ชูเฮิงดูกระสับกระส่ายและเดือดดาลอย่างมาก
แต่เนื่องจากตูเชี่ยนแห่งวิหารพิทักษ์กฎ ยังอยู่ที่นี่
ถึงแม้ว่าชูเฮิงจะมีความกล้าหาญเทียมฟ้า แต่เขายังคงไม่กล้าที่จะทำร้ายหยางเฉินต่อหน้าตูเชี่ยน
ดังนั้นด้วยเสียงร้องเบาๆที่ดังออกมา เขาไม่ได้สนใจหยางเฉินอีกต่อไปและรีบรุดไปตรวจสอบอาการบาดเจ็บของศิษย์ของเขา
หลังการตรวจอย่างระมัดระวัง
ชูเฮิงทำได้เพียงก้าวถอยหลังและสูดลมหายใจลึก เขารีบเอื้อมมือไปในถุงมิติเพื่อค้นหาเม็ดยาสมุนไพร
กรอกพวกมันเข้าปากซุนไห่จิ้ง และเริ่มรักษาจากกระดูกของซุนไห่จิ้งที่หัก
ทันใดนั้นๆเขาก็มองไปยังหยางเฉินด้วยความมุ่งร้าย
ทุกคนที่ปรากฎตัวในที่นี้รวมถึงตูเชี่ยนไม่อยากจะเชื่อผลลัพธ์นี้
หยางเฉินเป็นเพียงสามัญชนธรรมดาได้รับชัยชนะอย่างคาดไม่ถึง เมื่อต้องเผชิญต่อการท้าทายกับซุนไห่จิ้งผู้บ่มเพาะระดับรวบรวมลมปราณขั้นปลายไม่ใช่หรือ? นี่มันเกิดอะไรขึ้น? แต่ที่เบื้องหน้าของสายตาจำนวนมาก
แม้ผู้มีประสาทการรับรู้ที่ไม่ชัดเจน พวกเขาทำได้เพียงแต่ต้องเชื่อเพราะเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาของพวกเขา
ตั้งแต่เริ่มจนจบการต่อสู้ หยางเฉินสู้ในแบบธรรมดาเรียบง่าย
ใช้เพียงหมัดของเขาในการโจมตี และไม่ได้ใช้พลังเวทหรือเคล็ดวิชาบ่มเพาะในการโจมตีแต่อย่างใด
ในขณะเดียวกันตั้งแต่เริ่มจนจบการต่อสู้ ซุนไห่จิ้งผู้บ่มเพาะระดับรวบรวมลมปราณขั้นปลายกลับไม่สามารถที่จะใช้เคล็ดการบ่มเพาะ
หรือแม้แต่ใช้ยันต์พันชั่งในการโจมตี แต่ด้วยความแตกต่างอย่างมากระหว่างทั้งสอง
หยางเฉินยังสามารถหลบเลี่ยงมันได้อย่างง่ายดาย
“ทักษะเยี่ยม ความแข็งแกร่งเยี่ยม!”
ตูเชี่ยนกล่าวถึงหยางเฉินในมุมมองของเขา
ในขณะที่เดินใกล้ถึงวิหารพิทักษ์กฎ แม้ว่าเขาจะชื่นชมหยางเฉิน แต่มันก็ยังเป็นแค่ความชื่นชมส่วนตัวไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น
เพื่อไม่ให้หยางเฉินและชูเฮิงเป็นปรปักษ์กับเขา ในการต่อสู้กัน ก่อนหน้านี้ของหยางเฉิน
ทำให้ตูเชี่ยนได้กล่าวคำสรรเสริญในตัวเขาออกมา
หยางเฉินได้แสดงความเหนือกว่าของเขาด้วยรายละเอียดที่เป็นเลิศ
เริ่มจากปลดปล่อยเจตจำนงแห่งการฆ่าที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจของซุนไห่จิ้ง
ต่อด้วยหมัดที่ไร้ความปราณีเพื่อหยุดเขาจากการใช้เคล็ดวิชารบ่มเพาะ แล้วหักแขนของซุนไห่จิ้งและในตอนสุดท้ายก็ได้ชัยชนะจากซุนไห่จิ้งที่ไร้สติ
ด้วยประสิทธิภาพที่สุดยอด สิ่งนี้ทำให้ตูเชี่ยนอ้าปากค้างด้วยความชื่นชม
การยกย่องจากตูเชี่ยนนั้นออกมาจากใจ ถ้าเขาอยู่ในสถานะเดียวกับหยางเฉิน
แม้เป็นตูเชี่ยนก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าเขาจะสามารถกำหราบซุนไห่จิ้งอย่างง่ายดาย
หยางเฉินไม่เพียงแต่ทำได้สำเร็จ แต่ยังทำได้อย่างสวยงามเป็นธรรมชาติ
ควรค่าการยกย่องด้วยใจ
หยางเฉินดูราวกับว่าเขาไม่เต็มใจที่จะยอมปล่อยซุนไห่จิ้ง
แต่แท้จริงเหมือนเขาได้ตบไปที่หน้าของชูเฮิงมากกว่า ในขณะที่ชูเฮิงรักษาซุนไห่จิ้ง
หยางเฉินได้ถามเขาว่า
“อาจารย์อาชู ศิษย์ผู้นี้สามารถเริ่มบ่มเพาะในตอนนี้ได้เลยหรือไม่
ข้าไม่มีความจำเป็นต้องเป็นข้ารับใช้สิบปีอีกต่อไปแล้วใช่หรือไม่? อาจารย์อาชู คำพูดก่อนหน้าของอาจารย์อาไม่สมควรแก่เหตุแล้วใช่หรือไม่?
หลังการตรวจสอบ ระบุได้ว่ามีเพียงแขนและกระดูกศีรษะของซุนไห่จิ้งที่ได้รับความเสียหาย
ด้วยอาการบาดเจ็บน้อยกว่าที่คิด ชูเฮิงก็ได้สงบจิตใจของเขาลง
แต่เมื่อได้ยินคำถามของหยางเฉินอีกครั้งและอีกครั้ง
เขาใกล้จะอยู่ในจุดที่ไม่อาจระงับความต้องการฆ่า แต่ที่สุดแล้วเขาจดจำได้ว่ายังคงมีศิษย์จากวิหารพิทักษ์กฎอยู่ที่ด้านข้าง
เป็นการเสี่ยงที่จะทำอะไรผลีผลาม เขาบังคับตัวเองให้พยักหน้า
“ไม่เลว เจ้าได้ท้าทายและเอาชนะซุนไห่จิ้ง
ดังนั้นด้วยความเป็นธรรมเจ้าสามารถเริ่มต้นบ่มเพาะได้”
ในขณะที่พูดเขากัดริมฝีปากด้วยฟันของเขาจนแน่น เพื่อไม่ให้ระเบิดความโกรธใส่หยางเฉิน
มีเพียงความสงบเงียบหลังจากผ่านมายาวนาน
“จงไขว่คว้าทุกๆโอกาสและหวังว่าครั้งต่อไปเจ้าจะยังคงมีโชคที่ดีมากๆ!”
อีกครั้งที่ชูเฮิงเค่นเสียงเย็นชา
ก่อนที่จะแบกศิษย์ที่บาดเจ็บหนักของเขาออกจากประตูสำนักไปอย่างรวดเร็ว
“อาจารย์อาท่านกล่าวชมข้ามากเกินไปแล้ว
ศิษย์ผู้นี้มีเพียงกำลังที่บ้าบิ่นเท่านั้น ไม่ได้มีความโชคดีอย่างที่กล่าว”
หยางเฉินกล่าวอย่างนอบน้อมมาก เมื่อชูเฮิงได้ยินสิ่งนี้เงาของเขาหยุดนิ่งครู่หนึ่งก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว
“วิธีการใดที่เจ้าได้ใช้เพื่อเลี่ยงผลจากยันต์พันชั่งของซุนไห่จิ้ง?”
ตูเชี่ยนสนใจในเรื่องนี้ ยันต์พันชั่งโดยผู้บ่มเพาะระดับรวบรวมลมปราณขั้นปลายไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่จะพลาดเมื่อใช้กับมนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีทักษะการต่อสู้
สิ่งนี้ได้ทำให้ผู้บ่มเพาะจำนวนมากในที่นี้ไม่สามารถที่จะอดทนกับมันได้ ดังนั้นตูเชี่ยนจึงถามหยางเฉินเกี่ยวกับมันด้วยความอยากรู้
“ข้าไม่ได้หลบเลี่ยงมัน อาจารย์อาตู”
หยางเฉินได้ตอบตูเชี่ยนอย่างตรงไปตรงมา
“เจ้าไม่ได้หลบเลี่ยงมันหรือ?”
และอีกครั้งซ้ำๆที่ตูเชี่ยนไม่ทันคาดคิด
เขาจู่ๆก็เริ่มรับรู้ได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง หลังซีดเผือกจากการตกตะลึงเขาถามอีกครั้ง
“เจ้าไม่ได้หลบเลี่ยงพลังของมันจริงๆหรือ? เจ้ารับรู้ถึงเส้นทางของยันต์พันชั่งหรือไม่?”
“ไม่สามารถรับรู้ได้ อาจารย์อา”
หยางเฉินหัวเราะและตอบคำถามในทันที
“ด้วยชื่อของมัน ‘ยันต์พันชั่ง’
มันควรที่จะหนักพันชั่ง? ถ้าไม่ใช่เพราะมันแล้ววิธีการใดที่ง่ายและสามารถเอาชนะศิษย์พี่ซุนได้ในช่วงความเป็นและความตาย?”
ตูเชี่ยนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอีกในเวลานี้ ซุนไห่จิ้งได้รับผลลัพธ์จากการที่เขาล่วงละเมิดสิทธิ์ของผู้อื่น
ก่อนหน้านี้เมื่อเจตจำนงแห่งการฆ่าของหยางเฉินได้กดดันเขา เขาจึงขว้างยันต์พันชั่งออกไปด้วยความยากลำบาก
ด้วยเชื่อว่ามันสามารถจะช่วยหยุดหยางเฉินแต่หยางเฉินได้ใช้ความบ้าระห่ำอย่างต่อเนื่อง
ผลักดันร่างของตัวเองให้ไปทับซุนไห่จิ้ง ซึ่งเท่ากับเป็นการใช้น้ำหนักตัวของหยางเฉินพร้อมกับยันต์พันชั่ง
เดิมทีตูเชี่ยนยังคงรู้สึกงงงัน
ซุนไห่จิ้งมีการบ่มเพาะในระดับรวบรวมลมปราณขั้นปลาย
เมื่อเปรียบเทียบเขากับหยางเฉินที่เป็นมนุษย์ธรรมดา จะมีวิธีการใดที่สามารถใช้รับมือกับความแตกต่างอย่างสุดขั้ว? แต่เขาไม่อาจคาดคิดถึงสิ่งนี้
ก็ว่าทำไมแขนของซุนไห่จิ้งถึงหักอย่าง่ายดายเหตุผลมันเป็นเช่นนี้เอง
อย่างไรก็ตามหยางเฉินไม่ได้แสดงถึงความเมตตาใดๆ
แต่นี่ก็ค่อนข้างใกล้เคียงกับตัวตนของตูเชี่ยน ถ้าหยางเฉินต้องการจะเอาชนะใครสักคน
เขาจะไม่วางมือและศัตรูจะต้องจ่ายหนี้เต็มที่ นี่เป็นหลักการที่ดีที่สุด ในขณะที่มองไปรอบๆตูเชี่ยนพบว่าการรับสมัครศิษย์สายนอกได้หยุดชะงักลง
บรรดาศิษย์ระดับรวบรวมลมปราณได้มองมายังเขา และกำลังรอที่เขาจะออกคำสั่งในฐานะที่เป็นอาวุโสสุงสุดในที่แห่งนี้
“ทำหน้าที่ของพวกเจ้าต่อไป!”
ตูเชี่ยนส่งสัญญาณด้วยมือของเขาและประกาศอย่างไม่ใส่ใจ
นั่นเพราะการรับสมัครศิษย์สายนอกไม่ได้เป็นหน้าที่ของเขา
เขามาปรากฎตัวที่นี่หลังจากที่ได้ยินว่าชูเฮิงได้สร้างความลำบากให้ใครบางคน
ตอนนี้เรื่องนี้ได้ข้อสรุปแล้วไม่มีความจำเป็นที่เขาจะอยู่ที่นี่ต่อไป
ทุกคนตอบรับด้วยเสียงดังและเริ่มกลับไปปฏิบัติหน้าที่
โดยละความสนใจต่อหยางเฉิน เมื่อเห็นเช่นนี้ตูเชี่ยนไม่ได้พูดอะไรมากเพียงเอ่ยบอกสาระสำคัญต่อหยางเฉิน
“เจ้าได้เป็นศิษย์สายนอกของพระราชวังหยางบริสุทธิ์เป็นที่เรียบร้อย
ต่อไปเจ้าต้องทำให้ดีที่สุด!”
แม้จะไม่มีการเตือนจากตูเชี่ยน
หยางเฉินได้พิจารณาแล้วถึงสถานะการณ์ของศิษย์สายนอกโดยรอบ ถ้ากล่าวตั้งแต่จุดเริ่มต้น
พวกเขามองดูอาจารย์ชูเฮิงและศิษย์ได้พยายามที่จะขจัดหยางเฉิน
แต่พวกเขายังคงไม่กล่าวสิ่งใดเพื่อหยางเฉิน
เมื่อหยางเฉินได้ทำร้ายซุนไห่จิ้งอย่างโหดร้าย นี่เป็นเหตุให้พวกเขาไม่อาจเป็นสุขได้
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดเมื่อพวกเขาเห็นถึงความไม่เท่าเทียมอย่างเช่นการรังแกผู้อ่อนแอ
ก็เห็นใจผู้อ่อนแอ แต่เมื่อผู้อ่อนแอกว่าสามารถตอบโต้กลับได้ประสบผลสำเร็จ มันกลับเป็นการจี้ใจดำพวกเขา
บุคคลที่พวกเขาคิดว่าอ่อนแอได้กลับกลายเป็นคนที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง คำกล่าวที่ว่า ‘เมื่อกระต่ายตายสุนัขจิ้งจอกร่ำไห้’ อธิบายถึงพวกเขาได้ค่อนข้างดี ถ้าทุกคนเป็นเหมือนหยางเฉิน
พวกเขาจะรับรู้ถึงความสุขของความเป็นศิษย์พี่ได้อย่างไร? ใครจะสามารถจินตนาการได้ว่าเมื่อหยางเฉินใกล้ได้พบกับอาจารย์ของเขา
เขาจะต้องเผชิญกับสถานะการณ์แบบใด หยางเฉินไม่สามารถรู้ถึงเรื่องดังกล่าว
หยางเฉินไม่ได้สนใจในเรื่องนี้อีกต่อไป
เพื่อที่จะแสดงถึงความเคารพในอาจารย์ของเขาอีกครั้ง ถีงแม้ว่าเขาจะต้องข้ามภูเขาดาบและทะเลเปลวเพลิง(เผชิญหน้ากับอันตรายใหญ่หลวง)โดยลำพัง
เขาก็ไม่ใส่ใจ นับประสาอะไรกับศิษย์สายนอกเหล่านี้
แม้ว่ามันเป็นความยากลำบากทั้งเก้าประการ
มันก็ยังรู้สึกเหมือนการเดินเล่นในสวนสำหรับเขา อาจารย์รอข้าด้วย
ข้าได้เข้าสู่พระราชวังหยางบริสุทธิ์แล้ว และเร็วๆนี้จะกลายเป็นศิษย์ฝึกหัดของท่าน
การทดสอบรากจิตวิญญาณจบลงอย่างรวดเร็ว ในเวลาเพียงหนึ่งวัน คนสองหมื่นคนได้รับการทดสอบ
มีเพียงยี่สิบคนที่ครอบครองรากจิตวิญญาณ
ทั้งหมดยี่สิบคนรวมทั้งหยางเฉินได้เข้าร่วมเป็นศิษย์สายนอก
กลุ่มหน้าใหม่ทั้งยี่สิบคนที่ได้รับการยอมรับเป็นศิษย์สายนอกได้พบกับศิษย์สายในที่นำพวกเขาไปยังสถานที่ต่อไปตามเส้นทางที่เป็นภูเขาซับซ้อน
ในที่สุดก็ถึงภูเขาเหมยชิง หลังจากรีบเร่งเดินทางมามากกว่าสามสิบลี้บนเส้นทางในภูเขา
ก่อนเที่ยงคืนพวกเขาก็พบตำหนักที่ครี่งทางขึ้นเขา
“นี่เป็นสถานที่ ที่ใช้สำหรับบ่มเพาะ
พวกเจ้าจะต้องใช้สถานที่นี้อีกเป็นเวลานาน”
ศิษย์ผู้นำทางพาพวกเขาไปยังห้องโถงและกล่าวกับทุกคน
“พวกเจ้าทั้งหมดรออยู่ที่นี่
จะมีคนจัดที่พักให้กับพวกเจ้า ขอให้พวกเจ้าทุกคนโชคดี
จงทำงานอย่างหนักเพื่อเป็นศิษย์ในอนาคต!”
หลังจากกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ เขาก็จากไป
ทั้งยี่สิบคนต่างมองหน้ากันโดยไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไร
ยกเว้นหยางเฉินซึ่งอยู่ในที่เดิมของเขา หยางเฉินยืนอยู่ในที่หนึ่งอย่างใจเย็น
แต่ภายในจิตใจของเขาความทรงจำในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตำหนักในชีวิตก่อนหน้าที่ผ่านมาของเขา
ได้ปรากฎออกมา ทีละนิดทีละนิด
ในวันนั้นเขาพึ่งเข้ามายังพระราชวังหยางบริสุทธิ์และถูกนำมาที่ตำหนักแห่งนี้และใช้เวลาสามปีที่นี่
หยางเฉินแทบจะไม่มีความรู้สึกส่วนตัวกับผู้บ่มเพาะเหล่านี้
มันเป็นเรื่องปกติเป็นประจำทุกปีแต่ละนิกายจะเฟ้นหาคนที่มีรากจิตญญาณจำนวนหนึ่งและรับพวกเขาเป็นศิษย์สายนอก
อย่างไรก็ตามไม่ใช่ทุกคนที่มีรากจิตวิญญาณจะประสบผลสำเร็จในการบ่มเพาะ
หลายๆคนได้ถูกคัดออกในรอบแรก
ในวันนั้นนอกจากหยางเฉินแล้วทุกคนในกลุ่มของเขาได้ถูกคัดออก
ดังนั้นเขาจึงไม่มีความทรงจำใดๆถึงพวกเขาอย่างสิ้นเชิง
ในความวุ่นวายทั้งหมดที่อยู่รอบเขา
หยางเฉินหาที่นั่งพักอย่างสงบบริเวณตรงกลางของห้องโถงและเริ่มรอคอย
ในบรรดาศิษย์ใหม่ทั้งหมดแต่ละคนล้วนระมัดระวังและวิตกกังวลถึงสภาพแวดล้อมใหม่
มีเพียงหยางเฉินคนเดียวที่นั่งลง พวกเขาไม่ได้ย้ายจากที่เดิมของพวกเขา เมื่อเปรียบเทียบกับหยางเฉินพวกเขาเหมือนกลุ่มเด็กที่อ่อนประสบการณ์ต่อโลก
อย่างรวดเร็ว บุคคลที่มองดูคล้ายผู้ดูแลชราได้ปรากฎที่ตรงกลางของห้องโถงพร้อมกับคนรับใช้ที่ดูแข็งแรงตามมาสองคนที่ด้านหลัง
หยางเฉินไม่ได้ลุกขึ้นจากที่นั่งของเขา เขารู้จักผู้ดูแลชรานี้เป็นอย่างดี
ในชีวิตก่อนหน้านี้ในช่วงเวลาสามปีแรกที่เขาได้อาศัยอยู่มันมากจนผู้ดูแลชรานี้ไม่ต้องแนะนำอะไรให้กับเขา
หลังจากผู้ดูแลชราเข้ามา เขามองไปยังกลุ่มคนที่ยืนอยู่
เมื่อเขามองไปยังหยางเฉินที่นั่งพักผ่อนอย่างสบาย คิ้วของเขาขมวดขึ้นเล็กน้อย
แต่ก็หายไปในทันที
“ตาแก่คนนี้มีชื่อว่า ซ่างกวนเฟง ผู้ดูแลทุกเรื่องในตำหนักเย่ซิวนี้
และยังเป็นเพียงผู้เดียวที่ดูแลความเป็นอยู่ของทุกคนสำหรับเวลาสามปีถัดจากนี้
ผู้ดูแลชราแนะนำตัวเอง
“ถ้าใครมีความต้องการสิ่งใดในวันข้างหน้า
เจ้าสามารถมาหาตาแก่ผู้นี้ได้โดยตรง”
“ขอบคุณมากๆ
ผู้ดูแลซ่างกวนสำหรับการเป็นธุระของท่านทั้งหมด!”
หยางเฉินยิ้มอยู่ตลอดเวลาในขณะที่ซ่างกวนเฟงกล่าว
เขายืนขึ้นและประสานมือทักทาย หลังจากที่เขาขยับ คนอื่นๆก็ตอบสนอง
ทุกๆคนเริ่มแสดงความขอบคุณต่อซ่างกวนเฟงตามมาเป็นชุด
เขาเป็นผู้ดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาในวันข้างหน้า
เป็นเรื่องปกติที่พวกเขาไม่อาจแสดงความหยาบคาย
ซ่างกวนเฟงมีความสุขอย่างมากในเรื่องนี้ จู่ๆเขาก็รู้สึกพึงพอใจในตัวของหยางเฉิน
ผู้ซึ่งแสดงออกถึงไหวพริบอย่างว่องไว ด้วยการแสดงถึงความเคารพต่อเขา
เพียงแต่ว่า... แม้เขาจะรู้สึกปลาบปลื้มใจ
เขาก็ไม่สามารถทำสิ่งใดนอกจากเสียใจอยู่บ้าง
ด้วยคำทักทายก่อนหน้านี้แสดงถึงตัวเขาอย่างชัดเจนว่าหยางเฉินสามารถหยิบยื่นความลำบากให้แก่ทุกคน
แต่ด้วยคำพูดที่ฉลาด ทำไมเขาจึงยืนกรานและแสดงความก้าวร้าวต่ออาจารย์อาชูเฮิงในตอนที่คัดเลือกศิษย์สายนอก?
“นับจากนี้เป็นเวลาสามปีที่เจ้าทุกๆคนจะอาศัยอยู่ที่ตำหนักเย่ซิว
ที่นี่ทุกคนจะได้เรียนรู้การอ่านและบรรลุถึงการเฝ้าดูสภาพทางกายภาพของดวงดาว
และเรียนรู้ฝึกฝนการปรุงยาและจำแนกสมุนไพรที่แตกต่าง
หลังจากสามปีทุกคนจะร่วมการคัดเลือกอย่างเป็นทางการเพื่อกลายเป็นศิษย์สายนอกแท้จริงของพระราชวังหยางบริสุทธิ์!”
ซ่างกวนเฟงกล่าวตรงๆอย่างชัดถ้อยชัดคำถึงหน้าที่ของทุกคนในตำหนักเย่ซิวแห่งนี้
หลังจากได้ยินคำถ้อยคำของซ่างกวนเฟงศิษย์ใหม่เริ่มต้นถกเถียงกันระหว่างพวกเขาและในที่สุดศิษย์ที่มีความกล้าก็ได้ถามอย่างระมัดระวังว่า
“ผู้ดูแล มันอาจเป็นไปได้ว่าพวกเรายังไม่ได้เป็นศิษย์สายนอกแท้จริงใช่หรือไม่?”
“ฮ่า ฮ่า! เพียงเพราะร่างกายของเจ้ามีรากจิตวิญญาณ
เจ้าคิดว่าเจ้าจะมีคุณสมบัติที่เป็นศิษย์สายนอกแท้จริงอย่างนั้นหรือ? มันคงเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะกลายเป็นศิษย์”
ซ่างกวนเฟงหัวเราะเบาๆและอธิบายกับทุกคน
“สามปีนี้เพื่อทุกคนจะสร้างพื้นฐานที่ดีและเลือกเส้นทางการบ่มเพาะที่เหมาะสม
อย่างน้อยในเวลาสามปีทุกคนจะมีระดับรวบรวมลมปราณและมีเพียงคนที่มีพรสวรรค์ที่จะกลายเป็นศิษย์สายนอกแท้จริง
แม้ว่าร่างกายของพวกเขาครอบครองรากจิตวิญญาณมันยังยากสำหรับทุกคนที่จะได้รับการศึกษาที่ดี
เช่นหยางเฉิน ผู้ใช้เวลาส่วนใหญ่ในวัยของเขาในครอบครัวชาวนา พวกเขาไม่สามารถเรียกร้องที่จะเรียนรู้การอ่านและเขียน
ไม่มีความรู้ในการอ่านตัวอักษร
จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะประสบผลสำเร็จในการอ่านหนังสือหายากสำหรับบ่มเพาะความเป็นอมตะ? สำหรับกายภาพของดวงดาวและฝึกเรื่องการปรุงยาและจำแนกสมุนไพรที่แตกต่าง
มันเป็นพื้นฐานของการปรุงเม็ดยาเซียนในอนาคต การปรุงเม็ดยาเซียนมันสำคัญมากที่จะเรียนรู้การจำแนกสมุนไพรที่แตกต่าง
รวมทั้งสร้างความคุ้นเคยกับวัตถุดิบที่แตกต่างกัน!
ทุกคนสามารถเข้าใจสิ่งต่างๆเหล่านี้ และไม่ได้ถามอะไรอีก
ในใจของพวกเขารู้สึกถึงความกดดันและความกังวล ก่อนหน้านี้พวกเขาเชื่อว่า ด้วยร่างกายของพวกเขาที่ครอบครองรากจิตวิญญาณ
พวกเขาก็สามารถที่จะเข้าร่วมนิกายเซียนอมตะและเพิ่มระดับได้ในทันที
แต่พวกเขาไม่ได้คาดว่ารากจิตวิญญาณเป็นเพียงแค่คุณสมบัติเบื้องต้นที่ต้องการและไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น
เมื่อพวกเขาได้ยินว่าเวลาสามปีไม่เพียงแต่พวกเขาจะต้องสร้างพื้นฐานแต่การบ่มเพาะยังต้องอยู่ในระดับรวบรวมลมปราณพวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากรู้สึกถูกกดดัน
“ถ้าเรายังไม่ถึงดินแดนที่ว่าในเวลานั้นล่ะ?”
บางคนกล่าวขึ้นมาอย่างหงุดหงิด
“เคล็ดวิชาพระราชวังหยางบริสุทธิ์ไม่ควรที่จะแพร่กระจายออกไปโดยง่าย
ถ้าถึงเวลานั้นพวกเจ้าไม่สามารถเข้าถึงระดับรวบรวมลมปราณเจ้าจะต้องกลายเป็นผู้รับใช้ตลอดชีวิตของเจ้าที่ตำหนักเย่ซิวแห่งนี้”
ซ่างกวนเฟงกล่าวอย่างเย็นชาแผ่ความหนาวเหน็บเข้าสู่จิตใจของทุกคน ทุกคนมองไปยังคนรับใช้ที่ดูแข็งแรงที่อยู่ด้านหลังของซ่างกวนเฟงด้วยสายตากังวลเหมือนว่าได้ตระหนักถึงบางสิ่ง
“เจ้าไม่ต้องมอง สองคนนี้ไม่สามารถก้าวข้ามอุปสรรคไปได้เมื่อสิบปีก่อน”
ดูเหมือนจะตระหนักถึงความคิดของพวกเขาผู้ดูแลซ่างกวนเฟงเตือนพวกเขา
หลังจากนั้นเขาก็สั่งทุกคน
“นี่มันดึกมากแล้ว ดังนั้นหลังจากกินอาหารเจ้าทุกคนก็หาที่หลับนอนและในวันพรุ่งนี้บางคนจะมาพาเจ้าไปเพื่อปฏิบัติตามสิ่งที่เจ้าต้องรับผิดชอบ”
ด้วยเสียงปรบมือ
ทันใดนั้นคนรับใช้ที่แข็งแรงทั้งยี่สิบคนได้ปรากฎในห้องโถงเท่ากับจำนวนของศิษย์ใหม่
“เจ้าทุกคนสามารถเลือกคนรับใช้ เขาจะเป็นคนรับผิดชอบสำหรับกิจวัตรประจำวันของเจ้า”
ซ่างกวนเฟงชี้นิ้วไปรอบๆ ช่วยให้ทุกคนเลือก
ในขณะที่ทุกคนกำลังมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง
ผู้ดูแลซ่างกวนขยับไปหาหยางเฉินและกล่าว
“หยางเฉิน อาจารย์อาชูเฮิงได้กล่าวว่าเนื่องจากเจ้าได้ชนะศิษย์ระดับรวบรวมปราณขั้นปลาย
เจ้ามีคุณสมบัติที่จะบ่มเพาะเคล็ดวิชาระดับรวบรวมปราณขั้นปลาย หลังจากนั้นในตำหนักเย่ซิวเจ้าได้รับการปฏิบัติในฐานะที่เป็นศิษย์สายนอก”
หยางเฉินประหลาดใจ เขาได้รับอนุญาตให้มีสถานะเป็นศิษย์สายนอกในเวลานี้? หนี่งควรรู้ว่าเหล่าศิษย์สายนอกสามารถทดสอบเพื่อเปลี่ยนเป็นศิษย์สายในและเปลี่ยนเป็นศิษย์ฝึกงานของอาจารย์เพื่อเรียนรู้ทักษะ
เป็นไปได้อย่างไรที่ชูเฮิงจะมีความตั้งใจดี?
“ข้าได้เป็นศิษย์สายนอกแล้วหรือ?
หยางเฉินถามในขณะที่ขมวดคิ้วของเขา
โดยไม่ได้แสดงความปิติยินดีใดๆออกมา
“เจ้าได้รับการปฏิบัติเป็นศิษย์สายนอก นั่นคือทั้งหมด”
ซ่างกวนเฟงหัวเราะพร้อมกับอธิบาย
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดตรงประเด็นสำคัญ
“เมื่อเจ้าได้ชนะผู้บ่มเพาะระดับรวบรวมลมปราณขั้นปลายตำหนักเย่ซิวแห่งนี้ไม่กล้าที่จะให้คำชี้แนะใดๆแก่เจ้าในเรื่องของการบ่มเพาะ
เจ้าดีเกินไป เจ้าเยี่ยมยอด พอใจไหม!”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น