แปลโดย ข้าแปลเจ้าอ่าน
ให้กำลังใจผู้แปลโดยงด การกอปปี้ งดแชร์
แล้วมาอ่านด้วยกันที่ https://imakeuread.blogspot.com/
แล้วมาอ่านด้วยกันที่ https://imakeuread.blogspot.com/
ฮั่นหลางนอนบนเตียง ปิดตาทั้งสองข้างดุเหมือนว่าเขากำลังพักผ่อน
ฮั่นหลางไม่ได้หลับ
เมื่อระดับของเขายกสูงขึ้น การนอนหลับไม่จำเป็นอีกต่อไป เขาเพียงแค่พยายามผ่อนคลาย
เพื่อบรรเทาความตึงเครียดที่มาจากการคิดที่มากเกินไป เขานอนบนเตียงในขณะที่ฟังเพลงเบาๆ
ทันใดนั้น-
จิตสำนึกของฮั่นหลางได้มาถึงดาวเคราะห์ที่มีรูปร่างคล้ายกับพระจันทร์ครึ่งดวง
ทำไมมันถึงอยู่ในรูปแบบดังกล่าว นั่นเป็นเพราะส่วนใหญ่ของดาวเคราะห์ถูกทำลาย และซากของเรือรบดวงดาวหลายลำลอยรอบมันราวกับกับสุสาน
ในขณะที่ดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างไกลออกไป เกิดสุริยุปราคาสีดำและสีแดงอย่างน่ากลัว
ร่างเงาดำนั่งอยู่บนโขดหินห่างจากฮั่นหลางประมาณ
1 เมตร โดยหันหน้าเผชิญกับสุริยุปราคาและหันหลังให้กับฮั่นหลาง
ฮั่นหลางขมวดคิ้ว
นับตั้งแต่ที่เขาได้รับสมองแห่งความมืด เขาก็มีภาพหลอนเช่นนี้ รวมทั้งร่างเงา
ฮั่นหลางอยากจะหยิกตัวเองเพื่อบังคับตัวเองให้ออกจากภาพลวงตา
แต่เขาไม่สามารถทำได้ ราวกับว่ามีแรงดึงดูดจิตสำนึกของเขาเอาไว้
"จักรวาลนี้ มันจะถูกทำลายในวันหนึ่ง"
ร่างเงากล่าวพร้อมกับถอนหายใจยาวออกมา
"ข้าเห็นด้วย ยิ่งสิ่งมีชีวิตมีปัญญาที่เข้มแข็ง
พวกเขาก็ยิ่งมีอำนาจทำลายล้างมากขึ้น
จักรวาลจะถูกทำลายโดยสิ่งมีชีวิตเหล่านี้" ฮั่นหลางพูดอย่างมืดมน
"เจ้าเห็นด้วยกับข้า?"
ร่างเงาถามออกมาด้วยความอยากรู้
"แน่นอน ข้าเชื่อในทฤษฎีที่ว่ายิ่งสติปัญญาสูง
มันก็ยิ่งก่อให้เกิดการทำลายที่มากขึ้น" ฮั่นหลางกล่าวออกมา
"ทั้งหมดนี้เป็นเพราะสปอร์เหล่านี้"
ร่างเงาพูดออกมาอย่างมืดมน
"สปอร์"
ฮั่นหลางไม่เข้าใจ
"ใช่ จักรวาลไม่ได้มีสิ่งมีชีวิตใด
ๆ ในก่อนหน้านี้ เมื่อสปอร์ได้มาถึง ชีวิตของทุกชนิดไม่ว่าจะ ฉลาด ปราดเปรียว โลภ ขี้เกียจ"
ร่างเงาอธิบายออกมา
ฮั่นหลางเคยได้ยินตำนานนี้มาก่อน
ดังนั้นเขาจึงไม่แปลกใจและรู้สึกทึ่งกับร่างที่อยู่ในหัวของเขาเท่านั้น
"เจ้าเป็นใคร?"
ฮั่นหลางถามออกไป
หวืด-
เมื่อเขาถามคำถามออกไป จิตสำนึกของเขาก็กลับคืนสู่ความเป็นจริงและการทำลายล้างที่เกิดจากสงครามก็หายไปพร้อมกับร่างเงา
ฮั่นหลางยิ้มบาง ๆ
ออกมา เขาไม่ได้รู้สึกท้อแท้ จากนั้นเขาได้ใช้ปากกาอิเล็กทรอนิกส์เพื่อจดบันทึกทุกรายละเอียดที่เขาจำได้ลงไปมากที่สุดเท่าที่ทำได้
ถ้าใครได้อ่านบันทึกของฮั่นหลาง
จะเห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาบันทึกภาพหลอนของเขา เวลาที่มันเกิดขึ้น กระบวนการการเปลี่ยนแปลง
อัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต จนถึงผลรรวบรวมเพื่อทำการสรุป มันก็เหมือนกับว่าเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ทำการทดลอง
"เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในจิตสำนึกของข้า
ซึ่งมีโอกาสร้อยละเก้าสิบสามที่ว่ามันจะเป็นจิตวิญญาณที่ทำลายล้างได้ และอีกเจ็ดเปอร์เซ็นต์อาจเป็นรูปแบบชีวิตอื่น
ๆ"
"ครั้งต่อไปข้าจะต้องทดสอบปฏิกิริยาตอบสนองที่มีต่อความรู้สึก"
ฮั่นหลางพูดพึมพำขณะที่เขาจดบันทึก
นับตั้งแต่ได้ครอบครองสมองแห่งความมืด
มันมีการเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งภายในร่างกายของฮั่นหลาง
ศักยภาพทางปัญญาของเขาได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างเต็มที่ เขาไม่เพียงแต่ศึกษาศาสตร์และศิลปะเท่านั้น
แต่เขายังได้เรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ซึ่งรวมถึงสิ่งที่อยู่ในสมองของเขา
"วันหนึ่งแม้ว่าเจ้าจะไม่บอกข้า
ข้าก็จะรู้ว่าเจ้าคือใคร มาจากที่ไหน และเจ้าจะไปที่ไหน"
ฮั่นหลางพึมพำกับตัวเองในขณะที่ยิ้มออกมา
สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับจักรวาลนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความกว้างหรือความมืดเท่านั้น
แต่ยังมีชีวิตอยู่ภายในนั้น วิถีชีวิตที่หลากหลายในจักรวาล
....
ที่ไหนสักแห่งในมุมหนึ่งของจักรวาล
มีวิหารที่สร้างขึ้นในความมืดมิดที่ว่างเปล่า
สถานที่แห่งนี้ค่อนข้างคล้ายกับตำนานที่เล่าขานถึงวิหารแห่งสวรรค์เพียงแต่ว่ามันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นบนเมฆ
แต่อยู่บนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ทั้งหมดที่มีอยู่ทั้งด้านบนและด้านล่างล้วนเป็นดวงดาวที่แม้จะอยู่ห่างไกลแต่ก็ยังล้อมรอบไปด้วยเมฆหมอกที่มีสีสัน
ก่อนหน้านี้ ชายทั้งสองคนที่กล้าหาญได้เข้าไปใกล้กับโลกมนุษย์เพื่อค้นหาฮั่นหลางและสมองแห่งความมืด
พวกเขายังคงสวมชุดสีดำในตอนนี้พวกเขาได้กลับมายังมุมหนึ่งของจักรวาล
และตรงไปที่วิหารแห่งนี้
นักรบที่เฝ้าสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่มนุษย์
แต่เป็นสัตว์ประหลาดที่มีรูปร่างครึ่งมนุษย์ครึ่งสัตว์
ฮั่นหลางเคยเห็นเหล่าสัตว์ประหลาดเหล่านี้มาก่อน
ในเขตแดนที่เรียกกันว่า "องค์กรเหล่าเทพเจ้า"
กำแพงพลังงานที่มีพลังแบ่งแยกจักรวาล ด้านหนึ่งเป็นที่อยู่ขององค์กรเหล่าเทพเจ้า
รวมทั้งมนุษย์ชั้นสูง ในอีกด้าน
เต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดครึ่งมนุษย์ที่ชั่วร้ายเหล่านี้
ชายสองคนในชุดสีดำเข้ามาในวิหาร
และรายงานการค้นพบของพวกเขากับเจ้านาย "ผู้อาวุโส"
ในมุมหนึ่งของวิหารแห่งนี้เป็นเทอเรชที่ยื่นยาวออกไป
ที่ซึ่งมีหญิงสาว สองคนกำลังแอบฟังบทสนทนาอย่างใกล้ชิด
หญิงสาวทั้งสองสวยมากในแบบที่เกินกว่าคำว่าความสวยงาม
ทั้งสองมีรัศมีออร่าแผ่ออกมา
รัศมีออร่าชนิดนี้มักพบได้เฉพาะในเด็กอายุต่ำกว่า
5 ขวบ ทำให้หญิงสาวสองคนนี้ดูเหมือนนางฟ้า ดวงตาของพวกเธอสดใส รอยยิ้มของพวกเธอดูบริสุทธิ์
น่าเสียดายที่รัศมีนี้มักจะหายไปตามอายุที่สูงขึ้น
แม้ว่าหญิงสาวสองคนนี้จะไม่ได้เป็นเด็กแล้ว
ดวงตาของพวกเธอยังคงเปล่งประกายเหมือนนางฟ้า และแม้แต่หูของพวกเธอก็ชี้ขึ้นไป
หญิงสาวที่แก่กว่ามีอายุประมาณยี่สิบปี
ขณะที่อีกคนมีอายุราว ๆ สิบสี่ถึงสิบห้าปี
"ฆ่าเขา!
เราต้องฆ่าเขา! ไม่ว่าอะไรจะเกิดก็ตาม!"
"คนทรยศเช่นนี้!
แม้ว่าเราจะฆ่าเขา จิตวิญญาณของเขาจะยังคงอยู่! นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการ!"
"ข้าต้องการให้เขาตายอย่างสมบูรณ์!
ทั้งร่างกายและจิตใจของเขา ทุกสิ่งทุกอย่าง!"
"ทำทุกอย่างที่เราทำได้!
แม้จะต้องจ่ายด้วยจักรวาลทั้งหมด ข้าต้องการหาจิตวิญญาณของเขาและทำลายมัน! ให้สลายไปอย่างสิ้นเชิง!
ไม่มีโอกาสที่เขาจะฟื้นได้!
ร่างลึกลับทั้งสองดูเหมือนจะทำนายความโกรธของอาวุโสไว้แล้ว
ในขณะที่พวกเขามองหน้ากันและกัน ก่อนที่จะออกจากวิหารมาอย่างเงียบ ๆ
ในเวลาเดียวกันทั้งสองสาวที่หลบซ่อนตัว
ได้ถอยกลับไปที่สนามหลังวิหาร
หญิงสาวที่แก่กว่า
เธอเอามือทาบหน้าอก เธอเคยมีผิวพรรณที่ดูสุขภาพดี แต่ตอนนี้ผิวของเธอดูซีดจาง ๆ หญิงสาวที่อายุน้อยกว่ารู้สึกงงงวย
"พี่ใหญ่ ทำไมท่านถึงชอบคนทรยศคนนี้?"
คนน้องถามออกไปด้วยความอยากรู้ว่า "เป็นเพราะเขาดูดีหรือไม่?"
พี่ใหญ่ส่ายหน้า
"เขาไม่เคยใส่ใจดูแลรูปร่างหน้าตาของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ดูเนี๊ยบมาก
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ดูแย่ เขาก็ยังห่างไกลจากคำว่าดูดี"
"ดังนั้นเขาจะต้องดีกับพี่ใหญ่มาก
ๆ" สาวน้อยพูดต่อไปอย่างไร้เดียงสา
พี่สาวส่ายหน้าอีกครั้ง
"เขาเป็นคนที่มีความทะเยอทะยาน มักยุ่งกับธุระของตัวเอง นอกจากที่เราได้ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันด้วยกันแล้ว
มันก็ยากที่จะบอกว่าเขาปฏิบัติต่อข้าได้ดีแค่ไหน"
เด็กน้อยขมวดคิ้วนิดหน่อย
"ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว ข้าก็ไม่เข้าใจ เขาดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ และเขาก็ไม่ค่อยดีกับพี่ใหญ่
ทำไมพี่ใหญ่ถึงไม่สามารถลืมเขาได้?"
"ไม่ใช่ว่าข้าไม่สามารถลืมได้
เพียงแต่ว่าข้าไม่กล้าที่จะทำ" คนพี่เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มืดมิดที่เต็มไปด้วยดวงดาว
"ข้าไม่รู้ว่าทำไม
ข้าถึงตกใจกับข่าวของคนทรยศคนนั้นด้วย บางทีอาจเป็นเพราะเขาดูแตกต่าง มองไปที่ดวงดาวเหล่านี้
พวกมันทั้งหมดสดใสและสวยงาม แต่พวกมันทั้งหมดต่างก็มีลักษณะเหมือนกัน"
"ทุกวันดวงดาวเหล่านี้จะไปตามเส้นทางเดียวกัน
ฤดูใบไม้ผลิมาถึง ฤดูใบไม้ร่วงตามมา และก็กลับมาจุดเดิมอีกครั้ง"
"จนถึงวันหนึ่งข้าได้พบกับดาวตก"
"ดาวตก?"
เด็กสาวกระพริบตาอย่างไร้เดียงสา
"ใช่ดาวตกไม่ได้มีเส้นทางที่คงที่
พวกมันไปที่ใดก็ได้ตามที่พวกมันต้องการ พวกมันเรืองแสงสดใส ไม่เคยสนใจที่จะหยุดเพื่อใคร
จนถึงจุดจบของชีวิตของพวกมัน”
"ข้าคิดมาเป็นเวลานานมาก
และตระหนักว่าคนทรยศเป็นดาวตกในชีวิตของข้า เขาวิ่งผ่านข้าไปเรื่อย ๆ
แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่เคียงข้างข้า แต่ข้าก็ไม่อาจลืมช่วงเวลาที่ข้าเห็นเขาไปได้"
หญิงสาวคนพี่จมอยู่ในความคิดของเธอ
คนน้องเอี้ยวศีรษะด้วยความงงงวย
เธอได้เห็นดาวตกแล้ว มันแตกต่างจากดาวอื่น
ๆ ในจักรวาล มันไม่ได้เป็นไปตามเส้นทางที่คงที่โดยเฉพาะในชีวิตของเธอ
แต่เธอเองก็ไม่เคยรู้ว่ามันจะไปที่ไหน
คนพี่ถอนหายใจยาวออกมา และลุกขึ้นเดินข้ามลานออกจากวิหารออกไป
"พี่ใหญ่ ท่านจะไปที่ไหน?"
"ข้าจะไปหาเขา"
"แต่เขาตายแล้วเหลือแต่เพียงจิตวิญญาณของเขาเท่านั้น"
"ดังนั้น ข้าต้องหาจิตวิญญาณของเขาให้พบ"
เสียงของพี่สาวสั่นคลอน แต่มั่นคง
"ถ้าอย่างนั้น ข้าก็ไปด้วย
ข้าต้องการเห็นคนที่อยู่ในห้วงความคิดของพี่สาวข้าอยู่ตลอดเวลา เพื่อดูว่าเขาเป็นดาวตกแบบไหน"
สาวน้อยผู้บริสุทธิ์ที่ไม่เข้าใจในเรื่องนี้ ยังคงต้องการติดตามผู้เป็นพี่สาวไปอย่างคนตาบอด
“อย่าตามข้ามาเลย”
"ข้าจะตีเจ้า ถ้าเจ้ายังตามข้ามา"
เด็กผู้หญิงที่ไร้เดียงสาเพียงยิ้มอย่างหวานออกมา
โดยไม่รับรู้สัญญาณภัยคุกคามที่ส่งมาจากพี่สาวของเธอ
"เสี่ยวอิ๋ง ข้าไม่รู้จริง
ๆ ว่าจะทำอย่างไรกับเจ้าดี" พี่สาวของเธอส่ายหัวดูเหมือนจะยอมแพ้น้องสาวของเธอ
"จำไว้ว่าเรากำลังเข้าสู่ดินแดนของศัตรู
แม้ว่าเราจะถูกจับได้ เราก็ไม่สามารถเปิดเผยอัตลักษณ์ของพวกเราได้" พี่สาวบอก
พร้อมกับลูบผมของเด็กสาว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น