หยางเฉินไม่ได้รู้สึกประหลาดใจแม้แต่น้อยต่อการปรากฏตัวของซ่างกวนเฟง การรับรู้ทางจิตวิญญาณของผู้เชี่ยวชาญระดับรวบรวมลมปราณขั้นปลายก็เพียงพอที่จะครอบคลุมตำหนักเย่ซิวได้ทั้งหมด
แม้ว่าจะมีเศษของหญ้าดาบปลิวเข้ามาภายในตำหนักเย่ซิวเนื่องจากสายลมที่พัดพา มันยังไม่สามารถหลบหนีการรับรู้ทางจิตวิญญาณของเขาได้
นับประสาอะไรกับหยางเฉินผู้ที่ตั้งใจเปิดการรับรู้ทางจิตวิญญาณไว้อย่างเต็มที่ หากไม่เฝ้าดูผู้คนในตำหนักไว้อย่างตั้งใจตลอดเวลามันย่อมสร้างปํญหาตามมาอย่างแน่นอน
ซ่างกวนเฟงเพิ่งปรากฏตัวออกมา ไม่ใช่เมื่อตอนที่เซิ่นต้าและคนอื่นๆกำลังทำลายกฎ
ขณะที่คำพูดแรกของเขาคือเตือนให้ทั้งสี่คนทำการต่อสู้กัน ซึ่งมันไม่ใช่ข่าวดี แต่ที่หยางเฉินต้องเข้าไปเกี่ยวข้องก็คือถ้าคนที่มีอำนาจอย่างแท้จริงในตำหนักเย่ซิวมีความคิดแบบนี้
เซิ่นต้าและคนอื่นๆก็เริ่มตระหนักถึงสิ่งที่พวกเขาควรที่จะต้องทำ
อย่างไรก็ตาม คำพูดของหยางเฉินในก่อนหน้านี้ กล่าวไว้ว่าพวกเขาสามารถต่อสู้คนเดียวหรือเข้าไปพร้อมกันก็ได้
มันดีต่อพวกเขา แต่หยางเฉินก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาในกรณีที่หากพวกเขาสามารถเอาชนะได้
โดยปกติแล้วซ่างกวนเฟงจะใช้ประโยชน์จากข้อผิดพลาดนี้และเริ่มการต่อสู้ก่อนที่จะพูดคุย
นอกเหนือจากนั้นหยางเฉินไม่ได้กล่าวถึงมัน หากสามารถเอาชนะได้มันก็คือชนะ ที่แน่ๆเซิ่นต้าและอื่นๆก็ควรที่จะเชื่อฟังคำสั่งของเขา
แล้วอะไรคือสิ่งที่พวกเขาจะได้รับ?
เนื่องจากซ่างกวนเฟงปรากฏตัวออกมาเพื่อสนับสนุนเซิ่นต้าและคนอื่นๆ
ความกล้าหาญของพวกเขาจึงเพิ่มขึ้นอย่างมากและทั้งสี่คนก้าวไปข้างหน้าด้วยความเร็วราวกับฟ้าแลบ
ล้อมรอบหยางเฉินเอาไว้ หยางเฉินไม่ได้มองพวกเขาหากแต่เขาหันไปมองซ่างกวนเฟง ทันใดนั้นเขาก็ยิ้มและถามออกไปว่า
"ผู้ดูแล...คงไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างสนุกสนานใช่หรือไม่?"
"เจ้าก็ชมข้าเกินไป!"
ซ่างกวนเฟง ส่ายหน้าเล็กน้อย เขายิ้มก่อนบอกไปว่า
"ชายชราคนนี้มีสิทธิที่จะลงโทษความผิดได้ แต่ผู้นำนิกายไม่อนุญาตให้ข้าทำโทษกับศิษย์ใหม่"
เขาเพียงแต่พูดมากไปอย่างนั้นเอง แต่หยางเฉินเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับรวบรวมลมปราณขั้นปลาย
การที่จะฆ่าคนธรรมดาสามัญนั้นมันก็จะเป็นการดูถูกเขา นอกจากนี้ตราบเท่าที่เขาที่เป็นรุ่นพี่ที่ได้รับประโยชน์อันไม่เป็นธรรมของศิษย์รุ่นใหม่
เขาก็จะต้องเผชิญหน้ากับข้อกล่าวหาที่ว่าทำร้ายศิษย์ร่วมนิกาย แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยสนใจเกี่ยวกับตำหนักเย่ซิว
แต่อย่างน้อยหนึ่งหรือสองคนของศิษย์สายในก็ให้ความสนใจอย่างใกล้ชิด แม้ว่าศิษย์ใหม่สามารถประลองกับคนอื่นๆได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ
โดยที่ซ่างกวนเฟง ไม่สามารถแทรกแซงได้
ไม่ว่าในกรณีใดๆ ศิษย์ระดับรวบรวมลมปราณขั้นปลายทั้งสี่ ได้ท้าประลองกับหยางเฉินคนเดียว
ถ้าพวกเขาทุกคนไม่สามารถเอาชนะหยางเฉินได้ เซิ่นต้าและคนอื่นๆสมควรที่จะเป็นข้ารับใช้ของหยางเฉิน
ถึงแม้ว่าสถานะเดิมของพวกเขาจะเป็นคนรับใช้อยู่แล้วก็ตาม ถ้าพวกเขาไม่สามารถที่จะเอาชนะหยางเฉินได้
พวกเขาอาจจะหวังได้ว่าศิษย์สายนอกบางคนหรือแม้กระทั่งศิษย์สายในจะได้รับคนรับใช้เพียงไม่กี่คนเนื่องจากสถานการณ์นี้?
เมื่อได้ยินคำพูดของ ซ่างกวนเฟง หยางเฉินก็ไม่ให้ความสนใจกับเขามากนัก
เขาค่อยๆหันเหความสนใจกลับมาที่รอบๆตัวเอง ในตอนนี้เขาถูกล้อมรอบไว้โดยเหล่าคนรับใช้ทั้งหลาย
หยางเฉินมองไปที่พวกเขาแล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นมาที่ด้านหน้า
ต่อหน้าเหล่าคนรับใช้ ค่อยๆงอนิ้วทีละนิ้วลงอย่างใจเย็น กำหมัดทั้งสองแน่น จากนั้นพยักเชิดคางไปทางเซิ่นต้าที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาเหมือนกับบอกใบ้ว่าให้เขาเข้ามา!
คนแรกที่ทำการโจมตีไม่ใช่ เซิ่นต้าแต่เป็นคนรับใช้หญิงที่ยืนอยู่ด้านหลังของหยางเฉิน
เธอจุดไฟบนยันต์กระดาษและหลังจากนั้นภายในลานเล็กๆก็เต็มไปด้วยควัน
ซ่างกวนเฟง มองจากด้านบน เขาพยักหน้าเล็กน้อย คนรับใช้เหล่านี้ฉลาดกว่าซุนไห่จิ้งอยู่มาก
เพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวของศัตรู การใช้วิธีเช่นนี้เพื่อแทรกแซงการมองเห็นของหยางเฉิน
คนรับใช้ทุกคนสามารถรับรู้ทางจิตวิญญาณโดยรอบได้ดังนั้นการจุดยันต์เพิ่มควันจึงไม่สามารถหยุดการโจมตีของพวกเขาได้
หากแต่การมองเห็นของหยางเฉินถูกจำกัดในทันที
เหล่าคนรับใช้คงไม่ได้สังเกตเห็นว่าชื่อยันต์ตัวนี้ดั้งเดิมเป็นยันต์ภาพลวงตา
มีผลก่อให้เกิดความสับสนอย่างมากมาย และตราบใดที่คนธรรมดาทั่วๆไปถูกปกคลุมด้วยควัน
ภาพลวงตาต่างๆจะเริ่มปรากฏขึ้นเองโดยไม่ต้องมีการบังคับแต่อย่างใด ภาพลวงตาเหล่านี้อาจเปลี่ยนไปตามความคิดของแต่ละบุคคล
เพื่อยับยั้งจิตใจของตัวเอง ยันต์ตัวนี้จึงเป็นเรื่องยากที่จะรับมือ และพลังของยันต์ก็ขึ้นอยู่กับระดับการบ่มเพาะของผู้ใช้
ภายในควัน ฉับพลันปรากฏเสียง ‘บู...ฮู้’ ดังออกมา ดูเหมือนว่าจิตวิญญาณที่นับไม่ถ้วนที่ต้องการจะแก้แค้นกำลังพันรอบหยางเฉินไว้อย่างแน่นหนา
หญิงรับใช้รู้ถึงภูมิหลังของหยางเฉินในฐานะเพชฌฆาตเป็นอย่างดี นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เธอใช้ยันต์ภาพลวงตาเพื่อทำให้วิญญาณที่ถูกขับออกมาเหล่านี้มาทำการแก้แค้น
ภายในควัน หยางเฉินยืนนิ่งขณะที่ดวงตากำลังมองเหล่าภูตผี แต่สีหน้าของหยางเฉินก็ไม่เปลี่ยนไปแม้แต่นิดเดียว
เขาส่งเสียงเย็นชากรรโชกออกมา
"ฮื้ม...ช่างเป็นความสามารถที่ไร้ค่าเสียจริง เมื่อเจ้ายังมีชีวิตอยู่
ข้าได้ประหารพวกเจ้า อย่าบอกข้าว่า ข้าควรจะต้องกลัวพวกเจ้าหลังจากที่พวกเจ้าเสียชีวิต? ไสหัวไปซะ!"
เสียงขับไล่จากหยางเฉินดังออกมา มันทำให้หญิงรับใช้ที่ควบคุมการใช้ยันต์เริ่มสั่นราวกับว่าเธอรู้สึกตกใจกับอะไรบางอย่าง
ขณะที่เธอใช้ยันต์ภาพลวงตากับหยางเฉิน การรับรู้ทางจิตวิญญาณของเธอกระจายอยู่ทั่วในตัวยันต์
ดังนั้นด้วยเสียงตะโกนอันดังของหยางเฉิน การรับรู้ทางจิตวิญญาณของเธอกลายเป็นปั่นป่วนแทนที่จะทำให้หยางเฉินหวาดกลัว
กลับเป็นจิตใจของเธอเองที่สั่นสะท้าน
หวือ! หวือ!
ภายในควัน ลูกบอลเพลิงสองลูกบินตรงไปที่หยางเฉินแทบจะไม่มีเสียงรบกวนจากทั้งสองด้านและพลังยันต์ก็เริ่มทำการโจมตี
ดูเหมือนว่าหยางเฉินจะมีตาด้านหลังศีรษะของเขา ขณะที่เขาบิดร่างของเขาและกระแทกหมัดไปทั้งสองด้าน
ซ้ายและขวา หมัดแต่ละครั้งปะทะเข้ากับลูกบอลเพลิงที่บินเข้าหาเขา
ปัง! ปัง!
เสียงดังสะท้อนออกมาอย่างรวดเร็ว เมื่อลูกบอลเพลิงทั้งสองลูกระเบิด แต่ไม่ได้เป็นอันตรายแม้แต่เส้นผมที่อยู่บนร่างกายของหยางเฉิน
มีเพียงหมัดของเขาที่มีคราบเขม่าดำ
ในขณะเดียวกับที่หยางเฉินทำลายยันต์เพลิงอัคคีเหล่านั้นเสียงที่รุนแรงดังกึกก้องอยู่เหนือศีรษะของหยางเฉิน
พลองยาวและหนาประมาณท่อนแขนของคน ได้ทุบลงไปที่ศีรษะของเขา เสียงดังที่เกิดขึ้นนั้นมาจากเสียงลมที่สามารถทำให้คนธรรมดาๆตกใจได้ง่ายๆ
นี่คือแผนการโจมตีของเซิ่นต้า พลองโลหะยาวเท่ากับความสูงของเขา แม้ว่าจะไม่ใช่อาวุธบ่มเพาะปลูก
แต่มันก็ยังมีน้ำหนักมาก เซิ่นต้าใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมากที่จะใช้ยันต์พันชั่งเพื่อแนบไปกับพลองเหล็กขณะที่ถือมันไว้ในมือของเขา
น้ำหนักของมันเกือบจะธรรมดาขณะที่อยู่ในมือ แต่เมื่อมันถูกทุบลงไปบนพื้นดินความรุนแรงของมันจะเพิ่มขึ้นเป็นพันจิน
แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่เศษโลหะก็ตาม เซิ่นต้าก็มั่นใจว่าใครก็ตามที่ถูกทุบจากมัน
เขาผู้นั้นย่อมต้องกลายเป็นโลหะแบนอย่างแน่นอน
ซ่างกวนเฟง ได้หลับตาลงเขาเปิดการรับรู้ทางจิตวิญญาณของเขาเพื่อสังเกตทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่ด้านล่าง
เขาช่วยเซิ่นต้าด้วยพลองของเขา ดังนั้นย่อมเป็นเรื่องปกติที่เขาจะตระหนักถึงผลกระทบของมัน
ภายในใจของเขา เขาเชื่อว่าใครก็ตามที่โดนพลองเหล็กมันจะเป็นบทสรุปทุกสิ่งทุกอย่าง
แต่เมื่อเขาเปิดตาของเขามองไป เขากับพบกับเหตุการณ์ที่น่าเหลือเชื่อ
ภายในบริเวณลานเล็กๆของบ้านพักนั้นหยางเฉินใช้มือข้างเดียวคว้าพลองที่ฟาดลงบนตัวเขาอย่างรุนแรงไว้ได้
เซิ่นต้าค่อนข้างมั่นใจในพลองเหล็กของเขา ด้วยน้ำหนักพันจิน แต่จู่ๆสามารถหยุดลงด้วยเสียงที่ดังอู้อี้
ร่างของหยางเฉินยืนนิ่งราวกับว่าพลังอันยิ่งใหญ่นี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเขาแต่อย่างใด
ตาของเซิ่นต้าเปิดกว้าง เขาไม่คาดคิดว่าจะได้เจอกับสถานการณ์เช่นนี้ แม้ว่าจะเป็นศิษย์สายในที่เก่งกาจของ
ตำหนักเย่ซิว หากเมื่อต้องมาท้าประลองกัน พวกเขาก็ยังไม่สามารถจะใช้เพียงแค่กำลังหยาบๆเพื่อหยุดพลองเหล็กนี้
แต่ในตอนนี้หยางเฉินได้ใช้มือเพียงข้างเดียวเพื่อหยุดพลองเหล็กอันทรงพลังของเขา
แล้วจะไม่ทำให้เซิ่นต้าตกใจมากได้อย่างไร
ช่วงเวลาที่เซิ่นต้ากำลังตกใจมันเปิดโอกาสให้หยางเฉินจับปลายพลองเหล็ก
เขาตะโกนออกมาอย่างแข็งขัน
"ปล่อยมันซะ!"
ภายใต้การต่อสู้ที่รุนแรงทั้งเซิ่นต้าและพลองเหล็กของเขาไม่สามารถต้านทานต่อแรงดึงไปข้างหน้าของหยางเฉินได้
เซิ่นต้าใช้การรับรู้ทางจิตวิญญาณติดตามการเคลื่อนไหวของหยางเฉินอย่างใกล้ชิด
เขาสามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของหยางเฉินได้อย่างชัดเจน
แต่ดูเหมือนว่าร่างกายของเขาจะไม่ฟังคำสั่งของเขา เขาพยายามที่จะหลีกเลี่ยงหมัดที่พุ่งตรงมา
แต่หมัดของหยางเฉินก็ทุบเข้ามาที่ใบหน้าของเขาแล้ว
หวือ!
ร่างของเซิ่นต้าบินขึ้นไปในอากาศอย่างรวดเร็ว หลุดออกจากบริเวณที่พยายามกักขังหยางเฉินไปกระแทกกับลานบ้าน
เสียงของร่างที่กระแทกพื้นดังสนั่น ร่างของเซิ่นต้าแน่นิ่งที่ส่วนปลายของลานบ้าน
จากการสังเกตของซ่างกวนเฟงผ่านการรับรู้ทางจิตวิญญาณของเขา หยางเฉินใช้มือเพียงข้างเดียวคว้าพลองเหล็ก
พลองเหล็กของเซิ่นต้านั้นหนักมาก เห็นได้ชัดว่าการเพิ่มความแข็งแกร่งของมันด้วยยันต์พันชั่ง
เมื่อรวมกับความแข็งแกร่งของตัวเองกับน้ำหนักรวมของพลองเหล็ก มันจะอยู่ราวๆหนึ่งพันสามสิบห้าจิน
แต่หยางเฉินได้หยุดมันโดยไม่ขยับเขยื่อนแม้แต่ชุนเดียว
มันเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนต้องอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ
จนถึงวันนี้ ซ่างกวนเฟงก็ยังไม่เคยเชื่อว่าซุนไห่จิ้งพ่ายแพ้ให้กับหยางเฉินเนื่องจากความประมาท
ในวันนี้เมื่อได้เห็นความแข็งแกร่งของหยางเฉิน การที่ซุนไห่จิ้งได้ใช้ยันต์พันชั่ง
ในเวลานั้นคือความผิดพลาดอย่างแท้จริง แม้ว่าเจตจำนงแห่งการฆ่าของหยางเฉินจะไม่ได้มีผลต่อจิตใจของเขา
แต่เขาก็ยังไม่ใช่ศัตรูของหยางเฉินอยู่ดี หากเขาจะใช้วิธีการอื่นๆแต่เมื่อเขาเข้าใกล้หมัดของหยางเฉินเขาก็ต้องสูญเสียการควบคุมตัวเองในทันที
ดังนั้นวิธีใดที่จะสามารถเอาชนะหยางเฉินได้?
การจัดการกับซุนไห่จิ้งเป็นเรื่องง่าย แต่การจัดการกับเซิ่นต้ายิ่งทำได้ง่ายกว่า
ทั้งสองคนอยู่ในดินแดนขั้นปลายของระดับรวบรวมลมปราณและพลังจิตวิญญาณของพวกเขาสามารถที่จะฟื้นฟูร่างกายของพวกเขาได้
แต่ในขณะที่หยางเฉินได้ใช้เวลาหลายปีในโลกแห่งอมตะ จุดแข็งที่สุดของเขาคือร่างกายที่ปราดเปรียวว่องไว
แต่ความแตกต่างเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ก็ยังค่อนข้างมีอยู่มาก แม้แต่หยางเฉินก็ยังไม่มีความคิดเห็นที่ชัดเจนในเรื่องของความแข็งแกร่งของเขา
ณ ขณะนี้ แต่สำหรับความแข็งแกร่งของเขาเพื่อหยุดยั้งยันต์พันจินและพลองเหล็กนั้นมีมากเกินพอ
หยางเฉินเริ่มขยับพลองเหล็กในมืออย่างรุนแรง เขาไม่ได้เคลื่อนไหวในรูปแบบเฉพาะใดๆ
ทำเพียงแค่หมุนมันเป็นวงกลมรอบตัวเขา มันส่งเสียง ‘หึ่ม’ ดังออกมา
ควันในบริเวณดังกล่าวที่เคยเห็นได้ชัดในก่อนหน้านี้
เมื่อต้องปะทะกับกระแสลมแรงมหาศาลจากการควงพลองพวกมันเริ่มค่อยๆจางหายไป
เรื่องนี้ทำให้คนรับใช้อีกสามคนรู้สึกตกใจ หญิงรับใช้ที่ควบคุมยันต์รีบหยิบผ้าแถบที่มีลวดลายรูปต่างๆออกมา
ดูเหมือนเธอจะรักผ้าแถบนี้มาก แต่เนื่องจากสถานการณ์ในปัจจุบันนี้อยู่นอกเหนือการควบคุม
เธอจึงจำเป็นต้องใช้มัน เธอทำการเปิดใช้งานทักษะลับและทันใดนั้นผ้าแถบก็เริ่มบินออกมาราวกับมีชีวิต
ชี่ ชี่
ผ้าแถบที่ปักลวดลายพริ้วไปมาราวกับงูพิษวางไข่ และอย่างรวดเร็ว พวกมันกำลังไล่ต้อนให้หยางเฉินให้ติดกับ
หลังจากนั้นมันสามารถยึดแขนที่ถือพลองเอาไว้ได้ ผ้าแถบเริ่มพันไปรอบร่างหยางเฉินไว้แน่นราวกับมีชีวิต
มันพันรอบร่างของเขาราวกับควบคุมชีวิต ผ้าแถบเคลื่อนที่ข้ามร่างกายของหยางเฉินมาอีกด้านเพื่อผูกมัดเขา
แม้หยางเฉินจะไม่สามารถทำอะไรได้ แต่เขารับรู้อยู่ภายในใจของเขา
ผ้าแถบของหญิงรับใช้คนนี้เป็นอาวุธเวท ที่สามารถพัฒนาขึ้นได้ มันเป็นอาวุธเวทระดับไม่สูงนัก
และวัสดุที่ใช้ในการทำก็ค่อนข้างต่ำ ดังนั้นมันจะถูกนำมาใช้มัดศัตรูเพื่อควบคุมเขาได้เท่านั้น
โดยไม่สามารถทำร้ายเขาได้ หน้าที่ที่ดีที่สุดของมันคือกักตัวของศัตรูไว้
คนรับใช้อีกสองคนที่เหลือเมื่อเห็นว่าหยางเฉินถูกมัดด้วยผ้าแถบแล้ว
ภายในใจของพวกเขาต่างรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง หนึ่งในคนรับใช้เปิดใช้งานฝ่ามือที่สว่างเจิดจ้าก่อนจะส่งไปที่ท้องของหยางเฉิน
คนรับใช้อีกคนดึงเอากระบี่ไม้ต้นท้อออกมาจากสักที่ ก่อนจะสร้างลำแสงแล้วส่งไปที่คอของหยางเฉินเพื่อฆ่าเขา
แม้ว่าหยางเฉินต้องการทำการประลองเท่านั้น แต่ด้วยการปรากฏตัวของซ่างกวนเฟง
เมื่อคนรับใช้เหล่านี้เริ่มต่อสู้ พวกเขาก็หยุดสนใจเกี่ยวกับชีวิตของหยางเฉินและเริ่มโจมตีอวัยวะที่สำคัญของเขา
เช่นเดียวกับฝ่ามือที่สว่างเจิดจ้าและกระบี่ไม้ ที่ปะทะถึงร่างของเขา
หยางเฉินตะโกนออกมา ดึงผ้าแถบด้วยแรงพร้อมกับบิดตัวไปรอบๆร่างด้วยแขนของเขา หลังจากนั้นเกิดเสียงดังระรัวออกมา
ก่อนที่จะผ้าจะขาดออกจากกันสองสามชิ้น ภายใต้การควบคุมของหยางเฉิน เขาใช้พลองเหล็กที่อยู่ในมือของเขาพุ่งไปทางคนรับใช้สองคนที่ต้องการชีวิตของเขาอย่างไม่ลังเล
หญิงรับใช้ที่ถือกระบี่ไม้รู้สึกประหลาดใจที่เห็นว่าพลองเหล็กกำลังที่จะกวาดเอาร่างของเธอ
มันรวดเร็วมากในตอนนี้เธอไม่สามารถจัดการกับมันได้ เธอทำได้เพียงแค่พยายามยกกระบี่ไม้ขึ้นเพื่อจะปิดกั้นมันเอาไว้
ปัง!
กระบี่ไม้หักในทันที เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ จิตใจของคนรับใช้หญิงร่วงหล่นไปที่ตาตุ่ม
ทุกคนต่างมองไปที่กระบี่ไม้ในมือของเธอและหยุดชะงักในจุดเดียวกัน
พลองเหล็กในมือของหยางเฉินหยุดลงในทันทีและถอยไปข้างหลัง ปลายอีกด้านของพลองเหล็กปะทะกับคนรับใช้ชายคนหนึ่งที่กำลังเข้ามาจากด้านหลังของหยางเฉิน
เขาเป็นคนรับใช้ชายที่เปิดใช้ฝ่ามือเจิดจ้า
เพล้ง!
เสียงแหวกอากาศสะท้อนดังออกมา ช่วงเวลาเพียงแค่กระพริบตา ข้อมือของเขางออยู่ในมุมที่แปลกประหลาด
ในขณะนี้หยางเฉินหันไปทางคนรับใช้หญิงที่ยังยืนตะลึงไม่ได้สติ ในขณะที่คนรับใช้ชายมีเลือดไหลออกมาอย่างมาก
กำปั้นของหยางเฉินได้ต่อยไปที่หน้าของหญิงรับใช้
และออกหมัดต่อยไปที่หน้าของหญิงรับใช้อีกหนึ่งครั้งอย่างต่อเนื่อง หยางเฉินไม่ได้มีความเมตตาแม้ว่าเธอจะเป็นผู้หญิง
ภายใต้การโจมตี ร่างกายของคนรับใช้หญิงบินขึ้นไปในอากาศก่อนที่จะล้มลงไปบนพื้นห่างออกไป
ก่อนที่จะแน่นิ่ง
ชายหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ข้างหลังเขาเมื่อเห็นสภาพที่น่าสังเวชของหญิงรับใช้คนนั้นและเขาหยุดร้องเสียงหลงในทันที
แต่หยางเฉินได้หันหน้าไปเผชิญกับเขาแล้วในตอนนี้ จิตใต้สำนึกสั่งให้คนรับใช้ชายถอยกลับไปข้างหลังให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
เขาถอยออกไปจนชนเข้ากับกำแพงที่เขาไม่ได้ตระหนักถึงมันมาก่อน
เมื่อร่างของเขาพิงเข้ากับผนัง คนรับใช้ชายเปิดตาของเขาและตกใจเมื่อเขาเห็นพลองเหล็กที่มีขนาดเท่าท่อนแขน
กำลังฟาดมาที่ ตำแหน่งของหัวกะโหลกของเขา
ปัง! ปัง!
ปรากฏรูบนผนังรอบศีรษะโดยมีเศษหินปลิวว่อนไปทุกหนทุกแห่ง
ภาพเงาของหยางเฉินปรากฏขึ้นต่อหน้าคนรับใช้ชายหลังจากที่พลองเหล็กมาถึง
พร้อมกับที่กำแพงระเบิด กลายเป็นหลุมกว้าง คนรับใช้ชายสูญเสียสติ เขาไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้สักคำ
คนรับใช้หญิงที่ควบคุมยันต์ภาพลวงตาได้เห็นทุกอย่างอย่างชัดเจน
เธอไม่ได้คาดหวังว่าเรื่องจะกลายมาเป็นเช่นนี้ คนสี่คนที่มีระดับการบ่มเพาะขั้นปลายระดับรวบรวมลมปราณ
ต่างต้องพ่ายแพ้อย่างน่าสังเวชเมื่อเผชิญหน้ากับคนธรรมดาสามัญที่ไม่เคยได้รับการบ่มเพาะมาก่อน
ไม่ทราบว่าคนรับใช้สามคนนั้นจะยังมีชีวิตอยู่หรือตาย หรือเหลือเพียงแค่เธอเท่านั้น
เธอไม่เคยต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบนี้มาก่อนดังนั้นเธอจึงไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
โดยไม่คำนึงถึงความคิดของเธอ หยางเฉินโยนพลองเหล็กไปที่เธอ มันทำให้เธอตื่นตระหนกอย่างมาก
ก่อนที่จะพยายามวิ่งหลบหนี เมื่อเธอหันกลับไปมอง
พลองที่ถูกโยนมาในก่อนหน้านี้เสียบทะลุลงไปที่พื้นตรงจุดที่เธอเคยยืนอยู่มันทำให้เธอหัวเราะเสียงดังออกมา
หยางเฉินรีบวิ่งตรงดิ่งไปหาเธอ คนรับใช้หญิง ทิ้งคนอื่นๆอย่างกระทันหัน
เมื่อเธอยืนขึ้นและเปิดใช้เคล็ดวิชาทะยานฟ้าที่เธอเพิ่งเรียนรู้ ลอยขึ้นไปในอากาศ เธอตัดสินใจที่จะหลบหนี
แต่คนรับใช้หญิงที่ลอยขึ้นในอากาศนี้เปิดโอกาสที่ดีมากให้กับหยางเฉิน
ในขณะนี้คนรับใช้หญิงอยู่ตรงกลางระหว่างหยางเฉินและซ่างกวนเฟง ผู้ซึ่งยืนอยู่ด้านบนของทางเข้า
หยางเฉินเอื้อมมือออกไปด้านข้างเท้าของเขา เพื่อคว้าพลองเหล็ก
เขาควงมันเป็นวงกลมเพื่อใช้พลังจากการหมุนก่อนที่จะโยนพลองออกไป ด้วยแรงทั้งหมดที่เขามี
แม้ว่าหญิงคนรับใช้จะเป็นเป้าหมาย แต่จริงๆแล้วมันมุ่งเป้าไปที่ ซ่างกวนเฟง
คนรับใช้หญิงยังอยู่บนอากาศแต่ยังสูงไม่มากพอ ทันใดนั้นมีบางสิ่งบางอย่างคว้าเท้าของเธอและทำลายความสมดุลของเธอ
จากที่ไกลดูเหมือนว่ามือของหยางเฉินคว้าขาของคนรับใช้หญิงที่ลอยอยู่กลางอากาศ
กระชากเธอลงมาบนพื้นอย่างรุนแรง
พลองเหล็กที่อยู่กลางอากาศ โดยไม่สูญเสียความเร็วแม้แต่น้อยบินตรงไปยังซ่างกวนเฟง
สีหน้าของของซ่างกวนเฟงพลันเปลี่ยนไปอย่างมาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น