ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าเปลวไฟแก่นพิภพจะตั้งอยู่ที่ขอบสุดของแม่น้ำลาวา
ถ้าไม่มีความทรงจำของเขาจากชีวิตก่อนหน้านี้ หยางเฉินก็คงจะไม่เชื่อเรื่องนี้
อย่างไรก็ตามหลังจากเจอที่ตั้ง
ของเปลวไฟเเก่นพิภพแล้วปมในใจของเขาก็คลายลงเล็กน้อย
ในชีวิตก่อนหน้านี้เมื่อไหร่กันที่เขาได้รับไฟสุริยะที่แท้จริง? มันเป็นช่วงที่เขาอยู่ระดับกลางของขั้นผลิดอกแล้วเขาก็มีโอกาสที่จะได้รับไฟสุริยะที่แท้จริง
หลังจากนั้นสถานการณ์สิ้นหวังของเขาก็เปลี่ยนให้เขามีโอกาสที่จะบ่มเพาะให้ถึงสวรรค์
ในขณะที่เขาเข้าใกล้เปลวไฟแก่นพิภพเขาเพิ่งจะบ่มเพาะถึงการรวบรวมลมปราณขั้นสูง
แม้ว่าจะมีความแตกต่างหลายระดับ ระหว่างเปลวไฟแก่นพิภพกับไฟสุริยะที่แท้จริง
คุณสมบัติของ เพลิงขั้นรวบรวมลมปราณกับขั้นผลิดอกมีหลักการที่แตกต่าง กันมาก
ในความเงียบหยางเฉินอำพรางจิตสำนึกจิตวิญญาณรอบตัว
ของเขาไม่ให้ถูกค้นพบจากคนเหล่านั้นที่กำลังกวาดมองหาไป
รอบๆด้วยจิตสำนึกจิตวิญญาณของพวกเขา เขาหายตัวไปใน ลาวาอย่างรวดเร็ว
ลาวาใต้พิภพมีขนาดเล็กเพียงแค่ห้าชุน
ในที่นี้การไหลของลาวาแตกต่างไปจากการไหลในพื้นที่อื่นๆ
ความจริงมันเป็นเหมือนน้ำซุปลาวาที่ไหลเข้าด้วยกันโดยที่ส่วนใหญ่คือเปลวไฟ
เปลวไฟไหลเวียนอยู่ภายในพื้นที่นี้ไม่มีล้นออกมาแม้แต่น้อย
เมื่อลาวาสัมผัสกับเปลวไฟมันจะเผาไหม้และกลายเป็นของเหลวที่ไหลเร็วขึ้น
เงาของหยางเฉินปรากฏตัวขึ้นที่ด้านข้างของแม่น้ำ
ครั้งนี้เขา
ไม่ได้ใช้เทคนิคการหลบหนีไฟใดๆแต่ใช้วิธีควบคุมไฟเพื่อให้
ลาวาไหลออกมาบริเวณรอบๆ
หลังจากได้พื้นที่ว่างขนาด
ใหญ่พอสำหรับตัวเขาหยางเฉินก็ได้เข้าไปใกล้กับเปลวไฟแก่นพิภพมากขึ้น
แม้ว่าเปลวไฟแก่นพิภพนี้จะไม่ใช่เปลวไฟขั้นสูงมากนัก
เป็นเพียงแค่เปลวไฟขั้นที่สามที่ไม่มีความสำคัญ แต่หยางเฉินก็ยังคงระมัดระวัง ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเปลวไฟชั้นต่ำสุดแต่ถ้าไม่
ระมัดระวังในเวลาที่ได้รับเปลวไฟก็สามารถเผาไหม้ภายในและฆ่าเขาได้
วิธีที่ดีที่สุดคือต้องใช้สื่อกลาง
อย่างแรกให้สื่อกลางดูดซับ
เปลวไฟจากนั้นผู้บ่มเพาะก็รวบรวมลมปราณค่อยๆดึงเปลวไฟออกจากสื่อกลางทีละเล็กทีละน้อยไปเรื่อยๆ
รอจนกว่าร่างกาย จะปรับตัวให้เข้ากับเปลวไฟที่เพิ่มขึ้นและทำซ้ำจนกว่าเขาจะ
บรรลุเป้าหมายในการดูดซับไฟ
ตามประสบการณ์ของหยางเฉินอย่างแรกเขาต้องมีแผน
เดิมทีเตาหลอมแก่นจิตวิญญาณยังขาดเปลวไฟนี่ถือเป็นโอกาสที่ดี
แต่หยางเฉินยังคงระมัดระวังเป็นอย่างมาก เขาไม่ต้องการที่จะประมาท
แม้ขณะนี้ของที่เขาต้องการจะอยู่ตรงหน้า
แต่เขาไม่ต้องการที่จะทำลายงานนี้เพียงเพื่อผลประโยชน์ระยะสั้นเท่านั้น
ด้วยผลไม้หยางล้ำเสิศสองพันปีในมือเขา
เตาหลอมแก่นวิญญาณได้เปลี่ยนแปลงเป็นขนาดเท่ากับผ่ามือของเขา
อย่างแรกหยางเฉินนั่งขัดสมาธิและหันฝ่ามือไปทางท้องฟ้า
นั่งสมาธิอยู่ครู่หนึ่งแล้วเขาก็หลอมรวมเป็น หนึ่งเดียวผลไม้หยางล้ำเสิศ
ใช้พลังจิตวิญญาณที่ไหลวนอยู่รอบร่างกายเขาควบคุมเตาหลอมแก่นวิญญาณให้ลอยอย่างช้าๆไปทิศทางเปลวไฟแก่นพิภพ
ทันทีที่เปลวไฟสัมผัสกับเตาหลอมแก่นจิตวิญญาณขอบเขตรอบเปลวไฟก็ทะลายลง
ความเร็วของเตาหลอมแก่นวิญญาณก็เพิ่มขึ้นในทันที และมุ่งตรงไปยังเปลวไฟ
ภายในชั่วขณะเตาหลอมแก่นวิญญาณที่เดิมทีมีสีดำก็
เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม เนื่องจากการเชื่อมโยงกันระหว่าง
หยางเฉินและเตาหลอมแก่นวิญญาณเขาจึงรู้สึกถึงคลื่น
ความร้อนอันรุนแรงที่ไหลเวียนรอบเตาหลอมแก่นวิญญาณ
ตัวเตาหลอมแก่นวิญญาณเริ่มแสดงร่องรอยถึงการหลอมละลาย
อย่างไรก็ตามแม้ว่าเตาหลอมขั้นที่สามจะสามารถละลายลาวา
จำนวนมหาศาลได้อย่างง่ายดายก็เป็นเรื่องปกติที่เตาหลอมแก่น
วิญญาณจะแสดงร่องรอยการหลอมละลาย ถ้าเขาไม่ได้รับการ
ปกป้องจากพลังจิตวิญญาณและไม่มีสื่อกลางอย่างเตาหลอม
แก่นวิญญาณที่สามารถดูดซับเปลวไฟ ในจุดนี้จะต้องเป็นเขา อย่างแน่นอนที่หลอมละลาย
หยางเฉินรู้สึกได้ทันทีถึงแรงดันและพลังจิตวิญญาณภายในร่างของเขา
เริ่มไหลอย่างบ้าคลั่งสู่เตาหลอมแก่นวิญญาณ
พลังแก่นวิญญาณห้าธาตุของเคล็ดวิชาลับประสานหยินหยางห้าธาตุทั้ง
หมดแปลเปลี่ยนเป็นพลังไฟจิตวิญญาณและซึมซับเข้าสู่เตาหลอมแก่นวิญญาณ
การใช้ทักษะในการควบคุมไฟเป็นทางเดียวที่จะรวบรวมเปลวไฟได้
นี่เป็นเหตุผลใหญ่สำหรับนักบ่มเพาะให้สามารถดูดซับเปลวไฟ
มิฉะนั้นหากล้มเหลวจะถูกเผาไหม้
ภายใต้การควบคุมของหยางเฉินร่องรอยแห่งเปลวไฟซึมซับเข้าสู่เตาหลอมแก่นจิตวิญญาณ
เขาเริ่มปรับแต่งภายในเตาหลอม ร่องรอยแห่งเปลวไฟนี้ถูกควบคุมโดยสำนึกทางจิตวิญญาณของหยางเฉินภายในเตาหลอมแก่นวิญญาณ
เพราะเขาเป็นเจ้าของเตาหลอมแก่นวิญญาณ
ร่องรอยเเห่งเปลวไฟดูดซึมอย่างรวดเร็วโดยเตาหลอมแก่นจิตวิญญาณตามมาด้วยร่องรอยอื่น
การบ่มเพาะของหยางเฉินนั้นยังอยู่ในขั้นต่ำมากแค่การรวบรวมลมปราณขั้นสูงเท่านั้นที่สามารถเชื่อมต่อกับพลังของสวรรค์และโลกได้
ซึ่งเขาไม่สามารถฉะนั้นการดูดซึบเปลวไฟของเขาในทุกครั้งจึงจำกัด
เนื่องจากพื้นที่เล็กเพียงห้าชุนนี้ที่เก็บเปลวไฟแก่นพิภพไว้หยางเฉินต้องใช้วิธีที่ยากลำบากและใช้เวลานานในการค่อยๆเข้าไปที่เปลวไฟทีละนิดๆ
การดูดซึมนี้ใช้เวลาโดยรวมครึ่งปี
ภายในครึ่งปีนี้หยางเฉิน ไม่ได้หยุดการควบคุมเปลวไฟเพื่อหลอมรวมเป็นอันหนึ่งอัน
เดียวกันของเปลวไฟแก่นพิภพและ เตาหลอมแก่นวิญญาณ
ในช่วงเวลานี้เขากินผลไม้หยางล่ำเสิศสองพันปีที่สุกงอมแล้วทุกวัน
พลังจิตวิญญาณที่เขาได้รับสามารถทำให้ผู้เชี่ยวชาญธรรมดาระดับพื้นฐานอับอายได้
แต่ทั้งหมดนี้ใช่ว่าจะไม่มีผลประโยชน์
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นๆ เอาแค่จิตวิญญาณธาตุไฟของเขาที่ได้รับการพัฒนาอย่างน้อย
หนึ่งขั้นมื่อเทียบกับพลังวิญญาณของธาตุอื่นๆของเขานั้น
หยางเฉินรู้สึกได้ชัดเจนว่าพลังไฟจิตวิญญาณของเขาเข้าสู่การ รวบรวมลมปราณขั้นที่แปดแล้ว
ในที่สุดหลังจากเวลาผ่านไปครึ่งปีมีเพียงร่องรอยของเปลวไฟ
แก่นพิภพเท่านั้นที่ยังเหลืออยู่ในพื้นที่นั้น ส่วนที่เหลือได้รับการ
ดูดซึมเข้าสู่เตาหลอมแก่นวิญญาณโดยหยางเฉินแล้ว
ในขณะนี้ภายในมิติเตาหลอมแก่นจิตวิญญาณเหมือนมีการ
เปลี่ยนแปลงไปและมันแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เมื่อ เทียบกับที่ผ่านมา
เตาหลอมขนาดเล็กก็ยังคงขนาดเท่าฝ่ามือแต่มัน ได้เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มอย่างสมบูรณ์
มันส่องแสงมีชีวิตชีวา และสีสันสดใสมันสวยงามอย่างที่สุด
ร่องรอยสุดท้ายแห่งเปลวไฟได้ถูกดูดซับเข้าสู่เตาหลอมอย่างรวดเร็ว
การดูดซับได้ผ่านไปแล้วครึ่งปี เตาหลอมแก่นวิญญาณ
ได้ปรับตัวให้เข้ากับเปลวไฟของแก่นพิภพ
ร่องรอยแห่งเปลวไฟใช้เวลาแค่ครึ่งหนึ่งในช่วงแรกในการดูดซับอย่างสมบูรณ์
เมื่อกระบวนการเสร็จสิ้นแล้ว
เกิดเสียงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จากเตาหลอม
ซู่
อย่างฉับพลันเกิดเสียงกระแทกตามมาแล้วหลังจากนั้นเตา
หลอมก็สงบลงอีกครั้ง แสงสีแดงเข้มเริ่มหมุนรอบๆเหนือเตาหลอมเหมือนมีชีวิต
หลังจากหมุนวนอยู่เฉพาะรอบนอกเป็นเวลานาน
มันก็หยุดลงที่เตาหลอมแก่นจิตวิญญาณแต่ยังคงหลงเหลือความรู้สึกเหมือนถูกเผาไหม้โดยเปลวไฟแก่นพิภพ
ภายใต้การควบคุมของหยางเฉินเตาหลอมแก่นวิญญาณก็ลอยลงมาอยู่ตรงหน้าเขาอย่างช้าๆ
เขาคว้ามันไว้และชื่นชมอยู่เป็นเวลานานหลังจากนั้นเขาก็วางมันไว้ในแหวนแห่งความสำเร็จ
หลังจากเสร็จสิ้นทุกอย่างหยางเฉินก็ถอนหายใจยาวๆในที่สุด
เขาก็ไม่จำเป็นต้องใช้พลังจิตวิญญาณต่อเนื่องอย่างบ้าคลั่งแล้วเขาจะได้มีเวลาพักเล็กน้อย
แต่หยางเฉินก็ไม่ได้เสียเวลาในการพักผ่อนนาน
แม้ว่าเปลวไฟ แก่นพิภพจะดูดซึมกับเตาหลอมแก่นวิญญาณอย่างสมบูรณ์แล้ว
เขาเองก็ยังไม่ได้เริ่มเก็บมันนี่เป็นหน้าที่สำคัญที่ต้องทำให้สำเร็จ
ในมุมหลบซ่อนนี้หยางเฉินเริ่มเตรียมพร้อมการบ่มเพาะของเขา
เนื่องจากเขาใช้พลังจิตวิญญาณเป็นระยะเวลานานในการควบ
คุมเตาหลอมแก่นวิญญาณให้ดูดซึมเปลวไฟแก่นพิภพ หยาง
เฉินไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับการฝึกมานานครั้งนี้เขาใช้เวลา
สิบวันเต็มในการจัดการความเหนื่อยล้าที่สะสมมาในครึ่งปี
หลังโคจรพลังลมปราณและพลังจิตวิญญาณภายในร่างกายของเขานั้นกลับมาไหลเวียนไปถึงขีดสุด
ตามความคาดหวังของหยางเฉินพลังจิตวิญญาณธาตุไฟโดดเด่นออกมาได้กลายเป็นพลังจิตวิญญาณขั้นสูงระดับห้า
เทียบกับธาตุอื่นๆมันถึงขั้นสูงสุดเต็มรูปแบบ
นี่เป็นไปตามความคาดหมายของหยางเฉิน
ในขณะที่ธรรมชาติ มอบรากจิตวิญญาณธาตุไฟแก่เขา
พลังจิตวิญญาณธาตุไฟจึงเด่นชัดออกมายิ่งขึ้นมันเป็นเรื่องปกติ ภายใต้การควบคุมของ
หยางเฉินการบ่มเพาะที่เกิดจากไฟได้ช่วยปกปิดพลังจิตวิญ
ญาณระดับอื่นเพื่อที่ว่าเมื่อเขาออกจากหลุมดักเซียนจะได้ไม่เป็นที่สงสัย
อีกอย่างหนึ่งที่หยางเฉินต้องทำคือหาพื้นที่ปลอดภัยเพื่อแยก
เปลวไฟออกจากเตาหลอมแก่นวิญญาญและดูดซับทีละนิด
นี่ค่อนข้างแตกต่างจากสิ่งที่หยางเฉินต้องการทำในตอนแรก
เตาหลอมแก่นวิญญาณมีความสามารถในการรักษาเปลวไฟ ด้วยตัวมันเองทั้งหมด
นอกจากนี้ยังสามารถเป็นสื่อกลางให้หยางเฉิน
ถ้าเขาต้องการควบคุมเปลวไฟแก่นพิภพอย่างแท้จริง เปลวไฟยังคงต้องการพลังของหยางเฉิน
หยางเฉินปรากฎตัวอย่างเงียบเชียบบนผิวแม่น้ำลาวา
ไม่มีใครอยู่บริเวณรอบๆ
หลังจากผ่านไปครึ่งปีถ้าคนเหล่านั้นยังคงรอเขาอยู่เขาคงต้องชื่นชมกับความอดทนกับการตั้งใจเฝ้ารอและการตัดสินใจที่ถูกต้อง
สถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในหลุมดักเซียนเป็นเพียงเรื่องโกหก
ที่หยางเฉินเคยใช้มาก่อน แค่ที่ตรงนั้นเขาไม่ต้องกังวลกับการ โจมตีจากสัตว์อสูร
นอกเหนือจากนั้นเขายังมีแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณใต้พิภพที่สามารถช่วยเขาในการบ่มเพาะ
มันเป็นเพียงหนึ่งในถ้ำแห่งนิรันดร์ที่เรียบง่าย
ภายนอกมีพื้นที่ปลอดภัยมากมายแต่นักบ่มเพาะมีเวลาแค่สิบปีภายในหลุมดักเซียน
ถ้าเขาทิ้งไปกลางทางนับเป็นการจากไป ที่สูญเสียโอกาสอย่างยิ่ง
เขายังมีเรื่องอีกมากมายที่ต้องจัดการ ให้จบที่นี่
ขณะที่เขากำลังจะออกเดินทางเขาก็พบบางอย่างรอบตัว
เขาปลดปล่อยจิตสำนึกจิตวิญญาณเล็กน้อยและในไม่ช้ามันก็จับจิตสำนึกจิตวิญญาณที่บางราวกับว่าทำมาจากเส้นไหมค่อยๆ
กระจายตัวออกไปรอบๆ
นี่เป็นส่วนเล็กๆของเคล็ดวิชาลับสามขั้นแห่งการรู้แจ้งใช้ควบคุมจิตสำนึกจิตวิญญาณ
การใช้จิตสำนึกจิตวิญญาณนี้ไม่สามารถถูกค้นพบโดยคนอื่นได้
การจับตัวกันบางๆของจิตสำนึกจิตวิญญาณกระจายไปรอบๆในระยะสามจ้างหนึ่งฉื่อ(สิบเมตร)
แต่หยางเฉินยังคงรับรู้ได้อย่าง
รวดเร็วเวลาผ่านได้ไปยาวนานแต่ยังคงมีผู้คนเสียเวลาอยู่รอบๆ
แม่น้ำลาวาแห่งนี้
นี่อยู่นอกเหนือการคาดการณ์ของเขาอย่าง
แท้จริง
หยางเฉินได้ประเมินค่าความโลภในการหาวิธีที่จะสามารถทำ
ให้ศิษย์ขั้นรวบรวมลมปราณกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญปรุงยาเม็ดขั้นสามของคนเหล่านั้นต่ำเกินไป
แม้จะผ่านไปอีกกี่ปีในภายหน้า ตราบเท่าที่พวกเขาเหล่านี้มีหวังที่จะได้โอกาส
ไม่แน่คนเหล่านี้ก็คงยังรอคอยเขาอยู่เช่นเดิม
พูดอย่างจริงจังมันเป็นเรื่องน่าขายหน้ามากที่หยางเฉินต้องวิ่ง
หนีคนเหล่านี้เพื่อช่วยตัวเองให้รอดพ้นจากคนพวกนี้ เดิมทีหยางเฉินได้วางแผนไว้ว่า
หลังจากดูดซับเปลวไฟแก่นพิภพแล้วเขาจะค้นหาคนเหล่านี้เพื่อชำระหนี้ของพวกเขา
แต่น่าประหลาดหลังจากที่เห็นคนเหล่านี้ยังคงเฝ้าดูอยู่ที่นี่
หยางเฉินก็เกิดความรู้สึกโกรธจัดอย่างไร้ขอบเขต
เขาเคยเห็นคนที่เอาผลประโยชน์จากผู้อื่นอย่างไม่เป็นธรรมแต่
ไม่เคยเป็นคนที่ไม่เป็นธรรมแบบนี้
ในชีวิตที่ผ่านมาหยางเฉิน ถูกกักขังอยู่ในบ้านเหมือนคนที่ถูกควบคุม
สิ่งที่เขาเกลียดที่สุดคือคนประเภทที่จับตามองเขาอย่างไม่ให้เขาหลุดรอดสายตาไปได้เลย
ดอกกุหลาบแห่งความเกลียดชังในหัวใจเขาเกิดขึ้นจากความ
รู้สึกภายใน ถ้าเขาปล่อยให้คนเหล่านี้ยังคงทำตามความต้อง
การของตัวเองโดยที่เขาไม่ได้พูดอะไรเลย
แน่นอนว่าสถานการณ์แบบนี้ต้องเกิดขึ้นอีกแม้แต่คนที่เดิมทีไม่ได้มีส่วน
ร่วมถ้าหากได้รับอิทธิพลจากคนเหล่านี้ก็อาจจะเข้าร่วมกับพวกเขา
เขาจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปอย่างแน่นอนถ้าคนเหล่านี้
ไม่ได้รับบทเรียนและรับรู้ถึงความโหดเหี้ยมของหยางเฉิน
ถึงแม้ว่าเขาจะโกรธมากอย่างไรก็ตามแต่หยางเฉินก็ไม่ลืม
เหตุผลเขาเพิ่งจะดูดชับเปลวไฟแก่นพิภพเข้าไปในเตาหลอมแก่นจิตวิญญาณ
และอย่างน้อยศัตรูจำนวนน้อยที่สุดก็อยู่ระดับกลางในขั้นก่อสร้างรากฐาน
หลังจากเขาประสบความสำเร็จในการก่อสร้างรากฐาน
และเชื่อมต่อพลังของสวรรค์และโลกการเปลี่ยนแปลงของพลังบางอย่างนั้น
หยางเฉินรู้ดีกว่าใครรูปแบบของพลังนี้ไม่ใช่เรื่องที่นักบ่มเพาะขั้นรวบรวมลมปราณจะสามารถต่อกรได้
อาจจะสามารถต่อกรกับมันได้ถ้าหากเป็นเหมือนจินเตาผู้ที่ขาดความมั่นใจและแสดงอาการออกมา
เปิดโอกาสให้หยางเฉินได้ปลูกปีศาจหัวใจ ในทางตรงกันข้ามหากต่อสู้แบบตัวต่อตัวแล้ว
เขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกนั้น
ในเมื่อเขาไม่สามารถโจมตีซึ่งๆหน้าได้
หยางเฉินก็ได้แต่โจมตีจากทางด้านหลัง การใช้วิธีนี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับหยางเฉิน
แม้ในชีวิตที่ผ่านมาเขาเคยใช้ทุกวิธี
เพื่อที่จะได้รับชัยชนะแม้ในสถานการณ์ที่มีโอกาสน้อยก็ตาม
ตามจริงแล้วสัตว์อสูรใต้พิภพไม่ได้เป็นภัยแก่เขา
หยางเฉินใช้เทคนิคการหลบหนีไฟของเขาและลอบเข้าไปอย่างเงียบๆ เข้าไปใกล้คนที่อยู่ไกลที่สุดในกลุ่ม
ความน่ากลัวของจิตสำนึกจิตวิญญาณเมื่อเทียบกับผู้เชี่ยวชาญระดับกลางขั้นก่อลำต้นที่ล้อมรอบหยางเฉินที่หลบซ่อนอยู่ใต้ดิน
อย่างน้อยก็ไม่ได้ปลุกคนที่กำลังสังหารสัตว์อสูรใต้พิภพอยู่
เช่นเดียวกับการเฝ้าจับตาดูหยางเฉิน
การซุ่มโจมตีคนที่ไม่สามารถรู้ตัวตนของเขาและถูกบังคับให้ต่อสู้กับสัตว์อสูรในระยะประชิด
มันไม่เป็นปัญหาสำหรับหยางเฉินเลย
สิ่งที่น่าหนักใจอย่างเดียวคือมันจะส่งสัญญาณเตือนให้คนอื่นๆ
และเขาต้องออกจากที่นี่อย่างรวดเร็วก่อนที่คนเหล่านั้นจะมาถึง
หยางเฉินไม่ได้วางแผนที่จะสังหารอย่างเงียบๆ
การโจมตีแบบนี้
ไม่ได้เป็นการข่มขู่ใคร
อาจเป็นไปได้ว่าคนเหล่านั้นจะไม่รู้ว่าเป็น
ฝีมือของเขาและคิดว่าถูกสังหารโดยสัตว์อสูรใต้พิภพจากความประมาทของตัวเอง
หยางเฉินต้องการสอนบทเรียนแก่คนเหล่านี้
และโดยธรรมชาติแล้วเขาจะไม่ปล่อยให้พวกนั้นออกไปได้ง่ายๆ
คนคนนั้นในเวลานี้เขากำลังควบคุมกระบี่บินของตน
ไม่มีสัญญาณเตือนสำหรับวิกฤติที่กำลังจะเกิดขึ้นจิตใจของเขาอยู่กับการสังหารสัตว์อสูร
หลังจากที่สัตว์อสูรไล่ตามติดตัวเขาและไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากการโจมตีหลายครั้ง
เขาเริ่มหลบหนีออกห่างจากพื้นที่และมุ่งไปยังทิศทางทะเลสาบลาวา
ถ้าเขาโจมตีอีกครั้ง โดยใช้กระบี่บินเขาก็จะได้รับแก่นวิญญาณสองดวงในเวลาเดียว
ในขณะที่เขาคิดเรื่องนี้อยู่ผู้ที่เฝ้าดูอยู่ใกล้ๆ
ก็ใช้กระบี่บินโจมตี สัตว์อสูร
แต่ในเวลานี้มีคนมาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังเขาพร้อมถือมีดที่เปล่งประกายในมือและสับลงมาที่หัวเขา
เสียงที่ดังออกมาอย่างกับฟ้าผ่า
ในเวลาเดียวกันก็มีเสียงคำร้องสองสามคำดังขึ้นที่หูของเขาทำให้หัวใจของเขาแทบหยุดเต้น
”หากเจ้าเป็นหนี้เจ้าก็คือลูกหนี้
ต้ังแต่พวกเจ้ามาเคาะประตูข้องเกี่ยวกับข้า อภัยให้ข้าด้วยที่ต้องสังหารเจ้า”
เสียงตะโกนดังผสมกับทักษะจิตวิญญาณที่ทำให้ดังลั่นจนหูอื้อ
รบกวนคนที่กำลังเฝ้าดู
แต่การรบกวนเล็กๆนี้ก็เพียงพอที่ทำให้เขาโดนโจมตีอย่างร้ายแรงบนคอ
มีรอยของกล่องกระบี่ของหยางเฉินพาดอยู่แล้วเลือดอุ่นๆก็ไหลออกจากคอเขาแล้วกระ
จายไปในอากาศและตกลงตามทาง
ผู้คนฝั่งตรงข้ามรวมถึงนักบ่มเพาะระดับสูงที่อยู่ในจุดศูนย์กลางต่างได้ยินเสียงของหยางเฉินในเวลานี้
อย่างฉับพลันทุกคนมุ่ง ตรงไปทิศทางนั้นแต่ก่อนที่ตัวพวกเขาจะมาถึงจิตสำนึกจิตวิญ
ญาณของพวกเขาก็มาถึงก่อนและเริ่มสำรวจ
โชคร้ายสำหรับพวกเขา
แม้ว่าจิตสำนึกจิตวิญญาณพวกเขาจะ รวดเร็วแต่ก็พบว่าหยางเฉินได้หายตัวไปแล้วพร้อมกับกระบี่บิน
“ระวังคอเจ้าไว้ให้ดี
ข้าหวังว่าจะได้พบเจ้าอีก”
หยางเฉินทิ้งไว้เพียงหนึ่งประโยคทำให้คนพิจารณาคำพูดของ
เขาก่อนที่เขาจะหายตัวไปจากจิตสำนึกจิตวิญญาณของคนเหล่านั้น
เมื่อถึงเวลาที่ทุกคนเข้ามาก็จะพบเพียงซากศพที่ตายแล้วของคนเหล่านั้นเท่านั้น
สิ่งของอื่นๆได้ถูกนำออกไปหมดแล้ว กระเป๋าจัดเก็บ กระบี่บิน
ทั้งหมดนั้นได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยสิ่งเดียวที่เหลือคือคำเตือนของหยางเฉินที่ยังคงดังก้องอยู่ในหูของคนเหล่านั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น