ตอนนี้หยางเฉินต้องการที่จะปกปิดร่องรอยจากคนเหล่านั้น
เขาเก็บสิ่งของต่าง ๆ
ที่คนเหล่านั้นจะใช้พลังจิตวิญญาณในการติดตามได้ลงในแหวนจัดเก็บ
แล้วปล่อยพลังจิตวิญญาณของเขาปกปิดไว้อย่างมิดชิดไม่ให้มีรั่วไหลแม้แต่ร่องรอยของเขา
ในที่นี้ไม่มีผู้บ่มเพาะระดับก่อสร้างรากฐาน
แม้แต่ระดับก่อลำต้นก็ไม่มีพลังจิตวิญญาณเท่าหยางเฉิน
ดังนั้นการค้นหาเขาไม่ง่ายหรอก!
เมื่อเขาปกปิดร่องรอยและตลบหลังตามเหล่าศัตรู
พวกเขาก็เหมือนคนตาบอดตอนนี้จะใช้ตาเปล่าหรือพลังจิตวิญญาณสำรวจค้นหา
ก็จะพบแต่โพลงถ้ำของสัตว์อสูร ไม่มีสิ่งอื่นใดอีก
พวกเขาต้องการหาร่องรอยของหยางเฉิน ทว่าขอเพียงสิ่งใดที่บ่งบอกว่าเกี่ยวข้องกับเขา
ล้วนถูกปกปิดไว้
พวกเขาไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น
และขณะเดียวกันมันกลายเป็นความหวาดกลัว หลังจากเฝ้าดูหยางเฉินมาครึ่งปี
แม้หยางเฉินจะมีสิ่งของวิเศษบางอย่าง แต่ต้องไม่สามารถหนีรอดโครงร่างของตาข่าย
นี้ได้
อย่างน้อยความแข็งแกร่งของหยางเฉิน
ได้มาถึงขั้นที่สามารถสังหารผู้บ่มเพาะระดับก่อลำต้น ที่ไปกับพวกเขา
ถ้าหยางเฉินยังคงผลุบๆโผล่ๆ
อย่างไม่อาจคาดคะเนได้ ….เมื่อคิดได้
ภายใต้สถานการณ์เยี่ยงนี้…ไม่น่าจะมีสิ่งที่ดีกว่าการรวมกลุ่มกัน
ในการค้นหาและสังหารหยางเฉิน
แต่หยางเฉินไม่ได้โง่ที่จะรอให้เขารวมกลุ่มเข้าด้วยกัน
เขาได้หนีไปไกลแล้ว สิ่งที่สำคัญสำหรับเขาตอนนี้ คือหาสถานที่ที่ปลอดภัย
เพื่อปรับแต่งและดูดซับไฟแกนพิภพ เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง ส่วนเรื่องการล้างแค้น
…ไว้ทีหลัง
สถานที่ในหลุมดักเซียนที่เขารู้สึกว่าน่าจะปลอดภัยมากที่สุดมีเพียงที่เดียว
…มันเป็นถ้ำเล็ก ๆ ที่เขาเคยได้ปลดปล่อยเจตจำนงแห่งการฆ่าของลานประหารเซียน
แม้แต่หมู่บ้านหลี่โหลก็ไม่ปลอดภัยเท่าที่นี่
หยางเฉินรู้ซึ้งถึงความโหดร้ายในโลกแห่งการแข่งขันของผู้บ่มเพาะดี
แน่ล่ะที่เขาต้องไม่นำชีวิตไปฝากไว้ในมือคนอื่น
และคอยหวังที่จะให้ผู้คนเหล่านั้น ทำตามกฏอย่างเคร่งครัด คอยยับยั้งการละเมิดกฏ
เวลานี้
หยางเฉินเร่งรีบไปที่ถ้ำที่เขาปิดผนึกไว้ในเวลาไม่ถึงสิบวัน
ยิ่งกว่านั้นครั้งนี้เขาไม่ได้เปิดรอยผนึกที่ปากถ้ำ
เพียงพุ่งดิ่งเข้าไปในถ้ำเล็กนั้นโดยใช้กลยุทธหลบหลีกเร้นเข้าไป
แล้วค่อยๆปล่อยร่องรอยสีแดงของเจตจำนงแห่งการฆ่าปกปิดถ้ำ โดยวิธีนี้จะไม่ต้องกังวลถึงการรบกวนจากเหล่าสัตว์อสูร
เมื่อเตรียมการป้องกันแล้ว
เขาจึงเปิดฝาขวดสวนสมุนไพร
ด้วยค่ายกลเจ็ดก้าวมรณะ ต่อให้เป็นผู้อาวุโสหวูเข้ามาเอง
มันยังสามารถหน่วงเวลาได้นานพอ และด้วยกระแสปราณที่ไหลเวียนใต้ดินในถ้ำนี้
มีมากพอที่จะเติมพลังจิตวิญญาณของเขาไม่ให้ขาด
[tl : เปลี่ยนจากชื่อ ค่ายกลเจ็ดก้าวสิ้นชีพ บทที่ 5 เป็นเจ็ดก้าวมรณะ]
หลังการตระเตรียมครบ
เขาจึงนั่งลงบนเสื่อหยก นำเตาหลอมแก่นจิตวิญญาณออกมาพิจารณาดู
เพียงแค่ดูจากลักษณะรูปร่างที่เปลี่ยนไป แสงสว่างและการสั่นสะเทือนของสี
ที่พบเห็นบนพื้นผิว พร้อมการตกแต่งของเปลวไฟ
ไม่ต้องทดสอบก็สามารถบอกได้ว่ามันขยับขึ้นไม่น้อยกว่าสองระดับชั้น
ยิ่งเพ่งพิศเท่าใด ยิ่งตกหลุมรักมันมากขึ้น
ตอนนี้จึงได้แต่เริ่มอุ่นมันด้วยเคล็ดวิชาสมบัติสวรรค์พิภพอีกครั้ง
ทันใดนั้น
เขาพบว่ามีการเคลื่อนไหว เปลวไฟสีแดง ภายในเตาหลอมแก่นจิตวิญญาณ
ในช่วงเวลาหลายวันที่ผ่านมาเขาใช้เปลือกของผลหยางล้ำเลิศที่เหลือจากการกินโยนมันลงไปในเตา
ในเวลาไม่นานเปลือกนี้ก็เปลี่ยนเป็นของเหลว
ภายใต้การควบคุมด้วยพลังการรับรู้ด้วยจิตวิญญาณของเขามันเริ่มเปลี่ยนรูปร่าง
โดยไร้ร่องรอยของการเผาไหม้
เปลวไฟแกนพิภพ
เป็นไฟที่เหมาะที่สุดสำหรับนักปรุงยาในใต้หล้า ไม่ว่าจะเป็นยาหรือสมุนไพร
ตราบใดที่ผู้ปรุงยาไม่เพิ่มความร้อนอย่างบ้าคลั่ง มันก็แค่ละลายไม่ไหม้
นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ว่าเปลวไฟแกนพิภพจึงเหมาะกับการปรุงยา
สิ่งสำคัญที่สุดคือมันสามารถกำจัดสิ่งปนเปื้อนออกจากสมุนไพร
ได้ตามความต้องการของผู้ใช้ไฟ
แทบจะกล่าวได้เลยว่า
ตราบใดที่นักปรุงยาได้ครอบครองแกนไฟใต้พิภพ
มันจะช่วยยกระดับเขาอีกขั้นหนึ่งในทันที
เนื่องจากความสามารถที่เหมาะสมยิ่งในการปรับแต่งยาของเปลวไฟนี้
และตัวหยางเฉินเองมีทั้งวิธีการปรับแต่งของเขาเองอีกทั้งได้ครอบครองแหล่งไฟนี้
กล่าวได้ว่าเขามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นนักปรุงยาระดับสามเรียบร้อยแล้ว
แน่นอน
การก้าวมาถึงระดับนี้เป็นเรื่องหนึ่ง
แต่พลังจิตวิญญาณยังเป็นองค์ประกอบที่จะจำกัดขอบเขต ด้วยระดับการบ่มเพาะในตอนนี้
เขายังไม่สามารถที่จะปรับแต่งยาระดับสูงทีละมากๆได้
แต่ยังไงก็ตามยาระดับต่ำที่ผ่านการปรับแต่งถึงสามครั้งก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนน้ำลายไหล
เปลือกของผลไม้หยางล้ำเลิศพันปีที่สะสมไว้และเพิ่มด้วยตัวยาบางอย่าง
ก็กลายเป็นสูตรยาสำหรับยาเม็ดลมปราณหยางได้เพียงพอแล้ว
เพราะมันเป็นยาที่ระดับไม่สูงนัก จึงไม่จำเป็นต้องตรงสูตร
ขอเพียงมีตัวยาสมุนไพรหลักๆ ก็จะได้ยาเม็ดลมปราณหยางที่คุณภาพพอควรแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกของทั้งสองชีวิตของเขาที่ได้ใช้เปลวไฟแกนใต้พิภพ
เขาควบคุมอย่างระมัดระวัง อันดับแรกต้องทำตัวยาให้บริสุทธิ์ไร้สิ่งปนเปื้อน
แล้วเริ่มปรับแต่งผสมยาครั้งที่หนึ่งตามสูตร ต่อด้วยการปรับแต่งครั้งที่สอง
หลังจากนั้นก็เป็นการปรับแต่งครั้งที่สาม แม้จะเป็นเพียงยาเม็ดลมปราณหยาง
แต่ทุกขั้นตอนในการปรุง ไม่ว่าตั้งแต่การกำจัดสิ่งปนเปื้อนไล่มาจนถึงการจัดเก็บ
เขาทำอย่างตั้งใจทำอย่างพิถีพิถันตามกรรมวิธีการปรุงยาของผู้อาวุโสสูงสุดทุกประการ
หลังจากทุกอย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์
ตัวกระสายยาทุกอย่างที่สามารถผลิตเป็นยาเม็ดลมปราณหยางร้อยเม็ด
แต่ตอนนี้ได้เพียงสิบเม็ด …ทว่าเป็นสิบเม็ดของยาเม็ดลมปราณระดับที่สามทั้งหมด
การปรับแต่งสามครั้งนี้
เปลี่ยนแม้กระทั่งธรรมชาติเดิมของยา
นี่เป็นเหตุผลที่นักปรุงยาระดับที่สามย่อมเป็นที่นิยมยกย่อง แต่อย่างไรก็ตาม
ยาเม็ดทั้งสิบในมือของเขา ปรุงแต่งตามกรรมวิธีของผู้อาวุโสสูงสุด
ดังนั้นคุณภาพมันสูงกว่ายาเม็ดระดับสามทั่วไปมากนัก
กระทั่งเขายังรู้สึกรังเกียจที่จะกินมัน
ยาเม็ดเหล่านี้มันทรงคุณค่ายิ่งที่จะสามารถช่วยชีวิต คนบางคนได้ในยามคับขัน
จุดเล็ก ๆ นี้
เพียงพอที่จะทำให้เตาหยางล้ำเลิศเป็นดั่งสมบัติสวรรค์ในสายตาหยางเฉิน
อีกทั้งต้องได้รับการช่วยเหลือจากเตาหลอม
ในการที่จะการปรับแต่งและดูดซับเปลวไฟแกนพิภพ
จุดประสงค์ของหยางเฉินในการปรับแต่งปรุงยาเม็ดลมปราณหยาง
ก็เพื่อเรียนรู้ธรรมชาติของเปลวไฟแกนใต้พิภพ
เป็นการสร้างความคุ้นเคยตามกรรมวิธีการปรุงยาของผู้อาวุโสสูงสุด และเป็นการทดสอบเตาหลอมแก่นจิตวิญญาณ
เพราะหากต้องการดูดซับเปลวไฟใด ต้องคุ้นเคยรู้ลักษณะทั่ว ๆ ไปของมันก่อน
ในโลกนี้รู้กันอยู่ว่าเปลวไฟแกนพิภพเหมาะที่สุดสำหรับการปรุงยา
ดังนั้นเขาจึงต้องทำความเข้าใจกับมันเพื่อให้ได้ยาที่มีคุณภาพสูงสุด
แต่ในการปรุงยาครั้งแรกนี้
มันยังไกลห่างจากความต้องการของเขาที่ต้องการคุ้นเคยกับมัน
หยางเฉินต้องการที่จะรู้ว่าเมื่อใดมันอยู่เหนือการควบคุม
ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องทดลองปรุงมากกว่านี้ เพื่อความเข้าใจที่มากขึ้น
หยางเฉินมีความอดกลั้นเป็นอย่างมาก
เขาใช้เวลาอีกหนึ่งเดือนถัดมา ในการปรุงยาเม็ดลมปราณหยาง โดยเตาหลอมแก่นจิตวิญญาณ
เพื่อที่จะเรียนรู้ลักษณะต่าง ๆ ของเปลวไฟนี้ให้ถ่องแท้
จนกระทั่งจำนวนเม็ดยาระดับที่สามได้มากกว่าสามร้อยเม็ดในที่สุด
เขาก็หยุดการปรับแต่งปรุงยา และเริ่มดูดซับเปลวไฟแกนพิภพ
เมื่อเส้นพลังงานเปลวไฟเส้นแรกเข้าสู่ร่างของเขา
เขาต้องคอยบังคับจิตใจของเขาไม่ให้ฟุ้งซ่านที่มาจากความร้อนอย่างรุนแรงนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า
ในชีวิตก่อนนั้นตอนที่เขาได้รับเปลวไฟสุริยะที่แท้จริง เขาอยู่ในระดับผลิดอก
แต่ตอนนี้เขาแค่อยู่ระดับรวบรวมลมปราณ
ระดับของความอดทนของเขายังห่างจากตอนนั้นมากนัก
โชคยังดีที่เขาเคยผ่านการใช้งานไฟต่าง
ๆ นับหมื่นปี นอกจากนั้นเขายังมีการควบคุมตัวเองที่แข็งแกร่ง
การยืนหยัดต่ความเจ็บปวดของการเผาไหม้ราวกับย่างเนื้อ ….มันยากมาก
เขาค่อยๆปล่อยให้พลังจิตธาตุไฟของเขาซึมซับไปทั่วเปลวไฟแกนพิภพ
หลังจากนั้นไม่นานเขาพบว่าพลังจิตวิญญาณในร่างเขาเหมือนถูกกระตุ้นตามร่องรอยของเปลวไฟ
ทั้งร่างเริ่มถูกเผาความรู้สึกแท้จริงในขณะนี้ของหยางเฉินคืออยากจะใช้พลังธาตุน้ำดับไฟนี้ซะ
…แต่ก็ไม่ได้ทำ ถ้าเขาไม่สามารถผ่านวิกฤติการณ์ในครั้งแรกนี้ได้แล้ว
เขาจะไม่สามารถดูดซับเปลวไฟใด ๆ ได้อีกเลย
การอดทนต่อความเจ็บปวด
ที่ราวกับทั้งร่างอยู่บนกองไฟ สภาพจิตใจของเขาแกร่งเหนียวคล้ายดั่งผลมังคุดเก่าๆ
โดยไร้ซึ่งความคิดที่จะล้มเลิกการกระทำนี้แม้แต่น้อย พลังจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง
คอยติดตามดูความเป็นไปของร่างกาย และชักนำให้คุ้นเคยกับเปลวไฟแกนพิภพทีละน้อย
[TL: มังคุดเป็นผลไม้ที่เริ่มแข็งหลังจากถูกปลิดจากต้น ]
การดูดซับเปลวไฟของระดับรวบรวมลมปราณนั้นมีความเสี่ยง
แต่เขาไม่มีทางเลือก ข้อแรกมีผู้คนในหลุมดักเซียนที่รอโอกาสที่จะจู่โจมเขาอยู่
ข้อสองเขารอคอยโอกาสที่เขาจะได้ไปหาอาจารย๋ที่เคารพรักของเขาอีกครั้ง
ถ้าเขาไม่แกร่งพอย่อมไม่มีโอกาส
หยางเฉินแน่ใจว่าหลังจากการดูดซับเปลวไฟแล้ว
การบ่มเพาะธาตุไฟของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ความแตกต่างของผู้ฝึกการบ่มเพาะที่มีเปลวไฟกับผู้ที่ไม่มีไม่ได้วัดกันที่ระดับการบ่มเพาะ
ผู้ที่มีเปลวไฟสามารถเอาชนะผู้ที่มีระดับการบ่มเพาะเหนือกว่าสองระดับขั้นอย่างง่ายดาย
ตอนนี้สิ่งที่จำเป็นคือเขาต้องเพิ่มความแข็งแกร่ง
แต่เขาก็ไม่ต้องการทำลายในสิ่งที่สร้างมา
ทางเดียวในการไปสู่สวรรค์ที่คิดออกคือต้องอดทนและใช้สมบัติสวรรค์
ซึ่งจะได้ประโยชน์สองทาง
คือไม่ต้องทำลายการบ่มเพาะและสร้างสภาวะความแข็งแกร่งให้มั่นคง
จากประสบการณ์ที่เคยเข้าสู่โลกแห่งจิตสำนึกวิญญาณและโลกอมตะในชีวิตก่อน
หยางเฉินทราบถึงผลลัพธ์ของการใช้ยาพลังจิตเพื่อการเพิ่มพลังอย่างรวดเร็ว สำหรับคนเหล่านี้
ถ้าได้เป็นผู้รับใช้ของผู้ที่มีพลังจิตสำนึกวิญญาณที่แข็งแกร่ง
…นับได้ว่าโชคดีอย่างมาก เพราะส่วนมากจะพบอุบัติเหตุบนเส้นทางเขตแดนสัตว์อสูรที่กล้าแกร่ง
และหายไปอย่างไร้ร่องรอย …โลกการบ่มเพาะไม่มีวิธีลัดใดๆ
พร้อม ๆ
กับเวลาที่ผ่านไป ร่างกายเขาสดชื่นด้วยพลังจิตของธาตุไฟ ค่อย
ๆเริ่มจากการเผาด้วยเปลวไฟ ในที่สุดก็มาถึง
ขั้นตอนที่ใช้เส้นเปลวไฟแกนพิภพที่ดึงออกมาแม้แต่เส้นบาง ๆ
ผสมเข้าไปในสามสิบหกดวงดาวสวรรค์ เจ็ดสิบสองร่างปีศาจปฐพีของธาตุไฟที่สี่
เข้าสู่เส้นชีพจรและเริ่มการโคจรลมปราณ
ราวกับว่าพลังจิตวิญญาณของธาตุไฟที่สี่เริ่มเดือด
เปลวไฟแผ่ไปที่เส้นใยทั้งหนึ่งร้อยแปดเส้นพลังจิตวิญญาณอย่างรวดเร็ว
เป็นปรากฏการณ์ที่ดูจะลดความน่ากลัวของเปลวไฟแกนพิภพลงได้มาก
และทันใดนั้นหยางเฉินไม่สามารถสัมผัสถึงการคงอยู่ของเปลวไฟแกนพิภพแล้ว
มันก็เหมือนการใช้ไฟไปจุดเชื้อไฟ
ประกายของเปลวไฟไม่ได้มีพลังงานที่เพียงพอ
มันจำเป็นที่จะต้องใช้พลังงานที่มากกว่านี้ ดังนั้นเส้นใยหนึ่งเส้นของเปลวไฟแกนพิภพ
จึงยังห่างไกลจุดหมาย เขาเพียงแต่ต้องดูดซับต่อไปอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากในสภาพพลังจิตวิญญาณที่ประหลาดของเขา
ยิ่งต้องการเปลวไฟแกนพิภพยิ่งกว่านี้
แล้วขั้นตอนต่าง ๆ
ก็ดำเนินไปอย่างสะดวก ทำการดูดซับไป ทีละอัน ทีละอัน เปลวไฟแกนพิภพ มากขึ้นเรื่อย
ๆ ในพลังจิตวิญญาณของเขา จนกระทั่งที่สุด ก็บรรลุถึงขอบเขตของมัน
“ปัง….!”
เริ่ม ‘การเผา’
เส้นชีพจรทั้งมวล
เวลานี้
พลังจิตวิญญาณเต็มไปด้วยประกายไฟ ยิ่งกว่านั้น เส้นใยพลังจิตวิญญาณทั้งร้อยแปดเส้น
เชื่อมต่อกันอย่างสมบูรณ์ด้วยเปลวไฟ พลังจิตวิญญาณภายในเส้นใยแต่ละเส้นเต็มไปด้วยเปลวไฟจากแกนใต้พิภพ
บริเวณใดที่ยังไม่มีก็โดนจุดขึ้นมาแล้วทุกอย่างก็เข้าสู่กระบวนการเผา
พลังจิตวิญญาณของธาตุไฟที่สี่
ราวกับว่ามันต้องใช้ส่วนเพิ่มพิเศษของยาจำนวนมาก
เริ่มที่จะไหลอย่างดุดันและภายใต้การปลุกเร้าของเปลวไฟมันโคจรไปตามเส้นชีพจรราวสายฟ้าแลบ
หยางเฉินไม่ได้ทุกข์ทรมานแต่อย่างใด เพราะมันกลับเป็นความรู้สึกอุ่นสบาย
เปลวไฟแกนใต้พิภพจัดเป็นลำดับที่สี่ธาตุไฟ
หลังจากเปลวไฟได้หลอมรวมกันแล้ว
ไม่เพียงลำดับที่สี่ธาตุไฟที่พุ่งขึ้นฉับพลันเนื่องจากหยินหยางที่อยู่ร่วม
มันจะชดเชยและยกระดับด้วยกัน ธาตุไฟที่สามเองก็ตกอยู่ภายใต้การกระตุ้นเร่งเร้าจากพลังจิตวิญญาณของธาตุไฟที่สี่
และเริ่มที่จะดูดซับกระแสปราณไหลเวียนใต้พิภพอย่างบ้าคลั่งและเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
การเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันสร้างความปั่นป่วนภายในร่างเขา
แต่ก็สามารถควบคุมยับยั้งให้อยู่ภายในชีพจร
ได้อย่างเร็วด้วยพลังจิตสำนึกวิญญาณที่แข็งแกร่ง และมันก็มีพลังมากขึ้นมากขึ้น
เมื่อหยางเฉินรู้สึกว่ามันน่าจะเพียงพอแล้ว
เขาก็ชักนำพลังจิตวิญญาณธาตุไฟเข้ากระแทกจุดวิกฤติภายในชีพจร
“ปัง….!”
ราวกับมีดร้อน ๆ
ตัดลงไปที่เนย พลังจิตวิญญาณธาตุไฟเริ่มเปิดแนวกำแพงกั้น
…ในที่สุดหยางเฉินก็บรรลุขั้นที่เก้าระดับรวบรวมลมปราณผู้บ่มเพาะธาตุไฟ
ทันใดหลังจากทะลวงขั้น
พลังจิตวิญญาณดูเหมือนจะไม่พออยู่บ้าง
แต่เปลวไฟใต้พิภพเริ่มกระตุ้นกระแสพลังจิตวิญญาณใต้พิภพ หลั่งไหลเข้าสู่ร่างหยางเฉินอย่างท่วมท้นและไปชดเชยส่วนที่ขาดไป
และเมื่อสะสมได้เพียงพอเขาก็ชักนำพลังนี้เข้ากระแทกแนวกั้นขั้นต่อไปอีกครั้ง
ภายใต้การปะทุของพลังงาน
กำแพงในเส้นชีพจรถูกทะลวงได้ในทันที
“..ปุ..”
เขาเข้าสู่ขั้นที่สิบ
อันเป็นขั้นสูงสุดระดับรวบรวมลมปราณอย่างง่ายดาย
ทันใดนั้นเขาก็สัมผัสถึงพลังสวรรค์และพิภพ
สิ่งที่เขาต้องการทำที่สุดในเขตแดนรวบรวมลมปราณนี้คือ
รวบรวมสะสมพลังงานพลังจิตวิญญาณให้มากพอ
เขาก็จะสามารถเริ่มทะลวงหลังจากที่ทำความเข้าใจ สถานะทางจิตและสามารถเชื่อมต่อพลังงานสวรรค์และพิภพและสำเร็จในการบ่มเพาะของเขา
สำหรับเขาความเข้าใจถึง
สภาพทางจิตที่จำเป็นต้องใช้ในการทะลวงด่านนั้น ไม่ใช่ปัญหา
ด้วยประสบการณ์ระดับอมตะทองคำ…
ไหนเลยจะมามีปัญหากับเรื่องขี้ปะติ๋วแค่ระดับก่อสร้างรากฐาน
แต่หยางเฉินยังไม่ต้องการทะลวงขั้นในตอนนี้
เขาอยู่ที่ขั้นสูงสุดระดับรวบรวมลมปราณ
แต่มีเพียงพลังจิตวิญญาณธาตุไฟเท่านั้นที่เพิ่มขึ้น สำหรับธาตุอื่น ๆ
จำเป็นที่ต้องปรับปรุง เพื่อไม่ให้เกิดความแตกต่างมากเกินไปในแต่ละธาตุ
นอกจากนั้นเขาต้องควบแน่นปราณในเขตแดนนี้ก่อน ยังไม่ต้องการยกระดับการบ่มเพาะ
การคงอยู่ในระดับนี้เพื่อสร้างรากฐานให้มั่นคง
ย่อมส่งผลดีมหาศาลต่อการบ่มเพาะในอนาคต
นับวันเวลาที่อยู๋ที่นี่
เขาใช้เวลาไปแล้วครึ่งปี
…เมื่อสัมผัสได้ถึง
ความดุเดือนพล่านของพลังจิตวิญญาณภายในร่างกายของเขา
ส่งผลให้หยางเฉินถูกแรงกระตุ้นอย่างฉับพลัน
…เมื่อนึกถึงเหล่าผู้คนที่รอคอยเขาที่สายธารลาวา
มันคงได้เวลาที่จะชำระหนี้ของพวกเขา!
รอลุ้นตอนต่อไปๆ
ตอบลบเป็นการฟาร์มเวลที่ใจเย็นจริงๆ รอตอนต่อไปอยู่ครับ
ตอบลบ