เลือกสีพื้นเพื่ออ่านบทความ >>> พื้นขาว พื้นดำ พื้นครีม

วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2561

ZX 091 ถ้ำวิเศษ





ได้ยินการคาดคะเนของหยางเฉิน กั่วหยูได้แต่เบิ่งตากว้าง จ้องที่หยางเฉินราวกับพบคนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน มันเป็นเรื่องจริงที่ทั้งกั่วหยูและหยางเฉินวันนี้เป็นวันแรกที่พบกันในสภาวะนี้ มันจึงเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา

“อาจารย์ ท่านไม่ต้องกังวล ศิษย์รู้ตำแหน่งถ้ำอมตะบนภูเขาเม่ยชิง การต่อเติมถ้ำอมตะสองสามถ้ำ ไม่มีอะไรยุ่งยาก ทุก ๆ อย่างศิษย์จะดำเนินการเอง”

หยางเฉินกล่าวพลางตบหน้าอกแสดงถึงความยินดีที่จะทำ โดยไม่สนใจสายตาแปลก ๆ ของกั่วหยูที่มองมาที่เขา

“เจ้ารู้อะไรหลาย ๆ อย่าง ใช่หรือไม่”

กั่วหยูย่อมชาญฉลาด มิฉะนั้นจะเป็นอาจารย์ในชีวิตที่แล้วของหยางเฉินรึ เธอมองที่เขาแล้วถามตรง ๆ

“แม้แต่ท่านประมุขและคนอื่น ๆ ยังกล่าวกัน ว่าเจ้าไม่จำเป็นต้องให้ข้าชี้แนะการบ่มเพาะ เป็นเช่นนั้นงั้นหรือ?”

“ศิษย์ได้เรียนรู้ทุกอย่างจากหอลี้ลับของตำหนักเก้าปฐพี ข้าได้เรียนรู้หลายอย่างที่ผู้อื่นไม่รู้”

หยางเฉินยิ้มพลางกล่าวต่อ

“แต่ถ้าเกี่ยวกับปัญหาในด้านการบ่มเพาะ ข้าจำต้องรับคำชี้แนะจากอาจารย์ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่มีผู้ชี้แนะ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว”

วาจาหยางเฉินยิ่งสร้างความอยากรู้ของกั่วหยูในเรื่องของเขา  ในขณะนั้นได้แต่ถือถ้วยชา โน้มกายไปทางหยางเฉิน

“เจ้ากล่าวเยี่ยงนี้ งั้นถ้าหากข้าอ่านทั้งหมดในหอลี้ลับ แล้วจะเป็นเช่นไร”

เป็นการสนทนาและการอยู่ร่วมกันที่ลื่นไหล ราวกับเคยอยู่ร่วมกันมานาน ทุกอย่างออกจากจิตใต้สำนึกล้วน ๆ

“อาจารย์ถ้าท่านอยากเป็นผู้ปรุงโอสถ หรือผู้สร้างอาวุธ ท่านก็ควรหมั่นอ่านตำราที่มีอยู่มากมายหลายทักษะ เพื่อที่จะเพิ่มความรอบรู้”

หยางเฉินส่ายหน้าและตอบด้วยรอยยิ้ม

“แต่ถ้าอาจารย์ต้องการเน้นด้านการบ่มเพาะ แล้วต้องการรู้ในสิ่งเหล่านี้ มันจะไม่ก่อประโยชน์มากนัก มันต้องใช้เวลาและกำลัง มันจะได้ไม่คุ้มเสีย”

“อืม…นั่นน่าจะเป็นเหตุผลที่ดี”

กั่วหยูนั่งบนเก้าอี้ พยักหน้ากับตัวเอง อารมณ์ของจิตใต้สำนึกกำลังใคร่ครวญ เธอไม่เคยใส่ใจกับอะไรที่ซับซ้อนอย่างเรื่องปรุงโอสถ แม้กระทั่งว่าถ้าความแข็งแกร่งของเธอไม่ขึ้นอยู่กับอาวุธ เธอก็คงไม่สนใจเรื่องการปรับแต่งมันเช่นกัน ดังนั้นวาจาหยางเฉินเรื่องการไปค้นคว้าเรื่องเหล่านี้ที่หอลี้ลับจึงไม่เป็นน่าสนใจ

สำหรับการถามตอบของคนทั้งสอง ถ้ามีผู้ที่ไม่รู้มาได้ยิน ย่อมเกิดเข้าใจไปว่าเธอเป็นศิษย์ ส่วนหยางเฉินควรจะเป็นอาจารย์ ทั้งสองคุยกันอย่างกลมเกลียว ไม่ได้เกิดความรู้สึกว่าไม่เหมาะสมแต่อย่างไร ในชีวิตที่แล้วหยางเฉินมักจะปรึกษาเรื่องเหล่านี้กับอาจารย์ของเขา และกั่วหยูก็ตอบรับอย่างกลมกลืน มันเป็นความเข้าใจกันและกันของอาจารย์กับศิษย์ที่หาได้ยากยิ่ง

กั๋วหยูจึงได้แต่ลิ้มรสชาที่หยางเฉินเสิรฟ์ให้ ในขณะตรวจสอบด้านการบ่มเพาะของเขา ในฐานะของอาจารย์ ที่จะต้องชี้แนะเส้นทางการบ่มเพาะแก่เขา แม้ว่าไม่สามารถชี้แนะในด้านการปรุงโอสถ แต่ด้านการบ่มเพาะ เธอเองเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับก่อลำต้น แล้วเธอจะรอบรู้ในด้านนี้น้อยกว่าหยางเฉินได้อย่างไร ?

สำหรับวันแรกของการเป็นศิษย์ หยางเฉินมีปฏิกิริยาที่ดีต่อผู้เป็นอาจารย์ ส่วนอาจารย์ก็มิได้วางท่าสร้างบรรยากาศว่าเป็นอาจารย์ ในฐานะที่เป็นลูกศิษย์ เขาย่อมทราบดีว่าต้องทำตามแนวทางที่เธอวางไว้ และทำหน้าที่ศิษย์ที่ดี กั๋วหยูรู้สึกเหมือนว่าทั้งสองไม่ใช่อาจารย์ศิษย์ แต่เหมือนเป็นมิตรสหายที่รู้จักกันมาเนิ่นนาน

นี่ย่อมเป็นความรู้สึกซึ่งหยางเฉินปราถนาทั้งวันทั้งคืน คิดนับหมื่นปี ภาพที่เขารอคอยมามากกว่าสิบปีหลังกำเนิดใหม่ สุดท้ายก็เกิดขึ้นแล้วต่อหน้าของเขา ถึงแม้หยางเฉินมีสภาพจิตที่แข็งแกร่งระดับอมตะทองคำ ก็ยังรู้สึกสำเริงสำราญเบิกบานยิ่ง

บางที..สิ่งที่เขาปราถนาอย่างแรงกล้าได้รับการตอบสนองแล้ว ดังนั้นความคิดเขาย่อมกระจ่างมากขึ้น ในขณะเย็นวันนึงของการฝึกปรือ เขาสัมผัสได้ถึงพลังจิตวิญญาณในเส้นชีพจรเคลื่อนไหวอย่างอิสระ โดยเฉพาะเคล็ดหยินหยางห้าธาตุเหมือนกับกำลังระอุ

ในเช้าตรู่วันถัดมา กงซุนหลิง ซ่างกวนเฟิงและหวังหยวน เร่งรีบมาที่ถ้ำอมตะของกั่วหยู ซึ่งทั้งหมดได้นัดหมายกับหยางเฉินไว้เพื่อเลือกถ้ำอมตะของเขา

การมาถึงของกั่วหยู ไม่ได้สร้างความแปลกใจต่อผู้ใด อันหน้าที่เลือกถ้ำอมตะสำหรับศิษย์ย่อมเป็นหน้าที่ของเธอ แต่สำหรับหยางเฉินย่อมมีอะไรที่ผิดแผลก เขาดำเนินการทุกอย่างด้วยตัวเอง กระทั่งบอกให้เธอยอมละทิ้งถ้ำเซียนของเธอ  แล้วไหนเลยเธอจะไม่มาดูได้

สำหรับกงซุนหลิงนั้น ย่อมไม่ปกติ ด้วยเธอบรรลุระดับก่อสร้างรากฐานมาเป็นระยะเวลานึง แต่ยังไม่เลือกถ้ำอมตะของตัวเอง ก่อนที่จะไปหลุมดักเซียน หยางเฉินได้บอกเธอไม่ต้องกังวลเรื่องนี้และให้รอเขากลับมา ตัวเธอเองนั้นเชื่อฟังคำของหยางเฉินและรอคอยมาจนถึงวันนี้ แม้ว่าเหมือนทุกคนมาดูการเลือกถ้ำของหยางเฉิน แต่จริง ๆ แล้ว นี่เป็นการเลือกถ้ำอมตะสำหรับ กั่วหยู กงซุนหลิงและตัวของหยางเฉิน
อันภูเขาเม่ยชิงนั้นกว้างนัก ขอบเขตของมันกระทั่งมากกว่าพันไมล์ ตัวพระราชวังหยางนั้นอยู่บนยอดสูงสุดของภูเขา อันเต็มไปด้วยกระแสพลังจิตวิญญาณ

โดยธรรมชาติของหยางเฉินย่อมไม่เลือกสถานที่ที่ผู้คนคับคั่งต่อให้เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยกระแสพลังจิตวิญญาณก็ตาม เพราะเมื่อแบ่งจากคนจำนวนมากย่อมเหลือน้อยนิด  ดังนั้นเขานำทุกคนไปที่เชิงเขาเล็ก ๆ ในภูเขาเม่ยชิง ทำท่าทางราวกับสัมผัสได้กับกระแสพลัง แต่อันที่จริงเขาได้เลือกไว้แต่แรกแล้ว

“ตรงนี้ รึ ?”

ทันทีที่เห็นหยางเฉินหมายตาที่นี้ กั่วหยู่เอ่ยปากถามพร้อมขมวดคิ้ว ในขณะที่คนอื่นล้วนงุนงง แต่ย่อมแล้วแต่หยางเฉิน เพียงแต่เริ่มส่งกระแสสัมผัสออกค้นหากระแสพลังจิตในบริเวณรอบ ๆ นั้น

บริเวณนี้ตั้งอยู่หุบเขาอันพอจะกล่าวได้ว่าไม่เล็กแต่ก้อไมใหญ่ วิวทิวทัศน์สวยงาม ล้อมรอบด้วยภูเขารอบด้าน สามารถป้องกันจากหมู่สัตว์ป่าได้ทุกทิศ และมีระยะห่างจากตัวพระราชวังหลักประมาณสองชั่วโมง พอจะกล่าวได้ว่าไม่ใกล้ไม่ไกลเกินไป

“ศิษย์น้องหยาง กระแสพลังจิตวิญญาณที่นี่ เหมาะแล้วรึ ?”

มันเป็นคำถามที่คนอื่น ๆ ไม่สมควรถาม มีเพียงกงซุนหลิงเท่านั้น ทั้งซ่างกวนเฟิงและหวังหยวน เพียงแต่มาเพื่อช่วย ส่วนกั่วหยูก็เป็นอาจารย์ จึงไม่เหมาะที่จะถาม เว้นแต่กงซุนหลิงเท่านั้น เพราะมันเป็นการเลือกถ้ำอมตะของเธอด้วย

“นั่น เป็นเพียงมุมมองจากภายนอก”

หยางเฉินยิ้ม แต่ก็มิได้ปกปิดข้อมูลไว้

“แต่ก่อนนั้น ข้าได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับการพบกระแสปราณนี้ของมือสังหาร จารึกในแผ่นหยกคำสั่งของเขา”

ภายในภูเขาเม่ยชิงอันกว้างใหญ่นี้ มีผู้ฝึกตนอิสระท่องเที่ยวอยู่มากหลาย พระราชวังหยางก็รับรู้การคงอยู่ของพวกเขา และบางทีพวกเขาก็ค้นพบบางอย่างที่ทางพระราชวังหยางไม่ล่วงรู้ อย่างเช่นที่มือสังหารพบกระแสปราณนี้ ไม่รู้ว่ามีการพบก่อนหน้านี้หรือไม่ ทุกอย่างถูกฝังไปกับร่างของเขาแล้ว

“ตรงไหน ?”

วาจาหยางเฉิน ก่อคำถามต่อทุกคน แหล่งกระแสปราณลับใต้ดิน เป็นความใฝ่ฝันของผู้ฝึกตนทุกคน

หยางเฉินยิ้มพลางชี้นิ้วไปที่ผืนดินใต้เท้าโดยมิได้เอื้อนเอ่ย มันพึ่งถูกพบเมื่อสองร้อยปีนี้ มันอุดมไปด้วยกระแสปราณ แม้จะเท่ากระแสปราณในหอหลักของพระราชวังหยาง แต่เมื่อเทียบอัตราส่วนต่อจำนวนคน มันเกินดีด้วยซ้ำ

สายตาทุกคน มองไปตามทิศทางที่เขาบ่งชี้ บริเวณพื้นใต้เท้าหยางเฉิน ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็มิเห็นวี่แววพลังจิตวิญญาณ แม้จะส่งจิตสัมผัสออกไปก็ยังไม่พบสิ่งใด พบแต่เพียงที่นี่เป็นหุบเขาธรรมดา ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระแสพลังใต้ดินใด ๆ

“ไม่ต้องรีบร้อน อันดับแรกเราต้องผนึกกระแสพลังนี้ก่อน”

หยางเฉินย่อมรู้ถึงความสงสัย แต่มิได้เร่งเปิดเผยเรื่องราว เพียงบ่งบอกสิ่งที่จะทำ

“ไม่งั้น ทันทีที่เราปล่อยให้กระแสพลังออกมา ผู้คนอื่น ๆ ย่อมมาขอมีส่วนด้วย พวกท่านย่อมรู้ ข้าไม่ชอบพวกวิหารรัศมีจันทรา”

ทุก ๆ คน เห็นด้วยกับวาจานี้ ภายในนิกายการแข่งขันแย่งชิงแหล่งพลังงานดุเดือดยิ่งนัก ด้วยความแข็งแกร่งของวิหารรัศมีจันทรา ทำให้สามารถแย่งชิงแหล่งกระแสพลังธรรมชาติได้หลายแห่ง รอบ ๆ ศูนย์กลางของพระราชวังหยาง สักครึ่งนึงตกเป็นของพวกเขา

ด้วยเหตุผลบางอย่าง กั่วหยูดูจะเชื่อมั่นในหยางเฉินอย่างไม่น่าเชื่อ เธอเชื่อหยางเฉินสนิทในเรื่องกระแสพลังจิตวิญญาณใต้ โดยมิเอ่ยวาจาใด เธอลอยตัวขึ้นบนกระบี่บิน บินขึ้นท้องฟ้ากลายเห็นรังสีของแสงมุ่งสู่ตัวพระราชวังหยางบริสุทธิ์ และเอ่ยวาจา

“ข้าจะไปแจ้งต่อประมุขวัง และย้ายสิ่งของออกจากถ้ำเดิม”

ถ้ำอมตะเก่าของกั่วหยูนั้น อยู่ใกล้แกนหลักของพระราชวัง ย่อมมีผู้คนมากมายหมายตา ทันทีที่กั่วหยูย้ายออก ย่อมทำให้ผู้คนเหล่านั้นสุขใจยิ่ง  ในด้านประมุขพระราชวังนั้นก็คงไม่คัดค้านเรื่องนี้ เพราะเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับหยางเฉินนั้นย่อมเกี่ยวพันกับความรุ่งเรืองของนิกาย

“ศิษย์พี่หญิง ท่านมีแผนตกแต่งถ้ำอมตะของท่านแบบไหน ?”

หยางเฉินมิได้เร่งรีบ ให้ทุกคนนั่งบนเก้าอี้หินขณะสนทนา แล้วลูกบอลไฟลูกนึง ก็ปรากฏบนสองมือของเขาเป็นรูปทรงต่าง ๆ ของสิ่งปลูกสร้าง

จากการคาดคำนวนของหยางเฉินขณะเลือกถ้าอมตะนั้น ความว่า กงซุนหลิงนั้นเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่ยากจะพบพานในรอบพันปี และตัวอาจารย์ของเขาก็มีรากฐานธาตุน้ำที่เต็มเปี่ยม รวมถึงตัวของเขาเอง ทำให้การร่วมมือกันของทั้งสาม เพียงพอที่จะสั่นสะเทือนโลกการบ่มเพาะในอนาคตอันใกล้ และทำให้เส้นทางโลกการบ่มเพาะในอนาคตชัดขึ้น

นับได้ว่าเป็นโชควาสนาของกงซุนหลิง ที่มิได้ดำเนินการเรื่องถ้ำอมตะ เพียงรอคอยการกลับมาของหยางเฉิน และสำหรับหยางเฉินนี่ก็ย่อมเป็นการเก็บเกี่ยวผลที่เขาหว่านเม็ดไว้เช่นกัน ด้วยความสัมพันธ์นี้ ในภายภาคหน้ากงซุนหลิงย่อมสนับสนุนหยางเฉิน และทำให้วาจาของเขาย่อมมีสิทธิ์มีเสียงภายในพระราชวังหยางบริสุทธิ์

แม้ว่ากระแสวิญญาณภายใต้พื้นดินนี้ เพียงพอแม้กระทั่งให้ระดับผลิดอกทำการบ่มเพาะ แต่หยางเฉินนั้น เตรียมไว้แค่ทั้งสามคนเขาบ่มเพาะถึงระดับผลิดอกเท่านั้น เขามีดียิ่งกว่านี้ เพียงแต่ด้วยความสามารถในขณะนี้ยังทำมิได้

กงซุนหลิงรู้สึกถูกแบบแปลนสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ในมือของหยางเฉินดึงดูดอย่างยินดี แม้แต่ซ่างกวนเฟิงและหวังหยวนก็เช่นกัน เมื่อคำนึงถึงวาจาที่หวังหยวนเคยเปล่งออกมาที่จะติดตามเขา ทำให้หยางเฉินเริ่มนึกถึงการขยายเครือข่ายในพระราชวัง แล้วเมื่อเวลามาถึง ด้วยการช่วยเหลือของเหล่าศิษย์ในพระราชวังนี้ เขาจะได้มีเครือข่ายที่เพียงพอ

“ศิษย์พี่ซ่างกวนและศิษย์พี่หวัง ถ้าท่านต้องการ ท่านสามารถย้ายมาเลยนะ”

หยางเฉินยิ้มแล้วเอ่ยวาจากับทั้งสอง

“อยู่หลาย ๆ คน จะได้มีชีวิตชีวา แล้วพวกเราจะได้สนิทกันมากขึ้น”

ข้อเสนอของหยางเฉินทำให้ใจของทุกคนเต้นถี่ แม้แต่กั่วหยูที่อยู่ระดับก่อสร้างลำต้น อันมีนิวาสถานของถ้ำอมตะใกล้แกนกลางพระราชวัง ยังปราศจากความลังเล อันแสดงว่าที่นี่ย่อมไม่ด้อยกว่า เพียงแต่คนทั้งสองที่ยังไม่แสดงออกมาเพราะยังมีความเคารพต่ออาจารย์ของตนอยู่

“ทันทีที่กลับ พวกเราจะเรียนเรื่องนี้ต่ออาจารย์ ถ้าไม่มีอะไรติดขัด ก็จะย้ายมาที่นี่ทันที”

“ดี แล้วในตอนนั้น พวกเราก็จะต้องดึงเอาศิษย์พี่ตูเชี่ยนมาด้วย และเราอาจจะไม่จำเป็นต้องสร้างเป็นถ้ำเฉพาะตัว แต่ทำเป็นอาคารใหญ่ แล้วแบ่งเป็นห้องทั้งอยู่อาศัยและฝึกการบ่มเพาะ”

ทันใดหยางเฉินหยุดยั้งความคิดเกี่ยวกับอาคารสถานที่เหล่านี้ และเอ่ยถามกงซุนหลิง

“ศิษย์พี่หญิงคิดว่าอย่างไร”

“ฟังดู ดีทีเดียว”

หลังจากนั้นชั่วครู่ กงซุนหลิงรีบพยักหน้าเห็นด้วย

“งั้นต้องเป็นภาระ ศิษย์พี่หญิงช่วยเตรียมค่ายกลบริเวณรอบ ๆ นี้ละ”

หยางเฉินกล่าวไปเรื่อย ๆ เพื่อที่จะกระตุ้นตัวของกงซุนหลิงเอง

“ทันทีที่พวกเราสร้างอาคารเสร็จ ข้าจะพาศิษย์พี่หญิงไปดูพลังที่ยอดเยี่ยมของอักขระลวงตา บางทีเราอาจจะสามารถนำมันมาไว้ที่นี่ได้”

หยางเฉินกล่าวถึงอักขระภาพลวงตาในที่ที่เขาได้รับกล่องกระบี่  มันไม่มีประโยชน์สำหรับเขา แต่ถ้ามันเป็นของกงซุนหลิงเธอย่อมใช้มันสำหรับปกป้องตัวเองได้ นั่่นน่าจะดีที่สุด

กั่วหยูไปและกลับมาอย่างรวดเร็ว เธอครอบคลุมด้วยแสงกระบี่หยุดลงเบื้องหน้าหยางเฉินและกล่าว

“ข้าได้เรียนต่อท่านประมุขพระราชวังแล้ว และท่านอนุญาต ตอนนี้เจ้าต้องให้ข้าตามไปสำรวจล่ะ ข้าอยากรู้ถึงพลังกระแสนั้นจริงๆ !

ขณะกล่าว แสงกระบี่พลางหายไป และทันใดกลุ่มคนจำนวนมากปรากฏในพื้นที่ว่าง อันประกอบด้วยผู้รับใช้ของหยางเฉิน เซินดา โฮ่หลิน ติงหยวนและกู๋ฉิน แล้วยังรวมถึงผู้รับใช้ของกั่วหยูและกงซุนหลิง และเมื่อถึงเวลาที่ต้องใช้งานพวกเขา

ด้วยการได้รับความยินยอมจากประมุขพระราชวัง ทำให้อะไร ๆ ก็ดูง่าย แต่หยางเฉินยิ่งตระเตรียมอะไรที่มากไปกว่านั้น การตระเตรียมค่ายกลอักขระของกงซุนหลิง นอกจากจะใช้ในการป้องกันแล้ว มันยังเป็นการรวมจิตวิญญาณของอักขระและต้องเตรียมการพิเศษเพื่อผนึกมิให้กระแสพลังใต้ดินมิให้รั่วไหลออกมาภายนอก นั่นคือสิ่งที่หยางเฉินกำลังทำ

เขานำเอากองหินจิตวิญญาณระดับกลางทีมีขนาดเดียวกันออกมาวางบนพื้นหกสิบสี่กอง ในรูปแบบที่ดูปกติ แต่รวมเข้ากับค่ายกลอักขระ ทำให้เกิดเป็นรูปแบบค่ายกลที่ไม่มีผู้ใดเคยพบมาก่อน

ทุกคนจ้องมองอย่างงุนงง  แม้แต่ผู้ที่ชำนาญด้านค่ายกลอย่างกงซุนหลิง ก็มิเคยพานพบค่ายกลอักขระเยี่ยงนี้มาก่อน เธอเริ่มเกิดความรู้สึกว่าศิษย์น้องผู้นี้ยิ่งมายิ่งพิศดาร


หลังการตระเตรียมค่ายกลอักขระเรียบร้อย หยางเฉินถอยห่างออกมาหลายก้าวและเริ่มกระตุ้นค่ายกลให้ทำงาน ทันทีทันใดประกายแสงพวยพุ่งจากพื้นดินในรัศมีของค่ายกลอักขระ แสงนั้นเจิดจรัสบาดตารวมเป็นลำแสงไม่กระจัดกระจาย

และพลันรวมปรากฏเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาบนท้องฟ้า และเริ่มทำการขุดลงพื้นดิน แต่ถ้ามองให้ดี ๆ ก็มิเห็นขุดอะไรออกมา

แต่แล้ว อย่างรวดเร็วทุกคนรับรู้ได้ถึง กระแสพลังจิตวิญญาณที่น่าเกรงขามเข้ามาใกล้ตัว มันพวยพุ่งออกมาจากใต้ดิน ทันทีทันใดที่มันปะทุออกจากใต้ดินราวกับน้ำพุ อักขระจิตวิญญาณที่รวบรวมไว้ก็สาดแสงออกมาในทันที ทุก ๆ คนถูกปกคลุมในกระแสพลังจิตวิญญาณ

1 ความคิดเห็น: