ได้ยินการคาดคะเนของหยางเฉิน กั่วหยูได้แต่เบิ่งตากว้าง จ้องที่หยางเฉินราวกับพบคนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน มันเป็นเรื่องจริงที่ทั้งกั่วหยูและหยางเฉินวันนี้เป็นวันแรกที่พบกันในสภาวะนี้ มันจึงเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา
“อาจารย์ ท่านไม่ต้องกังวล
ศิษย์รู้ตำแหน่งถ้ำอมตะบนภูเขาเม่ยชิง การต่อเติมถ้ำอมตะสองสามถ้ำ
ไม่มีอะไรยุ่งยาก ทุก ๆ อย่างศิษย์จะดำเนินการเอง”
หยางเฉินกล่าวพลางตบหน้าอกแสดงถึงความยินดีที่จะทำ
โดยไม่สนใจสายตาแปลก ๆ ของกั่วหยูที่มองมาที่เขา
“เจ้ารู้อะไรหลาย ๆ อย่าง ใช่หรือไม่”
กั่วหยูย่อมชาญฉลาด
มิฉะนั้นจะเป็นอาจารย์ในชีวิตที่แล้วของหยางเฉินรึ เธอมองที่เขาแล้วถามตรง ๆ
“แม้แต่ท่านประมุขและคนอื่น ๆ
ยังกล่าวกัน ว่าเจ้าไม่จำเป็นต้องให้ข้าชี้แนะการบ่มเพาะ เป็นเช่นนั้นงั้นหรือ?”
“ศิษย์ได้เรียนรู้ทุกอย่างจากหอลี้ลับของตำหนักเก้าปฐพี
ข้าได้เรียนรู้หลายอย่างที่ผู้อื่นไม่รู้”
หยางเฉินยิ้มพลางกล่าวต่อ
“แต่ถ้าเกี่ยวกับปัญหาในด้านการบ่มเพาะ
ข้าจำต้องรับคำชี้แนะจากอาจารย์ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่มีผู้ชี้แนะ
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว”
วาจาหยางเฉินยิ่งสร้างความอยากรู้ของกั่วหยูในเรื่องของเขา ในขณะนั้นได้แต่ถือถ้วยชา โน้มกายไปทางหยางเฉิน
“เจ้ากล่าวเยี่ยงนี้
งั้นถ้าหากข้าอ่านทั้งหมดในหอลี้ลับ แล้วจะเป็นเช่นไร”
เป็นการสนทนาและการอยู่ร่วมกันที่ลื่นไหล
ราวกับเคยอยู่ร่วมกันมานาน ทุกอย่างออกจากจิตใต้สำนึกล้วน ๆ
“อาจารย์ถ้าท่านอยากเป็นผู้ปรุงโอสถ
หรือผู้สร้างอาวุธ ท่านก็ควรหมั่นอ่านตำราที่มีอยู่มากมายหลายทักษะ
เพื่อที่จะเพิ่มความรอบรู้”
หยางเฉินส่ายหน้าและตอบด้วยรอยยิ้ม
“แต่ถ้าอาจารย์ต้องการเน้นด้านการบ่มเพาะ
แล้วต้องการรู้ในสิ่งเหล่านี้ มันจะไม่ก่อประโยชน์มากนัก มันต้องใช้เวลาและกำลัง
มันจะได้ไม่คุ้มเสีย”
“อืม…นั่นน่าจะเป็นเหตุผลที่ดี”
กั่วหยูนั่งบนเก้าอี้
พยักหน้ากับตัวเอง อารมณ์ของจิตใต้สำนึกกำลังใคร่ครวญ เธอไม่เคยใส่ใจกับอะไรที่ซับซ้อนอย่างเรื่องปรุงโอสถ
แม้กระทั่งว่าถ้าความแข็งแกร่งของเธอไม่ขึ้นอยู่กับอาวุธ
เธอก็คงไม่สนใจเรื่องการปรับแต่งมันเช่นกัน
ดังนั้นวาจาหยางเฉินเรื่องการไปค้นคว้าเรื่องเหล่านี้ที่หอลี้ลับจึงไม่เป็นน่าสนใจ
สำหรับการถามตอบของคนทั้งสอง ถ้ามีผู้ที่ไม่รู้มาได้ยิน
ย่อมเกิดเข้าใจไปว่าเธอเป็นศิษย์ ส่วนหยางเฉินควรจะเป็นอาจารย์
ทั้งสองคุยกันอย่างกลมเกลียว ไม่ได้เกิดความรู้สึกว่าไม่เหมาะสมแต่อย่างไร
ในชีวิตที่แล้วหยางเฉินมักจะปรึกษาเรื่องเหล่านี้กับอาจารย์ของเขา
และกั่วหยูก็ตอบรับอย่างกลมกลืน มันเป็นความเข้าใจกันและกันของอาจารย์กับศิษย์ที่หาได้ยากยิ่ง
กั๋วหยูจึงได้แต่ลิ้มรสชาที่หยางเฉินเสิรฟ์ให้
ในขณะตรวจสอบด้านการบ่มเพาะของเขา ในฐานะของอาจารย์
ที่จะต้องชี้แนะเส้นทางการบ่มเพาะแก่เขา แม้ว่าไม่สามารถชี้แนะในด้านการปรุงโอสถ
แต่ด้านการบ่มเพาะ เธอเองเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับก่อลำต้น
แล้วเธอจะรอบรู้ในด้านนี้น้อยกว่าหยางเฉินได้อย่างไร ?
สำหรับวันแรกของการเป็นศิษย์
หยางเฉินมีปฏิกิริยาที่ดีต่อผู้เป็นอาจารย์
ส่วนอาจารย์ก็มิได้วางท่าสร้างบรรยากาศว่าเป็นอาจารย์ ในฐานะที่เป็นลูกศิษย์
เขาย่อมทราบดีว่าต้องทำตามแนวทางที่เธอวางไว้ และทำหน้าที่ศิษย์ที่ดี
กั๋วหยูรู้สึกเหมือนว่าทั้งสองไม่ใช่อาจารย์ศิษย์
แต่เหมือนเป็นมิตรสหายที่รู้จักกันมาเนิ่นนาน
นี่ย่อมเป็นความรู้สึกซึ่งหยางเฉินปราถนาทั้งวันทั้งคืน
คิดนับหมื่นปี ภาพที่เขารอคอยมามากกว่าสิบปีหลังกำเนิดใหม่ สุดท้ายก็เกิดขึ้นแล้วต่อหน้าของเขา
ถึงแม้หยางเฉินมีสภาพจิตที่แข็งแกร่งระดับอมตะทองคำ
ก็ยังรู้สึกสำเริงสำราญเบิกบานยิ่ง
บางที..สิ่งที่เขาปราถนาอย่างแรงกล้าได้รับการตอบสนองแล้ว
ดังนั้นความคิดเขาย่อมกระจ่างมากขึ้น ในขณะเย็นวันนึงของการฝึกปรือ
เขาสัมผัสได้ถึงพลังจิตวิญญาณในเส้นชีพจรเคลื่อนไหวอย่างอิสระ
โดยเฉพาะเคล็ดหยินหยางห้าธาตุเหมือนกับกำลังระอุ
ในเช้าตรู่วันถัดมา กงซุนหลิง
ซ่างกวนเฟิงและหวังหยวน เร่งรีบมาที่ถ้ำอมตะของกั่วหยู
ซึ่งทั้งหมดได้นัดหมายกับหยางเฉินไว้เพื่อเลือกถ้ำอมตะของเขา
การมาถึงของกั่วหยู
ไม่ได้สร้างความแปลกใจต่อผู้ใด
อันหน้าที่เลือกถ้ำอมตะสำหรับศิษย์ย่อมเป็นหน้าที่ของเธอ
แต่สำหรับหยางเฉินย่อมมีอะไรที่ผิดแผลก เขาดำเนินการทุกอย่างด้วยตัวเอง
กระทั่งบอกให้เธอยอมละทิ้งถ้ำเซียนของเธอ
แล้วไหนเลยเธอจะไม่มาดูได้
สำหรับกงซุนหลิงนั้น ย่อมไม่ปกติ
ด้วยเธอบรรลุระดับก่อสร้างรากฐานมาเป็นระยะเวลานึง แต่ยังไม่เลือกถ้ำอมตะของตัวเอง
ก่อนที่จะไปหลุมดักเซียน หยางเฉินได้บอกเธอไม่ต้องกังวลเรื่องนี้และให้รอเขากลับมา
ตัวเธอเองนั้นเชื่อฟังคำของหยางเฉินและรอคอยมาจนถึงวันนี้
แม้ว่าเหมือนทุกคนมาดูการเลือกถ้ำของหยางเฉิน แต่จริง ๆ แล้ว นี่เป็นการเลือกถ้ำอมตะสำหรับ
กั่วหยู กงซุนหลิงและตัวของหยางเฉิน
อันภูเขาเม่ยชิงนั้นกว้างนัก
ขอบเขตของมันกระทั่งมากกว่าพันไมล์ ตัวพระราชวังหยางนั้นอยู่บนยอดสูงสุดของภูเขา
อันเต็มไปด้วยกระแสพลังจิตวิญญาณ
โดยธรรมชาติของหยางเฉินย่อมไม่เลือกสถานที่ที่ผู้คนคับคั่งต่อให้เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยกระแสพลังจิตวิญญาณก็ตาม
เพราะเมื่อแบ่งจากคนจำนวนมากย่อมเหลือน้อยนิด
ดังนั้นเขานำทุกคนไปที่เชิงเขาเล็ก ๆ ในภูเขาเม่ยชิง ทำท่าทางราวกับสัมผัสได้กับกระแสพลัง
แต่อันที่จริงเขาได้เลือกไว้แต่แรกแล้ว
“ตรงนี้ รึ ?”
ทันทีที่เห็นหยางเฉินหมายตาที่นี้
กั่วหยู่เอ่ยปากถามพร้อมขมวดคิ้ว ในขณะที่คนอื่นล้วนงุนงง แต่ย่อมแล้วแต่หยางเฉิน
เพียงแต่เริ่มส่งกระแสสัมผัสออกค้นหากระแสพลังจิตในบริเวณรอบ ๆ นั้น
บริเวณนี้ตั้งอยู่หุบเขาอันพอจะกล่าวได้ว่าไม่เล็กแต่ก้อไมใหญ่
วิวทิวทัศน์สวยงาม ล้อมรอบด้วยภูเขารอบด้าน สามารถป้องกันจากหมู่สัตว์ป่าได้ทุกทิศ
และมีระยะห่างจากตัวพระราชวังหลักประมาณสองชั่วโมง
พอจะกล่าวได้ว่าไม่ใกล้ไม่ไกลเกินไป
“ศิษย์น้องหยาง
กระแสพลังจิตวิญญาณที่นี่ เหมาะแล้วรึ ?”
มันเป็นคำถามที่คนอื่น ๆ ไม่สมควรถาม
มีเพียงกงซุนหลิงเท่านั้น ทั้งซ่างกวนเฟิงและหวังหยวน เพียงแต่มาเพื่อช่วย
ส่วนกั่วหยูก็เป็นอาจารย์ จึงไม่เหมาะที่จะถาม เว้นแต่กงซุนหลิงเท่านั้น
เพราะมันเป็นการเลือกถ้ำอมตะของเธอด้วย
“นั่น เป็นเพียงมุมมองจากภายนอก”
หยางเฉินยิ้ม แต่ก็มิได้ปกปิดข้อมูลไว้
“แต่ก่อนนั้น
ข้าได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับการพบกระแสปราณนี้ของมือสังหาร
จารึกในแผ่นหยกคำสั่งของเขา”
ภายในภูเขาเม่ยชิงอันกว้างใหญ่นี้
มีผู้ฝึกตนอิสระท่องเที่ยวอยู่มากหลาย พระราชวังหยางก็รับรู้การคงอยู่ของพวกเขา
และบางทีพวกเขาก็ค้นพบบางอย่างที่ทางพระราชวังหยางไม่ล่วงรู้
อย่างเช่นที่มือสังหารพบกระแสปราณนี้ ไม่รู้ว่ามีการพบก่อนหน้านี้หรือไม่
ทุกอย่างถูกฝังไปกับร่างของเขาแล้ว
“ตรงไหน ?”
วาจาหยางเฉิน ก่อคำถามต่อทุกคน
แหล่งกระแสปราณลับใต้ดิน เป็นความใฝ่ฝันของผู้ฝึกตนทุกคน
หยางเฉินยิ้มพลางชี้นิ้วไปที่ผืนดินใต้เท้าโดยมิได้เอื้อนเอ่ย
มันพึ่งถูกพบเมื่อสองร้อยปีนี้ มันอุดมไปด้วยกระแสปราณ
แม้จะเท่ากระแสปราณในหอหลักของพระราชวังหยาง แต่เมื่อเทียบอัตราส่วนต่อจำนวนคน
มันเกินดีด้วยซ้ำ
สายตาทุกคน
มองไปตามทิศทางที่เขาบ่งชี้ บริเวณพื้นใต้เท้าหยางเฉิน ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็มิเห็นวี่แววพลังจิตวิญญาณ
แม้จะส่งจิตสัมผัสออกไปก็ยังไม่พบสิ่งใด พบแต่เพียงที่นี่เป็นหุบเขาธรรมดา
ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระแสพลังใต้ดินใด ๆ
“ไม่ต้องรีบร้อน
อันดับแรกเราต้องผนึกกระแสพลังนี้ก่อน”
หยางเฉินย่อมรู้ถึงความสงสัย
แต่มิได้เร่งเปิดเผยเรื่องราว เพียงบ่งบอกสิ่งที่จะทำ
“ไม่งั้น
ทันทีที่เราปล่อยให้กระแสพลังออกมา ผู้คนอื่น ๆ ย่อมมาขอมีส่วนด้วย พวกท่านย่อมรู้
ข้าไม่ชอบพวกวิหารรัศมีจันทรา”
ทุก ๆ คน เห็นด้วยกับวาจานี้
ภายในนิกายการแข่งขันแย่งชิงแหล่งพลังงานดุเดือดยิ่งนัก
ด้วยความแข็งแกร่งของวิหารรัศมีจันทรา
ทำให้สามารถแย่งชิงแหล่งกระแสพลังธรรมชาติได้หลายแห่ง รอบ ๆ
ศูนย์กลางของพระราชวังหยาง สักครึ่งนึงตกเป็นของพวกเขา
ด้วยเหตุผลบางอย่าง
กั่วหยูดูจะเชื่อมั่นในหยางเฉินอย่างไม่น่าเชื่อ เธอเชื่อหยางเฉินสนิทในเรื่องกระแสพลังจิตวิญญาณใต้
โดยมิเอ่ยวาจาใด เธอลอยตัวขึ้นบนกระบี่บิน
บินขึ้นท้องฟ้ากลายเห็นรังสีของแสงมุ่งสู่ตัวพระราชวังหยางบริสุทธิ์ และเอ่ยวาจา
“ข้าจะไปแจ้งต่อประมุขวัง
และย้ายสิ่งของออกจากถ้ำเดิม”
ถ้ำอมตะเก่าของกั่วหยูนั้น
อยู่ใกล้แกนหลักของพระราชวัง ย่อมมีผู้คนมากมายหมายตา ทันทีที่กั่วหยูย้ายออก
ย่อมทำให้ผู้คนเหล่านั้นสุขใจยิ่ง
ในด้านประมุขพระราชวังนั้นก็คงไม่คัดค้านเรื่องนี้
เพราะเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับหยางเฉินนั้นย่อมเกี่ยวพันกับความรุ่งเรืองของนิกาย
“ศิษย์พี่หญิง ท่านมีแผนตกแต่งถ้ำอมตะของท่านแบบไหน
?”
หยางเฉินมิได้เร่งรีบ
ให้ทุกคนนั่งบนเก้าอี้หินขณะสนทนา แล้วลูกบอลไฟลูกนึง
ก็ปรากฏบนสองมือของเขาเป็นรูปทรงต่าง ๆ ของสิ่งปลูกสร้าง
จากการคาดคำนวนของหยางเฉินขณะเลือกถ้าอมตะนั้น
ความว่า กงซุนหลิงนั้นเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่ยากจะพบพานในรอบพันปี และตัวอาจารย์ของเขาก็มีรากฐานธาตุน้ำที่เต็มเปี่ยม
รวมถึงตัวของเขาเอง ทำให้การร่วมมือกันของทั้งสาม
เพียงพอที่จะสั่นสะเทือนโลกการบ่มเพาะในอนาคตอันใกล้
และทำให้เส้นทางโลกการบ่มเพาะในอนาคตชัดขึ้น
นับได้ว่าเป็นโชควาสนาของกงซุนหลิง
ที่มิได้ดำเนินการเรื่องถ้ำอมตะ เพียงรอคอยการกลับมาของหยางเฉิน
และสำหรับหยางเฉินนี่ก็ย่อมเป็นการเก็บเกี่ยวผลที่เขาหว่านเม็ดไว้เช่นกัน
ด้วยความสัมพันธ์นี้ ในภายภาคหน้ากงซุนหลิงย่อมสนับสนุนหยางเฉิน
และทำให้วาจาของเขาย่อมมีสิทธิ์มีเสียงภายในพระราชวังหยางบริสุทธิ์
แม้ว่ากระแสวิญญาณภายใต้พื้นดินนี้
เพียงพอแม้กระทั่งให้ระดับผลิดอกทำการบ่มเพาะ แต่หยางเฉินนั้น
เตรียมไว้แค่ทั้งสามคนเขาบ่มเพาะถึงระดับผลิดอกเท่านั้น เขามีดียิ่งกว่านี้
เพียงแต่ด้วยความสามารถในขณะนี้ยังทำมิได้
กงซุนหลิงรู้สึกถูกแบบแปลนสิ่งก่อสร้างต่าง
ๆ ในมือของหยางเฉินดึงดูดอย่างยินดี แม้แต่ซ่างกวนเฟิงและหวังหยวนก็เช่นกัน
เมื่อคำนึงถึงวาจาที่หวังหยวนเคยเปล่งออกมาที่จะติดตามเขา
ทำให้หยางเฉินเริ่มนึกถึงการขยายเครือข่ายในพระราชวัง แล้วเมื่อเวลามาถึง
ด้วยการช่วยเหลือของเหล่าศิษย์ในพระราชวังนี้ เขาจะได้มีเครือข่ายที่เพียงพอ
“ศิษย์พี่ซ่างกวนและศิษย์พี่หวัง
ถ้าท่านต้องการ ท่านสามารถย้ายมาเลยนะ”
หยางเฉินยิ้มแล้วเอ่ยวาจากับทั้งสอง
“อยู่หลาย ๆ คน จะได้มีชีวิตชีวา
แล้วพวกเราจะได้สนิทกันมากขึ้น”
ข้อเสนอของหยางเฉินทำให้ใจของทุกคนเต้นถี่
แม้แต่กั่วหยูที่อยู่ระดับก่อสร้างลำต้น
อันมีนิวาสถานของถ้ำอมตะใกล้แกนกลางพระราชวัง ยังปราศจากความลังเล
อันแสดงว่าที่นี่ย่อมไม่ด้อยกว่า
เพียงแต่คนทั้งสองที่ยังไม่แสดงออกมาเพราะยังมีความเคารพต่ออาจารย์ของตนอยู่
“ทันทีที่กลับ
พวกเราจะเรียนเรื่องนี้ต่ออาจารย์ ถ้าไม่มีอะไรติดขัด ก็จะย้ายมาที่นี่ทันที”
“ดี แล้วในตอนนั้น
พวกเราก็จะต้องดึงเอาศิษย์พี่ตูเชี่ยนมาด้วย
และเราอาจจะไม่จำเป็นต้องสร้างเป็นถ้ำเฉพาะตัว แต่ทำเป็นอาคารใหญ่
แล้วแบ่งเป็นห้องทั้งอยู่อาศัยและฝึกการบ่มเพาะ”
ทันใดหยางเฉินหยุดยั้งความคิดเกี่ยวกับอาคารสถานที่เหล่านี้
และเอ่ยถามกงซุนหลิง
“ศิษย์พี่หญิงคิดว่าอย่างไร”
“ฟังดู ดีทีเดียว”
หลังจากนั้นชั่วครู่
กงซุนหลิงรีบพยักหน้าเห็นด้วย
“งั้นต้องเป็นภาระ
ศิษย์พี่หญิงช่วยเตรียมค่ายกลบริเวณรอบ ๆ นี้ละ”
หยางเฉินกล่าวไปเรื่อย ๆ
เพื่อที่จะกระตุ้นตัวของกงซุนหลิงเอง
“ทันทีที่พวกเราสร้างอาคารเสร็จ
ข้าจะพาศิษย์พี่หญิงไปดูพลังที่ยอดเยี่ยมของอักขระลวงตา
บางทีเราอาจจะสามารถนำมันมาไว้ที่นี่ได้”
หยางเฉินกล่าวถึงอักขระภาพลวงตาในที่ที่เขาได้รับกล่องกระบี่ มันไม่มีประโยชน์สำหรับเขา
แต่ถ้ามันเป็นของกงซุนหลิงเธอย่อมใช้มันสำหรับปกป้องตัวเองได้ นั่่นน่าจะดีที่สุด
กั่วหยูไปและกลับมาอย่างรวดเร็ว
เธอครอบคลุมด้วยแสงกระบี่หยุดลงเบื้องหน้าหยางเฉินและกล่าว
“ข้าได้เรียนต่อท่านประมุขพระราชวังแล้ว
และท่านอนุญาต ตอนนี้เจ้าต้องให้ข้าตามไปสำรวจล่ะ ข้าอยากรู้ถึงพลังกระแสนั้นจริงๆ
!
ขณะกล่าว แสงกระบี่พลางหายไป
และทันใดกลุ่มคนจำนวนมากปรากฏในพื้นที่ว่าง อันประกอบด้วยผู้รับใช้ของหยางเฉิน
เซินดา โฮ่หลิน ติงหยวนและกู๋ฉิน แล้วยังรวมถึงผู้รับใช้ของกั่วหยูและกงซุนหลิง
และเมื่อถึงเวลาที่ต้องใช้งานพวกเขา
ด้วยการได้รับความยินยอมจากประมุขพระราชวัง
ทำให้อะไร ๆ ก็ดูง่าย แต่หยางเฉินยิ่งตระเตรียมอะไรที่มากไปกว่านั้น
การตระเตรียมค่ายกลอักขระของกงซุนหลิง นอกจากจะใช้ในการป้องกันแล้ว
มันยังเป็นการรวมจิตวิญญาณของอักขระและต้องเตรียมการพิเศษเพื่อผนึกมิให้กระแสพลังใต้ดินมิให้รั่วไหลออกมาภายนอก
นั่นคือสิ่งที่หยางเฉินกำลังทำ
เขานำเอากองหินจิตวิญญาณระดับกลางทีมีขนาดเดียวกันออกมาวางบนพื้นหกสิบสี่กอง
ในรูปแบบที่ดูปกติ แต่รวมเข้ากับค่ายกลอักขระ
ทำให้เกิดเป็นรูปแบบค่ายกลที่ไม่มีผู้ใดเคยพบมาก่อน
ทุกคนจ้องมองอย่างงุนงง แม้แต่ผู้ที่ชำนาญด้านค่ายกลอย่างกงซุนหลิง
ก็มิเคยพานพบค่ายกลอักขระเยี่ยงนี้มาก่อน
เธอเริ่มเกิดความรู้สึกว่าศิษย์น้องผู้นี้ยิ่งมายิ่งพิศดาร
หลังการตระเตรียมค่ายกลอักขระเรียบร้อย
หยางเฉินถอยห่างออกมาหลายก้าวและเริ่มกระตุ้นค่ายกลให้ทำงาน
ทันทีทันใดประกายแสงพวยพุ่งจากพื้นดินในรัศมีของค่ายกลอักขระ
แสงนั้นเจิดจรัสบาดตารวมเป็นลำแสงไม่กระจัดกระจาย
และพลันรวมปรากฏเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาบนท้องฟ้า
และเริ่มทำการขุดลงพื้นดิน แต่ถ้ามองให้ดี ๆ ก็มิเห็นขุดอะไรออกมา
แต่แล้ว
อย่างรวดเร็วทุกคนรับรู้ได้ถึง กระแสพลังจิตวิญญาณที่น่าเกรงขามเข้ามาใกล้ตัว
มันพวยพุ่งออกมาจากใต้ดิน ทันทีทันใดที่มันปะทุออกจากใต้ดินราวกับน้ำพุ
อักขระจิตวิญญาณที่รวบรวมไว้ก็สาดแสงออกมาในทันที ทุก ๆ
คนถูกปกคลุมในกระแสพลังจิตวิญญาณ
สุดยอด
ตอบลบ