Credit: http://thesnowzombie.deviantart.com/art/The-Executioner-185751164
จากนิกายสวรรค์ยิ่งใหญ่กลับไปที่หมู่บ้านหยางมันใช้เวลาในการเดินทางราวๆหนึ่งเดือน นิกายเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเดินทางรวมถึงรถม้าเมื่อตอนขามา แต่ผู้ที่ไม่ผ่านการทดสอบเหล่านี้ จะต้องหาวิธีกลับไปยังหมู่บ้านหยางเอง
เด็กหนุ่มสาวของหมู่บ้านหยางมีฐานะที่ยากจน
พวกเขาทำได้เพียงแค่เดินทางด้วยเท้า ซึ่งมันใช้เวลานานมากๆ แน่นอนมันย่อมมากกว่าหนึ่งเดือน
ทุกคนนั้นยอมรับในจุดนี้
พวกเขาได้นำเหรียญเงินออกมาใช้จ่ายก่อนที่จะจากไป เพื่อซื้อหมั่นโถในร้านเล็กๆบริเวณทางเดินข้างๆตีนภูเขาไว้เป็นจำนวนมาก
โดยใช้แผ่นหนังที่เตรียมมาในการเก็บพวกมันแทนถุงผ้าและกินพวกมันระหว่างการเดินทาง
สำหรับชาวบ้านแล้วการเดินทางด้วยเท้าเป็นระยะทางไกลนั้นเป็นเรื่องปกติ
พวกเขาไม่ได้ยึดติดกับการทำนาที่พวกเขามีอยู่ หากพวกเขาโชคดีสามารถเข้าสู่เส้นทางแห่งนิรันดร์
พวกเขาจะเป็นดั่งปลาที่กระโดดข้ามประตูแล้วกลายเป็นมังกรเลยทีเดียว
และถึงแม้จะไม่ประสบผลสำเร็จพวกเขาก็สามารถกลับมาดำเนินชีวิตอย่างที่พวกเขาเคยเป็น
หยางเฉินนั้นได้ปรับอารมณ์มาเป็นปกติแล้ว
ด้วยเป้าหมายที่หยางเฉินวางไว้ มันทำให้เขาไม่โกรธใครง่ายๆ ในสายตาของเพื่อนสนิทไม่มีใครคิดว่าเขาเป็นคนหัวแข็ง
หยางเฉินดูเหมือนจะเป็นตัวของตัวเอง
สุภาพและน่ารัก มีรอยยิ้มเสมอ แต่ยังทำสิ่งต่างๆตามข้อเสนอแนะของเพื่อนๆอย่างง่ายดาย
ไม่มีใครรู้สึกว่ามีอะไรที่แปลกไป มันเป็นเพียงแค่ว่าสิ่งที่หยางเฉินกล่าวออกมาดูเหมือนเหมาะสมและมีเหตุผลเป็นอย่างมาก
หยางเฉินหาข้ออ้างเพื่อแยกออกจากกลุ่มและอยู่เพียงคนเดียว
คนอื่นๆ ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร แท้จริงแล้วทุกคนคิดว่าถึงเขาย้อนกลับไปมันก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
แต่ไม่มีใครพูดอะไรและได้แต่ปล่อยให้เขาจากไป
หยางเฉินไม่ได้ย้อนกลับไปที่นิกายสวรรค์ยิ่งใหญ่อย่างเช่นที่ทุกคนคิด แต่เขาเลี้ยวไปทางฝั่งขวาแล้วเดินเข้าไปในภูเขา
ด้วยมีดตัดไม้ที่อยู่ในมือและอีกประสบการณ์หนึ่งหมื่นปีของเขา หยางเฉินสามารถหาอาหารและน้ำเพื่อดำรงชีวิตได้อย่างไม่มีปัญหา
เหตุผลที่หยางเฉินหลีกเลี่ยงทุกคนเป็นเพราะเขาอยากจะเริ่มต้นหล่อหลอมร่างกาย
การหล่อหลอมร่างกายนั้นต่างจากการบ่มเพาะ
มันไม่ได้ดึงลมปราณเข้าสู่ร่างกายเพื่อรวบรวมลมปราณเช่นเดียวกับการฝึกบ่มเพาะ
แต่มันเป็นการใช้ทักษะการต่อสู้ฝึกฝนกำลังภายนอก
เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย
สำหรับกำลังภายในเขายังไม่ได้ฝึกอะไรทั้งสิ้น
สำหรับเหล่านักบ่มเพาะ
การฝึกกำลังภายนอกนั้นด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด ตราบใดที่พวกเขาสามารถรวบรวมลมปราณแล้วฝึกมันจนสามารถขึ้นไปสู่ระดับก่อสร้างรากฐานได้
คนหนึ่งคนอาจจะมีพลังจิตวิญญาณเพื่อมาบำรุงร่างกาย ซึ่งได้ผลที่มากกว่าการฝึกกำลังภายนอกนับเป็นร้อยเท่า
นอกจากนี้
ผู้ที่ฝึกกำลังภายนอกก็จะเสียเวลาในการฝึกบ่มเพาะไปเปล่าๆ
และถึงบางคนจะมีเวลามันก็ยังต้องเสียค่าใช้จ่ายอีกมากมายไม่ว่าจะเป็นหินจิตวิญญาณหรือการกลั่นสกัดยาเพื่อช่วยเสริมการฝึก
หยางเฉินนั้นไม่ได้ปัญญาทึบ
เขามีประสบการณ์บ่มเพาะนับหมื่นปี
เขาย่อมรู้ดีกว่าใครๆว่าอะไรคือความแตกต่างเมื่อฝึกบ่มเพาะระหว่างร่างกายแข็งแกร่งกับร่างกายอ่อนแอ
บางทีความแตกต่างอาจไม่สามารถมองเห็นได้ในไม่กี่ศตวรรษ แต่ช่องว่างก็จะมีมากขึ้นจนน่ากลัวเมื่อระดับพลังเพิ่มมากขึ้น
รากฐานเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการฝึกบ่มเพาะ
และนอกจากนี้ยังมีพื้นฐานการฝึกฝนบ่มเพาะรากจิตวิญญาณเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
ร่างกายที่แข็งแกร่งก็เป็นรากฐานที่ดีสามารถพัฒนาขึ้นไปได้อย่างเยี่ยมยอดมากยิ่งขึ้น
การเสริมสร้างร่างกายให้มีประสิทธิภาพนั้นเป็นขั้นตอนแรก
แม้กระทั่งเส้นทางแห่งการบ่มเพาะ ก็ไม่ได้ศึกษาแต่วิธีการบ่มเพาะและทำการละเลยที่จะฝึกฝนร่างกาย
จริงอยู่ที่พลังจิตวิญญาณจะเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแกร่งในระดับหนึ่ง
แต่การที่จะเสริมสร้างร่างกายที่อ่อนแอกับร่างกายที่แข็งแกร่งนั้นมันย่อมมีผลที่แตกต่าง
หากเทียบทักษะระหว่างนักบ่มเพาะคนหนึ่งกับคนที่ใช้เวลาในการเข้าฌาณเป็นเวลานาน
มันย่อมมีความแตกต่างในการต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่าย
เป้าหมายของหยางเฉินก็คือการฝึกกำลังภายนอก
เพื่อปรับแต่งกล้ามเนื้อและกระดูกของเขาก่อนที่จะเริ่มฝึกบ่มเพาะ
มีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำไมหยางเฉินเน้นการฝึกกำลังภายนอกเพียงอย่างเดียวและไม่ฝึกกำลังภายใน
นั่นก็คือเคล็ดวิชาการปรับปรุงรากจิตวิญญาณของมารเฒ่าอี้นั้นต้องทำเช่นนี้ก่อนเริ่มทำการฝึกบ่มเพาะเท่านั้น
มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะไม่เอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ
(TTL: ประมาณว่าเทคนิคใหม่ย่อมดีกว่า)
นอกจากทักษะการต่อสู้แล้ว
ยังมีการวิ่ง การกระโดดและอีกหลากหลายวิธีที่จะเพิ่มความยืดหยุ่นและความเร็วให้กับร่างกาย
บนเส้นทางที่หยางเฉินกำลังมุ่งหน้าไป
เขาทำการกระโดดมากกว่าวิ่งและไว้ใจในมีดผ่าฟืนในการหาอาหาร
มากกว่าสิบวัน ความทรงจำของหยางเฉินได้ย้อนกลับมามากขึ้น
อีกทั้งยังเด่นชัด ทุกอย่างในชีวิตของเขานั้นย้อนกลับมาในความคิดของเขาอีกครั้ง
ในขณะที่เขาทำการหล่อหลอมร่างกายด้วยการวิ่ง
ไม่ช้าหยางเฉินก็มาถึงภูเขาลูกหนึ่ง
ภูเขาแห่งนี้อยู่ไม่ไกล
ใช้เวลาเพียงเล็กน้อยก็มาถึง มีคนไม่มากนักที่จะมาที่นี่ มันเป็นภูเขาที่แห้งแล้งที่แทบจะไม่มีพลังปราณหรือพลังจิตวิญญาณจากธรรมชาติเลย
บริเวณนั้นมีวัดภูเขาขนาดเล็กๆ มันเป็นเพียงซากปรักหักพังที่ถูกทิ้งให้รกร้างมานานและกำแพงครึ่งหนึ่งยังยุบลงมา
หยางเฉินยืนอยู่ด้านหน้าของวัดภูเขาแห่งนี้อย่างระมัดระวัง
เมื่อแน่ใจว่านี่คือวัดภูเขาในความทรงจำ เขาเผยรอยยิ้มออกมาก่อนที่จะผลักประตูวัดที่ทรุดโทรมและเดินเข้าไปภายใน
แต่เดิมมันมีภาพจิตรกรรมฝาผนังสลักอยู่บนผนัง
แต่ลมและฝนได้กัดเซาะพวกมันจนเป็นรอยด่างลาย หลังจากหยางเฉินเข้ามาในวัดสิ่งแรกที่เขาทำคือทำความเคารพภาพของเจ้าภูเขาบนแผ่นศิลาจารึกที่ตะแคงอยู่บนก้อนดิน
ภาพมันดูซีดจางจนแทบมองไม่ออก
เจ้าภูเขาอาจจะมีลำดับชั้นที่ไม่สูงนัก
วัดวาอาจจะดูทรุดโทรม แต่มันก็ยังเป็นที่ทำการของสวรรค์
หลังจากที่แสดงความเคารพ
หยางเฉินเดินไปยังพื้นที่ที่อยู่เบื้องหลังแผ่นศิลาจารึกจิตวิญญาณและต้นไหวโบราณ
Credit: Google,
Lotus tree หรือ ต้นไหว
เขากะระยะห่างเพื่อตรวจสอบสถานที่และเริ่มขุด
หลังจากขุดลึกประมาณสองเมตรเขาก็สัมผัสกับวัตถุที่เป็นของแข็ง
หยางเฉินรู้สึกตื่นเต้นมาก
เขาขุดลงไปทีละนิดตามขอบของวัตถุ ในที่สุดมันก็เผยให้เห็นวัตถุชิ้นหนึ่งมีลักษณะเป็นหีบสีเหลี่ยมทำมาจากโลหะ
หีบถูกฝังอยู่ใต้พื้นดินมาหลายปี แต่ยังคงอยู่ในสภาพที่ดี ไม่มีรอยของการกัดกร่อน
มีเพียงคราบดำจากเศษดินและความชื้น
เขายกหีบขึ้นมา
น้ำหนักของมันประมาณ ร้อยจิน (ราวๆห้าสิบกิโลกัรม) หากไม่ใช่เพราะว่า หยางเฉินเสริมสร้างความแข็งแรงของเขาเมื่อเร็วๆนี้และมีร่างกายที่แข็งแกร่งตั้งแต่วัยเด็ก
เขาคงไม่สามารถยกหีบนี้ได้
หีบนี้มันเป็นของอาจารย์อาวุโสหยาง
ซึ่งเป็นปู่ของหยางซี ผู้ซึ่งได้ทิ้งเบื้องหลังในวัยหนุ่มของเขาไว้ที่นี่ ในกรณีที่ครอบครัวของเขาพบกับภัยพิบัติในอนาคตพวกเขาจะใช้มันเป็นเงินทุนในการสร้างฐานะขึ้นมาใหม่
เพียงแต่ตอนนี้ทุนในครั้งนี้อยู่ในมือของหยางเฉิน
ด้วยทรัพย์สมบัติในหีบ
หยางเฉินสามารถพาพ่อแม่ของเขาออกไปจากหมู่บ้านหยางได้
อดีตได้ย้อนเข้ามาในห้วงคำนึงของหยางเฉิน
ครั้นเมื่อหยางซีได้วางกับดักหยางเฉิน มันแม้กระทั่งใช้พ่อกับแม่ของเขาเป็นตัวประกัน
ทำให้หยางเฉินไม่มีทางเลือกได้แต่หวานอมขมกลืน ในชีวิตนี้หยางเฉินจะไม่ให้โอกาสหยางซีได้ทำเช่นนั้นอีก
ในเวลานี้อาจารย์อาวุโสหยางอาจจะยังไม่ได้บอกหยางซีเกี่ยวกับเรื่องนี้
แต่เพื่อประโยชน์ของหยางเฉิน สิ่งแรกที่เขาขุดขึ้นมาจากพื้นดิน
เขาจะปลูกต้นไม้เล็กๆไว้ที่ตรงนี้แทนและย้ายจุดฝังหีบไปอีกที่ซึ่งอยู่ติดกับถนน หยางเฉินทำการกลบร่องรอยต่างๆเพื่อทำให้แน่ใจว่าไม่มีเบาะแสใดๆที่สามารถตรวจสอบได้
จากนั้นจึงเดินทางกลับบ้าน
ขณะที่วิ่งอยู่บนทางกลับบ้าน
ความเร็วของหยางเฉินก็ไม่ได้ช้ากว่าเหล่าสหายที่กำลังเดิน เมื่อพวกเขากลับไปถึงหมู่บ้าน
หยางเฉินก็ไล่ตามทัน
มากกว่าหนึ่งเดือนของการฝึกอย่างหนักทำให้ร่างกายของหยางเฉินดูบึกบึนและแข็งแรงมากกว่าเมื่อตอนที่เขาจากไป
แม้จะมีอายุเพียงแค่สิบหก ร่างกายของเขาในตอนนี้อาจเทียบเท่ากับผู้ใหญ่ได้
ข่าวดีที่ว่าลูกหลานของอาจารย์อาวุโสหยางอย่างหยางซีและหยางลาน
ที่ได้รับเลือกโดยนิกายสวรรค์ยิ่งใหญ่ ดังแซ่ซ้องไปทั่วทั้งหมู่บ้าน เกือบทั้งเขตตกใจและแม้กระทั่งผู้รักษาการเขตก็ยังมาเพื่อแสดงความยินดี
หมู่บ้านหยางยังคงคึกคักอย่างกับมีงานเทศกาลที่ใหญ่โต
ท่ามกลางเหตุการณ์ที่อึกทึกของครอบครัวอาจารย์อาวุโสหยาง
ความเศร้าในความล้มเหลวของหยางเฉินนั้นประหนึ่งเป็นเรื่องธรรมดา
ครอบครัวของหยางเฉินนั้นใช้แซ่หยางแต่พวกเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดใดๆ
กับผู้อาวุโสหยาง
สามคนพ่อแม่และหยางเฉินได้เช่ารถม้าในเมือง
พวกเขาไม่ได้นำสิ่งของอะไรไปมากนักและรีบเร่งออกเดินทางไปอย่างรวดเร็ว
หยางเฉินได้ยกเลิกรถม้าที่ใช้เดินทางเมื่อใกล้ถึงเมืองถัดไป
จากนั้นเขาได้เช่ารถม้าใหม่ที่เมืองนี้ ระหว่างเดินทางยังได้ทำการเปลี่ยนรถม้าอีกประมาณหกที่เพื่อไปยังสถานที่ตั้งใจไว้
ในที่สุดหยางเฉินก็ทำการซื้อรถม้าและหลังจากนั้นหนึ่งวันบนท้องถนน ครอบครัวของหยางเฉินได้รีบเร่งเดินทางเพื่อไปยังจุดที่หยางเฉินได้ฝังหีบไว้
เมื่อเขาหาที่จอดพักในที่ๆเหมาะสมได้
ในเวลาไม่กี่ชั่วยาม กล่องต่างๆก็ได้ถูกบรรจุไว้ในหีบห่อสัมภาระของครอบครัวหยางเฉิน
และแน่นอนสถานที่ที่ซ่อนกล่องเหล่านั้นย่อมไม่มีใครมองเห็น
ไม่นานหลังจากนั้นพวกเขาทำการเปลี่ยนเส้นทางการเดินทางอีกครั้ง
เมื่อเวลาได้ผ่านไปราวๆสองเดือน หยางเฉินอยากให้พ่อแม่ของเขาได้ลงหลักปักฐานในที่ที่ปลอดภัย
ตลอดทางพวกเขาเดินทางบนถนนสายหลัก และเนื่องจากครอบครัวไม่ได้ดูมีฐานะ จึงโชคดี
ไม่มีโจรภัยคุกคามตลอดการเดินทาง พวกเขาสามารถเดินทางได้อย่างปลอดภัยจนถึงจุดหมายปลายทาง
จากการเตรียมการทั้งหมดเหล่านี้มันยากสำหรับทุกคนที่จะหาพ่อแม่ของหยางเฉินเจออีกครั้งในภายหลัง
ในความเป็นจริง ถนนสายนี้ได้นำพวกเขาออกจากเมืองเฉินที่ซึ่งครอบครัวของหยางเฉินจากมา
และเข้าสู่พรมแดนของเมืองเจา สำหรับชาวนาแก่ๆสองคนที่ดูเหมือนพ่อแม่ของหยางเฉิน
การออกจากเมืองเฉินนั้นเป็นไปได้ยาก
จากมุมมองภายนอกดูเหมือนหยางเฉินวางแผนมาเป็นอย่างดี
แต่ความจริงแล้วเขารู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น
ดังนั้นเขาจึงหลีกเลี่ยงเส้นทางที่จะก่อให้เกิดปัญหาใดๆกับพวกเขา ดังนั้นตลอดการเดินทางจึงปลอดภัยและราบรื่น
ทรัพย์สมบัติของอาจารย์อาวุโสหยาง
มีมากมาย มันมีมากกว่าหกร้อยตำลึงทอง หนึ่งร้อยตำลึงเงิน ส่วนที่เหลือก็เกินที่คาดคิด
มีหินจิตวิญญาณคุณภาพต่ำ อีกทั้งยังมีเศษหินจิตวิญญาณอีกหลายสิบก้อน ซึ่งมีค่าเท่ากับหลายหมื่นตำลึงทอง
หยางเฉินไม่ได้อยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัว
เขาทำการซื้อคฤหาสน์พร้อมที่ดินและคนรับใช้อีกกว่าโหล
ในสถานที่ที่ค่อนข้างห่างไกลแต่เขียวขจี
แล้วรับพ่อแม่ของเขาไปอยู่ที่คฤหาสน์ขนาดใหญ่ อีกทั้งได้ซื้อที่ดินสำหรับการเพาะปลูกอีกหลายร้อยแปลง
โดยให้กว่าร้อยครอบครัวชาวนาเป็นผู้เช่าที่ดิน
ก่อนหน้านี้ชาวนาทั้งสองไม่คิดว่าเขาจะมีความสุขได้ง่ายๆแบบนี้ อยู่ๆพวกเขาก็กลายเป็นผู้มีอันจะกิน ได้รับการยกย่องจากผู้คนหลายร้อยคน คนอื่นๆต่างเรียกพวกเขาว่านายท่านและฮูหยิน พวกเขาไม่กล้าที่จะเชื่อว่ามันเป็นความจริง
นี่คือสถานที่ห่างไกลและนอกจากชาวนาที่อาศัยอยู่ที่นี่มันเป็นเรื่องยากที่จะมีคนอื่นตามมาพบ
แม้กระทั่งสงครามก็จะไม่ส่งผลต่อสถานที่แห่งนี้ นี้เป็นสถานที่ที่หยางเฉินได้เลือกอย่างระมัดระวังและเขาคิดว่ามันค่อนข้างที่จะเหมาะสมที่สุด
เมื่อหยางเฉินจัดการทุกอย่างจนเป็นที่พอใจแล้ว
หยางเฉินก็ไม่รีบร้อนที่จะจากไป แต่อยู่พร้อมกับพ่อแม่ของเขาต่อไปอีกประมาณครึ่งปี
ในครึ่งปีนี้หยางเฉินได้ขยันฝึกฝนเป็นอย่างมาก รวมทั้งได้รับอาหารที่ยอดเยี่ยม ดูเหมือนว่าเขาจะแข็งแรงและมีขนาดตัวใหญ่หนาขึ้น
ร่างกายของเขากำยำเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อไม่ได้มีลักษณะเหมือนเป็นเด็กอายุสิบหกอีกต่อไป
เมื่อถึงฤดูการเก็บเกี่ยว
หนึ่งฤดูกาลของชีวิตที่คฤหาสน์ก็ก้าวเข้าสู่เส้นทางที่ถูกต้อง
หยางเฉินกล่าวคำอำลากับพ่อแม่ของเขาและออกจากคฤหาสน์ใหม่หลังนี้ มันเป็นเวลาเก้าเดือนนับตั้งแต่การเกิดใหม่ของเขา
......
บนโต๊ะของเพชฌฆาตพันลี้
มีเงินยี่สิบตำลึงทองวางอยู่และตรงข้ามเพชฌฆาต มีหยางเฉินนั่งอยู่
"เจ้าหมายความว่า
เจ้าต้องการที่จะเป็นเพชฌฆาตและถ้าข้าช่วยเจ้า ทองเหล่านี้จะเป็นของข้า?" เพชฌฆาตเฒ่าไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตาของเขาเห็นและสิ่งที่หูของเขาได้ยิน โลกนี้มีโชคแบบนี้ด้วยเหรอ?
เพชฌฆาตเป็นอาชีพที่ไม่ได้รับความชื่นชมใดๆ
ในความเป็นจริงในลำดับชั้นปัจจุบันเพชฌฆาตถูกรังเกียจจากพระเจ้าและเป็นที่รังเกียจของปีศาจ
ต่ำกว่าขอทาน ไม่มีใครแสดงความเคารพพวกเขาแต่อย่างใดตลอดทางบนท้องถนน
เพราะพวกเขาฆ่าคนเป็นจำนวนมาก
พวกเขาถูกเคียดแค้นโดยสวรรค์
ตามตำนานพวกเขาจะตกลงไปชั้นที่สิบแปดแห่งนรกหลังความตาย เพชฌฆาตเฒ่าไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนใช้ทองมากขนาดนี้สำหรับคำขอเช่นนั้น
"ข้ามีชะตากรรมที่แย่
หมอดูบอกว่าถ้าข้าไม่ได้ฆ่าคนมากพอ ข้าจะนำความตายมาสู่ครอบครัวของข้า ดังนั้นข้าจึงต้องการเป็นเพชฌฆาตเพื่อที่จะฆ่าคนให้มากพอที่จะแก้ไขชะตากรรมของข้า"
หยางเฉินกล่าวอ้างด้วยเหตุผลไร้สาระออกมา
"ข้าต้องการที่จะทำมันเพียงครึ่งปี
เมื่อครบครึ่งปีแล้วข้าก็จะไป จากนั้นเจ้าจะทำอะไรก็ทำไป"
เรื่องที่เขาจะเป็นเพชฌฆาตแล้วฆ่าคนเพื่อสะเดาะเคราะห์เป็นเวลาครึ่งปีและยังให้เงินมาอีกยี่สิบตำลึงทอง
ต่อให้เอาไปจ่ายสินบนหัวหน้าก็ยังเหลือกำไรอีกมาก หากเขาไม่ตกลงเขาก็คงจะบ้าไปแล้ว
ล้มป่วย ลาออก
แล้วแนะนำเด็กฝึกงาน เพชฌฆาตเฒ่าใช้เวลาเพียงครึ่งวันในการจัดให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบตามแผนการณ์
หยางเฉินทำการเสริมสร้างกล้ามเนื้อด้านซ้ายซึ่งมันจะทำให้ไม่มีใครสงสัยใดๆ
เพื่อที่ว่าเขาจะได้ดูมีคุณสมบัติที่จะทำหน้าที่อันหนักหน่วงอย่างเพชฌฆาตได้
(TTL# เพชฌฆาตจะถนัดมือข้างเดียว
หยางเฉินถนัดใช้มือซ้าย)
ไม่มีใครรู้ว่าทำไมหยางเฉินต้องการที่จะเป็นเพชฌฆาต
มีเพียงแค่ตัวเขาเท่านั้นที่รู้ ครั้งหนึ่งเคยเกิดการกบฏในศาลสวรรค์แห่งโลกนิรันทร์
มันมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นมาอย่างยาวนานก่อนที่หยางเฉินจะขึ้นมามีอำนาจ แต่หยางเฉินรู้เรื่องที่เกิดขึ้นอย่างไม่ละเอียดนักหลังจากที่เขาเกิด
ในเวลานั้นท้องฟ้าในโลกมนุษย์เปลี่ยนเป็นสีชาตหนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืนหลังจากที่เกิดเหตุการณ์นั้นยุคสมัยของศาลสวรรค์ก็มีการเปลี่ยนแปลง
ตามสิ่งที่หยางเฉินรู้หลังจากการก่อจลาจลในศาลสวรรค์ได้จบสิ้นลง
หลายพันเซียน หลากหลายระดับทั้งใหญ่และเล็กที่ถูกประหารบนแท่นประหารเซียน อาวุธเวทถูกยึดโดยศาลสวรรค์เพื่อหลีกเลี่ยงหากผู้เชี่ยวชาญจะใช้มันในการคุกคามต่อโลกนิรันดร์
บุคคลจากโลกมนุษย์มักถูกเรียกใช้เสมอเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีผู้เชี่ยวชาญทางอาวุธเวทมาเกี่ยวข้อง
สำหรับผู้สมัครเป็นเพชฌฆาตแห่งโลกนิรันดร์
พวกเขาจะต้องมาจากเหล่าหมู่ของเพชฌฆาตแห่งโลกมนุษย์
หากหยางเฉินสามารถเข้าสู่ขั้นตอนการเป็นเพชฌฆาตอมตะ
อย่างตรงไปตรงมาเขาสามารถสำเร็จการฝึกด้วยวิชามาร การฆ่าชีวิตเซียนเพียงหนึ่งจะได้รับประโยชน์มากกว่าการฆ่าหมื่นปุถุชน
แม้ว่าเขาจะไม่มีชื่อว่าเป็นนักบ่มเพาะมาร แต่เขาก็สามารถเติมเต็มการบ่มเพาะรากจิตวิญญาณของเขาด้วยวถีแห่งมาร
หากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ นี่เป็นเพียงการปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากสวรรค์
เพื่อทำให้เขากลายเป็นเซียน
หยางเฉินมาถึงเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว
วันรุ่งขึ้นหลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้นเขามีนักโทษที่จะต้องประหาร ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่
หยางเฉินจะทำการฆ่า และมันก็เป็นครั้งแรกที่เขาใช้วิชามารอี้ แม้ว่ามารเฒ่าอี้กล่าวว่ามันคือประตูแห่งความตาย
มันไม่มีทางเลยที่จะแน่ใจว่ามันมีอยู่จริง ยังไงก็ตามแต่หยางเฉินก็จะอยากที่จะลองมันอยู่ดี
เพชฌฆาตไม่มีทางเลือกที่สองสำหรับการฆ่า เขาเพียงทำงานตามหน้าที่เพื่อความเป็นธรรมและดำรงไว้ซึ่งอำนาจของศาล
"หากเจ้าเป็นหนี้เจ้าก็คือลูกหนี้
เจ้าและข้าไม่มีความแค้นหรือเกลียดชังจากอดีตที่ผ่านมา นี่เป็นที่ทำงานของข้า ข้าต้องทำตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายมา
อภัยให้ข้าด้วย" หยางเฉินเปลือยอก หัวของเขามัดด้วยผ้าไหมสีชาต
เขาหยิบป้ายประหารชีวิตที่อยู่ในเสื้อของนักโทษที่นั่งคุกเข่าออกมาและโยนออกไปที่พื้น
จากนั้นยกดาบเพชฌฆาตเหวี่ยงไปทางขวามือของเขา
จากการเคลื่อนไหวของหยางเฉิน
ผู้ชมจากภายในและภายนอกลานประหารเบิกตากว้างหายใจติดขัดยาวนาน ตั้งแต่เหล้าหมักที่เตรียมไว้ถูกวางไว้ด้านข้างและหยางเฉินยกชามแรกดื่มอึกหนึ่งแล้วกรอกปากของเขาอีกครั้งและฉีดพ่นดาบเพชฌฆาตของเขา
ทั้งหมดที่ทำนี้หยางเฉินมองไปที่นักโทษด้วยดวงตาที่สดใส วิญญาณของนักฆ่าได้หายไปราวกับว่าเขาได้เป็นคนที่แตกต่างกัน
ใบมีดของเพชฌฆาตยกขึ้นสูงและลดลงอย่างรวดเร็ว
ฝูงชนมองเห็นเพียงแสงสะท้อนของดาบ
พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะถามถึงสิ่งที่หยางเฉินได้ทำมาแล้ว
แต่หยางเฉินดูเหมือนจะได้กลับไปเป็นที่เด็กหนุ่มที่เป็นกันเองอีกครั้ง อย่างไม่คาดคิดเขาถือผ้าไหมผืนใหม่และเริ่มต้นที่จะเช็ดใบมีด
ทุกคนจ้องมองด้วยสายตางงงวย และถูกตรึงไว้ หัวของนักโทษก็ยังคงอยู่บนคอของเขาไม่ได้เคลื่อนย้าย
มันเกิดอะไรขึ้น?
เช่นเดียวกับที่ทุกคนยังคงสับสน
ร่องรอยเส้นสีแดงก็ปรากฏบนคอของนักโทษ มันเริ่มเห็นชัดขึ้นขยายวงกว้างขึ้นกลายเป็นเส้นสีแดงพาดคอขนาดใหญ่
ไม่นานหลังจากนั้น หัวก็หล่นร่วงตกพื้น เปิดให้เห็นรอยตัดขนาดใหญ่ เลือดสดๆที่ยังอุ่นอยู่
พุ่งกระจายขึ้นไปในอากาศ มันพุ่งกระฉูดออกมาราวกับน้ำพุในฤดูใบไม้ผลิ เหตุการณ์เหล่านี้กินเวลานานถึงห้าหรือหกลมหายใจก่อนที่มันจะสงบลง
ในขณะนี้ร่างกายของนักโทษที่คุกเข่าได้ล้มลงกับพื้น
ฝูงชนระเบิดเสียงดังตามมาทันที
หยางเฉินสูดลมหายใจลึกๆ
อย่างไม่รู้ตัวหยางเฉินได้ทำการดึงเอาวิธีการบางส่วนขึ้นมาอยู่ในใจของเขาและเริ่มทำการหมุนเวียนทันทีหลังจากที่กลิ่นอายที่มองไม่เห็นแผ่ออกมาจากศพ
ร่างกายของหยางเฉินพลันมีกระแสที่อบอุ่นไหลเวียน สุดท้ายมันก็ไหลผ่านไปตามแขนขาทั้งสี่และกระดูกนับร้อยของเขา
วิธีฝึกแปลกดีแท้
ตอบลบ