เลือกสีพื้นเพื่ออ่านบทความ >>> พื้นขาว พื้นดำ พื้นครีม

วันเสาร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ZX 067 จุดสูงสุดขั้นรวบรวมลมปราณ


ตอนนี้หยางเฉินต้องการที่จะปกปิดร่องรอยจากคนเหล่านั้น เขาเก็บสิ่งของต่าง ๆ ที่คนเหล่านั้นจะใช้พลังจิตวิญญาณในการติดตามได้ลงในแหวนจัดเก็บ แล้วปล่อยพลังจิตวิญญาณของเขาปกปิดไว้อย่างมิดชิดไม่ให้มีรั่วไหลแม้แต่ร่องรอยของเขา ในที่นี้ไม่มีผู้บ่มเพาะระดับก่อสร้างรากฐาน แม้แต่ระดับก่อลำต้นก็ไม่มีพลังจิตวิญญาณเท่าหยางเฉิน ดังนั้นการค้นหาเขาไม่ง่ายหรอก!

เมื่อเขาปกปิดร่องรอยและตลบหลังตามเหล่าศัตรู พวกเขาก็เหมือนคนตาบอดตอนนี้จะใช้ตาเปล่าหรือพลังจิตวิญญาณสำรวจค้นหา ก็จะพบแต่โพลงถ้ำของสัตว์อสูร ไม่มีสิ่งอื่นใดอีก พวกเขาต้องการหาร่องรอยของหยางเฉิน ทว่าขอเพียงสิ่งใดที่บ่งบอกว่าเกี่ยวข้องกับเขา ล้วนถูกปกปิดไว้

พวกเขาไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น และขณะเดียวกันมันกลายเป็นความหวาดกลัว หลังจากเฝ้าดูหยางเฉินมาครึ่งปี แม้หยางเฉินจะมีสิ่งของวิเศษบางอย่าง แต่ต้องไม่สามารถหนีรอดโครงร่างของตาข่าย นี้ได้
อย่างน้อยความแข็งแกร่งของหยางเฉิน ได้มาถึงขั้นที่สามารถสังหารผู้บ่มเพาะระดับก่อลำต้น ที่ไปกับพวกเขา

ถ้าหยางเฉินยังคงผลุบๆโผล่ๆ อย่างไม่อาจคาดคะเนได้ ….เมื่อคิดได้  ภายใต้สถานการณ์เยี่ยงนี้…ไม่น่าจะมีสิ่งที่ดีกว่าการรวมกลุ่มกัน ในการค้นหาและสังหารหยางเฉิน

แต่หยางเฉินไม่ได้โง่ที่จะรอให้เขารวมกลุ่มเข้าด้วยกัน เขาได้หนีไปไกลแล้ว สิ่งที่สำคัญสำหรับเขาตอนนี้ คือหาสถานที่ที่ปลอดภัย เพื่อปรับแต่งและดูดซับไฟแกนพิภพ เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง ส่วนเรื่องการล้างแค้น …ไว้ทีหลัง

สถานที่ในหลุมดักเซียนที่เขารู้สึกว่าน่าจะปลอดภัยมากที่สุดมีเพียงที่เดียว …มันเป็นถ้ำเล็ก ๆ ที่เขาเคยได้ปลดปล่อยเจตจำนงแห่งการฆ่าของลานประหารเซียน แม้แต่หมู่บ้านหลี่โหลก็ไม่ปลอดภัยเท่าที่นี่
หยางเฉินรู้ซึ้งถึงความโหดร้ายในโลกแห่งการแข่งขันของผู้บ่มเพาะดี
แน่ล่ะที่เขาต้องไม่นำชีวิตไปฝากไว้ในมือคนอื่น และคอยหวังที่จะให้ผู้คนเหล่านั้น ทำตามกฏอย่างเคร่งครัด คอยยับยั้งการละเมิดกฏ

เวลานี้ หยางเฉินเร่งรีบไปที่ถ้ำที่เขาปิดผนึกไว้ในเวลาไม่ถึงสิบวัน  ยิ่งกว่านั้นครั้งนี้เขาไม่ได้เปิดรอยผนึกที่ปากถ้ำ  เพียงพุ่งดิ่งเข้าไปในถ้ำเล็กนั้นโดยใช้กลยุทธหลบหลีกเร้นเข้าไป แล้วค่อยๆปล่อยร่องรอยสีแดงของเจตจำนงแห่งการฆ่าปกปิดถ้ำ โดยวิธีนี้จะไม่ต้องกังวลถึงการรบกวนจากเหล่าสัตว์อสูร

เมื่อเตรียมการป้องกันแล้ว เขาจึงเปิดฝาขวดสวนสมุนไพร  ด้วยค่ายกลเจ็ดก้าวมรณะ ต่อให้เป็นผู้อาวุโสหวูเข้ามาเอง มันยังสามารถหน่วงเวลาได้นานพอ และด้วยกระแสปราณที่ไหลเวียนใต้ดินในถ้ำนี้
มีมากพอที่จะเติมพลังจิตวิญญาณของเขาไม่ให้ขาด
[tl : เปลี่ยนจากชื่อ ค่ายกลเจ็ดก้าวสิ้นชีพ บทที่ 5 เป็นเจ็ดก้าวมรณะ]

หลังการตระเตรียมครบ เขาจึงนั่งลงบนเสื่อหยก นำเตาหลอมแก่นจิตวิญญาณออกมาพิจารณาดู เพียงแค่ดูจากลักษณะรูปร่างที่เปลี่ยนไป แสงสว่างและการสั่นสะเทือนของสี ที่พบเห็นบนพื้นผิว พร้อมการตกแต่งของเปลวไฟ ไม่ต้องทดสอบก็สามารถบอกได้ว่ามันขยับขึ้นไม่น้อยกว่าสองระดับชั้น ยิ่งเพ่งพิศเท่าใด ยิ่งตกหลุมรักมันมากขึ้น ตอนนี้จึงได้แต่เริ่มอุ่นมันด้วยเคล็ดวิชาสมบัติสวรรค์พิภพอีกครั้ง   
           
ทันใดนั้น เขาพบว่ามีการเคลื่อนไหว เปลวไฟสีแดง ภายในเตาหลอมแก่นจิตวิญญาณ ในช่วงเวลาหลายวันที่ผ่านมาเขาใช้เปลือกของผลหยางล้ำเลิศที่เหลือจากการกินโยนมันลงไปในเตา ในเวลาไม่นานเปลือกนี้ก็เปลี่ยนเป็นของเหลว ภายใต้การควบคุมด้วยพลังการรับรู้ด้วยจิตวิญญาณของเขามันเริ่มเปลี่ยนรูปร่าง โดยไร้ร่องรอยของการเผาไหม้

เปลวไฟแกนพิภพ เป็นไฟที่เหมาะที่สุดสำหรับนักปรุงยาในใต้หล้า ไม่ว่าจะเป็นยาหรือสมุนไพร ตราบใดที่ผู้ปรุงยาไม่เพิ่มความร้อนอย่างบ้าคลั่ง มันก็แค่ละลายไม่ไหม้ นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ว่าเปลวไฟแกนพิภพจึงเหมาะกับการปรุงยา สิ่งสำคัญที่สุดคือมันสามารถกำจัดสิ่งปนเปื้อนออกจากสมุนไพร ได้ตามความต้องการของผู้ใช้ไฟ

แทบจะกล่าวได้เลยว่า ตราบใดที่นักปรุงยาได้ครอบครองแกนไฟใต้พิภพ มันจะช่วยยกระดับเขาอีกขั้นหนึ่งในทันที เนื่องจากความสามารถที่เหมาะสมยิ่งในการปรับแต่งยาของเปลวไฟนี้ และตัวหยางเฉินเองมีทั้งวิธีการปรับแต่งของเขาเองอีกทั้งได้ครอบครองแหล่งไฟนี้ กล่าวได้ว่าเขามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นนักปรุงยาระดับสามเรียบร้อยแล้ว

แน่นอน การก้าวมาถึงระดับนี้เป็นเรื่องหนึ่ง แต่พลังจิตวิญญาณยังเป็นองค์ประกอบที่จะจำกัดขอบเขต  ด้วยระดับการบ่มเพาะในตอนนี้ เขายังไม่สามารถที่จะปรับแต่งยาระดับสูงทีละมากๆได้  แต่ยังไงก็ตามยาระดับต่ำที่ผ่านการปรับแต่งถึงสามครั้งก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนน้ำลายไหล

เปลือกของผลไม้หยางล้ำเลิศพันปีที่สะสมไว้และเพิ่มด้วยตัวยาบางอย่าง ก็กลายเป็นสูตรยาสำหรับยาเม็ดลมปราณหยางได้เพียงพอแล้ว เพราะมันเป็นยาที่ระดับไม่สูงนัก จึงไม่จำเป็นต้องตรงสูตร ขอเพียงมีตัวยาสมุนไพรหลักๆ ก็จะได้ยาเม็ดลมปราณหยางที่คุณภาพพอควรแล้ว

นี่เป็นครั้งแรกของทั้งสองชีวิตของเขาที่ได้ใช้เปลวไฟแกนใต้พิภพ เขาควบคุมอย่างระมัดระวัง อันดับแรกต้องทำตัวยาให้บริสุทธิ์ไร้สิ่งปนเปื้อน แล้วเริ่มปรับแต่งผสมยาครั้งที่หนึ่งตามสูตร ต่อด้วยการปรับแต่งครั้งที่สอง หลังจากนั้นก็เป็นการปรับแต่งครั้งที่สาม แม้จะเป็นเพียงยาเม็ดลมปราณหยาง แต่ทุกขั้นตอนในการปรุง ไม่ว่าตั้งแต่การกำจัดสิ่งปนเปื้อนไล่มาจนถึงการจัดเก็บ เขาทำอย่างตั้งใจทำอย่างพิถีพิถันตามกรรมวิธีการปรุงยาของผู้อาวุโสสูงสุดทุกประการ

หลังจากทุกอย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ ตัวกระสายยาทุกอย่างที่สามารถผลิตเป็นยาเม็ดลมปราณหยางร้อยเม็ด แต่ตอนนี้ได้เพียงสิบเม็ด …ทว่าเป็นสิบเม็ดของยาเม็ดลมปราณระดับที่สามทั้งหมด

การปรับแต่งสามครั้งนี้ เปลี่ยนแม้กระทั่งธรรมชาติเดิมของยา นี่เป็นเหตุผลที่นักปรุงยาระดับที่สามย่อมเป็นที่นิยมยกย่อง แต่อย่างไรก็ตาม ยาเม็ดทั้งสิบในมือของเขา ปรุงแต่งตามกรรมวิธีของผู้อาวุโสสูงสุด ดังนั้นคุณภาพมันสูงกว่ายาเม็ดระดับสามทั่วไปมากนัก กระทั่งเขายังรู้สึกรังเกียจที่จะกินมัน ยาเม็ดเหล่านี้มันทรงคุณค่ายิ่งที่จะสามารถช่วยชีวิต คนบางคนได้ในยามคับขัน

จุดเล็ก ๆ นี้ เพียงพอที่จะทำให้เตาหยางล้ำเลิศเป็นดั่งสมบัติสวรรค์ในสายตาหยางเฉิน อีกทั้งต้องได้รับการช่วยเหลือจากเตาหลอม ในการที่จะการปรับแต่งและดูดซับเปลวไฟแกนพิภพ

จุดประสงค์ของหยางเฉินในการปรับแต่งปรุงยาเม็ดลมปราณหยาง ก็เพื่อเรียนรู้ธรรมชาติของเปลวไฟแกนใต้พิภพ เป็นการสร้างความคุ้นเคยตามกรรมวิธีการปรุงยาของผู้อาวุโสสูงสุด และเป็นการทดสอบเตาหลอมแก่นจิตวิญญาณ เพราะหากต้องการดูดซับเปลวไฟใด ต้องคุ้นเคยรู้ลักษณะทั่ว ๆ ไปของมันก่อน ในโลกนี้รู้กันอยู่ว่าเปลวไฟแกนพิภพเหมาะที่สุดสำหรับการปรุงยา ดังนั้นเขาจึงต้องทำความเข้าใจกับมันเพื่อให้ได้ยาที่มีคุณภาพสูงสุด

แต่ในการปรุงยาครั้งแรกนี้ มันยังไกลห่างจากความต้องการของเขาที่ต้องการคุ้นเคยกับมัน หยางเฉินต้องการที่จะรู้ว่าเมื่อใดมันอยู่เหนือการควบคุม ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องทดลองปรุงมากกว่านี้ เพื่อความเข้าใจที่มากขึ้น

หยางเฉินมีความอดกลั้นเป็นอย่างมาก เขาใช้เวลาอีกหนึ่งเดือนถัดมา ในการปรุงยาเม็ดลมปราณหยาง โดยเตาหลอมแก่นจิตวิญญาณ เพื่อที่จะเรียนรู้ลักษณะต่าง ๆ ของเปลวไฟนี้ให้ถ่องแท้ จนกระทั่งจำนวนเม็ดยาระดับที่สามได้มากกว่าสามร้อยเม็ดในที่สุด เขาก็หยุดการปรับแต่งปรุงยา และเริ่มดูดซับเปลวไฟแกนพิภพ

เมื่อเส้นพลังงานเปลวไฟเส้นแรกเข้าสู่ร่างของเขา เขาต้องคอยบังคับจิตใจของเขาไม่ให้ฟุ้งซ่านที่มาจากความร้อนอย่างรุนแรงนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ในชีวิตก่อนนั้นตอนที่เขาได้รับเปลวไฟสุริยะที่แท้จริง เขาอยู่ในระดับผลิดอก แต่ตอนนี้เขาแค่อยู่ระดับรวบรวมลมปราณ ระดับของความอดทนของเขายังห่างจากตอนนั้นมากนัก

โชคยังดีที่เขาเคยผ่านการใช้งานไฟต่าง ๆ นับหมื่นปี นอกจากนั้นเขายังมีการควบคุมตัวเองที่แข็งแกร่ง การยืนหยัดต่ความเจ็บปวดของการเผาไหม้ราวกับย่างเนื้อ ….มันยากมาก  เขาค่อยๆปล่อยให้พลังจิตธาตุไฟของเขาซึมซับไปทั่วเปลวไฟแกนพิภพ

หลังจากนั้นไม่นานเขาพบว่าพลังจิตวิญญาณในร่างเขาเหมือนถูกกระตุ้นตามร่องรอยของเปลวไฟ ทั้งร่างเริ่มถูกเผาความรู้สึกแท้จริงในขณะนี้ของหยางเฉินคืออยากจะใช้พลังธาตุน้ำดับไฟนี้ซะ …แต่ก็ไม่ได้ทำ ถ้าเขาไม่สามารถผ่านวิกฤติการณ์ในครั้งแรกนี้ได้แล้ว เขาจะไม่สามารถดูดซับเปลวไฟใด ๆ ได้อีกเลย

การอดทนต่อความเจ็บปวด ที่ราวกับทั้งร่างอยู่บนกองไฟ สภาพจิตใจของเขาแกร่งเหนียวคล้ายดั่งผลมังคุดเก่าๆ โดยไร้ซึ่งความคิดที่จะล้มเลิกการกระทำนี้แม้แต่น้อย พลังจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง คอยติดตามดูความเป็นไปของร่างกาย และชักนำให้คุ้นเคยกับเปลวไฟแกนพิภพทีละน้อย
[TL: มังคุดเป็นผลไม้ที่เริ่มแข็งหลังจากถูกปลิดจากต้น ]

การดูดซับเปลวไฟของระดับรวบรวมลมปราณนั้นมีความเสี่ยง แต่เขาไม่มีทางเลือก ข้อแรกมีผู้คนในหลุมดักเซียนที่รอโอกาสที่จะจู่โจมเขาอยู่ ข้อสองเขารอคอยโอกาสที่เขาจะได้ไปหาอาจารย๋ที่เคารพรักของเขาอีกครั้ง ถ้าเขาไม่แกร่งพอย่อมไม่มีโอกาส

หยางเฉินแน่ใจว่าหลังจากการดูดซับเปลวไฟแล้ว การบ่มเพาะธาตุไฟของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ความแตกต่างของผู้ฝึกการบ่มเพาะที่มีเปลวไฟกับผู้ที่ไม่มีไม่ได้วัดกันที่ระดับการบ่มเพาะ ผู้ที่มีเปลวไฟสามารถเอาชนะผู้ที่มีระดับการบ่มเพาะเหนือกว่าสองระดับขั้นอย่างง่ายดาย

ตอนนี้สิ่งที่จำเป็นคือเขาต้องเพิ่มความแข็งแกร่ง แต่เขาก็ไม่ต้องการทำลายในสิ่งที่สร้างมา ทางเดียวในการไปสู่สวรรค์ที่คิดออกคือต้องอดทนและใช้สมบัติสวรรค์ ซึ่งจะได้ประโยชน์สองทาง คือไม่ต้องทำลายการบ่มเพาะและสร้างสภาวะความแข็งแกร่งให้มั่นคง

จากประสบการณ์ที่เคยเข้าสู่โลกแห่งจิตสำนึกวิญญาณและโลกอมตะในชีวิตก่อน หยางเฉินทราบถึงผลลัพธ์ของการใช้ยาพลังจิตเพื่อการเพิ่มพลังอย่างรวดเร็ว  สำหรับคนเหล่านี้ ถ้าได้เป็นผู้รับใช้ของผู้ที่มีพลังจิตสำนึกวิญญาณที่แข็งแกร่ง …นับได้ว่าโชคดีอย่างมาก เพราะส่วนมากจะพบอุบัติเหตุบนเส้นทางเขตแดนสัตว์อสูรที่กล้าแกร่ง และหายไปอย่างไร้ร่องรอย …โลกการบ่มเพาะไม่มีวิธีลัดใดๆ

พร้อม ๆ กับเวลาที่ผ่านไป ร่างกายเขาสดชื่นด้วยพลังจิตของธาตุไฟ ค่อย ๆเริ่มจากการเผาด้วยเปลวไฟ ในที่สุดก็มาถึง ขั้นตอนที่ใช้เส้นเปลวไฟแกนพิภพที่ดึงออกมาแม้แต่เส้นบาง ๆ ผสมเข้าไปในสามสิบหกดวงดาวสวรรค์ เจ็ดสิบสองร่างปีศาจปฐพีของธาตุไฟที่สี่ เข้าสู่เส้นชีพจรและเริ่มการโคจรลมปราณ

ราวกับว่าพลังจิตวิญญาณของธาตุไฟที่สี่เริ่มเดือด เปลวไฟแผ่ไปที่เส้นใยทั้งหนึ่งร้อยแปดเส้นพลังจิตวิญญาณอย่างรวดเร็ว เป็นปรากฏการณ์ที่ดูจะลดความน่ากลัวของเปลวไฟแกนพิภพลงได้มาก
และทันใดนั้นหยางเฉินไม่สามารถสัมผัสถึงการคงอยู่ของเปลวไฟแกนพิภพแล้ว

มันก็เหมือนการใช้ไฟไปจุดเชื้อไฟ ประกายของเปลวไฟไม่ได้มีพลังงานที่เพียงพอ มันจำเป็นที่จะต้องใช้พลังงานที่มากกว่านี้ ดังนั้นเส้นใยหนึ่งเส้นของเปลวไฟแกนพิภพ จึงยังห่างไกลจุดหมาย เขาเพียงแต่ต้องดูดซับต่อไปอย่างต่อเนื่อง  เนื่องจากในสภาพพลังจิตวิญญาณที่ประหลาดของเขา ยิ่งต้องการเปลวไฟแกนพิภพยิ่งกว่านี้



แล้วขั้นตอนต่าง ๆ ก็ดำเนินไปอย่างสะดวก ทำการดูดซับไป ทีละอัน ทีละอัน เปลวไฟแกนพิภพ มากขึ้นเรื่อย ๆ ในพลังจิตวิญญาณของเขา จนกระทั่งที่สุด ก็บรรลุถึงขอบเขตของมัน

“ปัง….!”

เริ่ม ‘การเผา’ เส้นชีพจรทั้งมวล
เวลานี้ พลังจิตวิญญาณเต็มไปด้วยประกายไฟ ยิ่งกว่านั้น เส้นใยพลังจิตวิญญาณทั้งร้อยแปดเส้น เชื่อมต่อกันอย่างสมบูรณ์ด้วยเปลวไฟ พลังจิตวิญญาณภายในเส้นใยแต่ละเส้นเต็มไปด้วยเปลวไฟจากแกนใต้พิภพ บริเวณใดที่ยังไม่มีก็โดนจุดขึ้นมาแล้วทุกอย่างก็เข้าสู่กระบวนการเผา

พลังจิตวิญญาณของธาตุไฟที่สี่ ราวกับว่ามันต้องใช้ส่วนเพิ่มพิเศษของยาจำนวนมาก เริ่มที่จะไหลอย่างดุดันและภายใต้การปลุกเร้าของเปลวไฟมันโคจรไปตามเส้นชีพจรราวสายฟ้าแลบ หยางเฉินไม่ได้ทุกข์ทรมานแต่อย่างใด เพราะมันกลับเป็นความรู้สึกอุ่นสบาย

เปลวไฟแกนใต้พิภพจัดเป็นลำดับที่สี่ธาตุไฟ หลังจากเปลวไฟได้หลอมรวมกันแล้ว ไม่เพียงลำดับที่สี่ธาตุไฟที่พุ่งขึ้นฉับพลันเนื่องจากหยินหยางที่อยู่ร่วม มันจะชดเชยและยกระดับด้วยกัน ธาตุไฟที่สามเองก็ตกอยู่ภายใต้การกระตุ้นเร่งเร้าจากพลังจิตวิญญาณของธาตุไฟที่สี่
และเริ่มที่จะดูดซับกระแสปราณไหลเวียนใต้พิภพอย่างบ้าคลั่งและเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

การเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันสร้างความปั่นป่วนภายในร่างเขา แต่ก็สามารถควบคุมยับยั้งให้อยู่ภายในชีพจร ได้อย่างเร็วด้วยพลังจิตสำนึกวิญญาณที่แข็งแกร่ง และมันก็มีพลังมากขึ้นมากขึ้น เมื่อหยางเฉินรู้สึกว่ามันน่าจะเพียงพอแล้ว เขาก็ชักนำพลังจิตวิญญาณธาตุไฟเข้ากระแทกจุดวิกฤติภายในชีพจร

“ปัง….!”

ราวกับมีดร้อน ๆ ตัดลงไปที่เนย พลังจิตวิญญาณธาตุไฟเริ่มเปิดแนวกำแพงกั้น …ในที่สุดหยางเฉินก็บรรลุขั้นที่เก้าระดับรวบรวมลมปราณผู้บ่มเพาะธาตุไฟ

 ทันใดหลังจากทะลวงขั้น พลังจิตวิญญาณดูเหมือนจะไม่พออยู่บ้าง แต่เปลวไฟใต้พิภพเริ่มกระตุ้นกระแสพลังจิตวิญญาณใต้พิภพ หลั่งไหลเข้าสู่ร่างหยางเฉินอย่างท่วมท้นและไปชดเชยส่วนที่ขาดไป และเมื่อสะสมได้เพียงพอเขาก็ชักนำพลังนี้เข้ากระแทกแนวกั้นขั้นต่อไปอีกครั้ง
ภายใต้การปะทุของพลังงาน กำแพงในเส้นชีพจรถูกทะลวงได้ในทันที

“..ปุ..”

เขาเข้าสู่ขั้นที่สิบ อันเป็นขั้นสูงสุดระดับรวบรวมลมปราณอย่างง่ายดาย  ทันใดนั้นเขาก็สัมผัสถึงพลังสวรรค์และพิภพ สิ่งที่เขาต้องการทำที่สุดในเขตแดนรวบรวมลมปราณนี้คือ รวบรวมสะสมพลังงานพลังจิตวิญญาณให้มากพอ เขาก็จะสามารถเริ่มทะลวงหลังจากที่ทำความเข้าใจ สถานะทางจิตและสามารถเชื่อมต่อพลังงานสวรรค์และพิภพและสำเร็จในการบ่มเพาะของเขา

สำหรับเขาความเข้าใจถึง สภาพทางจิตที่จำเป็นต้องใช้ในการทะลวงด่านนั้น ไม่ใช่ปัญหา ด้วยประสบการณ์ระดับอมตะทองคำ… ไหนเลยจะมามีปัญหากับเรื่องขี้ปะติ๋วแค่ระดับก่อสร้างรากฐาน

แต่หยางเฉินยังไม่ต้องการทะลวงขั้นในตอนนี้ เขาอยู่ที่ขั้นสูงสุดระดับรวบรวมลมปราณ แต่มีเพียงพลังจิตวิญญาณธาตุไฟเท่านั้นที่เพิ่มขึ้น สำหรับธาตุอื่น ๆ จำเป็นที่ต้องปรับปรุง เพื่อไม่ให้เกิดความแตกต่างมากเกินไปในแต่ละธาตุ นอกจากนั้นเขาต้องควบแน่นปราณในเขตแดนนี้ก่อน ยังไม่ต้องการยกระดับการบ่มเพาะ การคงอยู่ในระดับนี้เพื่อสร้างรากฐานให้มั่นคง ย่อมส่งผลดีมหาศาลต่อการบ่มเพาะในอนาคต

นับวันเวลาที่อยู๋ที่นี่ เขาใช้เวลาไปแล้วครึ่งปี


 …เมื่อสัมผัสได้ถึง ความดุเดือนพล่านของพลังจิตวิญญาณภายในร่างกายของเขา ส่งผลให้หยางเฉินถูกแรงกระตุ้นอย่างฉับพลัน …เมื่อนึกถึงเหล่าผู้คนที่รอคอยเขาที่สายธารลาวา มันคงได้เวลาที่จะชำระหนี้ของพวกเขา!

2 ความคิดเห็น: