หยางเฉินไม่ทราบว่าทำไมทั้งครอบครัวของตระกูลขุนนางอย่างตระกูลซุน จะต้องถูกประหารชีวิต
เท่าที่เขารู้คือบ้านเกิดอย่างเป็นทางการของขุนนางซุนอยู่ที่นี่ มันอาจจะเป็นได้ว่าเขาได้กระทำความผิดบางอย่างในเมืองหลวงและถูกส่งกลับมาที่บ้านเกิด
แล้วหลังจากนั้นเพราะเหตุผลที่ไม่รู้ได้ ทั้งตระกูลของเขาถูกตัดสินประหารชีวิตทั้งสามชั่วโคตร
เมื่อหยางเฉินออกจากบ้านหลังเล็กของเขาในยามเช้า หลังจากที่เขาปิดตัวฝึกฝนถึงยี่สิบชั่วโมง
เจตจำนงแห่งการฆ่าที่แผ่ออกมาภายนอกตัวของเขามันยังมีอยู่แต่เจือจางไปมากแล้ว
ในทางปฏิบัติมันไม่อาจสังเกตได้ เจตจำนงแห่งการฆ่ามันมีอัตราการดูดซึมมากกว่าสองเท่าเมื่ออยู่ที่ระดับสองของเคล็ดวิชาลับสามขั้นแห่งการรู้แจ้งและตามเวลาที่เขากำหนดไว้
ลักษณะของหยางเฉินดูเหมือนเพชฌฆาตที่ได้ประหารคนเป็นจำนวนที่มากกว่าเพชฌฆาตทั่วๆไปที่ได้ทำการประหารไป
แม้ว่าเขาจะยังคงมีเจตจำนงแห่งการฆ่าบางส่วนแผ่ออกมาแต่กลิ่นอายของมันไม่ได้อยู่ในระดับที่เรียกได้ว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามกับสวรรค์
วิกฤตครั้งแรกหลังจากที่ออกมาจากแท่นประหารเซียนในที่สุดก็คลี่คลาย
หยางเฉินอาศัยความได้เปรียบจากการแข่งขันกับเวลา
เขาสามารถนำพาตัวเขากลับคืนสู่สถานะมนุษย์ปกติธรรมดาได้ก่อนที่เหล่าพวกผู้ฝึกบ่มเพาะพลังที่เคร่งในกฏระเบียบจะมาถึง
เพราะเขาได้รับฝึกฝนการบ่มเพาะพลังเคล็ดวิชาลับสามขั้นแห่งการรู้แจ้งเพื่อทำการดูดซับเจตจำนงแห่งการฆ่าและเปลี่ยนมันเป็นจิตวิญญาณของเขาโดยไม่ได้มีร่องรอยของการใช้พลังเวท
แม้ว่าผู้ฝึกระดับก่อลำต้น มาเองก็คงไม่อาจค้นพบเห็นสิ่งผิดปกติอะไรบนตัวของหยางเฉิน
ทันทีที่เขาเดินเข้าไปใกล้พื้นที่ดำเนินการ หยางเฉินเห็นใบหน้าอันคุ้นเคย
หยางเฉินเคยเห็นนักบ่มเพาะพลังอัจฉริยะหลายครั้งในชีวิตของเขาก่อนหน้านี้
แต่ตอนนี้อัจฉริยะที่ไม่ซ้ำกับใครดูเหมือนกระต่ายสาวน้อยขี้ตกใจขดตัวในฝูงชน ดวงตาของเธอราวกับหลงฝูงมา
กลิ่นอายที่อยู่รอบๆตัวเธอแสดงถึงความสิ้นหวัง
ซุนชิงเสีย เป็นศิษย์สายตรงของนิกายฟ้าคราม ในชีวิตก่อนหน้าของหยางเฉิน
เธอมีความสามารถที่โดดเด่นท่ามกลางเหล่าเยาวชนรุ่นใหม่ โดยสามารถจับคู่ได้อย่างเท่าเทียมกันกับศิษย์อัจฉริยะของนิกายที่ดีอื่นๆ
ก่อนหน้านี้เธอมีลักษณะที่น่าเคารพยำเกรงในสายตาของหยางเฉิน แต่ในตอนนี้ดูเธอเหมือนทำอะไรไม่ถูกและไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้เมื่อเธอมองไปที่หยางเฉิน
ท่ามกลางความประหลาดใจของฝูงชน หยางเฉินเดินไปยืนอยู่ที่ด้านหน้าของเด็กสาวซุนชิงเสีย
ตอนนี้ซุนชิงเสียมีอายุมากสุดสิบปี เมื่อสาวน้อยเห็นหยางเฉินเดินเข้ามามันยิ่งทำให้เธอหวาดกลัวมากขึ้น
หัวเล็กๆของเธอพยายามที่จะซุกเข้าไปทางด้านหลังญาติของเธอ
แต่เนื่องจากเธอถูกล่ามโซ่เอาไว้ เธอจึงไม่สามารถที่จะเคลื่อนที่ได้มากนัก
แม้ว่าเจตจำนงแห่งการฆ่าของหยางเฉินถูกดูดกลืนไปเกือบทั้งหมด
แต่บางส่วนที่ยังคงหลงเหลืออยู่ซึ่งมันก็มากเกินพอที่จะข่มขวัญให้คนธรรมดาผวาได้ ตอนนี้หยางเฉินยืนอยู่ด้านหน้าของ
ซุนชิงเสีย ไม่เพียงแค่เธอแต่ผู้ใหญ่หลายคนที่อยู่ถัดจากเธอก็ยังกลัวราวกับวิญญาณจะหลุดออกจากร่างไปเมื่อต้องเผชิญกับเจตจำนงแห่งการฆ่าของเพชฌฆาตที่แผ่ออกมา
"ไม่ต้องกลัวสาวน้อย!" หยางเฉินยืนอยู่ที่นั่นทิ้งระยะห่างพอประมาณ
เขาเผยรอยยิ้มให้กับ ซุนชิงเสีย "ไม่ต้องกังวล...ตระกูลของเจ้าจะไม่เป็นไร"
บนบริเวณลานประหารพร้อมด้วยเพชฌฆาตที่ร่างกายท่อนบนเปลือย หัวมัดด้วยผ้าสีแดง
มือข้างหนึ่งยกใบมีดของเพชฌฆาตแผ่เจตจำนงแห่งการฆ่าที่เยือกเย็นออกมา ในตอนนี้จู่ๆ
ก็พูดอย่างเป็นมิตรกับนักโทษที่รอการประหาร นี่เป็นเรื่องที่น่าตกใจยิ่งกว่า ขอทานที่อยู่ๆก็มีเงินมากมายนับหมื่น
และผู้ถูกจับกุมทั้งหมดของตระกูลซุนต่างแสดงอาการตกใจเมื่อได้ยิน
"พี่ใหญ่ ท่านพูดจริงๆ!?"
เด็กสาวซุนชิงเสีย แสดงออกถึงความประหลาดใจอย่างรื่นรมย์ "จริงๆหรือที่พวกเราจะไม่เป็นไร?"
ผู้ใหญ่คนอื่นๆ ในตระกูลซุนไม่สามารถปิดหูปิดตาของพวกเขา
มันแน่นอนอยู่แล้วว่าชะตากรรมของพวกเขาตอนนี้จะเป็นอย่างไร พวกเขาถูกพามาที่ลานประหารและ
เพชฌฆาตผู้มาคนเดียวกลับบอกกล่าวกับพวกเขาว่าพวกเขาจะไม่เป็นไร โง่...ใครจะเชื่อมัน
คงมีเพียงซุนชิงเสียที่ไร้เดียงสา กลับเอาจริงเอาจังกับคำพูดของหยางเฉิน
"จริงๆ...ข้าจะไม่หลอกเจ้า!" ในขณะเดียวกับที่หยางเฉินพูดเขาเริ่มที่จะปล่อยเจตจำนงแห่งการฆ่าของเขา
เขาเชื่อว่าบริเวณรอบๆนี้มีเหล่าพวกนักบ่มเพาะพลังที่เคร่งกฏระเบียบที่เร่งรีบบินมาได้มาถึงที่นี่แล้ว
แม้ว่าเกือบทั้งหมดของเจตจำนงแห่งการฆ่าจะได้รับการดูดซึมไปแล้ว แต่มันยังเหลงเหลืออยู่ราวๆหนึ่งในร้อยส่วน
และอีกทั้งการเสริมด้วยจิตวิญญานของเขามันทำให้ผู้คนที่อยู่รอบๆตัวสั่น หากมองดูเงาของหยางเฉินบนพื้นลานประหารมันดูเหมือนกับพระเจ้าแห่งความตาย
แม้แต่ผู้บังคับบัญชาก็ยังรู้สึกกลัวเล็กน้อย ไม่ทราบว่าเมื่อไหร่ที่เขาจะโยนป้ายโทษประหารชีวิตออกไปและทำการประหารและออกจากสถานที่ที่ถูกสาปนี้
ในตอนนี้หยางเฉินสามารถแก้ปัญหาเรื่องเจตจำนงแห่งการฆ่าของเขาได้แล้ว เขาได้ยินเสียงหวีดคมชัดดังออกมาจากขอบฟ้าทางด้านหนึ่งของลานประหาร
เสียงของมันดังใกล้เข้ามาแทบจะติดกับหูของเขา และในเวลาเดียวกันก็มีเสียงตะโกนดังออกมา
"เจ้าปีศาจ...หยุด!"
ทันทีหลังจากนั้น หลายเงาก็ทยอยปรากฏตัวขึ้นจากขอบฟ้า บินตรงมาลานประหาร
มีลำแสงยิงพุ่งออกมาราวกับลูกศร สองสามครั้ง มันยิงตรงมาที่หยางเฉิน แต่ทันทีที่จะถึงตัวเขา
ลำแสงศรได้หายไป จิตวิญญาณของเขาทำการปกปิดเจตจำนงแห่งการฆ่าอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่อึดใจและเหือดหายหลังไปจากการโคจรไปทั่วตัวอีกหนึ่งรอบ
"เพชฌฆาต?" เสียงข่มดังสะท้อนออกมาและอีกหลายลักษณะของความสง่างามอันยิ่งใหญ่ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าในทันที
มันโอบล้อมทุกคนที่อยู่บนลานประหาร ทำให้ทุกคนที่อยู่ด้านล่างมองท้องฟ้าด้วยความประหลาดใจ
"เซียนสวรรค์!" ในท้ายที่สุด...ใครบางคนก็ส่งเสียงออกมาและคนที่ยืนอยู่แต่เดิมบางคนทำการคุกเข่าบนพื้นดินทันที
หลายคนที่ปรากฏตัวอยู่บนอากาศนอกจากเป็นเซียนในตำนานแล้วใครอีกที่จะสามารถทำเช่นนี้ได้?
หยางเฉินยืนอยู่ที่นั่นโดยไม่เคลื่อนย้าย ทำตัวเหมือนคนโง่ที่หวาดกลัว
เขาต่อต้านความคิดและไม่ปล่อยจิตวิญญาณของเขาออกมา
อย่างไรก็ตามเขาก็มักจะหันหน้าไปทางซุนชิงเสีย และส่งรอยยิ้มให้เธอ
เหมือนเขาจะบอกกับเธอว่า "เห็นไหมละ...ข้าบอกเจ้าแล้วว่าเจ้าจะไม่เป็นอะไร"
"เทพธิดาซือ!" ในขณะนั้นลำแสงสีขาวอีกลำก็ปรากฏขึ้นและทุกคนที่อยู่ในท้องฟ้าดูเหมือนจะสุภาพมากขึ้นต่อคนที่มาใหม่
คนที่เพิ่งพูดไปในตอนนี้เขาโค้งคำนับเล็กน้อย เมื่อแสงสีขาวหยุด ทุกคนบนพื้นดินต่างตกตะลึงขณะที่พวกเขามองเห็นหญิงสาวที่มีใบหน้าเยือกเย็น
เมื่อได้ยินชื่อนี้ หยางเฉินเพิ่มความระมัดระวังในกลิ่นอายของตัวเขามากขึ้นทันที
เทพธิดาซือ ยังเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงระดับโลกเมื่อตอนที่หยางเฉินได้รับการบ่มเพาะพลังในชีวิตของเขาก่อนหน้า
เธอเป็นศิษย์สายตรงของเกาะมรกตอมตะ และยังเป็นอันดับหนึ่งของเยาวชนรุ่นใหม่ หยางเฉินไม่คาดคิดว่าเธอจะมาปรากฏตัวที่นี่
หยางเฉินมองไปที่เงาน้ำแข็งเย็นแล้วมองเลยไปที่แสงพราวระยับจากกระบี่สีขาวสะอาดเหมือนกับเสื้อผ้าที่เธอสวม
และอย่างช่วยไม่ได้ เขาถอนหายใจเล็กน้อยอยู่ภายในใจ ซือสานส่าน เธอยังคงมีลักษณะตรงตามที่เขาจำได้มันเป็นความทรงจำเก่าเมื่อหมื่นปีที่แล้ว
ในเวลาเดียวกันในขณะที่เขาถอนหายใจเขายังควบคุมจิตวิญญาณของเขาไม่ให้เจตจำนงแห่งการฆ่าแผ่ออกมา
ซือสานส่าน เพียงพยักหน้าเล็กน้อยให้กับบุคคลที่พูด แต่ตอนนี้เธอไม่พูดอะไรอื่น
เพียงมองไปที่หยางเฉินที่กำลังมองมาที่เธอ เทพธิดาซือเธอไม่ใช่คนพูดเก่งและนักบ่มเพาะพลังทุกคนรู้ดีพวกเขาจึงไม่ได้สนใจในท่าทางที่เธอแสดงออกมา
"ความกรุณาก่อเกิดคุณธรรม การฆ่าเป็นบาปหนา เจ้าไม่กลัวการลงโทษ?" ไม่มีใครคาดคิดว่าเทพธิดาซือที่ปกติจะเยือกเย็นจะพูดคุยกับมนุษย์ธรรมดาหยาบหนาเช่นเพชฌฆาตที่ถูกดูหมิ่นแม้แต่โดยคนทั่วไป
"ทุกคนที่มีหนี้ก็คือลูกหนี้ นี่เป็นสถานที่ของข้า ในการปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย"
ด้านล่างของท้องฟ้าและเหนือแผ่นดิน ทุกสายตาต่างจ้องมองไปที่หยางเฉิน ในขณะที่ หยางเฉินพูดอย่างใจเย็น
ในเวลาเดียวกันเขายังจ้องเขม็งไปที่ซือสานส่าน ที่ยังยืนอยู่บนท้องฟ้า โดยไม่ต้องถอยแม้ครึ่งก้าว
"ช่างโง่จริงๆ บาปจากการฆ่าคนนี้มันหนักมาก เขาต้องเกี่ยวข้องกับปีศาจที่พวกเราตามหาอย่างแน่นอน"
คำพูดของหยางเฉินที่พูดออกไปให้ ซือสานส่าน มันทำให้หนึ่งในเหล่านักบ่มเพาะพลังที่ยังลอยอยู่บนอากาศโกรธเคืองทันที
ซือสานส่านเป็นบุคคลที่ได้รับความชื่นชอบอย่างนับไม่ถ้วน แต่ในตอนนี้เธอลดตัวเองลงเพื่อให้คำชี้แนะกับหยางเฉิน
แต่หยางเฉินกลับตะแบงปฏิเสธแทนที่จะกลับใจ เขากระโดดออกมาเพื่อป้องกันเธอในทันที
"เทพธิดาซือ เราน่าจะจับเขาไปสอบถามอย่างใกล้ชิด"
"ขณะนี้มีความโหดร้ายจำนวนมากมายภายใต้สวรรค์ ฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน
ซึ่งเพชฌฆาตที่มีอยู่ในโลกพวกมันแตกต่างจากเขาหรือไม่?" ซือสานส่านไม่ได้พูดกับหยางเฉิน เธอจ้องมองไปที่ตาของหยางเฉินอย่างใกล้ชิด
มันเป็นดวงตาที่สื่อออกมาว่าเจ้าของดวงตานั้นมีความมั่นใจในสิ่งที่ได้กล่าวไป มันทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจมาก
ซือสานส่านรู้สึกว่าคำพูดของเฉินหยางออกมาจากหัวใจ เขาไม่ได้ตอบแม้เขาจะกลัวการลงโทษจากสวรรค์
แต่เหตุผลที่ยังคงความชัดเจนอย่างมากคือ หน้าที่ของเพชฌฆาตคือการประหารคนที่ถูกตัดสินโทษ
โดยไม่สามารถพูดได้ว่าสิ่งที่เพชฌฆาตได้ทำมันคือสิ่งที่ผิด
แม้แต่เซียนที่คิดว่าการฆ่าคนคือสิ่งที่ผิด แต่ก็ไม่อาจพูดได้ว่าเพชฌฆาตผิดเมื่อทำตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมาย
ที่ไหนในโลกนี้ที่จะมีผู้ใดที่ถูกต้องทั้งหมด และที่ใดที่จะมีผู้ที่ทำไม่ถูกต้องทั้งหมด
แน่นอนแม้แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกนี้ยังมีการแยกแยะความแตกต่างจากความถูกต้องออกจากสิ่งที่ผิด
และความแตกต่างที่ว่านี้มันก็ไม่ได้มารวมอยู่ด้วยกัน หากคิดในอีกแบบหนึ่งให้ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้
ซือสานส่านรู้สึกถึงความเข้าใจกับโลกที่เปิดกว้างในหัวใจของเธอ และการปฏิบัติของเธอที่ได้รับค่อนข้างหยาบในอดีตที่ผ่านมา
ในทันใดนั้นเธอได้หลุดออกจากพันธนาการทั้งหมดอย่างรวดเร็วผ่านช่องทางไหลเวียนพลังงานของเธอ
ด้วยการปฏิวัติอย่างฉับพลันพลังทางจิตวิญญาณของเธอทำการไหลเวียนภายในร่างกายของเธอโดยไม่มีข้อจำกัดใดๆแม้แต่อัจฉริยะที่น่ากลัวเช่นซือสานส่านยังต้องปลาบปลื้มใจในที่สุดเธอได้อยู่จุดสูงสุดของขั้นก่อสร้างรากฐานและเธอก็อาจจะผ่านไปถึงขั้นก่อลำต้น
การเปลี่ยนแปลงเพื่อบังคับจิตวิญญาณภายใน ซือสานส่าน ไม่ได้หลบหนีจิตวิญญาณเช่นของคนอื่นๆ
และแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้รู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ แต่พวกเขาสามารถสรุปได้ว่าการบ่มเพาะปลูกจิตวิญญาณของซือสานส่านมีความก้าวหน้าที่ดีและพลังของเธอสามารถเพิ่มระดับต่อไป
นักบ่มเพาะพลังเจ้าระเบียบทั้งหลายได้ก้าวไปข้างหน้าและป้องมือของพวกในลักษณะที่นอบน้อมไปยังซือสานส่าน "ขอแสดงความยินดี...เทพธิดาซือ"
"ขอบคุณมากทุกคน!" ซือสานส่าน เธอป้องมือออกมาด้านหน้าเพื่อทำการขอบคุณ
หยางเฉินพยักหน้าเล็กน้อย มันทำให้เขามีลักษณะที่ค่อนข้างซับซ้อน เธอโบกมือข้างหนึ่ง
พลันปรากฏเส้นแสงสีขาวออกมาที่ด้านหน้าของหยางเฉินเขาเอื้อมมือออกและหยิบเอายาเม็ดเล็กๆมาไว้ในมือของเขา
ในเวลาเดียวกัน เสียงที่เย็นกระซิบอยู่ห่างๆ บอกกล่าวกับหยางเฉิน 'ขอบคุณ'
หยางเฉินปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นและซือสานส่านก็ไม่ได้พูดอย่างอื่นอย่างใดออกมา
สายตาของเธอละจากหยางเฉินมาตกที่ซุนชิงเสียที่อยู่ถัดจากหยางเฉิน
"สาวน้อย...กระดูกของเจ้าดูมีความพิเศษมากกว่าคนปกติทั่วไป เจ้าค่อนข้างมีดวงชะตาที่หยั่งรู้ได้ยาก
เจ้าต้องการที่จะเป็นผู้ฝึกติดตามข้าหรือไม่?" ซือสานส่านอีกครั้งที่พูดกับมนุษย์ แต่เนื้อหาและเป้าหมายของคำพูดทำให้ทุกคนผ่อนคลาย
คำพูดเพื่อนำสาวน้อยไปฝึกบ่มเพาะพลังมันดูเหมือนเทพธิดาซือมีความเอ็นดูที่มอบให้กับเด็กสาว
ซุนชิงเสียตามธรรมชาติไม่ได้เล็งเห็นว่า เนื้อย่างขนาดยักษ์จะตกจากสวรรค์
และขณะที่เธออายุสิบขวบเธอไม่ได้รู้ว่าเธอควรจะตอบคำถามที่เหมือนพี่สาวใหญ่ได้ถามน้องเล็กอย่างไร
แต่ผู้ที่ทำการตอบแทนมันเป็นผู้ใหญ่ที่ติดกับเธอและพูดในเวลาเดียวกันกับการแสดงออกถึงความแปลกใจ
"เธอพร้อม ตระกลูของชิงเสีย ยินดี!"
"น้องเล็ก เจ้าต้องการหรือไม่?" ซือสานส่าน ไม่ได้ให้ความสนใจใดๆ กับเหล่าสมาชิกในตระกูลซุน
เธอมองไปที่ซุนชิงเสีย และรอการตอบกลับของเธอ
ในเวลานี้ซุนชิงเสีย ขาดเพียงแค่การฝึกฝนเพื่อจะกลายเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นอย่างที่หยางเฉินจำได้
เธอเพียงมองไปที่เทพธิดาซือที่ลอยอยู่บนท้องฟ้านั้นอีกครั้ง แล้วมองไปที่สมาชิกในตระกูลที่ด้านข้างของเธอและในที่สุดผู้ที่ต้องตัดสินใจก็เป็นหยางเฉิน
เช่นพี่ใหญ่ผู้นี้ที่เคยยิ้มให้เธอบนลานประหารไม่กี่ครั้งกลับสามารถรับรู้ความหวังของเธอ
ทำให้เธอรู้สึกโล่งใจมากกว่าคนในตระกูลของเธอเอง
"ข้าไม่ได้บอกความจริงหรอกหรือ?" หยางเฉินไม่ได้ให้คำตอบซุนชิงเสียโดยตรงเขาเพียงยิ้มและพูด
"อา!" เพียงแค่ยืนดูขณะที่มีความสงสัย ซุนชิงเสียเข้าใจความหมายของหยางเฉิน หยางเฉินได้เพียงแค่บอกว่า
เธอจะไม่เป็นไรและทุกคนในตระกูลของเธอจะต้องไม่เป็นไรและหยางเฉินยังกล่าวเช่นเดิมอีกครั้ง
ซุนชิงเสีย จ้องมองไปที่ เทพธิดาซือ ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า อีกครั้ง ด้วยการยืนยันจากหยางเฉินเธอดูเหมือนจะพบความเชื่อมั่น
และแม้จะยังคงยุ่งอยู่กับความคิด เธอก็ยิงคำถามไปที่ท้องฟ้า "ถ้าข้าไปกับพี่ใหญ่
คนในตระกูลของข้าจะไม่เป็นไร?"
คำถามนี้ทำให้ทุกคนที่ลอยอยู่กลางอากาศยิ้ม เทพธิดาซือยังยิ้มเล็กน้อยเช่นดอกไม้ที่สวยงามบานในท้องฟ้า
ดวงวิญญาณของคนรอบข้างได้บินออกจากร่างไปทันที เทพธิดาซือผู้ที่มีชื่อเสียงทำการยอมรับ
โดยนามสกุลของเธอ ‘ซือ’
ที่มีความหมายว่าก้อนหิน และก้อนหินก็ไม่เคยยิ้มได้ไม่ว่านานเท่าไหร่
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับสาวน้อยทุกคนก็โชคดีพอที่จะได้เห็นรอยยิ้มของเธอ
รอยยิ้มของซือสานส่าน ที่มีให้กับ ซุนชิงเสีย ด้วยความความกล้าหาญเธอพยายามที่จะยืนขึ้นและพูดกับซือสานส่านที่ยืนอยู่บนท้องฟ้า
"ตราบใดที่สมาชิกในตระกูลของข้าสบายดี ข้าก็จะติดตามท่าน"
กับเหล่าเซียนแล้วการแสดงเพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยของคนในตระกูลเป็นที่สิ่งที่เข้าใจได้ง่ายที่สุด
แม้แต่บนลานประหาร ผู้บังคับบัญชาก็ไม่ได้มีความกล้าหาญที่จะสั่งให้หยุด เขาทำได้เพียงแค่เฝ้าดูคนของตระกูลซุนถูกแก้เชือกจากหนึ่งไปอีกหนึ่ง
จนในที่สุดตระกูลซุนทั้งหมดได้หายไปอย่างรวดเร็วจากลานประหารหลังจากที่ซือสานส่านพูดจบ
เพียงครู่เดียว คนของตระกูลซุนทั้งหมดได้หายลับไปจากสายตา ผู้บังคับบัญชาที่ยืนตัวสั่น
เมื่อเขาตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีเซียนลอยอยู่บนท้องฟ้า เขาจึงรวบรวมความเข้มแข็งและความกล้าหาญของเขา
ก่อนที่จะตะโกนเสียงแหบออกไป "ตระกูลซุนทั้งตระกูลได้ถูกปล้นจากลานประหารโดยเสือภูเขา
จงประกาศออกไปให้ทั่วพร้อมหมายจับกุม"
ทุกคนได้เห็นคนบนท้องฟ้าและยังได้ยินพวกเขาเรียก เทพธิดาซือ แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา
ทุกคนเห็นด้วยกับคำอธิบายที่ว่า เสือภูเขาจะต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์นี้
หยางเฉินขำโดยใช้แขนเสื้อของเขาบังระหว่างทางกลับบ้าน ของเขา ภายในใจของเขาย้อนกลับไปคิดถึงคำพูดสุดท้ายของสาวน้อยซุนชิงเสีย
และภาพสุดท้ายของเธอก่อนที่เธอจะจากไปด้วยความไม่เต็มใจ
"พี่ใหญ่...ข้าขอขอบคุณ!"
"พี่ใหญ่...ข้าจะหาเวลามาหาท่านในอนาคต!"
......
ถ้าเขาบอกคนของโลกก่อนหน้านี้ของเขาว่าซุนชิงเสียที่เป็นคนของนิกายหมอกฟ้าคราม
ได้กล่าวสิ่งนี้กับเขา คนจำนวนมากจักต้องไม่เชื่อ แต่ในชีวิตนี้มันก็คือความจริง
มีเพียงสิ่งเดียวที่เขายังคงสงสัยอยู่ก็คือว่าคนที่จะต้องมาช่วยตระกูลซุนควรจะเป็นคนจากนิกายหมอกฟ้าครามตามที่บันทึกไว้
แต่กลับกลายเป็นว่าคนที่มาช่วยเป็นคนจากนิกายเกาะหยกมรกตอมตะ โดยเทพธิดาซือ? ซุนชิงเสียสามารถจะเป็นศิษย์ของนิกายเกาะหยกมรกตอมตะในอนาคตและไม่ต้องไปฝึกกับนิกายหมอกฟ้าคราม?
แต่ไม่ว่าซุนชิงเสียเป็นศิษย์ของนิกายเกาะหยกมรกตอมตะหรือ นิกายหมอกฟ้าคราม
ในท้ายที่สุดก็ไม่ได้มีความสำคัญมากอันใด ที่หยางเฉินเป็นเพชฌฆาตมันยังไม่มีข้อสรุปในเรื่องของความสำเร็จและมันก็เป็นเวลาที่เขาควรจะไปได้แล้ว
ในตอนนี้หยางเฉินเอาใจใส่กับเคล็ดการฝึกบ่มเพาะพลัง เขาควรที่จะฝึกตามขั้นตอนเพื่อที่จะได้รับประโยชน์ที่มากที่สุดในเส้นทางแห่งอนาคตของการบ่มเพาะพลังของเขา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น