ถ้าหากจะมีการแบ่งสัดส่วนของพลังอำนาจของคน
ๆ หนึ่ง มันก็อาจกล่าวได้ว่าเป็นความแข็งแกร่งของพลังลมปราณและพลังเวทที่พวกเขามีราว
ๆ สี่ส่วน
พลังจากสัตว์เวทอีกสามส่วนและจากอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ครอบครองอีกสามส่วน
ในยุคที่มีขาดแคลนของอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์
สัดส่วนของพลังลมปราณและพลังเวทและสัตว์เวทได้เปลี่ยนไปแล้วเป็นห้าสิบห้าสิบ
ดังนั้นสำหรับทุกคนที่มีสัตว์เวทที่น่าเกรงขาม
จะกลายเป็นเป้าหมายที่สำคัญที่สุดนอกจากการบ่มเพาะ
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ทุกคนจะยอมรับเหตุผลของเฉินหยิว
แต่ในหมู่ทุกคนที่มีอยู่ยังคงมีคนหนึ่งคนที่ยังคงเยาะเย้ย เย้ยหยันกับคำพูดของเขา
คนคนนี้เป็นตัวหลักของเรื่องนี้
เฉินหยานเซียว
ตั้งแต่ที่เธอได้เข้ามาในห้องโถงหลัก
นอกเหนือจากประโยคแรกของเฉินเฟิงที่ได้กล่าวถึงเธอ
มันก็เหมือนกับว่าสิ่งนี้ทั้งหมดไม่เกี่ยวข้องกับเธอ ดูเหมือนว่าตอนนี้
มันได้เกี่ยวข้องกับทั้งสองคนนี้คือเฉินเจียอี้และเฉินเจียเว่ย
ในขณะที่มันอยู่ในขอบเขตของสิ่งที่จะต้องคาดหวัง ทัศนคติของ
เฉินหยิวก็มีผลต่อความคิดของพวกเขา
จากรูปลักษณ์ของเฉินหยิว
เขาอาจดูเป็นคนที่ไร้มนุษยธรรมในการขอความเมตตาในการลงโทษสารเลวน้อยทั้งสอง
โดยการขออภัย แต่ในความเป็นจริง
เฉินหยิวได้กำจัดความเป็นไปได้ของสารเลวน้อยทั้งสองออกไป กลายเป็นว่า 'เธอ' ให้บุกรุกบริเวณที่ต้องห้าม นอกจากนี้แล้ว
ในตอนนี้ มันก็ทำให้พวกเขารู้เหตุผลและเพื่อที่จะรักษาเฉินเจียอี้และเฉินเจียเว่ย
เพื่อให้ทั้งสองคนได้สามารถพัฒนาตนเองอย่างจริงจัง
โดยมุ่งมั่นในการยกระดับความแข็งแกร่งของตนเอง ในทางกลับกัน
เป้าหมายได้พลิกกลับมาเป็น "เธอ" คนที่ล่วงล้ำสถานกักขังสัตว์เวท
ส่วนหนึ่งของคำที่เรียบง่ายที่สามารถแสดงออกโดยเฉินหยิว
ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้วยความหมายที่ซับซ้อนมากมาย
เฉินหยิวผู้นี้เป็นคนที่ไม่สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย!
เฉินเฟิงไม่ได้ตอบคำถามของเฉินหยิวในทันที
แต่เขาก็มองไปที่พี่น้องสองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเฉินหยิว
“คำพูดของอาสามน่าชื่นชมนัก มันช่างเป็นคำพูดที่ตรงไปและตรงมาเสียจริง”
ทันใดนั้นเสียงที่ดังฟังชัดเจนก็ดังออกมาจากภายในห้องโถงหลัก
ใบหน้าของเด็กหนุ่มที่ดูสง่างามราวกับหยกสีขาว
ขณะที่เขาค่อย ๆเปิดเผยตัวเองโดยการเดินมาจากด้านหลังของพ่อของเขา เขามองไปที่
เฉินหยิว พร้อมด้วยใบหน้าที่ยิ้มออกมาแต่กลับแฝงไปด้วยความดุดัน
เด็กหนุ่มคนนี้อายุมากกว่าเมื่อเทียบกับพี่น้องสองคนและการปรากฏตัวของเขาสามารถกดทับ
เฉินเจียเว่ย ได้ในทันที รูปลักษณ์ที่งดงามพร้อมกับรอยยิ้มที่ผ่อนคลาย
ซึ่งจะทำให้คนต้องการเข้าใกล้เขาโดยไม่รู้ตัว
เฉินหยิว
มองไปที่เด็กหนุ่มคนนั้น แต่เขาก็แอบหัวเราะเยาะอยู่ภายในใจของเขา
เฉินอี้เฟิงเป็นหนึ่งในคนที่แข็งแกร่งที่สุดในรุ่นที่สาม!
ด้วยอายุไม่ถึงสิบเจ็ดปีเขาสามารถทะลวงผ่านระดับหกของพลังลมปราณ
การเริ่มต้นการบ่มเพาะระดับห้าของพลังลมปราณและพลังเวท
รับรู้กันว่ามันไม่ใช่เรื่องยากเลยสำหรับห้าระดับแรกของการบ่มเพาะทั้งสอง
มันเป็นเพียงขั้นต้นของการบ่มเพาะเท่านั้น
เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขาเริ่มทำการบ่มเพาะเข้าระดับหก
ทั้งพลังลมปราณและพลังเวท พวกเขาต้องทำการเลือกเส้นทางการบ่มเพาะของพวกเขา
ในตอนต้นของระดับหก
การบ่มเพาะทั้งพลังลมปราณและพลังเวทจะแบ่งออกเป็นสามแนวทางในการพัฒนา
ก่อนที่จะเข้าสู่ระดับหก
บรรดาผู้ที่บ่มเพาะพลังลมปราณและพลังเวทได้รับการเรียกว่าผู้ฝึกพลังเวทและผู้ฝึกพลังลมปราณ
แต่หลังจากเข้าสู่ระดับหกได้แล้ว บรรดาผู้ฝึกพลังเวทสามารถเลือกที่จะกลายเป็นหนึ่งในสามประเภทเหล่านี้
ซึ่งก็คือ จอมเวทที่มีลักษณะการโจมตีที่รุนแรงมาก จอมอาคมซึ่งสามารถร่ายอาคมลึกลับ
และเป็นจอมมารที่มีพลังอำนาจอันลี้ลับ เช่นเดียวกับผู้ฝึกพลังลมปราณ
พวกเขาสามารถเลือกที่จะกลายเป็นนักดาบที่แข็งแกร่งและมีความยืดหยุ่นสูงหรือเป็นนักธนูที่สามารถล่าศีรษะของมนุษย์จากระยะที่ห่างไกลออกไปหลายพันลี้
สำหรับ
เฉินอี้เฟิง เมื่อไม่นานมานี้ตอนที่เขาอายุได้สิบห้าปี
เขาประสบความสำเร็จในการทะลวงผ่านการเป็นผู้ฝึกพลังลมปราณ
และได้เลือกการเป็นนักดาบที่แข็งแกร่ง ตอนนี้ด้วยเวลาเพียงสองปีเขาได้เข้าสู่ระดับสามดาว
หากมองในภาพกว้าง ตลอดช่วงชีวิตของตระกูลหงส์ไฟ มีเพียงผู้ตาย เฉินอู๋
ที่มีพรสวรรค์ที่น่าอัศจรรย์ใจเช่นนี้
อย่างไรก็ตามมันน่าเสียดายที่
เฉินอู๋ เสียชีวิตก่อนวัยอันสมควร เช่นเดียวกับครอบครัวตระกูลหงส์ไฟ
ตอนนี้เฉินอี้เฟิง ก็เหมือนดวงอาทิตย์ในตอนเที่ยงที่อยู่สูงและก็เป็นเช่นนั้น
เขากลายเป็นหมายเลขหนึ่งของตระกูลหงส์ไฟในรุ่นหลัง ๆ
ขอบคุณครับ
ตอบลบขอบคุณค่ะ
ตอบลบ