"เพชฌฆาตผู้ซึ่งทำการฆ่าจะถูกลงโทษจากสวรรค์?" หยางเฉินมองย้อนกลับไปที่ผู้ที่พูดประโยคจำพวกนี้
ในขณะเดียวกันนั้นก็รู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจอย่างมาก
หยางเฉินได้เพ่งความสนใจไปที่เขา เขามีนามว่า ซุนไห่จิ้ง ผู้ซึ่งเป็นศิษย์ของพระราชวังหยางบริสุทธิ์
ในส่วนของวิหารรัศมีจันทรา ในชีวิตก่อนหน้าวิหารรัศมีจันทราและวิหารหยางอัคคีที่หยางเฉินสังกัดอยู่
ได้ถูกลอบทำลายโดยใครสักคน อาจารย์ของหยางเฉินเป็นผู้นำของวิหารหยางอัคคี
หยางเฉินมีรากจิตวิญญาณธาตุไฟ ถ้าเขาได้เข้าร่วมกันพระราชวังหยางบริสุทธิ์
และถ้าไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติใดๆ เขาจะได้เข้าร่วมกับวิหารหยางอัคคีอย่างแน่นอน
แต่จู่ๆซุนไห่จิ้งก็ปรากฎ และกล่าวโทษเขา โดยไม่มีสาเหตุ และอีกครั้งตามสันดานดิบ
แต่หยางเฉินรู้สึกฉงนว่าเมื่อใดกันที่เขากลายเป็นที่รู้จักดี? แม้แต่ในพระราชวังหยางบริสุทธิ์แห่งนี้
ซึ่งถือว่าเป็นอันดับที่สามของนิกายในเรื่องของการบ่มเพาะ ใครบางคนที่ไม่คาดคิดรู้จักชื่ออันโด่งดังและสถานะของเขา
“การฆ่าก็คือการฆ่า
ไม่ต้องมาบอกข้าว่ามันขึ้นอยู่กับที่สถานะที่แตกต่างกันหรือไม่?” ซุนไห่จิ้งมองไปที่ใบหน้าเมินเฉยของหยางเฉินและเค่นเสียงดังออกมา “มันมีอะไรมากไปกว่านั้น การที่เจ้าได้ฆ่าคนไปเป็นจำนวนมาก
ดังนั้นพระราชวังหยางบริสุทธิ์จะไม่ยอมรับปีศาจเช่นนี้”
“ข้าจำได้ว่าพระราชวังหยางบริสุทธิ์นี้ มีกฎห้ามศิษย์ร่วมนิกายทำร้ายกัน
มิฉะนั้นแล้วพวกเขาจะได้รับการลงโทษสถานหนัก” หยางเฉินตอกกลับซุนไห่จิ้งอย่างไม่แยแส
เขาเผยรอยยิ้มออกมาในขณะที่กล่าว “มันดูเหมือนว่าเหล่าศิษย์ของวิหารพิทักษ์กฎมักจะเข้าไปแทรกแซงเรื่องของศิษย์อื่นๆในนิกายเสมอ
ตามกฎของนิกาย พวกเขาสมควรจะได้รับการลงโทษสถานหนักหรือไม่?”
“ไร้สาระสิ้นดี!” ซุนไห่จิ้งกล่าวออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว
“ศิษย์ของวิหารพิทักษ์กฎเพียงทำตามคำสั่งของนิกายที่จะทำการลงโทษศิษย์
แบบนั้นจะถือว่าเป็นการทำร้ายกันได้อย่างไร? เจ้ามันเป็น...เพชฌ...ฆาต...” เมื่อใกล้จบประโยคซุนไห่จิ้งเริ่มรู้สึกถึงความขัดแย้งในคำพูดของเขา
‘เพชฌฆาต’ เมื่อกล่าวถึงสามพยางค์นี้เสียงของเขาเปลี่ยนเป็นเบามากๆจนถึงจุดที่ไม่สามารถที่จะได้ยินมัน
“ข้าเป็นเพชฌฆาต สันดานดิบของข้าเป็นปีศาจที่ชั่วร้าย
มันเป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับข้าที่จะเดินไปหาคนที่อยู่กลางถนนและตัดหัวมัน
โหดเหี้ยมเลวทราม แบบนี้ใช่หรือไม่?” หยางเฉินส่งรอยยิ้มบางๆให้ซุนไห่จิ้งขณะที่กล่าวโต้แย้ง
หลังจากที่กล่าวจบรอยยิ้มบางๆกลายเป็นรอยยิ้มที่เปิดกว้าง ก่อนที่เขาจะถามต่อออกไปด้วยโวหาร
“ศิษย์พี่...ท่านรู้หรือไม่อะไรคือหน้าที่
และลานประหารมันมีไว้ใช้ทำอะไร?”
เพชฌฆาตเป็นผู้ที่ถูกเลือกโดยศาลแห่งองค์จักรพรรดิ เพื่อให้ดำเนินการประหารชีวิต
ในตอนนี้แม้บ้านเมืองจะสงบลงไปมาก แต่การประหารชีวิตยังคงดำเนินต่อไปโดยผู้ที่ได้รับมอบหมาย
กระทั่งวิหารพิทักษ์กฎของพระราชวังหยางบริสุทธิ์ก็ไม่ต่างกันที่ต้องมีเพชฌฆาตเพื่อดำรงความยุติธรรรม
ซุนไห่จิ้งต้องการสร้างความยากลำบากให้หยางเฉิน ด้วยการกล่าวอ้างถึงสิ่งที่เป็นปัญหา
“เจ้าได้ฆ่ามากเกินไป
ในท้ายสุดเจ้าได้รบกวนความสงบสุขของสวรรค์!” ซุนไห่จิ้งไม่ต้องการจะพูดคุยกับหยางเฉินในเรื่องนี้อีกต่อไป
การพูดถึงความจริงเพื่อโต้แย้ง มันเป็นเรื่องที่เปล่าประโยชน์
เขาได้แต่หาหนทางอื่น สำหรับผู้ฆ่ามันมีเรื่องในแง่มุมอื่นๆอีกมากที่จะสามารถหาและนำออกมาพูดได้
“สำหรับศิษย์ ผู้ที่มีความผิดหลายกระทง ศิษย์วิหารพิทักษ์กฎจะใช้ความพยายามอย่างหนักเพื่อนำพวกเขาออกมารับโทษในสิ่งที่พวกเขาได้กระทำไป
การกระทำเช่นนี้สามารถจะนับได้ว่าเป็นการทำร้ายศิษย์ร่วมนิกายและเป็นการรบกวนความสงบสุขของสวรรค์ได้หรือไม่?
หยางเฉินยังคงใช้ศิษย์วิหารพิทักษ์กฎในการตอบโต้เหมือนก่อนหน้านี้
แม้ว่าซุนไห่จิ้งจะเป็นกระทิงดุที่ได้รับการสนับสนุนจากขุนเขา
เขาก็ยังคงไม่สามารถพูดเพื่อปกป้องวิหารพิทักษ์กฎ เพื่อให้ปฏิเสธวิธีการหรือดูหมิ่นหน้าที่ของพวกเขา
มากไปกว่านั้นหยางเฉินยังคงยึดมั่นอยู่ในจุดที่ว่าหน้าที่เพชฌฆาตของเขาไม่ต่างกับการปฏิบัติหน้าที่ของวิหารพิทักษ์กฎ
“ไม่ว่าจะเป็นศิษย์หรือไม่
หากกระทำผิดทั้งหมดล้วนอยู่ในความดูแลของผู้นำนิกายและผู้อาวุโสของวิหารพิทักษ์กฎ
ไม่ใช่สิ...” ทันทีที่หลุดคำพูดเหล่านี้ออกมา
เขาก็ได้พบข้อผิดพลาดอีกครั้งในทันที
ดังนั้นเขาจึงหุบปากของเขาเพื่อที่จะไม่กล่าวถึงคำที่ไม่ถูกต้องต่อไป
“นักโทษจะถูกตัดหัวหรือไม่
มันเป็นการวินิจฉัยโดยผู้มีอำนาจ
หรือว่าศิษย์พี่เชื่อว่าเพชฌฆาตตัวเล็กๆอย่างข้าสามารถทำหน้าที่นั้นได้?” หยางเฉินมองไปที่ซุนไห่จิ้งด้วยสีหน้าที่เย้ยหยันในความโง่เขลาของเขา
เวลานี้คำกล่าวของซุนไห่จิ้ง ที่จะช่วยผู้ดูแลพระราชวังและผู้อาวุโสของวิหารพิทักษ์กฎ
ทำให้เขาตกอยู่ในสถาณการณ์ที่ยากลำบาก ไม่ต้องรอให้เขาได้กล่าวอะไร หยางเฉินพูดออกมาด้วยเสียงดัง
“ตราบใดที่ใครก็ตามมีพรสวรรค์ในการฆ่า เขาผู้นั้นไม่อาจเข้าร่วมหรือบ่มเพาะความเป็นอมตะใช่หรือไม่?
ข้าไม่รู้ว่าถ้าศิษย์พี่มีพรสวรรค์ในการฆ่าหรือไม่
แต่ข้ารู้ว่าผู้นำของพระราชวังหยางมีพรสวรรค์ในเรื่องนี้ หรือศิษย์พี่คิดว่าผู้นำนิกายไม่เหมาะสมที่จะเข้าร่วมนิกาย?”
การดูหมิ่นนี้ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ หลังจากที่มีความเห็นต่อคุณธรรมและอธรรมของผู้นำนิกาย
ซุนไห่จิ้งได้แต่ตกตะลึงอย่างหนัก เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดเช่นนั้น “ดูหมิ่นผู้นำนิกาย...พระราชวังหยางบริสุทธิ์ไม่ต้องการศิษย์ที่มีความคิดเช่นนี้”
ในที่สุดซุนไห่จิ้งก็พยายามที่จะโต้แย้ง เขารีบกล่าวชี้แจงออกไปด้วยเสียงอันดัง
คนอื่นๆไม่สามารถกล่าวสิ่งใดออกมา ซุนไห่จิ้งกำลังถูกละเลยจากทุกคนที่อยู่ในบริเวณนี้
มากไปกว่านั้นมันดูเหมือนว่าเขาไม่สามารถหาโอกาสเพื่อที่พูดอธิบายในเรื่องนี้ได้
ที่ด้านข้างมีผู้ดูแลการทดสอบรากจิตวิญญาณของศิษย์ค่อนข้างรู้สึกไม่พอใจ
เขาขมวดคิ้วและกล่าวด้วยเสียงอันดัง “ซุนไห่จิ้ง
การจะรับเขาหรือไม่รับเขา มันเป็นการตัดสินใจของเจ้าเพียงลำพังเช่นนั้น? มากไปกว่านั้นเรายังไม่ได้ยินคำดูหมิ่นผู้นำนิกายใดๆ ในคำพูดของเขา”
ซุนไห่จิ้งไม่กล้าที่จะพูดหยาบคายกับศิษย์พี่ของเขา เขาทำได้เพียงแค่หันไปเพื่อที่จะอธิบายกับศิษย์พี่ด้วยรอยยิ้ม
“ศิษย์พี่...ข้าเพียงแต่เกรงว่าเจ้านี่กำลังเดินไปยังเส้นทางของปีศาจและมันจะทำให้ชื่อเสียงพระราชวังหยางบริสุทธิ์ของข้านั้นแปดเปื้อน
นั่นคือสิ่งที่ข้าพูดออกมาทั้งหมด”
“การเข้าสู่เส้นทางของปีศาจเป็นไปได้ด้วยการบ่มเพาะเท่านั้น
หรือว่าน้องซุนต้องการให้ข้าไล่ผู้บ่มเพาะของนิกายทั้งหมด?” ศิษย์พี่กล่าว
ในขณะที่รู้สึกไม่พอใจในมารยาทของซุนไห่จิ้งอย่างมาก ศิษย์พี่จำนวนมากที่นั่งอยู่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
แต่ซุนไห่จิ้งยังคงพูดและพูด และมากไปกว่านั้นยังแทรกแซงผู้อื่น
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าไม่มีใครในที่นี้เห็นเขาอยู่ในสายตา ดังนั้นเขาจึงยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
“นี่...ศิษย์พี่ ไม่คิดหรือว่าเขาได้ฆ่าคนมากเกินไป?”
ซุนไห่จิ้งกล่าวช้าๆ จากนั้นเขากล่าวอย่างเก้ๆกังๆและยิ้มผืนๆ “ข้ากลัวว่ามันจะเกิดเหตุอันไม่สมควร”
“น้องซุน เนื่องจากเจ้าก็เป็นผู้ฝึกบ่มเพาะ
ทำไมเจ้าจึงใส่ใจมากกับคนธรรรดาเช่นนี้?” ศิษย์พี่เค่นเสียงดังในลักษณะเย้ยหยันออกมา
และมองไปที่ซุนไห่จิ้งพร้อมกับถามว่า “คนธรรมดาผู้นี้
เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเป็นเพชฌฆาต? อย่าบอกข้าว่าการรับรู้ด้วยจิตวิญญาณของเจ้าแข็งแกร่งกว่าเหล่าศิษย์พี่ที่อยู่ที่นี่และสามารถที่จะค้นพบสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถรับรู้ได้
“อา!” ซุนไห่จิ้งตกอยู่ในจุดวิกฤตอีกครั้ง
เห็นได้ชัดว่าถ้าการอธิบายครั้งนี้ไม่ชัดเจน เขาจะได้รับการโกรธเคืองจากเหล่าผู้ศิษย์พี่ที่อยู่ในที่นี่อย่างแน่นอน
เขาทำได้เพียงแต่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะลดเสียงขณะที่กล่าวออกไปพร้อมด้วยรอยยิ้มว่า
“ข่าวนี้ได้ถูกแจ้งมาจากอาจารย์อาหลี่แห่งนิกายสวรรค์ยิ่งใหญ่ขอร้องเราว่ามันจะเป็นการดีกว่าที่จะไม่รับเพชฌฆาตผู้นี้!”
“เห็นได้ชัดว่าในสายตาของศิษย์พี่ซุน
การจะรับศิษย์ของพระราชวังหยางบริสุทธิ์หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของอาจารย์อาหลี่แห่งนิกายสวรรค์ยิ่งใหญ่!”
เห็นการชะงักของซุนไห่จิ้ง
หยางเฉินเริ่มกล่าวและยิ้มอย่างสุภาพในทันที “ได้โปรดอนุญาตให้ข้าได้ซักถาม...อาจารย์อาหลี่นิกายสวรรค์ยิ่งใหญ่ผู้นี้เป็นผู้นำของนิกายพระราชวังหยางบริสุทธิ์ใช่หรือไม่?
หรือว่าเขาเป็นบรรพบุรุษของผู้บ่มเพาะอาวุโส? คำพูดของเขาเพียงคำเดียวสามารถทำให้พระราชวังหยางบริสุทธิ์ต้องทำตามเหมือนเป็นพระดำรัสของจักรพรรดิ?”
ประโยคนี้ของหยางเฉินได้ตีเข้าไปที่จุดอ่อนของซุนไห่จิ้งตรงๆ
แม้ว่าในชีวิตก่อนหน้าของหยางเฉินได้มีความขัดแย้งกับหยางซีตั้งแต่เริ่มต้นและหลายคนในพระราชวังหยางบริสุทธิ์ไม่พอใจกับการบงการของนิกายสวรรค์ยิ่งใหญ่
ประโยคนี้ได้จี้ใจดำของศิษย์ทั้งหมดให้ยืนกรานที่จะต่อสู้กับการบงการของนิกายสวรรค์ยิ่งใหญ่
“เจ้าคือหยางเฉิน?” ศิษย์ผู้ซึ่งได้ตอกหน้าซุนไห่จิ้งในก่อนหน้านี้
ได้มองไปหยางเฉิน "จากการที่เจ้ามีรากจิตวิญญาณธาตุไฟ พระราชวังหยางบริสุทธิ์ของข้าก็จะยอมรับเจ้าเป็นศิษย์ในทันที
“ช้าก่อน!” ขณะที่หยางเฉินรู้สึกยินดี
เสียงหัวใจของเขาเต้นรัว
พลันมีเสียงร้องดังสะท้อนออกมามันทำให้ผู้คนที่อยู่บริเวณนั้นต่างหันไปยังที่มาของเสียง
หยางเฉินยิ้มให้กับคนที่ส่งเสียง เขาดูเหมือนคนคุ้นเคย
แต่อาจเพราะว่าหยางเฉินได้จากมาเป็นเวลานานมากแล้วจึงได้ลืมไปแล้วว่าเขาคือใคร
ใครก็ตามที่กล้าหยุดเขาจากการเข้าร่วมกับพระราชวังหยางบริสุทธิ์เพื่อเข้าไปเคารพอาจารย์ของเขาคือ
ศัตรูของหยางเฉิน ถึงแม้ว่ามันจะเป็นจักรพรรดิ เขาก็จะไม่สนใจแม้แต่น้อย
แม้ว่าคนตะโกนเรียกตัวเขายังไม่โผล่ออกมาให้เห็น
แต่ทุกคนในฝูงชนต่างได้ยินเสียงนี้
มันเห็นได้ชัดถึงความแตกต่าง แต่ไม่มีใครรู้สึกว่ามันแสบแก้วหู
นอกจากหยางเฉิน คนอื่นๆก็รู้สึกราวกับว่าเสียงอยู่ใกล้ๆ ขณะที่แสดงท่าทางยินดีแต่ไม่พูดอะไร บุคคลที่กำลังจะแสดงตนในเร็วๆนี้
ไม่มีใครรู้ว่าเขามาจากไหน ดังจะเห็นได้ว่าเขาได้ยืนอยู่ที่นี่นานมาแล้วก่อนที่เขาจะขี่เมฆอาคมและค่อยๆร่อนลงมาที่พื้น
ศิษย์ของพระราชวังหยางบริสุทธิ์เกือบทั้งหมดโค้งคำนับเพื่อแสดงความเคารพเขาในฐานะอาจารย์อา
มีเพียงซุนไห่จิ้งที่นับถือเขาในฐานะอาจารย์ ซุนไห่จิ้งพูดเสียงดัง
มันทำให้หยางเฉินจำได้ว่าาเขาคือผู้ดูแลวิหารรัศมีจันทรานามว่า ชูเฮิง
ในปัจจุบันเขาได้รับการบ่มเพาะในระดับก่อสร้างรากฐาน และเป็นศิษย์สายใน
“แต่เดิมเจ้าคือเพชฌฆาตที่ไม่คำนึงถึงเหตุผลใดๆในการฆ่า?”
ชูเฮิงมองไปที่หยางเฉินและถามเขาในทันที
“ใช่” หยางเฉินไม่ได้ปกปิดอะไร
เขากล่าวพร้อมพยักหน้า
“แม้ว่าสิ่งที่ซุนไห่จิ้งกล่าวมาทั้งหมด
มันเป็นเรื่องที่ไม่สมควร
แต่เขาก็เพียงแค่คิดเกี่ยวกับนิกายดังนั้นเจ้าจึงไม่ควรใส่ร้ายเขาในลักษณะนี้”
เมื่อชูเฮิงปรากฏตัวบนเวที ลักษณะท่าทางของเขาสามารถสะกดเหล่าศิษย์ได้ทั้งหมด
ใครกล้าที่จะส่งเสียงขณะที่เขาพูด?
ทุกๆปีผู้ที่รับผิดชอบในการคัดเลือกศิษย์ใหม่ พวกเขาจะมีระดับในการบ่มเพาะที่ขั้นสามของระดับแรกหรือสูงกว่าศิษย์สายนอก
เพื่อกลายเป็นศิษย์สายในพวกเขาจะต้องบ่มเพาะพลังให้เข้าสู่ระดับก่อสร้างรากฐาน
ท่ามกลางเหล่าศิษย์บริเวณรอบๆนี้ ชูเฟิงมีระดับการบ่มเพาะที่สูงที่สุด
ดังนั้นจึงไม่มีใครที่จะกล้าหักล้างคำพูดของเขา แต่เดิมหยางเฉินต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง
แต่เขาบังคับตัวเองให้อดทน รอให้ชูเฮิงแสดงความต้องการบางอย่างออกมาก่อน
หากชูเฮิงกล้าที่จะขัดขวาง ไม่ให้เขาเข้าร่วมพระราชวังหยางบริสุทธิ์ หยางเฉินก็จะไม่เกรงใจเขา
ผู้ซึ่งแต่เดิมไม่แม้แต่ที่จะพิจารณาว่าวิหารหยางอัคคีก็คือนิกายเดียวกันอีกต่อไป
“หลังจากฆ่าผู้คนมากมาย ผู้บ่มเพาะพลังหลายคน
จะถูกปีศาจครอบงำจิตใจ เนื่องจากว่าร่างกายที่ครอบครองรากจิตวิญญาณ
พระราชวังหยางบริสุทธ์ของข้าจะยังรับเจ้าเป็นศิษย์เบื้องต้น” ในไม่ช้าเมื่อชูเฟิงเริ่มพูด เขาก็ทำการยอมรับหยางเฉินให้เข้าร่วมเป็นศิษย์ของพระราชวังหยางบริสุทธ์
หยางเฉินผ่อนคลายและไม่ได้พูดอะไรออกไป
เขาแค่สนใจเกี่ยวกับความง่ายในการเข้าร่วมพระราชวังหยางบริสุทธ์
ไม่ว่าคนอื่นๆจะได้รับเลือกหรือไม่เขาแทบจะไม่ได้สนใจ
ชูเฮิงพูดสิ่งนี้ก็เพื่อที่จะกันให้ซุนไห่จิ้งออกจากสถานการณ์นี้
ดูเหมือนว่าซุนไห่จิ้งได้ทำอะไรบางอย่างลงไปแต่ที่มั่นใจได้เลยก็คือซุนไห่จิ้งต้องแอบแจ้งให้อาจารย์ของเขารับทราบในเรื่องที่เกิดขึ้น
เพียงแค่หยางเฉินได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมนิกาย
หยางเฉินก็ไม่ได้จงใจที่จะทำให้ซุนไห่จิ้งต้องลำบาก
“เพื่อปรับสมดุลสภาวะทางจิตใจของเจ้าและความตั้งใจที่จะกำจัดเจตจำนงแห่งการฆ่า
อีกทั้งเพื่อลดแนวโน้มปีศาจแห่งการฆ่าและเพื่อเข้าร่วมพระราชวังหยางบริสุทธ์ของข้า
ภายในสิบปีนี้เจ้าจะต้องเป็นคนรับใช้และจะไม่ได้รับเคล็ดวิชาการบ่มเพาะใดๆ”
ชูเฮิงสามารถหาข้อแก้ตัวได้อีกครั้ง
และมันดูเหมือนจะเป็นแนวทางที่ถูกต้อง
ยืดเวลาการบ่มเพาะของหยางเฉินเป็นเวลาสิบปีเป็นเรื่องที่ไร้เหตุผล
มันแย่เสียยิ่งกว่าการเป็นหิน
ทันใดนั้นก็เกิดความปั่นป่วนในหมู่เหล่าศิษย์จำนวนมาก
เป็นคนรับใช้ในระยะเวลาสิบปี เขาไม่ได้ทำเพื่อความสนุกของเขา? ดูเหมือนชูเฮิงจะมีความยุติธรรม
แต่ความจริงแล้วเขาเข้าข้างซุนไห่จิ้ง เนื่องจากศิษย์สายนอกนั้นไม่สามารถทำอะไรศิษย์สายใน
ข้อพิพาทอาจทำได้เพียงแค่เป็นทำให้พวกเขาระคายเคือง
และเขาได้สื่อสารด้วยวิธีการพิเศษไปยังอาจารย์ของเขาเพื่อหาข้อยุติข้อพิพาทนี้เพื่อตัวเขาเอง
“เป็นคนรับใช้สิบปี?” หยางเฉินเยาะเย้ยเสียงดัง
เขาเพียงต้องการที่จะตอกหน้าคำพูดของชูเฮิงเมื่อชูเฮิงพูดขึ้นมาอีกครั้ง
"นี่เป็นการดีสำหรับเจ้า เจ้าเองก็คงไม่เข้าใจความปรารถนาดีของผู้คน
ในเมื่อเจ้าได้ฆ่าคนมาจำนวนมาก มันย่อมมีแนวโน้มว่าความชั่วร้ายของเจ้าจะเกิดขึ้นในระหว่างการบ่มเพาะ
และพวกมันจะส่งผลกระทบต่อจิตใจของเจ้า ผลที่ตามมาจะเป็นอะไรที่น่ากลัวเกินไป
ตราบใดที่เจ้ามีสติที่สามารถควบคุมเจตจำนงแห่งการฆ่า และเจ้าพยายามสะสมคุณงามความดีอย่างขยันขันแข็งและปรับสมดุลพลังภายในตัวเองได้
มันก็ไม่มีอะไรที่จะต้องกังวลเกี่ยวกับเวลาที่เหมาะสมในการบ่มเพาะ"
“ศิษย์พี่ซุ่นไห่จิ้งสามารถที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของคนอื่นๆได้รวดเร็วจริงๆ
ข้าเชื่อว่าวิธีของเขาจะใช้เวลาไม่กี่ปีที่ในการควบคุมเจตจำนงแห่งการฆ่า?"
หยางเฉินถามประชด ขณะที่เผยรอยยิ้ม
“เขาไม่ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนของนิกายสวรรค์ยิ่งใหญ่
สิ่งนี้เจ้าน่าจะเข้าใจได้” ขณะที่ตอบคำถามของหยางเฉิน
ชูเฮิงไม่แม้แต่จะแสดงอาการโกรธ และก็ไม่ลดระดับตัวเองลงมาเท่ากับหยางเฉิน
อย่างไรก็ตาม เขาก็รู้ว่าคำพูดของหยางเฉินคือสิ่งที่เหล่าศิษย์สายนอกที่ทำการทดสอบรับศิษย์
ปรารถนาที่จะถามซึ่งเขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
ดังนั้นจึงหันหน้าไปทางพวกเขาเพื่อที่จะให้คำอธิบาย
โดยใช้โอกาสนี้ชี้ไปทางคำพูดของหยางเฉิน " เทพธิดาซือ
ได้แสดงความชื่นชมเจ้าโดยการให้เม็ดยาเสริมร่างกาย นั่นเป็นโชคมหาศาลของเจ้า"
ทันทีที่ชูเฮิงเปิดปากที่จะพูดคุย เหล่าศิษย์ที่อยู่บริเวณนั้นต่างร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ
เสียงที่ส่งออกมามันบอกอะไรมากมาย โดยไม่จำเป็นที่จะต้องพูดอะไรออกมาอีก
เทพธิดาซือเป็นผู้ที่ได้รับความชื่นชมอย่างมากในเหล่าผู้ฝึกบ่มเพาะพลังรุ่นเยาว์
สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้หยางเฉินประหลาดใจ เขาไม่คาดคิดว่าจะได้รับความชื่นชมจากเทพธิดาซือแห่งเกาะมรกตอมตะ
เพียงแค่นี้มันก็เพียงพอที่จะทำให้เขาเป็นที่น่าอิจฉาจากเหล่าผู้ฝึกเยาวชนทั่วๆไป
ด้วยประโยคของชูเฮิงนี้
หยางเฉินเริ่มตระหนักถึงวิธีการที่เขากลายเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดี
สันนิษฐานได้ว่า ซือสานส่านผู้ที่ปกติไม่เคยรู้สึกสนใจอะไรเลยนอกจากตัวเอง
ปรากฎตัวในวันที่ปล้นลานประหารพร้อมด้วยเหล่าผู้เยาว์ที่ชื่นชมเธอมากมาย
ด้วยการแสดงความชื่นชอบของซือสานส่านที่มีต่อหยางเฉินมันทำให้ผู้เยาว์ทั้งหลายรู้สึกไม่ชอบใจ
ตั้งแต่ที่หยางเฉินได้รับยาเสริมร่างกาย มันเป็นโชคดีของเขาที่มีรากจิตวิญญาณ
และเหล่าผู้ฝึกเยาวชนก็ไม่ได้ต้องการที่จะปรากฎต่อหน้าของชายหนุ่มอื่นๆที่ไล่ตามเทพธิดาซือ
ในอนาคตเพื่อส่งข้อมูลเกี่ยวกับหยางเฉินให้กับแต่ละสาขา
แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่สำคัญ
ซุนไห่จิ้งได้รับคำสั่งตามที่คาดคะเนในเวลานั้นโดยศิษย์ของนิกายสวรรค์ยิ่งใหญ่
เพื่อทำให้เขาได้รับความยากลำบาก แต่หยางเฉินทำการตอกหน้ากลับอย่างแรง
มันทำให้เขาหน้าเหวอและสามารถทำได้เพียงเรียกชูเฮิงออกมาเท่านั้น
“ถ้าเจ้าคิดว่าที่เทพธิดาซือดูแลเจ้าแล้วเจ้าจะมีเส้นทางการบ่มเพาะที่เรียบง่าย
เจ้ากำลังเข้าใจผิดอย่างมาก” ชูเฮิง มองไปที่หยางเฉิน
และกล่าวออกมาอย่างตรงไปตรงมา “ข้าจะอธิบายและลำดับภาพให้เจ้าได้เข้าใจว่าการบ่มเพาะมันไม่ได้ง่าย
เจ้าจำเป็นต้องมีความเพียรที่ดีและมีพลังที่แข็งแกร่ง
พร้อมกับพรสวรรค์เพื่อที่จะประสบความสำเร็จ
ในกรณีที่เจ้าไม่สามารถทนสิ่งเหล่านี้ได้ภายในสิบปี เจ้าก็ไม่อาจที่จะตำหนิข้าได้
การที่พระราชวังหยางบริสุทธิ์ของข้าได้รับเจ้าไว้แล้ว
เจ้าจะไม่มีโอกาสที่จะหาที่ปลอดภัยได้จากสาขาอื่นๆ”
หลังจากพูดออกมาทั้งหมด ศิษย์ที่อยู่บริเวณนั้นพลันเงียบลง
ด้วยหยางเฉินเองเป็นเพชฌฆาตและฆ่าโดยไม่คำนึงใดๆ มันถูกเพิ่มไปเข้าไปในเหตุผลที่กล่าวถึง
บางทีหยางเฉินอาจที่จะพอใจในตัวเองเนื่องจากได้รับการชื่นชมจากเทพธิดาซือ
ดังนั้นเขาควรจะปรับสมดุลตัวเองเพื่อให้ได้รับพลังจิตที่แข็งแกร่ง
แม้ว่าหยางเฉินมีรากจิตวิญญาณ แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่มีความสามารถ
สำหรับคนหนึ่งที่มีความสามารถทั่วๆไป และยังไม่แม้แต่จะเป็นศิษย์สายนอก
ใครจะกล้าขัดใจศิษย์สายในระดับก่อสร้างรากฐาน?
“ข้าจะให้โอกาสเจ้า” ในเวลานั้น
ชูเฮิงเริ่มพูดอีกครั้ง"
ภายในสิบปีถ้าเจ้ารู้สึกว่าตัวเองมีความสามารถพอที่จะท้าทายศิษย์ไร้ค่าของข้า
ซุนไห่จิ้ง เจ้าสามารถท้าทายเขา หากเจ้ามีความสามารถที่จะเอาชนะเขาได้
ข้าก็จะขอโทษเจ้า และข้าจะยอมเป็นคนรับใช้ของเจ้าในช่วงเวลาที่เหลือและเจ้าก็สามารถบ่มเพาะพลังโดยตรงได้
เจ้าคิดเห็นเป็นอย่างไร?"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น