เป็นธรรมดาที่หยางเฉินจะไม่ทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบริเวณใกล้ๆกับพระราชวังสมบัติสวรรค์
แต่คะแนนความสำเร็จอันมหาศาลของเขายังคงกระโดดสูงขึ้นอย่างน่ากลัว บนแหวนมันแสดงให้เห็นคะแนนความสำเร็จของเขาที่มีเลขศูนย์ยาวเป็นสายที่หาจุดสิ้นสุดไม่ได้
มันชัดเจนอยู่แล้วว่าคะแนนความสำเร็จของเขาในปัจจุบันอยู่ในระดับที่สูงมาก
แต่ในแหวนมันสามารถแสดงให้เห็นเพียงช่วงปลายสายของเลขศูนย์และมองไม่เห็นตัวเลขอื่นๆ
ถ้าคนอื่นเห็นก็แน่นอนจะเชื่อว่าหยางเฉินเป็นคนที่ไม่มีความสำเร็จใดๆ
แต่หยางเฉินรู้ดีว่าทำไมแหวนถึงแสดงผลคะแนนความสำเร็จออกมาในรูปแบบนี้
มีแต่เลขศูนย์โดยไม่มีเลขอื่น เป็นเพียงเพราะว่ามันใช้เวลานานเกินไปและตัวแหวนไม่สามารถแสดงตัวเลขอื่นใดได้อีก
ตั้งแต่พระราชชนนีแห่งสวรรค์ตะวันตกได้จากไปแล้ว
ศาลสวรรค์เก่าไม่มีโอกาสที่จะฟื้นอำนาจของพวกเขาขึ้นมาได้อีก
หยางเฉินไม่มีอะไรที่จะทำกับแท่นประหารเซียนอีกต่อไป
หยางเฉินวางใบดาบหินบนแท่นวางดาบ
เขากลับไปที่ห้องเล็กๆหลังจากที่วางแผนเสร็จและพักผ่อน เขาถอดเครื่องแบบเพชฌฆาตสวรรค์ที่เตรียมไว้สำหรับเขาในแท่นประหารเซียนออก
และเปลี่ยนใส่เสื้อผ้าในโลกมนุษย์ที่เขาสวมใส่มาก่อนหน้านี้
ทุกภารกิจที่ได้รับมอบหมายประสบผลสำเร็จ
หยางเฉินพยายามระงับความปั่นป่วนแห่งความสุขในหัวใจของเขาอย่างแข็งขัน
และก้าวเดินไปที่ประตูของแท่นประหารเซียนอย่างหนักแน่น
ถ้าใครที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดหรือเนื้อของเซียนในแท่นประหารเซียนหรือสัมผัสบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ควรสัมผัส
ประตูยิ่งใหญ่ของแท่นประหารเซียนจะหายไปโดยอัตโนมัติ แต่หยางเฉินได้ระมัดระวังอย่างมากและแม้ตอนนี้ประตูยิ่งใหญ่ก็ยังคงตั้งตระหง่านอยู่ในที่ที่ของมันโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
ตามคำสั่งอย่างชัดเจนของจักรพรรดิหยก ที่ได้มอบหมายให้
ผู้บังคับบัญชาเสริมสร้างความแข็งแกร่งของศาลสวรรค์โดยการเลือกสรรหาเพชฌฆาตจากเหล่ามนุษย์ผู้มีฝันแห่งการสรรสร้าง
ในการเลือกหนึ่งครั้ง หากเพชฌฆาตไม่ตายภายในแท่นประหารเซียน
มันก็จะไม่สามารถเลือกเพชฌฆาตอื่นได้อีก
หยางเฉินไม่ได้ตายดังนั้นข้อกำหนดดังกล่าวของแท่นประหารเซียนก็จะไม่สามารถเปิดใช้งานเพื่อแจ้งให้เจ้าหน้าที่บนศาลสวรรค์รับทราบ
อดีตจักรพรรดิหยกได้ตายไปแล้วและตอนนี้ก็จะไม่มีนักโทษเซียนใหม่เข้าสู่แท่นประหารเซียน
หยางเฉินรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้หลังจากที่เขามีอำนาจและเข้าสู่ศาลสวรรค์
เขาไม่เคยได้ยินว่าจะมีใครถูกประหารชีวิตหลังจากนี้ในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา
หยางเฉินก้าวเดินไปยังที่ประตูยิ่งใหญ่
เขาหันกลับไปมองที่แท่นประหารเซียนและมองไปที่ใบดาบหิน
มุมปากของเขายกขึ้นแสดงให้เห็นรอยยิ้มแล้วก็ก้าวผ่านประตูด้วยก้าวที่มั่นคง
ภาพเหตุการณ์ได้ถูกเปลี่ยนไปในชั่วแวบหนึ่งซึ่งไม่สามารถจับภาพได้
ในขณะนี้เขาอยู่ท่ามกลางความมืด หยางเฉินมองออกไปที่ไกลๆ
เขายังคงอยู่ในบ้านที่ทรุดโทรมของเขาและมันก็ยังเป็นเวลากลางคืน
เขาก็ไม่รู้ได้ว่าเวลาที่ผ่านไปในโลกมนุษย์นั้นผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว
เมื่อตอนที่หยางเฉินปรากฏตัว ช่วงเวลานั้นมันเป็นช่วงต้นฤดูหนาว
แต่ทุกคนในเขตเมืองในตอนนี้ดูเหมือนจะหนาวสั่นมากขึ้นและพยายามดึงที่นอนหมอนผ้าห่มของพวกเขามาห่มอย่างใกล้ชิดแต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้
พวกเขายังคงรู้สึกหนาวถึงกระดูก
หนูและมดที่อาศัยอยู่ใต้ดินพวกมันก็ยังหยุดการเคลื่อนไหวไปชั่วขณะหนึ่ง
ในขณะนั้นเมืองทั้งเมืองดูเหมือนเป็นเมืองของปีศาจร้าย
ผู้คนจำนวนมากในคุกก็ตื่นขึ้นมา
เริ่มต้นที่จะสั่นเนื่องจากความหนาวเย็น ความรู้สึกมันคล้ายกับที่เจ้าแห่งความตายได้มายืนอยู่ข้างๆพวกเขาและพวกเขาบางคนที่ขี้ขลาดก็ทรุดตัวลงไปกับพื้น
บนยอดเขาอันห่างไกล หญิงสาวผู้หนึ่งผู้มีผิวขาวเนียนราวกับหยกสีขาวชั้นเยี่ยม
มองดูผาดๆราวกับนางฟ้า จู่ๆเธอก็มองไปยังทิศทางหนึ่งที่ห่างไกลออกไป
เธอมุ่ยปากแล้วพึมพำกับตัวเอง "ช่างเป็นเจตจำนงแห่งการฆ่าที่มีพลังมหาศาล วิญญาณมากมายเท่าไหร่แล้วที่ถูกปีศาจนี้ฆ่า"
ร่างของเธอหายไปในชั่วพริบตา
เธอได้จากไปแล้วทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่าให้อยู่เบื้องหลัง
นอกจากนั้นยังมีคนอื่นๆ ที่สังเกตเห็นจุดนี้จากทิศทางอื่น ๆ
สำหรับผู้มากประสบการณ์จะเพียงแค่มอง แต่มีคนจำนวนไม่น้อยรีบหนีไปทันที
มันขึ้นอยู่กับระดับการบ่มเพาะพวกเขาว่าอยู่ในระดับสูงหรือต่ำ
หยางเฉินในที่สุดก็สังเกตเห็นบางอย่างผิดปกติ ในแท่นประหารเซียนนี้เจตจำนงแห่งการฆ่าและกลิ่นอายแห่งการฆ่ามันไม่เป็นอะไรได้
แต่ในโลกเบื้องล่างมันก็มากพอที่จะทำให้ผู้คนที่สัมผัสกับกลิ่นอายแห่งการฆ่าสามารถกลายเป็นบ้าได้
ถ้าเขาไม่รีบระงับจุดก่อกำเนิดของเจตจำนงแห่งการฆ่า มันอาจจะสร้างปัญหาให้กับเขาได้
ก่อนที่หยางเฉินจะได้พบกับผู้ฝึกตนที่มีระดับบ่มเพาะระดับสูง อาจจะโชคดีหากพวกเขารับรู้ว่าหยางเฉินเป็นเพียงเพชฌฆาตธรรมดาทั่วไปและพวกเขาก็จะไม่สนใจหยางเฉินต่อไป
แต่ถ้าหากโชคไม่ดีพวกเขาอาจจะพยายามเชือดหยางเฉินในทันทีด้วยกระบี่บินของพวกเขา เพื่อที่จะกำจัดความชั่วร้ายและปกป้องการทำลายล้างจากปีศาจร้าย
ด้วยการบ่มเพาะพลังของเขามันแทบไม่มีผลอะไรกับเจตจำนงแห่งการฆ่า
แต่หยางเฉินไม่ได้คาดคิดว่าเจตจำนงแห่งการฆ่าจากการฆ่าเซียนทั้งหลายจะถูกเปิดเผย
จริงๆมันเป็นเรื่องของการคำนวณที่ผิดพลาด
เคล็ดวิชาลับสามขั้นแห่งการรู้แจ้ง...จู่ๆหยางเฉินก็จำได้ถึงสิ่งที่ท่านศาลอาวุโสสูงสุดเคยบอกไว้เกี่ยวกับ
เคล็ดวิชาลับสามขั้นแห่งการรู้แจ้ง มันสามารถปรับแต่งเจตจำนงแห่งการฆ่าลงไปในจิตวิญญาณ
มันสามารถช่วยปิดบังคุณสมบัติสถานะของชีวิตไม่น่าแปลกใจที่ ท่านศาลอาวุโสสูงสุดได้บอกไว้ว่าเขาจะต้องใช้มันในเร็วๆนี้
หยางเฉินไม่กล้าที่จะละเลย เขาเร่งรีบทบทวนถึงสิ่งที่ท่านศาลอาวุโสสูงสุดได้สอนเขาเกี่ยวกับเคล็ดวิชาลับสามขั้นแห่งการรู้แจ้ง เขาเริ่มต้นอย่างช้าๆทำความเข้าใจกับความความลึกลับที่อยู่ภายใน
หลังจากที่หยางเฉินนั่งลงทำสมาธิและเริ่มที่จะบ่มเพาะตามแนววิธีการระดับแรกของเคล็ดวิชาลับสามขั้นแห่งการรู้แจ้ง
เคล็ดวิชาลับสามขั้นแห่งการรู้แจ้ง มีทั้งหมดเก้าระดับ
และแม้หยางเฉินจะมีประสบการณ์กว่าหมื่นปีในการบ่มเพาะพลัง เขาก็ยังคงฝึกบ่มเพาะทีละระดับอย่างมั่นคง
การบ่มเพาะอารมณ์ของหยางเฉิน เขาอยู่ในระดับสุดยอดทองอมตะดั้งเดิมตั้งแต่การเกิดใหม่ของเขาและแม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่เขาได้รับการฝึกฝนบ่มเพาะพลัง
เขายังคงสามารถทำมันได้ในทันทีโดยไม่ต้องอาศัยผู้อื่นในการผ่านเงื่อนไขสำหรับการบ่มเพาะพลัง
หลังจากผ่านไปหกชั่วโมงหยางเฉินหยุดพักจากการฝึกฝนบ่มเพาะพลังของเขา
เขาปล่อยลมหายใจยาว
หยางเฉินเริ่มที่จะตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของเขาอย่างช้าๆ
เคล็ดวิชาลับสามขั้นแห่งการรู้แจ้ง คือกุญแจสู่ ‘หนึ่งปราณสู่สามขั้นแห่งการรู้แจ้ง’ ของท่านศาลอาวุโสสูงสุด เท่านั้นก็อาจเพียงยกระดับจิตวิญญาณและไม่มีพลังเวท
หยางเฉินตระหนักถึงเรื่องนี้มานานแล้ว แต่ในขณะที่เขาได้รับการฝึกฝนบ่มเพาะพลังเขาก็ยังคงตกใจต่อการเปลี่ยนแปลงในจิตวิญญาณของเขา
แต่เดิมหยางเฉินเกิดมาเป็นมนุษย์ และปราศจากทักษะการบ่มเพาะพลังใดๆ
โดยธรรมชาติแล้วเขาไม่มีพลังแห่งจิตวิญญาณหรือพลังเวทใดๆ มีเพียงแต่ประสบการณ์หมื่นปีในการบ่มเพาะพลังและการบ่มเพาะอารมณ์
แต่ด้วยนี่เป็นครั้งแรกที่ฝึกฝนการบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดเคล็ดวิชาลับสามขั้นแห่งการรู้แจ้ง
ตอนนี้จิตวิญญาณของเขาได้เพิ่มขึ้นมาทันทีเป็นมวลก้อนขนาดใหญ่มาก มันบ่งบอกว่าเขาประสบความสำเร็จในการบ่มเพาะพลังที่เกือบจะถึงขั้นก่อสร้างรากฐาน
มันเป็นผลลัพธ์ที่น่าทึ่งและงดงาม
แม้หยางเฉินเองก็ไม่ได้คาดการณ์ว่าจะได้ผลลัพธ์ที่น่าทึ่งอย่างนี้ เขาเองก็เริ่มสงสัยในการตัดสินใจของตัวเอง
ในขณะนั้นอย่างรวดเร็วเขาสังเกตเห็นความหนาแน่นของหมอกโลหิตเริ่มที่จะเบาบางลง มันทำให้เขายอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นได้
การดูดซับเจตจำนงแห่งการฆ่าเข้าสู่จิตวิญญาณมันดูน่าสนใจ
หยางเฉินคาดการณ์ว่าหากเขาทำการฝึกฝนบ่มเพาะพลังไปอีกไม่กี่วันนี้เจตจำนงแห่งการฆ่าที่ล้นออกมาจะถูกดูดซึมได้อย่างหมดจดและสมบูรณ์
ไม่มีอีกต่อไปที่จะต้องกังวลเกี่ยวกับกลิ่นอายแห่งการฆ่านี้
ในตอนนี้ท้องฟ้าดูสดใสและหยางเฉินตัดสินใจจะออกไปนอกบ้านเพื่อจะไปดูว่าเวลาได้ผ่านไปมากน้อยเพียงใด
เขาผลักบานประตูออกไปที่สนามหญ้าหน้าบ้าน สิ่งที่เขาเห็นรอบๆตัวบ้านมันดูเหมือนว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป
ทุกสิ่งดูเหมือนกับเมื่อก่อนที่เขาจะออกไป ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆบนท้องถนนหรือแม้แต่คนที่เป็นเพื่อนบ้าน
พวกเขาเหล่านั้นยังคงมองมาที่หยางเฉินอย่างระมัดระวังอย่างมากด้วยเกรงว่าจะเป็นการมองที่จะยั่วยุอารมณ์ของเขา
"วันนี้คือวันอะไร?" หยางเฉินเดินตรงไปดึงเพื่อนบ้านเพื่อที่จะถาม
แต่หยางเฉินไม่ได้คาดการณ์ไว้ว่าการสัมผัสที่เรียบง่ายเช่นนี้จะทำให้เพื่อนบ้านตกใจกลัว
มันเพียงพอที่เพื่อนบ้านของเขาจะไม่กล้าเคลื่อนไหวไปไหน เขาทำได้เพียงบีบเค้นคำสองคำออกมาหลังจากที่ฟันของเขาสั่นกระทบกันขณะที่ร่างกายสั่นเป็นเวลานาน
"อะ...ห้า!"
หยางเฉินปล่อยให้เพื่อนบ้านของเขาไป
เพื่อนบ้านของหยางเฉินตาเหลือกและวิ่งหนีออกมาอย่างรวดเร็วราวกับว่าเขาเพิ่งได้รับอภัยโทษ
เขาไม่กล้าแม้แต่จะหันหลังกลับมามอง
กลิ่นอายความเย็นแผ่ออกมาจากร่างกายของหยางเฉิน มันทำให้ผู้คนหนีออกห่างไปให้ไกลด้วยหัวใจที่ตื่นตระหนก
"ห้า!" หยางเฉินจ้องมองไปอย่างว่างเปล่า
มันยังไม่แม้แต่หนึ่งวันผ่านไป ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันอาจจะเป็นความฝันครั้งใหญ่?
ที่เขาได้ดูดซับแก่นชีวิตเป็นเพียงภาพลวงตา?
"เป็นไปไม่ได้!" หยางเฉินตะโกนในใจถึงแม้ว่าเขาจะเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ในชีวิตของเขาก่อนหน้านี้
เขาก็ไม่อาจจะมั่นใจได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นคือเรื่องจริงรวมทั้งการประหารหรือแม้แต่การเข้าไปในแท่นประหารเซียน
เมื่อเขาก้าวออกมาจากแท่นประหารเซียน
มันเป็นร่างกายที่แท้จริงของเขาและไม่ได้เป็นเพียงแค่ความคิด นอกจากนี้หากมันเป็นเพียงแค่ความคิดภายในแท่นประหารเซียน
มันจะเป็นไปไม่ได้สำหรับเขาที่จะฆ่าฝ่ายตรงข้ามด้วยใบดาบหิน
และหยางเฉินมีหลักฐานที่ดีที่สุด ด้วยสายตาอันหยั่งรู้ของท่านศาลอาวุโสสูงสุด
มันสมบูรณ์โดยไม่ต้องใช้พลังเวทเมื่อเข้าสู่แท่นประหารเซียน สายตาของผู้อาวุโสยังคงสามารถบอกความแตกต่างของร่างกายจริงและจิตวิญญาณของแต่ละบุคคล
นับตั้งแต่ที่ท่านศาลอาวุโสสูงสุดกล่าวว่าร่างกายของเขามีพื้นฐานในการบ่มเพาะพลังที่หาได้ยากในหมื่นปี
แน่นอนว่ามันไม่ได้โกหก
หยางเฉินเดินเข้าไปในบ้านและปิดประตู เขาล้วงเอาหินห้าสีออกมา
เพียงแค่สัมผัสมันหินห้าสีได้เปล่งแสงอันสดใสออกมา
แสงห้าสีส่องประกายออกมาอย่างสุกใสเจิดจ้า มันทำให้หยางเฉินสูญเสียการควบคุมของจังหวะหายใจ
สิ่งนี้มันได้พิสูจน์แล้วว่าทุกอย่างมันได้เกิดขึ้นจริงไม่มีอะไรที่เป็นภาพลวงตา
มันทำให้หยางเฉินโล่งใจ
เจตจำนงแห่งการฆ่ายังคงมีปริมาณที่หนาแน่นมาก
ก่อนที่จะฆ่าผู้คนในวันนี้ หยางเฉินยังคงมีโอกาสที่จะปรับแต่งมันอีกเล็กน้อย
ด้วยความคิดนี้หยางเฉินกลับไปที่ห้องของเขาทันที
เขานั่งสมาธิ และหันหน้าไปทางท้องฟ้า และเริ่มปฏิบัติตามเคล็ดเคล็ดวิชาลับสามขั้นแห่งการรู้แจ้งอีกครั้ง
หยางเฉินทำการฆ่าผู้คนไปเมื่อตอนก่อนเที่ยง จากนั้นเขาทำการฝึกฝนบ่มเพาะพลังต่อไปอีกสองชั่วโมงก่อนที่จะหยุดการฝึก
ในตอนนี้ความหนาแน่นของหมอกโลหิตดูจางลงแต่มันก็ยังมีปริมาณที่มาก
โชคดีที่ว่ามีเพียงผู้ฝึกฝนบ่มเพาะพลังที่สามารถมองเห็นหมอกโลหิตนี้ คนธรรมดาทั่วไปจะเพียงแค่รู้สึกกลัวกับกลิ่นอายแห่งการฆ่าที่มองไม่เห็นนี้
ปกติคนธรรมดาก็กลัวเพชฌฆาตอยู่แล้วมันจึงดูไม่น่าแปลกใจอะไร
หลังจากที่เขาเสร็จสิ้นการประหารคนไปไม่กี่สิบคน หยางเฉินได้รับการเตือนอย่างไม่เป็นทางการว่าเขาจะต้องทำการประหาร
ขุนนางตระกูลซุนทั้งตระกูลจำนวนสามร้อยคนในวันพรุ่งนี้ ซึ่งอาจจะทำให้เขาเหนื่อยมันจึงเป็นการดีหากจะรีบกลับไปเตรียมความพร้อมแต่เนิ่นๆ
เขารีบกลับไปที่บ้านของเขาและเริ่มต้นฝึกฝนบ่มเพาะพลัง
คราวนี้หยางเฉินทำการฝึกฝนบ่มเพาะพลังตั้งแต่ในช่วงบ่ายจนถึงตอนเช้าของอีกวัน
ตอนนี้ใกล้เวลาที่เขาจะต้องทำการเชือดคนสามร้อยคน เขาต้องแข่งกับเวลาในการดูดซับเจตนาแห่งการฆ่าให้สมบูรณ์ที่สุดก่อนที่จะมีการทำลายล้าง
ก่อนที่เหล่านักบ่มเพาะผู้เคร่งกฏระเบียบจะมาที่นี่
เหตุที่หยางเฉินได้วางแผนเลือกมณฑลนี้ไว้ล่วงหน้า มันเป็นเพราะว่าที่นี่ห่างจากนิกายของนักบ่มเพาะพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและแม้กระทั่งผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับกระบี่บิน
มันจะใช้เวลาอย่างน้อยสองวันถึงจะมาถึงที่นี่ เท่านี้หยางเฉินก็จะมีเวลาที่มากเพียงพอที่จะทำการปราบปรามเจตจำนงแห่งการฆ่าของเขาให้กลับมาอยู่ในระดับของคนธรรมดา
เคล็ดวิชาลับสามขั้นแห่งการรู้แจ้งมีคุณค่าอย่างมาก มันเป็นทีเด็ดของ
ผู้อาวุโสศาลสูงสุด เคล็ดทั้งหมดที่ท่านผู้อาวุโสศาลสูงสุดได้พูดไว้เขาได้ปฏิบัติตามจนเสร็จสิ้นแล้ว
หยางเฉินเพียงฝึกฝนบ่มเพาะพลังมาเป็นรอบที่สามเขาใช้เวลาไม่เกินแปดชั่วโมงถึงมันจะยังคงเป็นเพียงระดับแรก
แต่กับรอบที่สามที่เขาฝึกฝนบ่มเพาะพลัง จิตวิญญาณของหยางเฉินมันเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายของเขา
หมอกโลหิตที่แผ่ปกคลุมไปทั่วร่างกายของเขาวิ่งเข้าไปภายในร่างของหยางเฉิน
มันเหมือนมีแรงดึงดูดขนาดใหญ่ และหลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงสั้นๆหลายๆครั้ง หมอกโลหิตมันหล่อหลอมรวมเข้าไปในจิตวิญญาณของหยางเฉินมันเป็นการรวมตัวที่น่าสะพรึงกลัว
หยางเฉินสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงความเย็นของหมอกโลหิตที่ไหลอยู่ภายในตัวเขา
มันดูน่ากลัวมากขึ้นสำหรับจิตวิญญาณของเขา มันสามารถดูดซึมได้เร็วขึ้น
ถึงขนาดสามารถก่อขึ้นรูปเป็นเกลียวเสริมแรงทางบวก
แต่หยางเฉินยังคงไม่สามารถโล่งใจได้ เพราะความเร็วในการดูดซึมก็ยังคงช้าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับความหนาแน่นของหมอกโลหิต
เมื่อเทียบกับความสามารถของ จิตวิญญาณของเขา
หยางเฉินก็ยิ่งกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับวิธีการฝึกบ่มเพาะพลังที่จะให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
หยางเฉินไม่เคยคิดว่าเขาจะสามารถครอบครองจิตวิญญาณของเขาในขณะที่พลังเวทมีไม่เพียงพอ
แม้ว่าเขาจะเคยใช้พลังเวท จากประสบการณ์ของเขาวิญญาณของเขาในปัจจุบันสามารถเทียบเท่ากับในขั้นตอนการก่อสร้างรากฐานในชีวิตก่อนหน้านี้
หากใช้น้ำหนักของเงินเพื่อที่จะเปรียบเทียบกับมันแล้วเขาดูเหมือนคนธรรมดาที่จู่ๆได้รับเงินนับหลายพันตำลึงเงินมันมากพอที่จะใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายไปตลอดชีวิต
หยางเฉินสัมผัสได้อย่างแผ่วเบาว่าจิตวิญญาณที่น่ากลัวดูเหมือนจะพยายามแบ่งออกเป็นสองส่วน
มันทำให้เขารู้สึกแปลก สี่งนี้เหมือนเป็นจุดชี้วัด จากบันทึกเคล็ดเคล็ดวิชาลับสามขั้นแห่งการรู้แจ้ง
สิ่งนี้มันควรจะเป็นลางบอกเหตุของการแยกจิตวิญญาณ เพราะมันเป็นหนึ่งปราณสู่สามขั้นแห่งการรู้แจ้ง
แล้วจิตวิญญาณก็จะแยกออกเป็นสามส่วนในท้ายที่สุด แต่อย่างน้อยสิ่งที่จะเกิดขึ้นมันอยู่เหนือขั้นผลิดอก
ซึ่งก็คือขั้นออกผล วิธีการบางอย่างเช่นนี้เกิดขึ้นเมื่อเขาเพิ่งเริ่มที่จะปฏิบัติมันจะเป็นไปได้อย่างไร?
อะไรที่หยางเฉินไม่ทราบก็คือการที่จิตวิญญาณได้ถูกแบ่งแยกมันมีความเกี่ยวข้องกับพลังเวท
และมันจะปรากฏขึ้นหลังจากที่จิตวิญญาณอยู่ในขั้นที่สูงกว่าพลังเวท สภาพปัจจุบันของหยางเฉินก็คือว่าเขาไม่ได้มีร่องรอยของพลังเวท
แต่จิตวิญญาณที่มีกลับอยู่ในขั้นก่อสร้างรากฐาน เมื่อเงื่อนไขครบมันจึงเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตามมีข้อบ่งชี้สำหรับการแยกของจิตวิญญาณได้อย่างชัดเจนสำหรับจุดสูงสุดของระดับแรกของการปฏิบัติ
เขาสามารถฝึกฝนบ่มเพาะพลังทักษะระดับที่สองได้อยู่แล้ว
วัตถุประสงค์สุดท้ายของหนึ่งปราณสู่สามขั้นแห่งการรู้แจ้งมันต้องการให้แตกออกไปเป็นสามส่วน
ตอนนี้เขามีอยู่แล้วสัญญาณของการแยก หยางเฉินตามธรรมชาติจะไม่หยุด เขายังคงฝึกฝนบ่มเพาะพลังต่อไป
เพียงแต่หลังจากจบรอบของการปฏิบัติในครั้งนี้หยางเฉินสามารถไต่ระดับขั้นแรกขึ้นไปขั้นที่สองของเคล็ดเคล็ดวิชาลับสามขั้นแห่งการรู้แจ้ง
เมื่อเข้าสู่ขั้นที่สอง หยางเฉินทันทีรู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งราวกับปลาวาฬกลืนกินหมอกโลหิตที่อยู่รอบตัวเขา
พวกมันวิ่งเข้าสู่ร่างกายของเขาราวกับว่าพายุหมุนที่มีความรุนแรง ความเร็วในการดูดซึมเร็วขึ้นเป็นอย่างน้อยสองเท่า
หยางเฉินออกอาการมึนกับความรู้สึกที่พลุกพล่านไม่สงบของเขาและในขณะเดียวกันพลังจิตวิญญาณของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วซึ่งมันสวนทางกับปริมาณความหนาแน่นของหมอกโลหิตที่จางลงอย่างรวดเร็วและในเวลาไม่กี่ชั่วโมงซึ่งถือว่าสั้นมาก
หยางเฉินได้ดูดซึมหมอกโลหิตไปแล้วเกือบเจ็ดในสิบส่วน
ความหนาแน่นของหมอกโลหิตในขณะนี้ลดระดับมาถึงระดับของมารเฒ่าอี้
รอบๆตัวของหยางเฉินยังมีม่านโลหิตจางๆกระจายอยู่รอบๆ
ในเวลาเดียวกันกับที่หยางเฉินนั่งฝึกฝนบ่มเพาะพลังอยู่อย่างเงียบๆ ห่างออกมาระยะไกลในทุกทิศทุกทาง
มีกลุ่มคนหลายคนทำการบินโดยการควบคุมดาบให้บินไปในทิศทางที่ตั้งไว้ มันน่าอัศจรรย์ที่เป้าหมายของพวกเขาคือที่อยู่ของหยางเฉิน
"เอะ?" หญิงสาวในชุดสีขาวคนหนึ่งในหมู่พวกเขารู้สึกประหลาดใจกับปริมาณความหนาแน่นของเจตจำนงแห่งการฆ่าที่ลดลงอย่างรวดเร็วในไม่กี่ชั่วโมง
ก็อาจจะมีบางเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันที่ไม่อาจรู้ได้เกิดขึ้นที่นั่น?
"ฮึม" เมื่อมองไปในทิศทางของเป้าหมาย
หญิงสาวที่อยู่ในชุดสีขาวมีกลิ่นอายความเยือกเย็นแผ่ออกมาใบหน้าของเธอไม่มีความอบอุ่นแม้แต่น้อย
"มันไม่สำคัญว่าเจ้าจะเป็นใคร เจ้ากล้าสร้างกลิ่นอายแห่งการฆ่า
แม้ว่าเจ้าจะหนีไปยังสุดขอบโลก ข้าก็จะตามหาเจ้าให้พบเพื่อปกป้องคุณธรรมและกำจัดภัยพิบัติเช่นเจ้า!"
หยางเฉินดูเหมือนไม่ได้ตระหนักถึงเหตุการณ์ใดๆ เขาเพียงแค่หยุดการฝึกฝนบ่มเพาะพลัง
และพยายามระลึกถึงผู้คนในความทรงจำของเขา ดูเหมือนว่าคนเหล่านี้ได้ถูกคุ้มครองไว้
และหลังจากนั้นพวกเขาถูกนำไปนิกายเพื่อฝึกฝนบ่มเพาะพลังจากนั้นกลายเป็นความภาคภูมิใจของคนรุ่นต่อๆมา
พวกเขามาจากตระกูลซุน มีรายงานอย่างเป็นทางการว่าปู่ของเธอดูเหมือนจะเป็นขุนนางแห่งราชวงศ์
ซาง
บังเอิญที่ครอบครัวของหยางเฉิน ถูกขับไล่ออกมาโดยขุนนางตระกูลซุน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น