คำอธิบายจากซ่างกวนเฟิงทำให้หยางเฉินเข้าใจในสุด ว่าทำไมชูเฮิงได้เอ่ยอ้างยกสถานะของเขาอย่างสูงส่ง
ในขณะที่แรกเริ่มเดิมทีเขาก็เต็มไปด้วยความคิดที่มีความมุ่งร้าย
ตั้งแต่หยางเฉินได้รับสถานะเป็นศิษย์สายนอกระดับรวบรวมลมปราณขั้นปลายแล้ว
ผู้รับผิดชอบการให้คำชี้แนะศิษย์ใหม่ในตำหนักเย่ซิว จะไม่ให้คำแนะนำใดๆกับหยางเฉิน
ด้วยเหตุผลเพราะเขาเองก็อยู่ในระดับรวบรวมลมปราณขั้นปลาย ถ้ายังต้องการเรียนรู้วิชาเบื้องต้นระดับกลางที่ไร้ชื่อเหล่านี้
มันจะเป็นเพียงการสร้างความขบขันให้กับตัวเอง?
ถ้าหยางเฉินเป็นคนธรรมดาสามัญในชีวิตก่อนหน้านี้
นี่จะเป็นการจบเรื่องราวชีวิตของเขา ถ้าหากไม่มีโอกาสได้เรียนรู้ในเรื่องการอ่านและเขียน
เขาก็จะไม่มีความรู้ในตัวอักษรแล้วก็ยากที่จะทำความเข้าใจในหนังสือหายากอันเกี่ยวกับวิธีการบ่มเพาะพลังทั้งหลาย
และแน่นอนว่าเขาก็จะไม่ได้รู้ถึงลำดับสวรรค์ทั้งห้าของคู่หยินและหยาง หากต้องการบ่มเพาะพลังเพื่อเป็นอมตะ? โดยลำพังสามปี หรือแม้กระทั่งใช้เวลาสามสิบปี เขาก็จะยังคงเป็นคนธรรมดาและไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น
ชูเฮิงมีเป้าหมายชัดเจน ถ้าหยางเฉินยังไม่ออกจากตำหนักเย่ซิว เขาก็จะไม่สามารถก้าวเดินไปบนเส้นทางของการบ่มเพาะเพื่อความเป็นอมตะ
ด้วยวิธีการนี้ เขาไม่เพียงแต่มอบหมายเรื่องนี้ให้คนอื่นทำ
แต่ทั้งสถานะของซุนไห่จิ้งในอีกไม่กี่ปีก็จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
เขาจะสามารถกดขี่ข่มเหงหยางเฉินได้อย่างง่ายดาย
ถึงแม้ว่าในเวลานั้นเขาจะไม่ต้องการชีวิตหยางเฉิน
หยางเฉินอาจถูกลดชั้นไปเป็นคนรับใช้
เมื่อเกิดขึ้นเขาอาจจะคิดหลายหลายวิธีการที่จะคืนความอัปยศอดสูและความเสื่อมเสียของเขาแก่หยางเฉิน
ตามคำโบราณลูกผู้ชายจะแก้แค้นสิบปีก็ยังไม่สาย
มันใช้เวลามากในการบ่มเพาะเพื่อความเป็นอมตะ
จึงยังมีเวลาที่จะทำให้หยางเฉินต้องชดใช้ในตลอดชีวิตของเขา
หยางเฉินตระหนักว่าผู้ดูแลตำหนักเย่ซิว
ซ่างกวนเฟิงเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับรวบรวมลมปราณขั้นปลาย ตั้งแต่เขาแก่ตัวลงมันก็เป็นการยากมากๆสำหรับเขาที่จะก้าวเข้าสู่ดินแดนถัดไป
ดังนั้นอาจถือได้ว่าความรับผิดชอบของเขาอาจเป็นได้แค่ผู้ดูแลที่นี่เท่านั้น
หากกล่าวถึงผู้ดูแล เขาคือเจ้าของตำหนัก รับผิดชอบในการให้คำชี้แนะแก่ศิษย์เข้าใหม่ของพระราชวังหยางบริสุทธิ์
แต่ชูเฮิงเป็นศิษย์ภายในระดับก่อสร้างรากฐาน ซ่านกวนเฟิงจึงไม่กล้าขัดคำสั่งของเขา
ขณะที่หยางเฉินได้รำลึกถึงเมื่อตอนที่เขาย่างเข้าสู่พระราชวังหยางบริสุทธิ์ในชีวิตก่อนหน้านี้
ชูเฮิงได้กลายเป็นศิษย์ที่ประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงขจรกระจายไปไกล
ใครจะไปคาดคิดว่า คนที่ยังไม่ได้เข้าร่วมกับพระราชวังหยางบริสุทธิ์ จะกล้าสร้างความขุ่นเคืองให้กับศิษย์สายในที่มีชื่อเสียง
แม้ว่าชูเฮิงจะมีชื่อเสียงเป็นพันหรือหมื่นเท่า หรือมากไปกว่านี้มันก็ยังคงไม่พอ
หยางเฉินไม่ได้ต้องการความรู้พื้นฐานเบื้องต้นเหล่านี้หรือแม้กระทั้งความรู้ขั้นสูงเขาก็ไม่ต้องการเช่นกัน
เหตุผลที่ว่าทำไมเขายืนหยัดในการเข้าร่วมพระราชวังหยางบริสุทธิ์ก็เพียงเพื่อที่จะได้เคารพอาจารย์ของเขาอีกครั้ง
และตอบสนองสิ่งที่เขาได้ยึดถือไว้อย่างยาวนาน
หลังซ่างกวนเฟิงกล่าวทั้งหมดนี้จบ
สีหน้าของหยางเฉินไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย เขายืนขึ้นและแสดงความขอบคุณต่อซ่านกวนเฟิงอีกครั้ง
จากนั้นเขาเดินออกไปด้านข้างของห้องโถง ขณะที่ผ่าน เขาชี้นิ้วไปทางคนรับใช้ที่มีอายุสูงสุดราวๆสี่สิบปีที่มีสุขภาพดี
แล้วเขาก็เดินจากไปในทันที สายตาของซ่านกวนเฟิงติดตามหยางเฉินจนเขาเดินไปไกล
ในใจเขาแอบรู้สึกพอใจ แต่เขาเพียงส่ายหัวเล็กน้อยก่อนที่จะถอนหายใจยาวและไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
หลังจากเดินตามหลังคนรับใช้ไปตามทางเดินยาวและเลี้ยวไปประมาณเจ็ดถึงแปดครั้ง
หยางเฉินก็มาถึงที่บ้านพักของเขา ภายในที่พักมีสองหญิงและหนึ่งชายรวมสามคนได้รออยู่แล้ว
เมื่อพวกเขาเห็นหยางเฉิน พวกเขากล่าวต้อนรับด้วยความเคารพ
"ชื่อของข้าคือ หยางเฉิน
เจ้าสามารถจะเรียกข้าว่าอย่างไรก็ได้"
หยางเฉินไม่ชอบพิธีการของพวกเขา
คนรับใช้เหล่านี้ทั้งหมดเป็นศิษย์ที่ถูกคัดออกก่อนหน้านี้ พวกเขาไม่ได้ดูสูงวัย
ทุกคนก็เป็นหนึ่งในผู้บ่มเพาะ แต่มันเป็นเพียงในดินแดนล่าง
และไม่สามารถจะเป็นศิษย์แท้จริง ไม่มีอะไรมากกว่านี้
สิ่งเดียวที่เขาสามารถมั่นใจคือพวกเขาทั้งหมดมีวิธีการหยุดยั้งความแก่ชราของตนเอง
มันจึงดูเหมือนว่าอายุแท้จริงนั้นห่างไกลจากสิ่งที่ปรากฏ
คนรับใช้ทั้งสี่ไม่กล้าที่จะไม่ใส่ใจ พวกเขากล่าวต้อนรับพร้อมกับเรียกเขาว่านายน้อยหยางอีกครั้ง
นี่เป็นชื่อเรียกที่หยางเฉินเห็นชอบด้วย
เขาไม่ได้ปรับเปลี่ยนแม้แต่น้อยในอีกครึ่งปีในตำหนักส่วนตัวของเขา
เขาก็ยังคงพอใจกับคำเรียกขานนี้
หลังจากที่นั่งลงและรับประทานอาหารแล้ว
หยางเฉินเอนตัวลงนอนในห้องนอนของเขา
ซึ่งเมื่อเทียบกับห้องนอนที่หรูหราในคฤหาสน์ของครอบครัวของเขาแล้ว มันก็ยังค่อนข้างฟุ่มเฟือยกว่ามาก
เขาหลับตาลงแต่การรับรู้ทางจิตวิญญาณของเขาได้ครอบคลุมพื้นที่อยู่อาศัยของเขาโดยที่ไม่มีใครรับรู้
เหล่าคนรับใช้ยังไม่ได้หลับนอน ในห้องขนาดเล็กด้านนอก คนรับใช้ที่เป็นผู้นำได้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นในห้องโถง
และคนรับใช้อื่นๆต่างหัวเราะอย่างมีความสุข
"เราไม่ต้องการรับใช้เจ้านายประเภทนี้ หลังจากนี้ไม่กี่ปีเขาก็จะเหมือนหนึ่งในพวกเรา"
คนรับใช้ชายอีกคนหัวเราะ คำพูดที่ออกมานั้นติดอยู่ในใจของทุกๆคน ถึงแม้ว่าคนรับใช้อื่นๆจะไม่ได้พูดอะไร
แต่พวกเขาต่างพยักหน้าเห็นด้วยอย่างเงียบๆ
เมื่อหยางเฉินได้ยินสิ่งนี้ ริมฝีปากของเขาโค้งขึ้น
หลังจากนั้นไม่นานก็เลิกสนใจคนเหล่านี้ เขาเอนตัวลงบนเตียงคล้ายกับนอนหลับ
และเริ่มที่จะบ่มเพาะเคล็ดวิชาลับสามขั้นแห่งการรู้แจ้งของเขา
สมกับที่เป็นเคล็ดวิชาการบ่มเพาะของท่านศาลอาวุโสสูงสุด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการควบคุมการรับรู้จิตวิญญาณ แม้ว่าเขากำลังเอนตัวนอน
เขาก็ยังสามารถที่จะโคจรมันไปได้ในทุกที่เหมือนก่อนหน้า
ด้วยวิธีนี้หยางเฉินจะสามารถฝึกเคล็ดวิชาของเขาในทุกที่ทุกเวลา ถึงแม้เคล็ดวิชาหายใจอื่นๆ
ที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงในการบ่มเพาะอมตะ แต่เพื่อทำการฝึกมันจำเป็นต้องนั่งเข้าฌานเพื่อฝึกฝน
การพักผ่อนในคืนแรกได้ผ่านไปอย่างไร้กังวล หยางเฉินตื่นเช้าในวันถัดไป
จากนั้นที่ด้านหนึ่งขณะที่หยางเฉินกำลังเพลิดเพลินกับอาหารเช้าแสนอร่อย อีกด้านคนรับใช้กำลังอธิบายข้อกำหนดในตำหนัก
ชื่อของข้ารับใช้คือ เซิ่นต้า
แต่เดิมร่างของเขายังครอบครองรากจิตวิญญาณ แต่โชคของเขาไม่ดี เขาเข้าถึงระดับรวบรวมลมปราณหลังจากที่เลยช่วงเวลาสามปีไปอีกสองเดือน
แน่นอนว่าเขาได้ถูกลดระดับลงไปเป็นคนรับใช้แล้วในตอนนั้น ในตอนนี้มันผ่านมาสิบปีแล้ว
ภายในเวลาสิบปีนอกเหนือจากทำหน้าที่ของคนรับใช้ เขายังไม่หยุดที่จะบ่มเพาะ
โดยหวังว่าจะตัดผ่านไปยังดินแดนก่อสร้างรากฐาน และกลายเป็นศิษย์สายใน
กฎในพระราชวังหยางบริสุทธิ์ไม่ได้ยืดหยุ่นไปทั้งหมด แต่หากว่ามีผู้หนึ่งประสบความสำเร็จในการเข้าถึงดินแดนก่อสร้างรากฐาน
เขาคนนั้นก็สามารถเข้าสู่ชั้นในของนิกายได้
ในความเป็นจริงไม่ใช่แค่เซิ่นต้าแต่คนรับใช้ทั้งหมดในตำหนักมีความคิดคล้ายกัน
นอกเหนือจากการรับใช้ศิษย์ใหม่เหล่านี้พวกเขาจะยังฝึกบ่มเพาะอย่างขยันขันแข็ง
ด้วยความหวังว่าสักวันหนึ่งในอนาคตพวกเขาจะสามารถกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับก่อสร้างรากฐาน
และเข้าสู่พระราชวังหยางบริสุทธิ์อย่างแท้จริง
ทั้งหมดนี้คือประสบการณ์ส่วนตัวของเซิ่นต้าเอง เมื่อฟังดูก็เป็นตรรกะที่สมบรูณ์แบบ
หยางเฉินเข้าใจทุกอย่างอย่างถ่องแท้ แต่ยังคงรอเซิ่นต้ากล่าวจนจบคำอธิบายของเขา
หลังจากนั้นเขาสั่งเซิ่นต้าโดยการโบกมือให้เขาไปอยู่ด้านข้าง
เขาเดินเข้าไปในศาลาที่มีกลุ่มศิษย์หลายคนกำลังเรียนรู้การอ่าน
ภายในมีคนหนึ่งที่มีลักษณะดูเหมือนจะเป็นอาจารย์สอนของกลุ่มรุ่นเยาว์ เขามองมาที่หยางเฉินแล้วมองต่อไปที่เซิ่นต้าแล้วรีบลุกขึ้นพร้อมทำการต้อนรับหยางเฉิน
"ศิษย์พี่หยาง ท่านให้เกียรติกับเราที่มาปรากฏตัวที่นี่
จะเป็นอย่างไรถ้าจะให้คำชี้แนะบางอย่างกันรุ่นเยาว์เหล่านี้? ข้าขอเชิญศิษย์หยางไปนั่งเพื่อเป็นเกียรติ"
ศิษย์ที่กำลังเรียนรู้การอ่านยืนขึ้นทั้งหมด พวกเขาเดินไปหาหยางเฉินและโค้งคำนับให้กับเขา
"คำนับศิษย์พี่หยาง!"
ด้วยรอยยิ้มขมขื่น
หยางเฉินโบกมือให้พวกเขาแยกย้ายและดำเนินกิจกรรมของพวกเขาต่อไป
เขาทำได้เพียงหันไปรอบๆและจากไป หยางเฉินกลับจากการแวะดูในหลายๆพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มของศิษย์ที่กำลังฝึกปรุงยา
หรือกำลังเรียนรู้สภาพทางกายภาพของดวงดาว ไม่ว่าสิ่งใดที่เหล่าศิษย์ทั้งหลายกำลังศึกษาอยู่
เมื่อพวกเขาเห็นหยางเฉิน ทั้งหมดรวมทั้งครูผู้สอนต่างหยุดสิ่งที่ทำและยืนขึ้นเพื่อคำนับและตะโกน
'ศิษย์พี่หยาง' แต่ไม่มีใครเชิญหยางเฉินเพื่อเยี่ยมชมและเข้าห้องเรียน
คนเหล่านี้ทั้งหมดต่างปฏิบัติตามมารยาทที่เหมาะสม
เพื่อจะไม่ทำให้หยางเฉินโกรธเคือง
หลังจากช่วงเช้าทั้งหมดได้ถูกใช้ไปในลักษณะนี้ หยางเฉินก็กลับไปที่พักของเขาพร้อมกับเซิ่นต้า
และนั่งลงบนเก้าอี้อย่างเกียจคร้านก่อนที่จะออกคำสั่ง
"เซิ่นต้า นำอาหารกลางวันมาให้ข้าในตอนนี้!"
"นายน้อยหยาง อาหารกลางวันอยู่ในครัว
ท่านสามารถไปหยิบได้เอง!"
เซิ่นต้าหัวเราะประชดในขณะที่เขาตอบออกไปอย่างขอไปที และเดินจากมา
เมื่อมองไปที่ประสบการณ์อันขมขื่นของหยางเฉินในตำหนักเย่ซิวเมื่อช่วงเช้านี้
เซิ่นต้าเข้าใจทันทีถึงสถานะของหยางเฉิน เขายังคาดการณ์จุดจบของหยางเฉิน
ดังนั้นเขาจะไม่ถือหยางเฉินเป็นเป็นนายน้อยอีกต่อไป
"เซิ่นต้า เจ้าคิดว่าด้วยการชี้นำของชูเฮิง
ข้าจะไม่อาจโงหัวของข้าในตำหนักเย่ซิวแห่งนี้ได้ใช่ไหม?"
หยางเฉินดูเหมือนจะไม่แปลกใจในพฤติกรรมของเซิ่นต้า เขายังแสดงพฤติกรรมที่ดูเหมือนขี้เกียจเช่นเดิมโดยการยกขาวางบนที่พักแขนของเก้าอี้ที่สร้างขึ้นมาอย่างบรรจง
และถามขึ้นมาอย่างไม่แยแส
"นายน้อยหยาง!"
เซิ่นต้าหันกลับไปมองหยางเฉินและเผยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนยิ้มออกมา
“เมื่อพิจารณากฏแล้ว ข้าจะยังคงเรียกเจ้าว่านายน้อย
เมื่อสิบห้าปีก่อน ในตอนที่ข้ามีอายุเท่ากับเจ้าในตอนนี้
ข้าเคยมีความเชื่อว่าหากข้าได้ครอบครองรากแห่งจิตวิญญาณและด้วยพรสวรรค์ของข้าที่มีนั้นจะทำให้ข้าพิเศษกว่าผู้อื่น
แต่ในตอนนี้หากเจ้ามองมาที่ข้า ข้ายังเป็นได้เพียงแค่คนรับใช้และไม่มีสิ่งใดนอกเหนือกว่านั้น
แต่ข้ามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าในอีกสามปีข้างหน้าตัวเจ้านั้นก็จะเป็นเช่นเดียวกับข้าในตอนนี้
และข้าจะอยู่ในฐานะที่เหนือกว่าเจ้า”
"เจ้ามั่นใจแน่แล้วหรือเกี่ยวกับเรื่องนี้"
หยางเฉินเอ่ยปากถาม เขายังแสดงพฤติกรรมเกียจคร้านเช่นเดิม
"หากไม่มีผู้ใดคอยช่วยชี้แนะ เจ้าจะมั่นใจได้เช่นไรว่าจะผ่านมันไปได้?"
เซิ่นต้ายิ้มอย่างเย้ยหยัน
"เจ้าได้รับผลประโยชน์ก็เนื่องมาจาก ศิษย์พี่ซุนไม่ทันได้ระวังตัวเมื่อเจ้าได้โจมตีเขาจนเอาชนะเขามาได้
ไม่อย่างนั้นเจ้าคงไม่สามารถเดินเข้ามาในตำหนักเย่ซิ่วได้ง่ายๆเช่นนี้ จริงหรือไม่? นี่ก็ถือว่าดีที่สุดแล้วสำหรับเด็กเหลือขออย่างเจ้าเมื่ออยู่ในตำหนักหลังนี้เจ้าจะต้องถูกใช้เยี่ยงเดรัจฉานและนี่คือทั้งหมดที่เจ้าจะได้รับ
หลังจากนี้อีกสามปีเจ้าจะกลายเป็นลิ่วล้อของข้า
แล้วเจ้ายังจะกล้าให้ข้ารับใช้เจ้าอยู่อีกเช่นนั้นหรือ?"
"คนรับใช้อื่นๆก็รู้สึกเช่นเดียวกับเจ้าใช่หรือไม่?"
หยางเฉินไม่ได้เอ่ยถามถึงชื่อของคนรับใช้ชายหญิงคนอื่นๆเมื่อวานนี้เขาจึงเรียกด้วยคำอื่นแทน
"ถูกต้องแล้ว นายน้อยหยาง!"
มีคนรับใช้สามคนที่ไม่เห็นหน้าค่าตามาก่อน เดินออกมาจากห้องเล็กแล้วเข้ามายืนยังด้านข้างเซิ่นต้า
คนรับใช้ชายผู้หนึ่งยิ้มตอบรับ
"พวกเราจะเรียกเจ้าว่า
นายน้อยหยางตามกฎพื้นฐานของตำหนักแห่งนี้"
"อย่างไรก็ตามนายน้อยหยาง
เจ้าก็คงจะต้องดูแลชีวิตประจำวันด้วยตัวเอง"
และในทันทีหนึ่งในหญิงรับใช้ได้กล่าวว่า
"ถ้าเจ้ายิ่งปรับตัวได้เร็วเท่าไหร่ นั่นยิ่งจะเป็นผลดีต่อตัวเจ้า"
"แน่นอนว่า นายน้อยหยางสามารถให้พวกเรากินดื่มทรัพยากรเหล่านี้
การปฏิเสธจะเป็นการดูหมิ่นพวกเรา
พวกเราจะเพลิดเพลินกับความสุขเหล่านี้ในนามของนายน้อยหยาง"
คนรับใช้หญิงกล่าวเป็นคนสุดท้าย
รอยยิ้มของการแสดงออกบนใบหน้าของเธอแผ่กระจายมากยิ่งขึ้นประดุจดอกไม้ที่เริ่มเบ่งบาน
"ผู้ดูแลซ่างกวนได้สั่งให้พวกเราจัดสิ่งของเตรียมไว้ให้นายน้อยหยาง
ทุกอย่างเหมือนศิษย์ระดับรวมรวมลมปราณขั้นปลาย และโชคดีที่พวกเราเพิ่งเข้าสู่ช่วงข้อต่อของระดับรวมรวมลมปราณขั้นปลาย
บางทีสิ่งเหล่านี้อาจสามารถช่วยเราตัดผ่านไปขั้นสูงสุดได้"
พวกเขาทั้งสี่กล่าวเป็นเสียงเดียว
เป็นไปได้ว่าพวกเขาได้หารือกันมาแล้วในเรื่องนี้ ไม่เพียงแต่พวกเขาโลภอยากได้ในสิ่งของที่เป็นของหยางเฉิน
แต่ยังอยากจะให้หยางเฉินดูแลตัวเอง
ต้องขอบคุณสวรรค์ที่คนเหล่านี้ยังคงมีความตระหนักถึงความรับผิดชอบของพวกเขาอยู่บ้าง
และไม่ได้พยายามที่ทำให้หยางเฉินไปรับใช้พวกเขา
"แม้ว่าทั้งชูเฮิงและซ่างกวนเฟิง แกล้งที่จะรักษากฎ แต่ในความเป็นจริงชูเฮิงอยากจัดการกับข้าที่เป็นสามัญชนธรรมดาโดยใช้ช่องโหว่ในกฎนี้"
หยางเฉิน กล่าวอย่างเกียจคร้านออกมาก
"หรือว่าเจ้าร้ายกาจกว่าซ่างกวนเฟิงหรือชูเฮิง? พวกเจ้าทั้งหมดถึงกล้าที่จะทำเช่นนี้ พวกเจ้าไม่กลัวที่จะแหกกฎใดๆใช่หรือไม่?"
ฟังคำเหล่านี้ สีหน้าของคนรับใช้ทั้งหมดเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
แต่หยางเฉินยังไม่หยุดพูด
"แม้แต่ทั้งชูเฮิงและซ่านกวนเฟิงยังไม่กล้าแสดงตัวเพื่อที่จะจัดการกับข้า
แต่พวกเจ้าที่อยู่ต่ำยิ่งกว่าพวกเขายังกล้าที่จะทำ เพียงเพราะพวกเจ้าทั้งหมดหมกมุ่นอยู่กับการบ่มเพาะ
หรือว่าข้างในสมองของพวกเจ้าทั้งหมดมีแต่ขี้เลื่อย?"
หยางเฉินยังไม่ได้ขยับ แต่เขาทำให้เซิ่นต้าและคนรับใช้อื่นๆทั้งสามคนเหงื่อตกโดยไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้
หยางเฉินยิ้มเยาะในใจและกล่าวต่อไปว่า
"เจ้าต้องการให้ข้ารายงานการสนทนาในตอนนี้แก่ซ่างกวนเฟิง
และให้เขาตัดสินใจเกี่ยวกับข้อโต้แย้งนี้หรือไม่?"
"นายน้อยหยาง ท่านกำลังล้อเล่นแน่ๆ"
เซิ่นต้าไม่สนใจสิ่งที่ตัวเขาเองได้กล่าวในก่อนหน้านี้ และกล่าวว่า
"พวกเรากำลังพูดเรื่องไร้สาระเท่านั้น และยังไม่ได้ขอให้ท่านทำอะไรเช่นนั้นจริงๆ
แค่คำพูดขำขันยังไม่นับเป็นความผิดตามกฎ"
"ตามกฎอย่างนั้นหรือ?"
หยางเฉินเค่นเสียง เสียงของเขาเปลี่ยนเป็นคำราม
"ตามกฎ แม้อาหารกลางวันของข้ากำลังอยู่ในปากของข้าเรียบร้อยแล้ว
เมื่อข้าบอกให้เจ้านำมันมาให้ข้า เจ้าจะต้องนำมันมาให้ข้า ถ้าหากว่าอาหารมันเพียงแค่แตะขอบปากข้า
แต่เมื่อข้าสั่ง เจ้าก็ต้องนำมันมาให้ข้าอีกครั้ง! แต่นี่เจ้ากำลังพูดถึงกฎกับข้าใช่หรือไม่?"
คนรับใช้ระดับรวบรวมลมปราณขั้นปลายทั้งสี่ไม่กล้าที่จะขยับต่อหน้าหยางเฉินผู้ที่เพิ่งเข้าสู่พระราชวังหยางบริสุทธิ์
พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาต่างนิ่งเงียบด้วยความหวาดกลัว ใบหน้าของเขาทั้งสี่ซีดราวกับศพเหมือนมีบางคนได้ดูดพลังชีวิตของพวกเขาออกไป
"แต่ข้าชอบมากที่เจ้าพูดเรื่องนี้กับข้า
บอกความจริงมาทั้งหมด"
เห็นท่าทางของคนรับใช้ทั้งสี่ หยางเฉินพยักหน้าเบาๆ
"อย่างน้อย
เมื่อเทียบกับคนที่มีคำพูดหวานหูที่หวังผลในวันข้างหน้าและผู้ที่ไม่จริงใจที่ต่อหน้าสนับสนุนทำให้ข้ากลายเป็นศิษย์ระดับรวมรวมลมปราณขั้นปลาย
แต่ในความเป็นจริงกลับบังคับให้คนอื่นไม่ให้ความช่วยเหลือเพื่อทำให้ข้าแข็งแกร่งขึ้น"
เห็นหยางเฉินเปลี่ยนน้ำเสียงของเขาอีกครั้ง
คนรับใช้ทั้งสี่ค่อนข้างประหลาดใจ และรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจ
หลังจากมองหน้ากันไม่กี่ครั้ง พวกเขาสามารถที่จะมองหน้าหยางเฉินได้อีกครั้ง
"ข้ายังชอบความเปิดเผยของเจ้า"
หยางเฉินกล่าวโดยไม่ให้คนรับใช้รู้ถึงความคิดของเขา
แต่อย่างไรก็ดีหยางเฉินเข้าใจความคิดของพวกเขา
"ตอนนี้ข้าจะให้โอกาส
โอกาสที่จะเอาชนะความด้อยโอกาสที่เจ้าพูดถึง"
"โอกาส?"
เซิ่นต้าถามเสียงดังในทันที ถ้าหยางเฉินรายงานซ่านกวนเฟิงเรื่องการสนทนาพวกเขาทั้งสี่จะได้รับผลกระทบ
กฎนิกายคือกฎนิกายและใช้กับคนรับใช้เหล่านี้ ตั้งแต่หยางเฉินให้โอกาสกับพวกเขา
เซิ่นต้าจะไม่พลาดมัน
"เจ้าทั้งสี่ต้องชนะข้าในการต่อสู้!"
หยางเฉินลุกขึ้นและแสดงสัญญาณให้คนรับใช้ทั้งสี่ตามเขา
ในขณะที่เขาเดินตรงไปที่ลานเล็กๆในที่พักของพวกเขา
"ว่าแต่เจ้าจะต่อสู้คนเดียว หรือร่วมมือกัน
ตราบเท่าที่เจ้าสามารถเอาชนะข้า
ข้าจะทำเหมือนว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไม่ได้เกิดขึ้น
และเจ้าทั้งหมดจะไม่มีอะไรต้องกังวลเกี่ยวกับมัน สำหรับบรรดาทรัพยากรทั้งหลายซึ่งจะถูกส่งมาให้ข้า
มันจะเป็นของเจ้าโดยไม่มีข้อยกเว้น"
"ท่านพูดจริงใช่ไหม?"
เซิ่นต้ามองด้วยความยินดี เขารีบถาม
ถ้าหยางเฉินไม่ได้ยกประเด็นนี้ขึ้นมา ถ้าหากว่าซ่างกวนเฟิงรับรู้ถึงมัน
เขาอาจยังไม่ได้ลงโทษความผิดของพวกเขา
มากไปกว่านั้นยังจะช่วยให้ศิษย์พี่ซุนระบายความโกรธของเขา และแน่นอนว่าอาจารย์อาชูจะยินดีเป็นอย่างมาก
"แน่นอน!"
ใบหน้าหยางเฉินเผยสีหน้ายิ้มแย้ม
"มีประโยชน์อะไรที่ข้าจะได้จากการโกหกพวกเจ้าที่เป็นคนรับใช้?"
มองที่สีหน้าที่จริงจังของหยางเฉิน มันไม่ปรากฏอาการหลอกลวงใดๆ
เซิ่นต้าหันไปเหลือบมองที่คนรับใช้อื่นๆและก็เผยรอยยิ้มบนใบหน้าของคนทั้งสี่
"คำพูดเหล่านี้เป็นคำพูดของเจ้าเอง
แม้ว่าผู้ดูแลซ่างกวนจะรับรู้ถึงเรื่องนี้ เขาก็คงไม่สามารถตำหนิเราสำหรับการทำลายกฎใดๆ
ใช่หรือไม่ ผู้ดูแล?"
"แน่นอน!"
ซ่านกวนเฟิงปรากฏตัวโดยไม่คาดคิดที่ด้านหน้าของทางเข้าที่พักของหยางเฉิน
โดยไม่ทราบว่ามาเมื่อไหร่ เขาหัวเราะเบาๆออกมา
"เพียงชั่วครู่ที่ผ่านมา ข้าได้ยินคำพูดของนายน้อยหยาง เมื่อมันเป็นความต้องการของนายน้อยหยาง
เพื่อทำการท้าทาย มันจึงไม่ถือว่าเป็นการทำลายกฎแต่อย่างใดๆ"
รอยยิ้มที่น่ากลัวแผ่กระจายไปทั่วหน้าของเซิ่นต้าเป็นที่เรียบร้อย เขากำลังจะเคลื่อนไหวเมื่อซ่านกวนเฟิงกล่าวแทรก
"เซิ่นต้า นายน้อยหยางได้บอกว่าให้พวกเจ้าทุกคนเข้าไปพร้อมกัน
เจ้าทั้งหมดก็ควรทำตามที่นายน้อยหยางชี้แนะ"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น