เลือกสีพื้นเพื่ออ่านบทความ >>> พื้นขาว พื้นดำ พื้นครีม

วันเสาร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ZX 010 ปล้นลานประหาร





หยางเฉินไม่ทราบว่าทำไมทั้งครอบครัวของตระกูลขุนนางอย่างตระกูลซุน จะต้องถูกประหารชีวิต เท่าที่เขารู้คือบ้านเกิดอย่างเป็นทางการของขุนนางซุนอยู่ที่นี่ มันอาจจะเป็นได้ว่าเขาได้กระทำความผิดบางอย่างในเมืองหลวงและถูกส่งกลับมาที่บ้านเกิด แล้วหลังจากนั้นเพราะเหตุผลที่ไม่รู้ได้ ทั้งตระกูลของเขาถูกตัดสินประหารชีวิตทั้งสามชั่วโคตร

เมื่อหยางเฉินออกจากบ้านหลังเล็กของเขาในยามเช้า หลังจากที่เขาปิดตัวฝึกฝนถึงยี่สิบชั่วโมง เจตจำนงแห่งการฆ่าที่แผ่ออกมาภายนอกตัวของเขามันยังมีอยู่แต่เจือจางไปมากแล้ว ในทางปฏิบัติมันไม่อาจสังเกตได้ เจตจำนงแห่งการฆ่ามันมีอัตราการดูดซึมมากกว่าสองเท่าเมื่ออยู่ที่ระดับสองของเคล็ดวิชาลับสามขั้นแห่งการรู้แจ้งและตามเวลาที่เขากำหนดไว้ ลักษณะของหยางเฉินดูเหมือนเพชฌฆาตที่ได้ประหารคนเป็นจำนวนที่มากกว่าเพชฌฆาตทั่วๆไปที่ได้ทำการประหารไป แม้ว่าเขาจะยังคงมีเจตจำนงแห่งการฆ่าบางส่วนแผ่ออกมาแต่กลิ่นอายของมันไม่ได้อยู่ในระดับที่เรียกได้ว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามกับสวรรค์

วิกฤตครั้งแรกหลังจากที่ออกมาจากแท่นประหารเซียนในที่สุดก็คลี่คลาย หยางเฉินอาศัยความได้เปรียบจากการแข่งขันกับเวลา เขาสามารถนำพาตัวเขากลับคืนสู่สถานะมนุษย์ปกติธรรมดาได้ก่อนที่เหล่าพวกผู้ฝึกบ่มเพาะพลังที่เคร่งในกฏระเบียบจะมาถึง เพราะเขาได้รับฝึกฝนการบ่มเพาะพลังเคล็ดวิชาลับสามขั้นแห่งการรู้แจ้งเพื่อทำการดูดซับเจตจำนงแห่งการฆ่าและเปลี่ยนมันเป็นจิตวิญญาณของเขาโดยไม่ได้มีร่องรอยของการใช้พลังเวท แม้ว่าผู้ฝึกระดับก่อลำต้น มาเองก็คงไม่อาจค้นพบเห็นสิ่งผิดปกติอะไรบนตัวของหยางเฉิน

ทันทีที่เขาเดินเข้าไปใกล้พื้นที่ดำเนินการ หยางเฉินเห็นใบหน้าอันคุ้นเคย หยางเฉินเคยเห็นนักบ่มเพาะพลังอัจฉริยะหลายครั้งในชีวิตของเขาก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้อัจฉริยะที่ไม่ซ้ำกับใครดูเหมือนกระต่ายสาวน้อยขี้ตกใจขดตัวในฝูงชน ดวงตาของเธอราวกับหลงฝูงมา กลิ่นอายที่อยู่รอบๆตัวเธอแสดงถึงความสิ้นหวัง

ซุนชิงเสีย เป็นศิษย์สายตรงของนิกายฟ้าคราม ในชีวิตก่อนหน้าของหยางเฉิน เธอมีความสามารถที่โดดเด่นท่ามกลางเหล่าเยาวชนรุ่นใหม่ โดยสามารถจับคู่ได้อย่างเท่าเทียมกันกับศิษย์อัจฉริยะของนิกายที่ดีอื่นๆ ก่อนหน้านี้เธอมีลักษณะที่น่าเคารพยำเกรงในสายตาของหยางเฉิน แต่ในตอนนี้ดูเธอเหมือนทำอะไรไม่ถูกและไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้เมื่อเธอมองไปที่หยางเฉิน

ท่ามกลางความประหลาดใจของฝูงชน หยางเฉินเดินไปยืนอยู่ที่ด้านหน้าของเด็กสาวซุนชิงเสีย ตอนนี้ซุนชิงเสียมีอายุมากสุดสิบปี เมื่อสาวน้อยเห็นหยางเฉินเดินเข้ามามันยิ่งทำให้เธอหวาดกลัวมากขึ้น หัวเล็กๆของเธอพยายามที่จะซุกเข้าไปทางด้านหลังญาติของเธอ แต่เนื่องจากเธอถูกล่ามโซ่เอาไว้ เธอจึงไม่สามารถที่จะเคลื่อนที่ได้มากนัก

แม้ว่าเจตจำนงแห่งการฆ่าของหยางเฉินถูกดูดกลืนไปเกือบทั้งหมด แต่บางส่วนที่ยังคงหลงเหลืออยู่ซึ่งมันก็มากเกินพอที่จะข่มขวัญให้คนธรรมดาผวาได้ ตอนนี้หยางเฉินยืนอยู่ด้านหน้าของ ซุนชิงเสีย ไม่เพียงแค่เธอแต่ผู้ใหญ่หลายคนที่อยู่ถัดจากเธอก็ยังกลัวราวกับวิญญาณจะหลุดออกจากร่างไปเมื่อต้องเผชิญกับเจตจำนงแห่งการฆ่าของเพชฌฆาตที่แผ่ออกมา

"ไม่ต้องกลัวสาวน้อย!" หยางเฉินยืนอยู่ที่นั่นทิ้งระยะห่างพอประมาณ เขาเผยรอยยิ้มให้กับ ซุนชิงเสีย "ไม่ต้องกังวล...ตระกูลของเจ้าจะไม่เป็นไร"

บนบริเวณลานประหารพร้อมด้วยเพชฌฆาตที่ร่างกายท่อนบนเปลือย หัวมัดด้วยผ้าสีแดง มือข้างหนึ่งยกใบมีดของเพชฌฆาตแผ่เจตจำนงแห่งการฆ่าที่เยือกเย็นออกมา ในตอนนี้จู่ๆ ก็พูดอย่างเป็นมิตรกับนักโทษที่รอการประหาร นี่เป็นเรื่องที่น่าตกใจยิ่งกว่า ขอทานที่อยู่ๆก็มีเงินมากมายนับหมื่น และผู้ถูกจับกุมทั้งหมดของตระกูลซุนต่างแสดงอาการตกใจเมื่อได้ยิน

"พี่ใหญ่ ท่านพูดจริงๆ!?" เด็กสาวซุนชิงเสีย แสดงออกถึงความประหลาดใจอย่างรื่นรมย์ "จริงๆหรือที่พวกเราจะไม่เป็นไร?"

ผู้ใหญ่คนอื่นๆ ในตระกูลซุนไม่สามารถปิดหูปิดตาของพวกเขา มันแน่นอนอยู่แล้วว่าชะตากรรมของพวกเขาตอนนี้จะเป็นอย่างไร พวกเขาถูกพามาที่ลานประหารและ เพชฌฆาตผู้มาคนเดียวกลับบอกกล่าวกับพวกเขาว่าพวกเขาจะไม่เป็นไร โง่...ใครจะเชื่อมัน คงมีเพียงซุนชิงเสียที่ไร้เดียงสา กลับเอาจริงเอาจังกับคำพูดของหยางเฉิน

"จริงๆ...ข้าจะไม่หลอกเจ้า!" ในขณะเดียวกับที่หยางเฉินพูดเขาเริ่มที่จะปล่อยเจตจำนงแห่งการฆ่าของเขา เขาเชื่อว่าบริเวณรอบๆนี้มีเหล่าพวกนักบ่มเพาะพลังที่เคร่งกฏระเบียบที่เร่งรีบบินมาได้มาถึงที่นี่แล้ว

แม้ว่าเกือบทั้งหมดของเจตจำนงแห่งการฆ่าจะได้รับการดูดซึมไปแล้ว แต่มันยังเหลงเหลืออยู่ราวๆหนึ่งในร้อยส่วน และอีกทั้งการเสริมด้วยจิตวิญญานของเขามันทำให้ผู้คนที่อยู่รอบๆตัวสั่น หากมองดูเงาของหยางเฉินบนพื้นลานประหารมันดูเหมือนกับพระเจ้าแห่งความตาย แม้แต่ผู้บังคับบัญชาก็ยังรู้สึกกลัวเล็กน้อย ไม่ทราบว่าเมื่อไหร่ที่เขาจะโยนป้ายโทษประหารชีวิตออกไปและทำการประหารและออกจากสถานที่ที่ถูกสาปนี้

ในตอนนี้หยางเฉินสามารถแก้ปัญหาเรื่องเจตจำนงแห่งการฆ่าของเขาได้แล้ว เขาได้ยินเสียงหวีดคมชัดดังออกมาจากขอบฟ้าทางด้านหนึ่งของลานประหาร เสียงของมันดังใกล้เข้ามาแทบจะติดกับหูของเขา และในเวลาเดียวกันก็มีเสียงตะโกนดังออกมา "เจ้าปีศาจ...หยุด!"

ทันทีหลังจากนั้น หลายเงาก็ทยอยปรากฏตัวขึ้นจากขอบฟ้า บินตรงมาลานประหาร มีลำแสงยิงพุ่งออกมาราวกับลูกศร สองสามครั้ง มันยิงตรงมาที่หยางเฉิน แต่ทันทีที่จะถึงตัวเขา ลำแสงศรได้หายไป จิตวิญญาณของเขาทำการปกปิดเจตจำนงแห่งการฆ่าอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่อึดใจและเหือดหายหลังไปจากการโคจรไปทั่วตัวอีกหนึ่งรอบ

"เพชฌฆาต?" เสียงข่มดังสะท้อนออกมาและอีกหลายลักษณะของความสง่างามอันยิ่งใหญ่ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าในทันที มันโอบล้อมทุกคนที่อยู่บนลานประหาร ทำให้ทุกคนที่อยู่ด้านล่างมองท้องฟ้าด้วยความประหลาดใจ

"เซียนสวรรค์!" ในท้ายที่สุด...ใครบางคนก็ส่งเสียงออกมาและคนที่ยืนอยู่แต่เดิมบางคนทำการคุกเข่าบนพื้นดินทันที หลายคนที่ปรากฏตัวอยู่บนอากาศนอกจากเป็นเซียนในตำนานแล้วใครอีกที่จะสามารถทำเช่นนี้ได้?

หยางเฉินยืนอยู่ที่นั่นโดยไม่เคลื่อนย้าย ทำตัวเหมือนคนโง่ที่หวาดกลัว เขาต่อต้านความคิดและไม่ปล่อยจิตวิญญาณของเขาออกมา

อย่างไรก็ตามเขาก็มักจะหันหน้าไปทางซุนชิงเสีย และส่งรอยยิ้มให้เธอ เหมือนเขาจะบอกกับเธอว่า "เห็นไหมละ...ข้าบอกเจ้าแล้วว่าเจ้าจะไม่เป็นอะไร"

"เทพธิดาซือ!" ในขณะนั้นลำแสงสีขาวอีกลำก็ปรากฏขึ้นและทุกคนที่อยู่ในท้องฟ้าดูเหมือนจะสุภาพมากขึ้นต่อคนที่มาใหม่ คนที่เพิ่งพูดไปในตอนนี้เขาโค้งคำนับเล็กน้อย เมื่อแสงสีขาวหยุด ทุกคนบนพื้นดินต่างตกตะลึงขณะที่พวกเขามองเห็นหญิงสาวที่มีใบหน้าเยือกเย็น

เมื่อได้ยินชื่อนี้ หยางเฉินเพิ่มความระมัดระวังในกลิ่นอายของตัวเขามากขึ้นทันที เทพธิดาซือ ยังเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงระดับโลกเมื่อตอนที่หยางเฉินได้รับการบ่มเพาะพลังในชีวิตของเขาก่อนหน้า เธอเป็นศิษย์สายตรงของเกาะมรกตอมตะ และยังเป็นอันดับหนึ่งของเยาวชนรุ่นใหม่ หยางเฉินไม่คาดคิดว่าเธอจะมาปรากฏตัวที่นี่

หยางเฉินมองไปที่เงาน้ำแข็งเย็นแล้วมองเลยไปที่แสงพราวระยับจากกระบี่สีขาวสะอาดเหมือนกับเสื้อผ้าที่เธอสวม และอย่างช่วยไม่ได้ เขาถอนหายใจเล็กน้อยอยู่ภายในใจ  ซือสานส่าน เธอยังคงมีลักษณะตรงตามที่เขาจำได้มันเป็นความทรงจำเก่าเมื่อหมื่นปีที่แล้ว ในเวลาเดียวกันในขณะที่เขาถอนหายใจเขายังควบคุมจิตวิญญาณของเขาไม่ให้เจตจำนงแห่งการฆ่าแผ่ออกมา

ซือสานส่าน เพียงพยักหน้าเล็กน้อยให้กับบุคคลที่พูด แต่ตอนนี้เธอไม่พูดอะไรอื่น เพียงมองไปที่หยางเฉินที่กำลังมองมาที่เธอ เทพธิดาซือเธอไม่ใช่คนพูดเก่งและนักบ่มเพาะพลังทุกคนรู้ดีพวกเขาจึงไม่ได้สนใจในท่าทางที่เธอแสดงออกมา

"ความกรุณาก่อเกิดคุณธรรม การฆ่าเป็นบาปหนา เจ้าไม่กลัวการลงโทษ?" ไม่มีใครคาดคิดว่าเทพธิดาซือที่ปกติจะเยือกเย็นจะพูดคุยกับมนุษย์ธรรมดาหยาบหนาเช่นเพชฌฆาตที่ถูกดูหมิ่นแม้แต่โดยคนทั่วไป

"ทุกคนที่มีหนี้ก็คือลูกหนี้ นี่เป็นสถานที่ของข้า ในการปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย" ด้านล่างของท้องฟ้าและเหนือแผ่นดิน ทุกสายตาต่างจ้องมองไปที่หยางเฉิน ในขณะที่ หยางเฉินพูดอย่างใจเย็น ในเวลาเดียวกันเขายังจ้องเขม็งไปที่ซือสานส่าน ที่ยังยืนอยู่บนท้องฟ้า โดยไม่ต้องถอยแม้ครึ่งก้าว

"ช่างโง่จริงๆ บาปจากการฆ่าคนนี้มันหนักมาก เขาต้องเกี่ยวข้องกับปีศาจที่พวกเราตามหาอย่างแน่นอน" คำพูดของหยางเฉินที่พูดออกไปให้ ซือสานส่าน มันทำให้หนึ่งในเหล่านักบ่มเพาะพลังที่ยังลอยอยู่บนอากาศโกรธเคืองทันที ซือสานส่านเป็นบุคคลที่ได้รับความชื่นชอบอย่างนับไม่ถ้วน แต่ในตอนนี้เธอลดตัวเองลงเพื่อให้คำชี้แนะกับหยางเฉิน แต่หยางเฉินกลับตะแบงปฏิเสธแทนที่จะกลับใจ เขากระโดดออกมาเพื่อป้องกันเธอในทันที "เทพธิดาซือ เราน่าจะจับเขาไปสอบถามอย่างใกล้ชิด"

"ขณะนี้มีความโหดร้ายจำนวนมากมายภายใต้สวรรค์ ฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ซึ่งเพชฌฆาตที่มีอยู่ในโลกพวกมันแตกต่างจากเขาหรือไม่?" ซือสานส่านไม่ได้พูดกับหยางเฉิน เธอจ้องมองไปที่ตาของหยางเฉินอย่างใกล้ชิด มันเป็นดวงตาที่สื่อออกมาว่าเจ้าของดวงตานั้นมีความมั่นใจในสิ่งที่ได้กล่าวไป มันทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจมาก

ซือสานส่านรู้สึกว่าคำพูดของเฉินหยางออกมาจากหัวใจ เขาไม่ได้ตอบแม้เขาจะกลัวการลงโทษจากสวรรค์ แต่เหตุผลที่ยังคงความชัดเจนอย่างมากคือ หน้าที่ของเพชฌฆาตคือการประหารคนที่ถูกตัดสินโทษ โดยไม่สามารถพูดได้ว่าสิ่งที่เพชฌฆาตได้ทำมันคือสิ่งที่ผิด แม้แต่เซียนที่คิดว่าการฆ่าคนคือสิ่งที่ผิด แต่ก็ไม่อาจพูดได้ว่าเพชฌฆาตผิดเมื่อทำตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมาย

ที่ไหนในโลกนี้ที่จะมีผู้ใดที่ถูกต้องทั้งหมด และที่ใดที่จะมีผู้ที่ทำไม่ถูกต้องทั้งหมด แน่นอนแม้แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกนี้ยังมีการแยกแยะความแตกต่างจากความถูกต้องออกจากสิ่งที่ผิด และความแตกต่างที่ว่านี้มันก็ไม่ได้มารวมอยู่ด้วยกัน หากคิดในอีกแบบหนึ่งให้ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซือสานส่านรู้สึกถึงความเข้าใจกับโลกที่เปิดกว้างในหัวใจของเธอ และการปฏิบัติของเธอที่ได้รับค่อนข้างหยาบในอดีตที่ผ่านมา ในทันใดนั้นเธอได้หลุดออกจากพันธนาการทั้งหมดอย่างรวดเร็วผ่านช่องทางไหลเวียนพลังงานของเธอ

ด้วยการปฏิวัติอย่างฉับพลันพลังทางจิตวิญญาณของเธอทำการไหลเวียนภายในร่างกายของเธอโดยไม่มีข้อจำกัดใดๆแม้แต่อัจฉริยะที่น่ากลัวเช่นซือสานส่านยังต้องปลาบปลื้มใจในที่สุดเธอได้อยู่จุดสูงสุดของขั้นก่อสร้างรากฐานและเธอก็อาจจะผ่านไปถึงขั้นก่อลำต้น

การเปลี่ยนแปลงเพื่อบังคับจิตวิญญาณภายใน ซือสานส่าน ไม่ได้หลบหนีจิตวิญญาณเช่นของคนอื่นๆ และแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้รู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ แต่พวกเขาสามารถสรุปได้ว่าการบ่มเพาะปลูกจิตวิญญาณของซือสานส่านมีความก้าวหน้าที่ดีและพลังของเธอสามารถเพิ่มระดับต่อไป นักบ่มเพาะพลังเจ้าระเบียบทั้งหลายได้ก้าวไปข้างหน้าและป้องมือของพวกในลักษณะที่นอบน้อมไปยังซือสานส่าน "ขอแสดงความยินดี...เทพธิดาซือ"

"ขอบคุณมากทุกคน!" ซือสานส่าน เธอป้องมือออกมาด้านหน้าเพื่อทำการขอบคุณ หยางเฉินพยักหน้าเล็กน้อย มันทำให้เขามีลักษณะที่ค่อนข้างซับซ้อน เธอโบกมือข้างหนึ่ง พลันปรากฏเส้นแสงสีขาวออกมาที่ด้านหน้าของหยางเฉินเขาเอื้อมมือออกและหยิบเอายาเม็ดเล็กๆมาไว้ในมือของเขา ในเวลาเดียวกัน เสียงที่เย็นกระซิบอยู่ห่างๆ บอกกล่าวกับหยางเฉิน 'ขอบคุณ'

หยางเฉินปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นและซือสานส่านก็ไม่ได้พูดอย่างอื่นอย่างใดออกมา สายตาของเธอละจากหยางเฉินมาตกที่ซุนชิงเสียที่อยู่ถัดจากหยางเฉิน

"สาวน้อย...กระดูกของเจ้าดูมีความพิเศษมากกว่าคนปกติทั่วไป เจ้าค่อนข้างมีดวงชะตาที่หยั่งรู้ได้ยาก เจ้าต้องการที่จะเป็นผู้ฝึกติดตามข้าหรือไม่?" ซือสานส่านอีกครั้งที่พูดกับมนุษย์ แต่เนื้อหาและเป้าหมายของคำพูดทำให้ทุกคนผ่อนคลาย คำพูดเพื่อนำสาวน้อยไปฝึกบ่มเพาะพลังมันดูเหมือนเทพธิดาซือมีความเอ็นดูที่มอบให้กับเด็กสาว

ซุนชิงเสียตามธรรมชาติไม่ได้เล็งเห็นว่า เนื้อย่างขนาดยักษ์จะตกจากสวรรค์ และขณะที่เธออายุสิบขวบเธอไม่ได้รู้ว่าเธอควรจะตอบคำถามที่เหมือนพี่สาวใหญ่ได้ถามน้องเล็กอย่างไร แต่ผู้ที่ทำการตอบแทนมันเป็นผู้ใหญ่ที่ติดกับเธอและพูดในเวลาเดียวกันกับการแสดงออกถึงความแปลกใจ "เธอพร้อม ตระกลูของชิงเสีย ยินดี!"

"น้องเล็ก เจ้าต้องการหรือไม่?" ซือสานส่าน ไม่ได้ให้ความสนใจใดๆ กับเหล่าสมาชิกในตระกูลซุน เธอมองไปที่ซุนชิงเสีย และรอการตอบกลับของเธอ

ในเวลานี้ซุนชิงเสีย ขาดเพียงแค่การฝึกฝนเพื่อจะกลายเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นอย่างที่หยางเฉินจำได้ เธอเพียงมองไปที่เทพธิดาซือที่ลอยอยู่บนท้องฟ้านั้นอีกครั้ง แล้วมองไปที่สมาชิกในตระกูลที่ด้านข้างของเธอและในที่สุดผู้ที่ต้องตัดสินใจก็เป็นหยางเฉิน เช่นพี่ใหญ่ผู้นี้ที่เคยยิ้มให้เธอบนลานประหารไม่กี่ครั้งกลับสามารถรับรู้ความหวังของเธอ ทำให้เธอรู้สึกโล่งใจมากกว่าคนในตระกูลของเธอเอง

"ข้าไม่ได้บอกความจริงหรอกหรือ?" หยางเฉินไม่ได้ให้คำตอบซุนชิงเสียโดยตรงเขาเพียงยิ้มและพูด

"อา!" เพียงแค่ยืนดูขณะที่มีความสงสัย ซุนชิงเสียเข้าใจความหมายของหยางเฉิน หยางเฉินได้เพียงแค่บอกว่า เธอจะไม่เป็นไรและทุกคนในตระกูลของเธอจะต้องไม่เป็นไรและหยางเฉินยังกล่าวเช่นเดิมอีกครั้ง

ซุนชิงเสีย จ้องมองไปที่ เทพธิดาซือ ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า อีกครั้ง ด้วยการยืนยันจากหยางเฉินเธอดูเหมือนจะพบความเชื่อมั่น และแม้จะยังคงยุ่งอยู่กับความคิด เธอก็ยิงคำถามไปที่ท้องฟ้า "ถ้าข้าไปกับพี่ใหญ่ คนในตระกูลของข้าจะไม่เป็นไร?"

คำถามนี้ทำให้ทุกคนที่ลอยอยู่กลางอากาศยิ้ม เทพธิดาซือยังยิ้มเล็กน้อยเช่นดอกไม้ที่สวยงามบานในท้องฟ้า ดวงวิญญาณของคนรอบข้างได้บินออกจากร่างไปทันที เทพธิดาซือผู้ที่มีชื่อเสียงทำการยอมรับ โดยนามสกุลของเธอ ซือที่มีความหมายว่าก้อนหิน และก้อนหินก็ไม่เคยยิ้มได้ไม่ว่านานเท่าไหร่ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับสาวน้อยทุกคนก็โชคดีพอที่จะได้เห็นรอยยิ้มของเธอ

รอยยิ้มของซือสานส่าน ที่มีให้กับ ซุนชิงเสีย ด้วยความความกล้าหาญเธอพยายามที่จะยืนขึ้นและพูดกับซือสานส่านที่ยืนอยู่บนท้องฟ้า "ตราบใดที่สมาชิกในตระกูลของข้าสบายดี ข้าก็จะติดตามท่าน"

กับเหล่าเซียนแล้วการแสดงเพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยของคนในตระกูลเป็นที่สิ่งที่เข้าใจได้ง่ายที่สุด แม้แต่บนลานประหาร ผู้บังคับบัญชาก็ไม่ได้มีความกล้าหาญที่จะสั่งให้หยุด เขาทำได้เพียงแค่เฝ้าดูคนของตระกูลซุนถูกแก้เชือกจากหนึ่งไปอีกหนึ่ง จนในที่สุดตระกูลซุนทั้งหมดได้หายไปอย่างรวดเร็วจากลานประหารหลังจากที่ซือสานส่านพูดจบ

เพียงครู่เดียว คนของตระกูลซุนทั้งหมดได้หายลับไปจากสายตา ผู้บังคับบัญชาที่ยืนตัวสั่น เมื่อเขาตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีเซียนลอยอยู่บนท้องฟ้า เขาจึงรวบรวมความเข้มแข็งและความกล้าหาญของเขา ก่อนที่จะตะโกนเสียงแหบออกไป "ตระกูลซุนทั้งตระกูลได้ถูกปล้นจากลานประหารโดยเสือภูเขา จงประกาศออกไปให้ทั่วพร้อมหมายจับกุม"

ทุกคนได้เห็นคนบนท้องฟ้าและยังได้ยินพวกเขาเรียก เทพธิดาซือ แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา ทุกคนเห็นด้วยกับคำอธิบายที่ว่า เสือภูเขาจะต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์นี้

หยางเฉินขำโดยใช้แขนเสื้อของเขาบังระหว่างทางกลับบ้าน ของเขา ภายในใจของเขาย้อนกลับไปคิดถึงคำพูดสุดท้ายของสาวน้อยซุนชิงเสีย และภาพสุดท้ายของเธอก่อนที่เธอจะจากไปด้วยความไม่เต็มใจ

"พี่ใหญ่...ข้าขอขอบคุณ!"

"พี่ใหญ่...ข้าจะหาเวลามาหาท่านในอนาคต!"

......

ถ้าเขาบอกคนของโลกก่อนหน้านี้ของเขาว่าซุนชิงเสียที่เป็นคนของนิกายหมอกฟ้าคราม ได้กล่าวสิ่งนี้กับเขา คนจำนวนมากจักต้องไม่เชื่อ แต่ในชีวิตนี้มันก็คือความจริง มีเพียงสิ่งเดียวที่เขายังคงสงสัยอยู่ก็คือว่าคนที่จะต้องมาช่วยตระกูลซุนควรจะเป็นคนจากนิกายหมอกฟ้าครามตามที่บันทึกไว้ แต่กลับกลายเป็นว่าคนที่มาช่วยเป็นคนจากนิกายเกาะหยกมรกตอมตะ โดยเทพธิดาซือ? ซุนชิงเสียสามารถจะเป็นศิษย์ของนิกายเกาะหยกมรกตอมตะในอนาคตและไม่ต้องไปฝึกกับนิกายหมอกฟ้าคราม?

แต่ไม่ว่าซุนชิงเสียเป็นศิษย์ของนิกายเกาะหยกมรกตอมตะหรือ นิกายหมอกฟ้าคราม ในท้ายที่สุดก็ไม่ได้มีความสำคัญมากอันใด ที่หยางเฉินเป็นเพชฌฆาตมันยังไม่มีข้อสรุปในเรื่องของความสำเร็จและมันก็เป็นเวลาที่เขาควรจะไปได้แล้ว


ในตอนนี้หยางเฉินเอาใจใส่กับเคล็ดการฝึกบ่มเพาะพลัง เขาควรที่จะฝึกตามขั้นตอนเพื่อที่จะได้รับประโยชน์ที่มากที่สุดในเส้นทางแห่งอนาคตของการบ่มเพาะพลังของเขา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น