เลือกสีพื้นเพื่ออ่านบทความ >>> พื้นขาว พื้นดำ พื้นครีม

วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2561

GDN 296 ร่างกายตาย แต่วิญญาณรอด

แปลโดย ข้าแปลเจ้าอ่าน 
ให้กำลังใจผู้แปลโดยงด การกอปปี้ งดแชร์ 
แล้วมาอ่านด้วยกันที่ https://imakeuread.blogspot.com/



ฮั่นหลางนอนบนเตียง ปิดตาทั้งสองข้างดุเหมือนว่าเขากำลังพักผ่อน

ฮั่นหลางไม่ได้หลับ เมื่อระดับของเขายกสูงขึ้น การนอนหลับไม่จำเป็นอีกต่อไป เขาเพียงแค่พยายามผ่อนคลาย เพื่อบรรเทาความตึงเครียดที่มาจากการคิดที่มากเกินไป เขานอนบนเตียงในขณะที่ฟังเพลงเบาๆ

ทันใดนั้น-

จิตสำนึกของฮั่นหลางได้มาถึงดาวเคราะห์ที่มีรูปร่างคล้ายกับพระจันทร์ครึ่งดวง ทำไมมันถึงอยู่ในรูปแบบดังกล่าว นั่นเป็นเพราะส่วนใหญ่ของดาวเคราะห์ถูกทำลาย และซากของเรือรบดวงดาวหลายลำลอยรอบมันราวกับกับสุสาน ในขณะที่ดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างไกลออกไป เกิดสุริยุปราคาสีดำและสีแดงอย่างน่ากลัว

ร่างเงาดำนั่งอยู่บนโขดหินห่างจากฮั่นหลางประมาณ 1 เมตร โดยหันหน้าเผชิญกับสุริยุปราคาและหันหลังให้กับฮั่นหลาง

ฮั่นหลางขมวดคิ้ว นับตั้งแต่ที่เขาได้รับสมองแห่งความมืด เขาก็มีภาพหลอนเช่นนี้ รวมทั้งร่างเงา

ฮั่นหลางอยากจะหยิกตัวเองเพื่อบังคับตัวเองให้ออกจากภาพลวงตา แต่เขาไม่สามารถทำได้ ราวกับว่ามีแรงดึงดูดจิตสำนึกของเขาเอาไว้

"จักรวาลนี้ มันจะถูกทำลายในวันหนึ่ง" ร่างเงากล่าวพร้อมกับถอนหายใจยาวออกมา

"ข้าเห็นด้วย ยิ่งสิ่งมีชีวิตมีปัญญาที่เข้มแข็ง พวกเขาก็ยิ่งมีอำนาจทำลายล้างมากขึ้น จักรวาลจะถูกทำลายโดยสิ่งมีชีวิตเหล่านี้" ฮั่นหลางพูดอย่างมืดมน

"เจ้าเห็นด้วยกับข้า?" ร่างเงาถามออกมาด้วยความอยากรู้

"แน่นอน ข้าเชื่อในทฤษฎีที่ว่ายิ่งสติปัญญาสูง มันก็ยิ่งก่อให้เกิดการทำลายที่มากขึ้น" ฮั่นหลางกล่าวออกมา

"ทั้งหมดนี้เป็นเพราะสปอร์เหล่านี้" ร่างเงาพูดออกมาอย่างมืดมน

"สปอร์" ฮั่นหลางไม่เข้าใจ

"ใช่ จักรวาลไม่ได้มีสิ่งมีชีวิตใด ๆ ในก่อนหน้านี้ เมื่อสปอร์ได้มาถึง ชีวิตของทุกชนิดไม่ว่าจะ ฉลาด ปราดเปรียว โลภ ขี้เกียจ" ร่างเงาอธิบายออกมา

ฮั่นหลางเคยได้ยินตำนานนี้มาก่อน ดังนั้นเขาจึงไม่แปลกใจและรู้สึกทึ่งกับร่างที่อยู่ในหัวของเขาเท่านั้น

"เจ้าเป็นใคร?" ฮั่นหลางถามออกไป

หวืด-

เมื่อเขาถามคำถามออกไป จิตสำนึกของเขาก็กลับคืนสู่ความเป็นจริงและการทำลายล้างที่เกิดจากสงครามก็หายไปพร้อมกับร่างเงา

ฮั่นหลางยิ้มบาง ๆ ออกมา เขาไม่ได้รู้สึกท้อแท้ จากนั้นเขาได้ใช้ปากกาอิเล็กทรอนิกส์เพื่อจดบันทึกทุกรายละเอียดที่เขาจำได้ลงไปมากที่สุดเท่าที่ทำได้

ถ้าใครได้อ่านบันทึกของฮั่นหลาง จะเห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาบันทึกภาพหลอนของเขา เวลาที่มันเกิดขึ้น กระบวนการการเปลี่ยนแปลง อัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต จนถึงผลรรวบรวมเพื่อทำการสรุป มันก็เหมือนกับว่าเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ทำการทดลอง

"เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในจิตสำนึกของข้า ซึ่งมีโอกาสร้อยละเก้าสิบสามที่ว่ามันจะเป็นจิตวิญญาณที่ทำลายล้างได้ และอีกเจ็ดเปอร์เซ็นต์อาจเป็นรูปแบบชีวิตอื่น ๆ"

"ครั้งต่อไปข้าจะต้องทดสอบปฏิกิริยาตอบสนองที่มีต่อความรู้สึก" ฮั่นหลางพูดพึมพำขณะที่เขาจดบันทึก

นับตั้งแต่ได้ครอบครองสมองแห่งความมืด มันมีการเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งภายในร่างกายของฮั่นหลาง ศักยภาพทางปัญญาของเขาได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างเต็มที่ เขาไม่เพียงแต่ศึกษาศาสตร์และศิลปะเท่านั้น แต่เขายังได้เรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ซึ่งรวมถึงสิ่งที่อยู่ในสมองของเขา

"วันหนึ่งแม้ว่าเจ้าจะไม่บอกข้า ข้าก็จะรู้ว่าเจ้าคือใคร มาจากที่ไหน และเจ้าจะไปที่ไหน" ฮั่นหลางพึมพำกับตัวเองในขณะที่ยิ้มออกมา

สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับจักรวาลนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความกว้างหรือความมืดเท่านั้น แต่ยังมีชีวิตอยู่ภายในนั้น วิถีชีวิตที่หลากหลายในจักรวาล

....

ที่ไหนสักแห่งในมุมหนึ่งของจักรวาล มีวิหารที่สร้างขึ้นในความมืดมิดที่ว่างเปล่า

สถานที่แห่งนี้ค่อนข้างคล้ายกับตำนานที่เล่าขานถึงวิหารแห่งสวรรค์เพียงแต่ว่ามันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นบนเมฆ แต่อยู่บนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ทั้งหมดที่มีอยู่ทั้งด้านบนและด้านล่างล้วนเป็นดวงดาวที่แม้จะอยู่ห่างไกลแต่ก็ยังล้อมรอบไปด้วยเมฆหมอกที่มีสีสัน

ก่อนหน้านี้ ชายทั้งสองคนที่กล้าหาญได้เข้าไปใกล้กับโลกมนุษย์เพื่อค้นหาฮั่นหลางและสมองแห่งความมืด พวกเขายังคงสวมชุดสีดำในตอนนี้พวกเขาได้กลับมายังมุมหนึ่งของจักรวาล และตรงไปที่วิหารแห่งนี้

นักรบที่เฝ้าสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นสัตว์ประหลาดที่มีรูปร่างครึ่งมนุษย์ครึ่งสัตว์

ฮั่นหลางเคยเห็นเหล่าสัตว์ประหลาดเหล่านี้มาก่อน ในเขตแดนที่เรียกกันว่า "องค์กรเหล่าเทพเจ้า" กำแพงพลังงานที่มีพลังแบ่งแยกจักรวาล ด้านหนึ่งเป็นที่อยู่ขององค์กรเหล่าเทพเจ้า รวมทั้งมนุษย์ชั้นสูง ในอีกด้าน เต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดครึ่งมนุษย์ที่ชั่วร้ายเหล่านี้

ชายสองคนในชุดสีดำเข้ามาในวิหาร และรายงานการค้นพบของพวกเขากับเจ้านาย "ผู้อาวุโส"

ในมุมหนึ่งของวิหารแห่งนี้เป็นเทอเรชที่ยื่นยาวออกไป ที่ซึ่งมีหญิงสาว สองคนกำลังแอบฟังบทสนทนาอย่างใกล้ชิด

หญิงสาวทั้งสองสวยมากในแบบที่เกินกว่าคำว่าความสวยงาม ทั้งสองมีรัศมีออร่าแผ่ออกมา

รัศมีออร่าชนิดนี้มักพบได้เฉพาะในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ ทำให้หญิงสาวสองคนนี้ดูเหมือนนางฟ้า ดวงตาของพวกเธอสดใส รอยยิ้มของพวกเธอดูบริสุทธิ์

น่าเสียดายที่รัศมีนี้มักจะหายไปตามอายุที่สูงขึ้น

แม้ว่าหญิงสาวสองคนนี้จะไม่ได้เป็นเด็กแล้ว ดวงตาของพวกเธอยังคงเปล่งประกายเหมือนนางฟ้า และแม้แต่หูของพวกเธอก็ชี้ขึ้นไป

หญิงสาวที่แก่กว่ามีอายุประมาณยี่สิบปี ขณะที่อีกคนมีอายุราว ๆ สิบสี่ถึงสิบห้าปี

"ฆ่าเขา! เราต้องฆ่าเขา! ไม่ว่าอะไรจะเกิดก็ตาม!"

"คนทรยศเช่นนี้! แม้ว่าเราจะฆ่าเขา จิตวิญญาณของเขาจะยังคงอยู่! นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการ!"

"ข้าต้องการให้เขาตายอย่างสมบูรณ์! ทั้งร่างกายและจิตใจของเขา ทุกสิ่งทุกอย่าง!"

"ทำทุกอย่างที่เราทำได้! แม้จะต้องจ่ายด้วยจักรวาลทั้งหมด ข้าต้องการหาจิตวิญญาณของเขาและทำลายมัน! ให้สลายไปอย่างสิ้นเชิง! ไม่มีโอกาสที่เขาจะฟื้นได้!

ร่างลึกลับทั้งสองดูเหมือนจะทำนายความโกรธของอาวุโสไว้แล้ว ในขณะที่พวกเขามองหน้ากันและกัน ก่อนที่จะออกจากวิหารมาอย่างเงียบ ๆ

ในเวลาเดียวกันทั้งสองสาวที่หลบซ่อนตัว ได้ถอยกลับไปที่สนามหลังวิหาร

หญิงสาวที่แก่กว่า เธอเอามือทาบหน้าอก เธอเคยมีผิวพรรณที่ดูสุขภาพดี  แต่ตอนนี้ผิวของเธอดูซีดจาง ๆ หญิงสาวที่อายุน้อยกว่ารู้สึกงงงวย

"พี่ใหญ่ ทำไมท่านถึงชอบคนทรยศคนนี้?" คนน้องถามออกไปด้วยความอยากรู้ว่า "เป็นเพราะเขาดูดีหรือไม่?"

พี่ใหญ่ส่ายหน้า "เขาไม่เคยใส่ใจดูแลรูปร่างหน้าตาของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ดูเนี๊ยบมาก แม้ว่าเขาจะไม่ได้ดูแย่ เขาก็ยังห่างไกลจากคำว่าดูดี"

"ดังนั้นเขาจะต้องดีกับพี่ใหญ่มาก ๆ" สาวน้อยพูดต่อไปอย่างไร้เดียงสา

พี่สาวส่ายหน้าอีกครั้ง "เขาเป็นคนที่มีความทะเยอทะยาน มักยุ่งกับธุระของตัวเอง นอกจากที่เราได้ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันด้วยกันแล้ว มันก็ยากที่จะบอกว่าเขาปฏิบัติต่อข้าได้ดีแค่ไหน"

เด็กน้อยขมวดคิ้วนิดหน่อย "ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว ข้าก็ไม่เข้าใจ เขาดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ และเขาก็ไม่ค่อยดีกับพี่ใหญ่ ทำไมพี่ใหญ่ถึงไม่สามารถลืมเขาได้?"

"ไม่ใช่ว่าข้าไม่สามารถลืมได้ เพียงแต่ว่าข้าไม่กล้าที่จะทำ" คนพี่เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มืดมิดที่เต็มไปด้วยดวงดาว

"ข้าไม่รู้ว่าทำไม ข้าถึงตกใจกับข่าวของคนทรยศคนนั้นด้วย บางทีอาจเป็นเพราะเขาดูแตกต่าง มองไปที่ดวงดาวเหล่านี้ พวกมันทั้งหมดสดใสและสวยงาม แต่พวกมันทั้งหมดต่างก็มีลักษณะเหมือนกัน"

"ทุกวันดวงดาวเหล่านี้จะไปตามเส้นทางเดียวกัน ฤดูใบไม้ผลิมาถึง ฤดูใบไม้ร่วงตามมา และก็กลับมาจุดเดิมอีกครั้ง"

"จนถึงวันหนึ่งข้าได้พบกับดาวตก"

"ดาวตก?" เด็กสาวกระพริบตาอย่างไร้เดียงสา

"ใช่ดาวตกไม่ได้มีเส้นทางที่คงที่ พวกมันไปที่ใดก็ได้ตามที่พวกมันต้องการ พวกมันเรืองแสงสดใส ไม่เคยสนใจที่จะหยุดเพื่อใคร จนถึงจุดจบของชีวิตของพวกมัน

"ข้าคิดมาเป็นเวลานานมาก และตระหนักว่าคนทรยศเป็นดาวตกในชีวิตของข้า เขาวิ่งผ่านข้าไปเรื่อย ๆ แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่เคียงข้างข้า แต่ข้าก็ไม่อาจลืมช่วงเวลาที่ข้าเห็นเขาไปได้"

หญิงสาวคนพี่จมอยู่ในความคิดของเธอ คนน้องเอี้ยวศีรษะด้วยความงงงวย

เธอได้เห็นดาวตกแล้ว มันแตกต่างจากดาวอื่น ๆ ในจักรวาล  มันไม่ได้เป็นไปตามเส้นทางที่คงที่โดยเฉพาะในชีวิตของเธอ แต่เธอเองก็ไม่เคยรู้ว่ามันจะไปที่ไหน

คนพี่ถอนหายใจยาวออกมา และลุกขึ้นเดินข้ามลานออกจากวิหารออกไป

"พี่ใหญ่ ท่านจะไปที่ไหน?"

"ข้าจะไปหาเขา"

"แต่เขาตายแล้วเหลือแต่เพียงจิตวิญญาณของเขาเท่านั้น"

"ดังนั้น ข้าต้องหาจิตวิญญาณของเขาให้พบ" เสียงของพี่สาวสั่นคลอน แต่มั่นคง

"ถ้าอย่างนั้น ข้าก็ไปด้วย ข้าต้องการเห็นคนที่อยู่ในห้วงความคิดของพี่สาวข้าอยู่ตลอดเวลา เพื่อดูว่าเขาเป็นดาวตกแบบไหน" สาวน้อยผู้บริสุทธิ์ที่ไม่เข้าใจในเรื่องนี้ ยังคงต้องการติดตามผู้เป็นพี่สาวไปอย่างคนตาบอด

อย่าตามข้ามาเลย

"ข้าจะตีเจ้า ถ้าเจ้ายังตามข้ามา"

เด็กผู้หญิงที่ไร้เดียงสาเพียงยิ้มอย่างหวานออกมา โดยไม่รับรู้สัญญาณภัยคุกคามที่ส่งมาจากพี่สาวของเธอ

"เสี่ยวอิ๋ง ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าจะทำอย่างไรกับเจ้าดี" พี่สาวของเธอส่ายหัวดูเหมือนจะยอมแพ้น้องสาวของเธอ

"จำไว้ว่าเรากำลังเข้าสู่ดินแดนของศัตรู แม้ว่าเราจะถูกจับได้ เราก็ไม่สามารถเปิดเผยอัตลักษณ์ของพวกเราได้" พี่สาวบอก พร้อมกับลูบผมของเด็กสาว


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น