มันยังจะดีเสียกว่าที่จะกล่าวออกมาว่า
นี่เป็นโอกาสที่ดีของซุนไห่จิ้งที่จะใช้เหตุผลนี้เพื่อข่มเหงหยางเฉิน
แทนที่จะกล่าวว่าข้อเสนอเหล่านี้เป็นประโยชน์ต่อหยางเฉินเพื่อช่วยให้เขาสามารถฝึกบ่มเพาะได้เร็วขึ้น
เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า
ซุนไห่จิ้งได้ฝึกบ่มเพาะมาหลายปีและเขาสามารถเข้าถึงดินแดนรวบรวมลมปราณขั้นปลายได้
ถึงแม้ว่าการเข้าสู่ระดับนี้ได้นั้นจะไม่ใช่พรสวรรค์มากมายที่คนจะต้องอิจฉา
แต่การที่จะต่อกรกับสามัญธรรมดานั้นมันมากกว่าคำว่าเพียงพอ
เวลานับสิบปี ที่หยางเฉินไม่สามารถบ่มเพาะพลัง และซุนไห่จิ้งยังคงมีความก้าวหน้าขึ้นในแต่ละวัน
ด้วยความแตกต่างนี้ก็จะเพิ่มมากขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป
หยางเฉินคิดว่าเขาควรจะชะลอเวลาในการท้าประลองกับซุนไห่จิ้งไปก่อน
โอกาสที่เขาจะสามารถเอาชนะมันได้นั้นมีไม่มากนัก
หากหยางเฉินไม่กล้าท้าประลอง ซุนไห่จิ้งก็คงจะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ในขณะที่หยางเฉินเป็นคนรับใช้โดยอาจให้ใครสักคนทำการดูถูกสบประมาทจนหยางเฉินไม่อาจทนต่อสภาวะที่กดดันนั้นได้และจากไป
เวลาสิบปีนั้นมันมากเพียงพอสำหรับซุนไห่จิ้งที่จะสามารถทำได้หลายสิ่งหลายอย่าง
จากคำชี้แนะของชูเฮง หยางเฉินสามารถเป็นอิสระได้ กล่าวสั้นๆก็คือ
ทุกสิ่งทุกอย่างจะได้รับการยกเว้นเมื่อเขาสามารถควบคุมสติปรับสภาพจิตใจและคนอื่นๆก็ไม่สามารถที่จะปฏิเสธมันได้
ถึงแม้ว่าหยางเฉินจะไม่ต้องการที่จะออกไป แต่คำสั่งที่ถูกกำหนดโดยอาจารย์หลี่แห่งนิกายสวรรค์ยิ่งใหญ่อย่างไรเสียก็คงต้องปฏิบัติตาม
พวกเขาจะไม่ปล่อยให้หยางเฉินได้รับการบ่มเพาะพลัง และการพบเจอกับเทพธิดาฉืออีกครั้งหนึ่งในอนาคตมันก็คงเป็นเรื่องยากสำหรับเขา
ถ้าการบ่มเพาะของหยางเฉินมีความล่าช้า หลังจากนี้อีกสิบปีเขาคงต้องใช้วิธีการที่เสี่ยงอันตรายมากขึ้นเพื่อทำการบ่มเพาะเพื่อให้มีความก้าวหน้าเร็วขึ้น
ซึ่งเขาอาจจะโดนดูถูกเหยียดหยามมากขึ้น แน่นอนว่าเขาจะกลายเป็นคนที่อ่อนแอเป็นอย่างมาก
จึงเป็นเรื่องปกติที่คนเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับตัวเขาอีกต่อไป
มันเป็นแผนการณ์ที่ถูกจัดขึ้นที่ยากต่อการคลี่คลายหรือตรวจสอบ อีกทั้งยังสามารถมอบหมายให้ใครก็ได้จัดการในเรื่องนี้
เพื่อที่พวกเขาสามารถดำเนินการตามแผนและสร้างความเสียหายให้กับหยางเฉินได้ง่ายๆ
นอกจากจะมีคนมาช่วยหยางเฉินในสถานการณ์คับขันนั้น ซึ่งมันก็คงไม่มี...
ดังนั้นหลังจากที่ชูเฮงนั้นได้กล่าวถ้อยคำเหล่านี้จบสิ้นลง โดยไม่ต้องรอหยางเฉินนั้นตอบกลับ
เขาหันไปมองรอบๆ ทันใดนั้นเขาก็เปล่งเสียงออกมา
“ศิษย์พี่ตู เจ้ามีความคิดเห็นเช่นไรกับสิ่งที่ข้าได้กล่าวออกไป?
ทุกคนต่างจ้องมองไปยังทิศทางที่ชูเฮงกล่าว ที่นั่นได้ปรากฎเงาของบุคคลผู้หนึ่งขึ้น
ศิษย์ผู้ที่ทำหน้าที่ัรับสมัครศิษย์ทั้งหมดต่างโค้งคำนับอย่างอ่อนน้อม
“ศิษย์ทุกคนแสดงความเคารพต่ออาจารย์อาตู!”
หยางเฉินเขาสามารถจำศิษย์พี่ตูคนนี้ได้
นามของเขาคือหมิงตูเชี่ยนและเขาก็เป็นศิษย์จากวิหารพิทักษ์กฏ ลักษณะอุปนิสัยมีความเที่ยงตรงและไม่ค่อยจะฟังผู้ใด
โดยปกติแล้วมักจะไม่มีศิษย์จากวิหารพิทักษ์กฏมาในวันที่เปิดรับสมัครศิษย์ใหม่
แต่ในวันนี้เขามาปรากฏตัวที่นี่อย่างไม่คาดคิด ดูเหมือนว่าศิษย์บางคนจะไปแจ้งเขาเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่นี่
การโต้แย้งกันระหว่างเพชฌฆาตกับศิษย์วิหารพิทักษ์กฏ ซึ่งมันไปกระตุ้นความสนใจของเขาผู้นั้นมิใช่น้อย
ในที่สุด ตูเชี่ยนได้พยักหน้ารับอย่างเล็กน้อย
เพื่อเป็นการตอบรับความเคารพจากบรรดาศิษย์ทั้งหลาย
ทันทีที่สายตาของเขานั้นตกลงไปที่ตัวหยางเฉินและหันไปมองอีกด้านที่เป็นจุดที่ชูเฮงยืนอยู่เล็กน้อยก่อนที่จะตะโกนด้วยเสียงดังออกมา
“พระราชวังหยางบริสุทธิ์ของข้าไม่มีกฎหรือข้อบังคับใด
พวกเจ้าต้องหาทางออกนั้นด้วยตนเอง!”
“พระราชวังหยางบริสุทธิ์ของข้านั้นเดิมทีแล้วก็ไม่มีกฎระเบียบใดๆ
พระราชวังหยางบริสุทธิ์ยังไม่เคยรับเพชฌฆาตใดๆมาก่อน มีแต่รับศิษย์ที่เป็นสามัญชนธรรมดาทั่วๆไป
มันผู้นั้นได้ฆ่าคนไปมากกว่าหนึ่งพันคน
นอกจากนั้นมันยังคิดว่าตัวมันมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับเทพธิดาฉือ
ซึ่งจะทำให้มันกลายเป็นคนโอหังได้และคงไม่ใช่เรื่องดีต่อการบ่มเพาะของมัน
ด้วยเหตุนี้การฝึกความอดทนด้วยตนเองจะเป็นผลดีสำหรับมัน”
ชูเฮงยิ้มออกมาเล็กน้อย ไม่ถือสาในมารยาทของศิษย์พี่ของเขา
“ในการปรากฎตัวของเทพธิดาฉือนั้น ขนาดตัวข้าเองนั้นตระเตรียมการเพื่อต้อนรับเทพธิดาฉือ
แต่นางกลับไม่แม้แต่จะกล่าวสิ่งใดออกมา”
“ถึงแม้ว่าการควบคุมสติอารมณ์ของเขาจะเป็นเรื่องที่สำคัญ
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันต้องขึ้นอยู่กับอาจารย์ของเขาที่จะเป็นผู้กำหนดสิ่งต่างๆ
ข้าเกรงว่าศิษย์น้องชูจะประพฤติตนไม่ค่อยเหมาะสม”
ตูเชี่ยนได้แต่ขมวดคิ้วของเขา
ซึ่งเขานั้นไม่อาจเข้าไปข้องเกี่ยวกับวิธีการของชูเฮงได้
เขาทำได้เพียงหาช่องโหว่บางอย่างเพื่อจัดการเขา
“ศิษย์คนนี้เพิ่งได้รับคัดเลือก มันนั้นเพิ่งได้เข้าร่วมในพระราชวังหยางบริสุทธิ์อย่างไม่เป็นทางการโดยตามหลักการแล้วจะเป็นเพียงแค่ศิษย์ผู้ฝึกหัด
แล้วจะบอกว่ามันไม่เหมาะไม่ควรได้อย่างไร”
ชูเฮงยิ้มออกมาอย่างผ่อนคลาย ตูเชี่ยนรู้สึกกังวลในคำโต้แย้งนั้นเขาหยุดชะงักลงแล้วหันกลับมาทางหยางเฉินพร้อมกับเอ่ยถามอีกครั้ง
“หยางเฉินเจ้ายินดีหรือไม่?”
“ถ้าข้าไม่ต้องการ
ยังจะมีทางเลือกอื่นให้ข้าอีกเช่นนั้นหรือ?”
หยางเฉินไม่เลือกที่จะตอบคำถามโดยตรงแต่เลือกที่จะตั้งคำถามกลับไปแทน
“ถ้าหากเจ้านั้นไม่ต้องการที่ปฏิบัติตาม มันพิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้ามีลักษณะของคนที่ชอบวิ่งหนีปัญหา
และด้วยอิทธิพลอันยิ่งใหญ่พระราชวังหยางบริสุทธิ์ของข้า ถึงแม้เจ้าจะไม่ได้รับโอกาสนั้นอย่างแท้จริง
แต่เจ้าก็ยังสามารถลองไปทดสอบในสถานที่อื่น เพื่อรับโอกาสที่ดีกว่า”
ชูเฮงเคยกล่าวประโยคนี้มาแล้วหนึ่งครั้ง
แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับการที่จะกล่าวมันขึ้นมาอีกครั้ง
“หากข้าท้าประลองศิษย์พี่ซุน
ไม่ว่าผลลัพท์นั้นจะออกมาเป็นเช่นไร ตามบทลงโทษของศิษย์ร่วมนิกายที่ทำร้ายกัน
พวกเราต้องรับบทลงโทษดังกล่าวด้วยหรือไม่?”
หยางเฉินคิดมุมกลับแล้วเอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ชูเฮงยิ้มและไม่ตอบคำถามนั้น แต่หันกลับไปทางตูเชี่ยนและกล่าวว่า
“ศิษย์พี่ตูเป็นศิษย์จากวิหารผู้พิทักษ์กฏ เจ้าสามารถเชื่อถือในคำพูดของเขา”
ตูเชี่ยนนั้นเป็นศิษย์จากพิทักษ์กฏ ด้วยคุณสมบัตินี้เขาสามารถพูดออกมาได้
เขาบ่นพึมพำในลำคอถึงแม้ว่าเขาไม่สามารถจะกระทำสิ่งใดกับชูเฮงได้นั้น
แต่เขาไม่อาจปกปิดเจตนารมณ์ที่ดีและได้กล่าวออกไปเสียงดังว่า
“เนื่องจากนี่
เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่จะทำพันธะสัญญาเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการ ดังนั้นจึงไม่ถือว่าเป็นการผิดกฏที่ว่าทำร้ายศิษย์ร่วมนิกาย”
“หากข้านั้นได้ท้าประลองกับเขาแล้ว เขาจะไม่สามารถร้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นได้ใช่หรือไม่?”
หยางเฉินหัวเราะและเอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้ง
“โดยปกติแล้วเขาจะไม่สามารถ เนื่องจากมันเป็นการท้าประลองส่วนตัวระหว่างบุคคลทั้งสอง
หากแม้เกิดการสูญเสีย เขาต้องยอมรับในสิ่งนั้น เสมอภาคและยุติธรรม”
ชูเฮงนั้นดูราวกับว่าภาคภูมิใจในการกระทำของเขา ก่อนที่จะตอบคำถามของหยางเฉินด้วยความอดทนเป็นอย่างมาก
“หากสุดท้ายแล้วเขานั้นได้รับบาดเจ็บ
แล้วจะเป็นเช่นไรต่อไป?”
ท่าทีของหยางเฉินแปลเปลี่ยนเป็นจริงจังในทันทีขณะที่ถามเกี่ยวกับเรื่องนี้และเข้าใจถึงความเป็นไปได้ทั้งหมด
ถ้าหากเขานั้นได้ขอท้าประลอง
“นั่นคงเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจเป็นอย่างยิ่ง แต่เจ้าก็อาจจะถูกตำหนิแต่ไม่ได้ถูกฆ่าจากคนอื่น”
ชูเฮงยิ้มออกมาอีกครั้ง เขาดูอารมณ์ดีขึ้นมาในทันทีขณะที่ตอบคำถามกลับอย่างมีความสุข
“เจ้าสบายใจได้ เมื่อศิษย์ในนิกายเดียวกันได้ทำการประลองฝีมือกัน
พวกเขาสามารถเอาจริงเอาจังกับการประลองจนได้รับบาดเจ็บสาหัสได้แต่ก็ไม่สามารถเอาชีวิตของอีกฝ่ายได้
เจ้าสามารถสอบถามศิษย์พี่ตูเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้เช่นเดียวกัน”
ตูเชี่ยนในขณะนี้ไม่สามารถทำสิ่งใดๆเพื่อเป็นการสนับสนุนหยางเฉินได้
เขาทำได้เพียงพยักหน้าของเขาแล้วกล่าวออกมาว่า
“เมื่อเจ้าได้ท้าประลองกับเขา จงแจ้งให้ข้าทราบ
ข้าจะแนะนำเจ้าถึงวิธีการต่อสู้
ซึ่งอย่างน้อยข้านั้นก็สามารถที่จะช่วยชีวิตของเจ้าได้
ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดที่จะต้องกังวลอีกเกี่ยวกับเรื่องนี้”
“ขอบคุณมาก...ศิษย์พี่ตู!”
หยางเฉินสามารถแยกแยะระหว่างความดีและความชั่วออกจากกันได้อย่างชัดเจน
หลังจากที่แสดงความขอบคุณต่อตูเชี่ยนแล้ว เขาหันกลับไปยังชูเฮงและเอ่ยถามคำถามอีกครั้ง
“กลายเป็นข้ารับใช้สิบปี หากเริ่มต้นตั้งแต่ตอนนี้
ในช่วงเวลาสิบปีนั้น ข้าสามารถท้าทายศิษย์พี่ซุนไห่จิ้งเมื่อใดก็ได้ใช่หรือไม่
และถ้าหากว่าข้าสามารถเอาชนะเขาได้ ข้าจะสามารถบ่มเพาะพลังได้อย่างแท้จริง
ข้าเข้าใจถูกต้องหรือไม่อาจารย์อาชู?”
ขณะที่กล่าวออกมานั้น หยางเฉินคิดที่จะท้าประลองกับศิษย์พี่ซุนซึ่งก็คือซุนไห่จิ้ง
พร้อมกับทวนย้ำข้อกำหนดของการประลองจากชูเฮงและอาจารย์อาตูเชี่ยนอีกครั้ง ด้วยที่ว่ามันเป็นคำกล่าวที่ชูเฮงนั้นได้เคยกล่าวออกมาแล้วในก่อนหน้านี้
เมื่อได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการ ตัวเขาจึงไม่จำเป็นต้องกล่าวสิ่งใดอีก
กระทำเพียงแค่พยักหน้าเพื่อรับทราบในข้อกำหนดดังกล่าว
“เมื่อใดที่ข้าท้าประลองกับศิษย์พี่ซุน นี่จะถือเป็น
การประลองระหว่างพวกเรา
ผู้อื่นไม่สามารถที่จะเข้ามาแทรกแซงได้และผู้อื่นไม่สามารถเปลี่ยนตัวเพื่อเข้ามาต่อสู้แทนได้
หากผู้ใดได้รับบาดเจ็บ ซึ่งจะถือว่าข้อผิดพลาดนั้นย่อมเกิดจากตนเอง ที่อ่อนด้อยไร้ความสามารถ
นอกจากนี้ยังเป็นไปได้สูงที่อาจจะบาดเจ็บสาหัส
แต่ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจที่จะฆ่าคู่ประลองทิ้งได้ ใช่หรือไม่อาจารย์อาชูเฮง?”
หยางเฉินนั้นขอทบทวนอีกครั้งหนึ่งถึงสิ่งที่ชูเฮงได้กล่าวมาเมื่อเร็วๆนี้
เพื่อให้ครบถ้วนและไม่ขาดตกคำกล่าวใดได้ หลังจากนั้นชูเฮงพยักหน้ารับ
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าเห็นด้วยกับบทลงโทษของอาจารย์อาชู”
หยางเฉินทำความเคารพต่อชูเฮงและตูเชี่ยน หลังจากนั้นเขาเดินไปที่ซุนไห่จิ้ง
“ศิษย์พี่ซุนข้าศิษย์น้องหยางเฉิน ข้าขอท้าประลองกับเจ้า!
ได้โปรดชี้แนะ!”
ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าหยางเฉินนั้นจะเดินไปที่ซุนไห่จิ้งเพื่อท้าประลอง? หลังจากที่ได้ยินสิ่งที่หยางเฉินนั้นกล่าวออกมาทุกคนต่างจ้องมองไปที่เขา
ดวงตาและปากของพวกเขานั้นต่างเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เห็นและได้ยิน
คนธรรมดาสามัญกล้าท้าประลองกับผู้บ่มเพาะระดับรวบรวมลมปรานขั้นปลาย ถ้าไม่เสียสติคนผู้นั้นก็ต้องโง่อย่างที่สุด
ซึ่งหยางเฉินนั้นก็ค่อนข้างสามัญและตัวเขาเองก็ไม่ได้เสียสติหรือโง่เขลา
ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าเขาจะทำเช่นนี้?
ชูเฮงและตูเชี่ยนต่างคิดเห็นต่างกัน ทั้งคู่ลอบพยักหน้าให้กัน เมื่อหยางเฉินขอท้าประลองในทันที
ถึงแม้จะดูเหมือนว่าการท้าประลองของหยางเฉินนั้นจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
เเต่ในเวลานี้เขานั้นกลับได้เปรียบอย่างมหาศาล
เนื่องจากหากปล่อยเวลาล่วงเลยไปในภายภาคหน้าซุนไห่จิ้งจะมีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง
แต่หยางเฉินกลับไม่สามารถฝึกบ่มเพาะพลังทำให้ไม่มีความก้าวหน้าใดๆ
ดังนั้นโอกาสแห่งชัยชนะคงยากยิ่งนักและโอกาสชนะคงจะมีแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ถึงแม้ว่าจะพยักหน้า ชูเฮงกลับคิดว่า
การท้าประลองของหยางเฉินนั้นเป็นอะไรที่เกินความสามารถ ซึ่งเขาก็ไม่ควรที่จะต้องใส่ใจ
เมื่อหันไปพบกับสายตาของซุนไห่จิ้ง เขาก็พยักหน้ารับเล็กน้อย
เพื่อให้ตอบรับกับการท้าประลองและไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา
ซุนไห่จิ้งรถูกกระตุ้นและรู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดที่สามารถทำให้เขาต้องกังวลจากการท้าทายของหยางเฉิน
อาจารย์ของเขาได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนเมื่อซักครู่แล้ว
อีกทั้งหยางเฉินเองก็ได้ทวนคำถามซ้ำแล้วซ้ำอีก การประลองครั้งนี้หยางเฉินไม่ต้องรับผิดชอบต่อการบาดเจ็บใดๆ
ไม่ว่าจะเป็น กระดูกแตกร้าว หรือ ซี่โครงหัก ซึ่งอาจจะถือได้ว่าเป็นการสบประมาทอาจารย์ของเขาหากเขาตอบรับโดยไม่ผ่านอาจารย์
ทันทีพวกเขาทำการยืดเส้นยืดสายด้วยการหมุนแขนและขาไปมา ซุนไห่จิ้งบิดคอตนเองจนเกิดเสียงกระดูกลั่นไปจนทั่วบริเวณ
อย่างไรก็ตามนี่เป็นขีดจำกัดของเขา การควบคุมข้อต่อของร่างกายนั้นทำได้ง่าย
แต่การเคลื่อนไหวที่แผ่กลิ่นอายความโหดเหี้ยมออกมา ทำให้เหล่าศิษย์ที่อยู่ที่นี่ต่างต้องหันหน้าหนี
พวกเขาไม่ต้องการที่จะมองต่อไป
ทุกคนเดินอย่างไม่เร่งรีบไปยังสถานที่หนึ่งที่ไม่ได้ถูกใช้งาน ซุนไห่จิ้งหยิบยันต์พันชั่งออกมาจากถุงมิติด้วยมือข้างหนึ่ง
และมืออีกอีกข้างผายออกไปที่หยางเฉินเพื่อให้เริ่มการประลอง
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสามัญชนทั่วๆไป ซุนไห่จิ้งมั่นใจมากเป็นสองเท่าในโอกาสที่จะเอาชนะ
ตราบใดที่มียันต์พันชั่งมันจะสร้างความยากลำบากให้กับหยางเฉินเมื่อเขาทำการโจมตี
ในขณะเดียวกันเขาก็จะมีโอกาสสังหารและเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ หากตกอยู่ในสถานการณ์บีบบังคับจนทำให้เขาต้องใช้พลังเวทอย่างมหาศาลมันก็คงทำให้เขาต้องอับอาย
แล้วถ้าหากซุนไห่จิ้งต้องพ่ายแพ้ให้กับชายผู้นี้ ชูเฮงเองก็ต้องเสียหน้ามิใช่น้อย
ในที่สุดหยางเฉินก็ก้าวไปยืนอยู่ตรงด้านหน้าของซุนไห่จิ้ง
เขาตัดสินใจแล้วว่าจะใช้วิธีที่ง่ายที่สุดในการจัดการกับซุนไห่จิ้ง
ในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา วิหารจันทรานั้นมุ่งมั่นที่จะช่วงชิงอำนาจสูงสุดและครอบครองวิหารหยางอัคคี
ในที่สุดก็มีคนของวิหารจันทราถึงกลับยอมขายอาจารย์ของตนให้กับนิกายสวรรค์ยิ่งใหญ่ และจบลงด้วยการฆ่าตัวตายของผู้เป็นอาจารย์
ในชีวิตนี้ วิหารจันทราได้สมคบคิดการใหญ่กับนิกายสวรรค์ยิ่งใหญ่โดยวางแผนต่อสู้กับเขา
ดังนั้นเขาจะไม่ยอมปล่อยซุนไห่จิ้งออกไปง่ายๆ
“ศิษย์พี่โปรดระวัง! ข้าจะเริ่มแล้ว!”
หยางเฉินยังเตือนล่วงหน้าอย่างสุภาพก่อนที่เขาจะเริ่มการประลอง
ซุนไห่จิ้งที่อยู่ด้านหน้าเขานั้นได้เปล่งเสียงหัวเราะออกมา
แล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามว่า
“ศิษย์น้องหยางเฉิน เจ้ามีดีอะไรก็จงแสดงออกมาให้หมด!”
เขาเหยียดหยามหยางเฉินโดยใช้คำเรียกว่า ศิษย์น้อง ดูเหมือนว่าซุนไห่จิ้งตัดสินใจที่จะทำลายหยางเฉินเช่นเดียวกัน
ใบหน้าหยางเฉินดูเคร่งขรึม
ซึ่งเป็นผลพวงจากพลังปรานเยือกแข็งที่ปรากฎจากตัวของหยางเฉิน
คนที่อยู่รอบๆจากด้านหนึ่งจะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่แปลเปลี่ยนไป ซึ่ง ณ ขณะนี้มันดูหนาวเย็นขึ้นมาหลายเท่า
“ผู้ที่มีพรสวรรค์หากได้ฆ่าคนเป็นจำนวนมากจะสามารถสะสมกลิ่นอายแห่งความตายเช่นนี้?”
ชูเฮงผู้ซึ่งไม่ใส่ใจในที่แผ่ออกมาจากตัวของหยางเฉิน เสียงแค่นลมหายใจของเขาที่ออกมาทำให้ตูเชี่ยนที่ยืนอยู่ด้านข้างหันมาสนใจ
ซึ่งมันแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าหยางเฉินจะเป็นคนแบบไหนในตอนท้าย
ทุกคนที่กำลังเฝ้าดูอยู่ในขณะนี้ต่างสัมผัสได้ถึงเจตจำนงแห่งการฆ่าที่ปรากฎอยู่มันช่างรุนแรงและเข้มข้นจนน่าหวาดกลัว
แต่ก็ไม่มีอะไรเพิ่มขึ้นจากกลิ่นอายนั้น ในขณะที่ซุนไห่จิ้งผู้ซึ่งเผชิญหน้ากับกลิ่นอายที่รุนแรง
เขาไม่ได้รู้สึกในแบบเดียวกัน
ในสายตาของซุนไห่จิ้งนั้น
หยางเฉินที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขาในตอนนี้มันไม่ต่างจากทะเลเลือดที่ผุดขึ้นมาจากนรกกำลังจ้องกลืนกินซุนไห่จิ้ง
เจตจำนงแห่งการฆ่านั้นมันถาโถมเข้ามายังจิตวิญญาณของซุนไห่จิ้งอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ซุนไห่จิ้งสั่นสะท้านไปด้วยความหวาดกลัวราวกับจะล่มสลาย
นอกจากนั้นตัวเขาไม่มีความรู้สึกอื่นใดอีก
ซุนไห่จิ้งโยนยันต์พันชั่งที่อยู่ในกำมือของเขาออกไป
แต่มันกลับไม่แสดงผลแม้แต่น้อย ยันต์ดูเหมือนว่าจะปะทะหยางเฉิน แต่ในช่วงท้าย
เขาเพียงแค่โน้มตัวหลบไปด้านหนึ่งและหลบหนีมันในทันที จากนั้นหยางเฉินได้พุ่งทะยานเข้าหาซุนไห่จิ้งที่กำลังยืนนิ่งอยู่ในที่เดิมพร้อมกับปล่อยหมัดของเขาออกไปอย่างไร้ความปราณี
ปัง!!
หลังจากสะสมพลังงานไว้ที่กำปั้นเป็นเวลานาน มันปะทะเข้าไปที่จมูกของซุนไห่จิ้งอย่างหนักหน่วง
ถึงแม้ว่าพลังการบ่มเพาะของซุนไห่จิ้งนั้นจะลึกซึ้งซักเพียงใด แต่เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่เขานั้นไม่สามารถใช้พลังเวทได้เช่นนี้
ด้วยความแข็งแกร่งทางกายภาพแล้วคงยากที่จะต้านทานพลังหมัดนี้ได้
ฉับพลันจมูกของมันเริ่มมีโลหิตสีแดงไหลออกมาและขณะเดียวกันความมืดได้ปิดบังการมองเห็นของเขา
หยางเฉินไม่รอให้ซุนไห่จิ้งนั้นได้ฟื้นตัวต่อความเจ็บปวด
อีกมือหนึ่งของหยางเฉินรีบคว้าจับยันต์พันชั่งดึงแยกออกจากมือของซุนไห่จิ้ง
จากนั้้นเขาได้เคลื่อนย้ายร่างกายตนเองอย่างรวดเร็วไปที่ด้านหลังของซุนไห่จิ้ง จากนั้นหยางเฉินเอนไหล่ของเขาไปใกล้ข้อศอกของซุนไห่จิ้ง
ก่อนที่จะผลักข้อศอกไปในทิศทางที่ย้อนกลับ พร้อมกับใส่แรงเข้าไป ข้อต่อถูกบิดอย่างรุนแรง
กร๊อบ!!!
เสียงอันน่าตกใจดังก้องสะท้อนในห้องโถง มือของซุนไห่จิ้งห้อยงองุ้มต่ำลงมาอยู่ที่ด้านข้างซึ่งขณะนี้ดูเหมือนว่ามันจะไม่สามารถขยับเขยื้อนได้อีกต่อไป
เสียงกรีดร้องอย่างน่าตกใจดังออกมาจากปากซุนไห่จิ้งในทันทีที่ได้เห็นโลหิตไหลออกมา
ความเจ็บปวดนั้นมันช่างสุดแสนสาหัสและรุนแรง จนตัวเขานั้นแทบจะสิ้นสติ
ขณะที่หยางเฉินเองยังไม่ยอมปล่อยให้เขาไปไหน ในทันทีร่างกายของหยางเฉินโน้มตัวไปยังอีกด้านหนึ่งของซุนไห่จิ้ง
มืออีกข้างหนึ่งนั้นเป็นเป้าหมายที่สอง หยางเฉินถอยเท้ากลับไปก่อนที่จะดึงตัวซุนไห่จิ้งให้ล้มคว่ำลงไปกองกับพื้นโดยที่ซุนไห่จิ้งไม่รู้ตัว
เมื่อตัวเขาล้มลง เขาพยายามใช้มืออีกข้างที่เหลือเพื่อค้ำยันตนเองไว้
แต่เขากลับต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดราวกับหมูที่กำลังถูกเชือดในทันที
หยางเฉินได้มีโอกาสเหวี่ยงตัวข้ามร่างกายของซุนไห่จิ้ง กดหัวเข่าลงไปบนไหล่ของซุนไห่จิ้งพร้อมกับกระชากมือที่เหลืออยู่ของเขาอย่างรุนแรง
กร๊อบ!!!
แขนที่เคยค้ำยันร่างกายในตอนนี้บิดเบี้ยวกลับมาด้านหลังอย่างประหลาด คนที่ดูอยู่ต่างรู้สึกว่าแขนที่บิดงอนั้นราวกับไร้ข้อต่อ
ในขณะที่สองมือของเขานั้นถูกบิดและหักโดยหยางเฉิน ซุนไห่จิ้งพยายามเก็บเสียงที่อยากจะกรีดร้องออกมา
หมัดที่ทรงพลังของหยางเฉินได้ต่อยเข้าไปที่ซุนไห่จิ้งอย่างไม่หยุดยั้ง
กร๊อบ!!! กร๊อบ!!!
เสียงสะท้อนดังกังวานดูเหมือนจะไม่ลดละ ในขณะที่เสียงกรีดร้องของซุนไห่จิ้งค่อยๆเบาลงและเหมือนเสียงแห่งการดิ้นรนก็อ่อนแรงลงเช่นกัน
ซูเฮงตื่นตระหนกกับภาพเหตุการณ์และดูเหมือนมีเพียงเขาผู้เดียวในขณะนี้ที่กำลังจะยื่นมือเข้าช่วย
แต่ก่อนที่เขาจะเริ่มเคลื่อนไหวนั้นได้มีมือหนึ่งปรากฎขึ้นเพื่อหยุดเขาไว้
ตูเชี่ยนยิ้มพร้อมกล่าวว่า
“ศิษย์น้องชู
ในระหว่างการประลองของคนทั้งสองผู้อื่นนั้นไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้”
“ดูสิ ศิษย์ของข้าได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถพยุงร่างกายตนเองเอาไว้ได้แล้ว!”
ชูเฮงขณะนี้อยู่ภายใต้สถานการณ์ที่เร่งด่วน
แต่เขานั้นกลับไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือศิษย์ได้ทำได้แค่เพียงตะโกนร้องออกมา
ศิษย์คนอื่นๆที่กำลังเฝ้าดูนั้น ขณะนี้พวกเขาต่างผุดลุกขึ้น
“ผู้ที่บาดเจ็บในการต่อสู้ โดยทั่วไปแล้ว
คนผู้นั้นคือผู้ที่ขาดความเชี่ยวชาญในทักษะ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถที่จะตำหนิ การที่ต้องบาดเจ็บสาหัสในการต่อสู้นั้นถือเป็นเรื่องปกติที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
นั้นเป็นถ้อยคำที่ศิษย์น้องชูได้เคยกล่าวไว้”
การแสดงออกทางสีหน้าของตูเชี่ยนยังคงเหมือนเช่นเคยดังก่อนหน้านี้
ใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มได้หยุดชูเฮงไว้ไม่ให้เข้าไปแทรกแซง พร้อมกับอธิบายด้านหนึ่งและอีกด้านหนึ่งใช้จิตวิญญาณทำการตรวจสอบสถานการณ์ที่เหนือความคาดหมายนั้น
ก่อนที่จะกล่าวออกมาอย่างมั่นใจว่า
“มั่นใจได้ศิษย์น้องชู ข้ารับรองว่าชีวิตศิษย์ของเจ้านั้นไม่ได้ตกอยู่ในอันตราย”
ในขณะที่ตูเชี่ยนกำลังกล่าวอยู่นั้น หยางเฉินได้ยุติการชก โลหิตกระจายเปรอะเปื้อนอยู่ทั่วใบหน้าของซุนไห่จิ้ง
ซึ่งในขณะนี้หมดสติไปแล้ว แขนทั้งสองของข้างของเขาไม่สามารถใช้งานได้
แขนข้างหนึ่งโค้งงอไปด้านหลังตั้งแต่ข้อศอกลงไป และอีกข้างนั้นแตกละเอียด
เหลือเพียงส่วนหัวของซุนไห่จิ้งเท่านั้นที่ยังอยู่สมบูรณ์ดี กระดูกบางส่วนนั้นได้หักทิ่มแทงเข้าไปยังร่างกายของมัน
แต่เขาก็ยังคงมีลมหายใจและที่สำคัญเขานั้นยังมีชีวิตอยู่
ขณะนี้หยางเฉินได้เผชิญหน้ากับชูเฮงผู้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นไอแห่งความโกธรเกรี้ยวอย่างสงบ
หยางเฉินยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยในขณะที่ก้มคำนับ
“อาจารย์อาชู
การท้าประลองของศิษย์ในครั้งนี้ได้จบสิ้นลงแล้ว ผลคือศิษย์พี่ซุนไห่จิ้งนั้นได้พ่ายแพ้ให้แก่ข้า
ถ้าเช่นนั้นถ้อยคำที่ท่านได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้นั้นยังคงเป็นเช่นเดิมใช่หรือไม่?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น