารถมอบยาสมุนไพรที่มีค่าให้กับคนแปลกหน้าได้เช่นนั้นหรือ?

อาจมีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้น หยางเฉินและเทพธิดาซือแม้ว่าจะไม่มีความสัมพันธ์ที่เป็นมิตรหรือสนิทสนมกัน แต่อย่างน้อยพวกเขาควรจะมีความผูกพันธ์ทางสายเลือดหรือมีความสัมพันธ์แบบอื่นๆ มิฉะนั้นถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่หยางเฉิน เธอก็จะไม่ให้ยาเม็ดที่มีค่านี้

บางที ชูเฮิงอาจได้รับผลประโยชน์จากผู้อื่น ในการสร้างความลำบากให้กับหยางเฉิน แต่ซ่างกวนเฟงไม่จำเป็นต้องมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ แม้ว่าชูเฮิงจะเป็นศิษย์สายใน เทพธิดาซือนั้นทุกคนในโลกของการบ่มเพาะต่างรู้จักเธอ เธอมีชื่อเสียงอย่างมากในกลุ่มของคนรุ่นใหม่ที่โดดเด่น ชื่อของพวกเขาทั้งคู่ไม่สามารถกล่าวถึงในประโยคเดียวกันได้ สำหรับชูเฮิงที่จะรุกรานมิตรคนหนึ่งของเทพธิดาซือ สิ่งนี้จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ

"ผู้ดูแล ทั้งสี่คนนี้จะถือว่าพ่ายแพ้ได้หรือไม่?"

ขณะที่ ซ่างกวนเฟงกำลังพูดพึมพำกับตัวเองเขาได้ยินเสียงถามของหยางเฉินออกมา

เมื่อพิจารณาสถานการณ์ด้านล่าง ซ่างกวนเฟงไม่สามารถทำอะไรได้ เขาทำได้เพียงส่ายหัวของเขาไปมา คนรับใช้ทั้งสี่ต่างพ่ายแพ้ คนแรกเป็นเซิ่นต้าได้รับบาดเจ็บมาก ไม่รู้ว่าเขาตายหรือยังมีชีวิตอยู่ บนใบหน้าของผู้ที่ใช้กระบี่ไม้ท้อปรากฏรอยหมัดที่เห็นได้ชัด คนรับใช้ชายอีกคนที่เปิดใช้ฝ่ามือเจิดจ้าดูเหมือนว่าซี่โครงของเขาจะหักไปหลายซี่ และคนรับใช้หญิงอีกคนที่พยายามหนีโดยการเปิดใช้เคล็ดวิชาทะยานฟ้า แต่ในที่สุดก็ตกลงมาบนพื้นดินยังไม่ทราบว่าบาดเจ็บมากน้อยเพียงไร แต่อย่างไรก็ตามทั้งสี่คนได้หมดสติไปแล้ว

ถ้าไม่เรียกสิ่งนี้ว่าชัยชนะ แล้วอะไรคือสิ่งที่เรียกว่าความพ่ายแพ้? แม้ว่าชูเฮิงจะมาที่นี่และอยากจะทำให้หยางเฉินพ่ายแพ้ อยู่เต็มหัวใจของเขาก็ตาม แต่ในสถานการณ์เช่นนี้เขาจะไม่สามารถพูดออกมาได้แม้แต่คำเดียว

"เจ้าชนะ!"

ซ่างกวนเฟงทำได้เพียงแค่พยักหน้าเท่านั้น

"ดี!"

หยางเฉินไม่ได้คัดค้านใดๆ หากแต่เขาผายมือออกไปยังจุดที่สี่คนนอนอยู่บนพื้น ก่อนกล่าวกับซ่างกวนเฟงว่า

"ผู้ดูแลซ่างกวนเฟง ข้ามีปัญหาในการที่จะรักษาอาการบาดเจ็บของพวกเขา นอกจากนี้ เมื่อเห็นสถานที่นี้ ข้าเกรงว่าข้าจะต้องการที่พักใหม่ ไม่อย่างนั้นข้าจะต้องจัดการกับปัญหาเหล่านี้

ซ่างกวนเฟงไม่ได้โกรธในน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยคำสั่งของหยางเฉิน เขาเป็นผู้ดูแล เรื่องเหล่านี้เป็นเพียงความรับผิดชอบของเขา หลังจากที่พยักหน้า ซ่างกวนเฟงได้ถามออกไป

"เจ้าต้องการที่จะเปลี่ยนคนรับใช้หรือไม่?"

"ไม่จำเป็น!"

หยางเฉินส่ายหัว

"ข้าจัดการกับปัญหาเหล่านี้ด้วยความยากลำบาก เปลี่ยนคนรับใช้ใหม่ แล้วข้าก็ต้องต่อสู้กับพวกเขาใหม่อีกครั้ง?"

ความเร็วในการจัดการของซ่างกวนเฟงนั้นรวดเร็วมากและในเวลาไม่นานก็มีคนเข้ามาด้วยความเร็วราวกับฟ้าแลบ เพื่อนำคนรับใช้ทั้งสี่ที่ได้รับบาดเจ็บและไม่ได้สติเพื่อไปทำการรักษา ในขณะที่ซ่างกวนเฟงดูแลหยางเฉินด้วยตัวเขาเอง เขาทำการเปลี่ยนที่พักให้กับหยางเฉิน เห็นได้ชัดว่ามันดูฟุ่มเฟือยและดูดีมากขึ้นเมื่อเทียบกับที่พักก่อนหน้านี้ คนรับใช้ที่นี่กำลังรอเพื่อที่จะต้อนรับหยางเฉินและซ่างกวนเฟงอย่างเคร่งขรึม

"หอล้ำลึกนี้เป็นที่พำนักของหัวหน้าศิษย์สายในที่เข้ามาตรวจสอบและทดสอบ กลุ่มเตรียมเป็นศิษย์สายนอกของพระราชวังหยางบริสุทธิ์"

ซ่างกวนเฟงกระตือรือร้นอธิบายหยางเฉิน

"ต่อจากนี้ไปจนอีกสามปีข้างหน้ามันจะเป็นของเจ้า!"

"ผู้ดูแลซ่างกวนเฟง นี่ไม่ใช่เป็นการทำลายกฎใช่หรือไม่?"

หยางเฉินรู้เรื่องหอล้ำลึกนี้อย่างละเอียด ไม่คาดคิดว่า ซ่างกวนเฟงได้จัดที่พักนี้ไว้ให้กับเขา มันทำให้เขาไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ เนื่องจากเขาไม่รู้เจตนาของซ่างกวนเฟงว่าเป็นอย่างไร

"ที่พักนี้แต่เดิมมีคนรับใช้มากกว่าเดิมถึงสองเท่า รวมกับคนรับใช้ทั้งสี่ของเจ้า หลังจากที่พวกเขาได้รับการรักษาจากอาการบาดเจ็บแล้ว พวกเขาจะถูกส่งกลับมาที่นี่ในทันที"
ซ่างกวนเฟง ยังไม่ได้ตอบคำถามของหยางเฉิน เขาดูเหมือนจะสนใจในหน้าที่ของตัวเองเท่านั้น ก่อนที่เขาจะกล่าวต่อไปอีกว่า

"อย่างไรก็ตาม เจ้าจะพักอยู่ที่นี่ เนื่องจากในตอนนี้ไม่มีใครในตำหนักเย่ซิวเป็นเจ้าของที่แห่งนี้"

"ผู้ดูแล?"

หยางเฉินไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากถาม ซ่างกวนเฟงออกไปอีกครั้ง

"นี่มันไม่เป็นไปตามกฎของนิกาย!"

"กฎอะไร? นี่มันไม่ใช่กฎ! โดยปกติแล้วเรามักจะคุ้นเคยกับการจัดเตรียมประเภทนี้ แต่มันก็ไม่ได้ระบุไว้ว่าเราต้องทำตามพวกมันเมื่ออยู่ในที่ใด ทำใจให้สบายและพักอยู่ที่นี่ นี่ไม่ถือว่าเป็นการละเมิดกฎ"

ซ่างกวนเฟงตอบออกมาอย่างไม่แยแส อย่างเห็นได้จากท่าทีของเขาในตอนนี้ หลังจากที่ได้เห็นความสามารถในการต่อสู้ของหยางเฉินในก่อนหน้านี้ ซ่างกวนเฟงได้เปลี่ยนมุมมองและความคิดของเขาทั้งหมด

"ก่อนหน้านี้ เนื่องจากคำชี้แนะของอาจารย์อาชูเฮง ข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำให้เจ้าอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากตามความต้องการของเขา แต่หลังจากที่ได้เห็นการต่อสู้ของเจ้าแล้ว มันทำให้ข้ามีคำตอบให้กับตัวเอง"

"เจ้ายังไม่ได้บ่มเพาะแต่มีความแข็งแกร่งเช่นนี้ ถ้าเจ้าประสบความสำเร็จในการบ่มเพาะระดับรวมรวมลมปราณหรือดินแดนก่อสร้างรากฐาน ข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะกลายเป็นอัจฉริยะที่น่ากลัวแบบไหน"

ซ่างกวนเฟงเมื่อเห็นความไม่ไว้วางใจของหยางเฉินเขาก็อธิบายเรื่องนี้ออกไปอย่างช้าๆ

"ข้าชื่นชมเจ้าอย่างมาก!"

แค่คิดถึงอนาคตของหยางเฉิน คำอธิบายนี้ไม่เพียงพอที่จะลบความสงสัยในหัวใจของหยางเฉิน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ถ้าสิทธิพิเศษใหม่ของหยางเฉินจะทำให้ชูเฮงเกิดมีอารมณ์โกรธขึ้นมา เขาสามารถใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่อกำจัดหยางเฉิน ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี ในอดีตอัจฉริยะบางคนที่มีความสามารถในการบ่มเพาะจำนวนมากได้ตายไปในเวลาก่อนวัยอันควร เนื่องจากมี อุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันหลายแบบ

"เจ้าแตกต่างไปจากคนอื่นๆ และเจ้าก็เป็นบุคคลที่แม้แต่เทพธิดาซือก็ให้ความชื่นชมเป็นอย่างมาก" ซ่างกวนเฟงพูด

"ถึงแม้ว่าหลี่ฉิงเฉินแห่งนิกายสวรรค์ยิ่งใหญ่จะรู้สึกอิจฉาเขา เขาก็ยังไม่กล้าที่จะขอชีวิตของเจ้า สำหรับชูเฮงเขายิ่งกล้าน้อยลงไปอีก เขาสามารถใช้สถานะของเขาในฐานะเป็นศิษย์ชั้นในที่มีชื่อเสียงเพื่อวางแผนเป็นขั้นเป็นตอนในการขัดขวางการบ่มเพาะของเจ้า แต่ก็ไม่มีอะไรเพิ่มมากกว่านั่น กฏก็ย่อมป็นกฎถ้าเจ้าสามารถหลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวางที่เขาสร้างขึ้นได้ แล้วใครจะกล้าขัดขวางเจ้าอีกต่อไป"

เมื่อซ่างกวนเฟงเริ่มพูด เขากล่าวถึงชูเฮงในฐานะอาจารย์อาชู แต่หลังจากนั้นซ่างกวนเฟงก็เรียกเพียงชื่อของชูเฮง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจกับแผนการณ์ร้ายของชูเฮง

หลังจากถกเถียงกันถึงประเด็นนี้หยางเฉินก็เชื่อมั่นในตัวซ่างกวนว่ามีความจริงใจว่าไม่ต้องการที่จะทำให้เขาตกอยู่ในอันตราย แต่ด้วยคำชี้แนะของอาจารย์อาชูเฮงเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องปฏิบัติตาม เขาไม่สามารถทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ เนื่องจากชูเฮงเป็นศิษย์สายในและยังประสบความสำเร็จอีกด้วย อีกทั้งเขายังมีฝีมือในการพูดโน้มน้าว อีกมุมมองหนึ่งกล่าวอ้างว่าอยากจะช่วยให้หยางเฉินสามารถควบคุมสติอารมณ์ตัวเอง แต่ในอีกด้านเขาก็สร้างอุปสรรคกีดขวางมากมายให้กับหยางเฉินและกล่าวว่า 'ข้าอนุญาตให้เจ้าอยู่ในสถานะของศิษย์ขั้นปลายระดับรวมรวมลมปราณอย่างสุขสบาย อย่าบอกข้า มันยังไม่พอ?" สำหรับคนอื่นที่ไม่กล้าชี้แนะหยางเฉิน นี่จึงเป็นปัญหาของคนอื่นๆ พวกเขาจะทำอะไรกับกับชูเฮิง?

เมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านี้ ป้อมต่อต้านของหยางเฉินก็ลดลง เขาพยักหน้าเบาๆ ยอมรับในความปรารถนาดีของ ซ่างกวนเฟงในที่สุด

"น้องชายหยางน่าจะยังไม่ได้รับประทานอาหารกลางวัน ข้าจะสั่งให้ใครสักคนจัดเตรียมมันเดี๋ยวนี้!"

ซ่างกวนเฟงตระหนักได้ว่าในอนาคตจะมีเวลาเหลือเฟือสำหรับสิ่งเหล่านี้ เขาไม่ได้วางแผนว่าจะทำอะไรแบบนี้ในวันนี้ ดังนั้นหลังจากที่เขาเสร็จสิ้นการสอนคนรับใช้เหล่านั้น เขาก็ตั้งใจที่จะตะบึงออกไปในทันที แต่หยางเฉินกลับตะโกนเรียกเขาให้หยุด

"น้องหยาง เจ้ายังมีคำชี้แนะอื่นใดอีกหรือไม่?"

ซ่างกวนเฟงหยุดอยู่กับที่เขาหัวเราะขณะที่ถามออกไป

หยางเฉินหยิบผายมือออกไปราวกับเชิญเขาให้นั่งลง คนรับใช้หญิงสองคนแอบมองกันและกัน พวกเธอรินชาหอมใส่ถ้วยแล้วรีบถอยออกจากห้องโถงอย่างรวดเร็ว

"ผู้ดูแลซ่างกวน โปรดอย่าได้ตำหนิข้าสำหรับการพูดคุยราวกับเป็นคนนอก หากข้าหยาบคายกับท่านในทางใดทางหนึ่ง โปรดอภัยให้ข้าด้วย"

ทันทีที่หยางเฉินเปิดปากพูดออกมา เขาก็พยายามจะแก้ตัวให้ตัวเองโดยเห็นได้ชัดว่าเขาวางแผนที่จะพูดอะไรบางอย่างอาจจะขัดหูคนฟัง

อย่างไรก็ตามซ่างกวนเฟงไม่ได้มีอาการใดๆ เขาเพียงแค่หัวเราะก่อนที่จะตอบออกไปว่า

"ไม่มีอะไรที่เสียหายหากจะพูดออกมา!"

"ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะไม่เกรงใจ ผู้ดูแลซ่างกวน!"

หยางเฉินป้อมมือแสดงความเคารพต่อต่อซ่างกวนเฟง หลังจากนั้นเขาพูดออกมาอย่างจริงจังว่า

"ผู้ดูแลถึงแม้ว่าข้าจะยังไม่ได้รับการบ่มเพาะ แต่ข้ายังคงฝึกทักษะการต่อสู้มาบ้าง"

"ข้าเห็นว่าเมื่อผู้ดูแลพยายามที่จะจับด้ามพลองเหล็กที่ข้าโยนออกไป เห็นได้ชัดว่าเจ้าใช้มือข้างเดียวเพื่อควบคุมมัน หากแต่ไม่สามารถที่จะควบคุมมันได้ เจ้าจึงต้องใช้ทั้งสองมือเพื่อประคองมันในตอนท้าย แม้ว่าเจ้าจะยังไม่ได้ใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมดที่มี แต่ก็คงลำบากพอสมควรเห็นได้จากกระเบื้องใต้ฝ่าเท้าทั้งสองของเจ้าที่แตกร้าว"

คำพูดของหยางเฉินเกี่ยวข้องกับช่วงเวลาสุดท้ายของการต่อสู้ในก่อนหน้านี้ เมื่อซ่างกวนเฟงจับพลองเหล็กที่โยนออกมาโดยหยางเฉิน

เมื่อเห็นคำพูดที่ดูจริงจังของหยางเฉิน ซ่างกวนเฟิงคิดว่าหยางเฉินไม่ใช่คนที่เดาทางได้ง่ายๆ เขาจึงถามออกไปด้วยความจริงจังที่เท่าเทียมกัน

"โปรดชี้แนะ ศิษย์น้องหยาง!"

"ข้ามิกล้า!"

หยางเฉินรีบขัดจังหวะ

"เป็นกลยุทธ์ที่ใช้เพื่อประเมินความแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้ามและเพื่อรักษาเส้นทางหลบหนี มันถูกใช้กันอยู่ทั่วไป และยังสามารถเข้าใจได้ง่าย มีเพียงบางสถานการณ์เท่านั้นที่ใครบางคนอาจจะเดิมพันในครั้งเดียวเพื่อกระตุ้นพลังงาน หากแต่ความรู้สึกหวาดกลัวและประสาทเสียที่เกิดขึ้นอาจทำให้ทุกอย่างสูญหายไป คล้ายๆกับว่า เมื่อคิดอย่างรอบคอบและคำนวณวิธีการต่างๆเอาไว้ได้อย่างชัดเจน แต่เมื่อเริ่มจัดการกับสิ่งต่างๆกลับทำมันพังตั้งแต่เริ่มต้น ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้มันอาจจะเป็นความคิดที่ดีหากทำการตัดสินใจอย่างรวดเร็ว คว่ำเตาหลอมและจมเรือโดยคิดว่านี่เป็นเวลาของเจ้าที่จะส่องแสง บางทีภายใต้พลังที่ไม่อาจต้านทานได้ชนิดนี้ศัตรูก็จะไม่สามารถต้านทานมันได้

หยางเฉินไม่กล้าที่จะแนะนำเมื่อพูดแบบนี้ แต่น้ำเสียงของเขาแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขากำลังแบ่งปันคำแนะนำ แม้กระทั่งเนื้อหาของคำพูด ต่างก็สื่อไปในทางเดียวกัน

เดิมทีซ่างกวนเฟิงเพียงรู้สึกสนใจ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่เห็นด้วยอยู่ภายในใจ หยางเฉินใช้คำพูดเพื่อสอนบทเรียนเกี่ยวกับการต่อสู้ นี่ไม่ใช่การดูถูกเขาใช่หรือไม่?

ยิ่งซ่างกวนเฟงได้ฟังมากขึ้น เขายิ่งดูจริงจังมากเท่านั้น เมื่อหยางเฉินเริ่มพูดถึงสถานการณ์บางอย่างเขาก็คิดย้อนกลับไปในทันทีเมื่อตอนที่เขาพยายามจะฝ่าจุดคอขวดของระดับก่อสร้างรากฐาน อาจเป็นได้ว่าหยางเฉินกำลังให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีเข้าถึงดินแดนก่อสร้างรากฐาน?

"เมื่อต้องฝ่าจุดเชื่อมของคอขวดในขณะที่อยู่ในจุดที่สำคัญที่สุด หากเขาต้องระงับพลังของเขาและถอยออกมาโดยไม่มีทางเลือกอื่นใด มันจะเป็นไปได้อย่างไรกันที่เขาจะฝ่าจุดคอขวดออกไปได้?"

ซ่างกวนเฟงไม่สามารถทำอะไรได้ หากแต่ถามหยางเฉินราวกับว่าหยางเฉินเป็นผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่ง

"การที่จะผลักก้อนหินขนาดใหญ่ได้ มันย่อมต้องใช้กำลังที่มาก"

หยางเฉินขมวดคิ้วของเขา ก่อนที่จะยกตัวอย่างเพื่ออธิบาย

"อย่างไรก็ตามถ้าเจ้าใช้กำลังเต็มที่ในการผลักก้อนหิน มันย่อมทำให้ก้อนหินกลิ้งไปได้เร็วขึ้น ถ้ามีบางสิ่งกีดขวางก้อนหินขนาดใหญ่เอาไว้มันย่อมต้องใช้พลังที่มากขึ้นหรืออาจจะมากถึงสิบเท่า เมื่อเจ้าใช้พลังเพื่อผลักก้อนหินขนาดใหญ่ให้กลิ้งออกไป มันย่อมต้องเข้าไปใกล้ด้านบนของจุดคอขวดมากขึ้น หากต้องการที่จะก้าวข้ามอุปสรรคออกไปเจ้าก็ต้องใส่พลังให้มากกว่าเดิม เจ้าอาจจะผลักดันหินออกไปได้และมันจะช่วยให้เจ้าข้ามจุดคอขวดนี้ไปได้"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น