เลือกสีพื้นเพื่ออ่านบทความ >>> พื้นขาว พื้นดำ พื้นครีม

วันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ZX 066 เปลวไฟแก่นพิภพ

ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าเปลวไฟแก่นพิภพจะตั้งอยู่ที่ขอบสุดของแม่น้ำลาวา ถ้าไม่มีความทรงจำของเขาจากชีวิตก่อนหน้านี้ หยางเฉินก็คงจะไม่เชื่อเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามหลังจากเจอที่ตั้ง ของเปลวไฟเเก่นพิภพแล้วปมในใจของเขาก็คลายลงเล็กน้อย

ในชีวิตก่อนหน้านี้เมื่อไหร่กันที่เขาได้รับไฟสุริยะที่แท้จริง? มันเป็นช่วงที่เขาอยู่ระดับกลางของขั้นผลิดอกแล้วเขาก็มีโอกาสที่จะได้รับไฟสุริยะที่แท้จริง หลังจากนั้นสถานการณ์สิ้นหวังของเขาก็เปลี่ยนให้เขามีโอกาสที่จะบ่มเพาะให้ถึงสวรรค์

ในขณะที่เขาเข้าใกล้เปลวไฟแก่นพิภพเขาเพิ่งจะบ่มเพาะถึงการรวบรวมลมปราณขั้นสูง แม้ว่าจะมีความแตกต่างหลายระดับ ระหว่างเปลวไฟแก่นพิภพกับไฟสุริยะที่แท้จริง คุณสมบัติของ เพลิงขั้นรวบรวมลมปราณกับขั้นผลิดอกมีหลักการที่แตกต่าง กันมาก


ในความเงียบหยางเฉินอำพรางจิตสำนึกจิตวิญญาณรอบตัว ของเขาไม่ให้ถูกค้นพบจากคนเหล่านั้นที่กำลังกวาดมองหาไป รอบๆด้วยจิตสำนึกจิตวิญญาณของพวกเขา เขาหายตัวไปใน ลาวาอย่างรวดเร็ว

ลาวาใต้พิภพมีขนาดเล็กเพียงแค่ห้าชุน ในที่นี้การไหลของลาวาแตกต่างไปจากการไหลในพื้นที่อื่นๆ ความจริงมันเป็นเหมือนน้ำซุปลาวาที่ไหลเข้าด้วยกันโดยที่ส่วนใหญ่คือเปลวไฟ เปลวไฟไหลเวียนอยู่ภายในพื้นที่นี้ไม่มีล้นออกมาแม้แต่น้อย เมื่อลาวาสัมผัสกับเปลวไฟมันจะเผาไหม้และกลายเป็นของเหลวที่ไหลเร็วขึ้น

เงาของหยางเฉินปรากฏตัวขึ้นที่ด้านข้างของแม่น้ำ ครั้งนี้เขา
ไม่ได้ใช้เทคนิคการหลบหนีไฟใดๆแต่ใช้วิธีควบคุมไฟเพื่อให้
ลาวาไหลออกมาบริเวณรอบๆ หลังจากได้พื้นที่ว่างขนาด
ใหญ่พอสำหรับตัวเขาหยางเฉินก็ได้เข้าไปใกล้กับเปลวไฟแก่นพิภพมากขึ้น

แม้ว่าเปลวไฟแก่นพิภพนี้จะไม่ใช่เปลวไฟขั้นสูงมากนัก เป็นเพียงแค่เปลวไฟขั้นที่สามที่ไม่มีความสำคัญ แต่หยางเฉินก็ยังคงระมัดระวัง ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเปลวไฟชั้นต่ำสุดแต่ถ้าไม่ ระมัดระวังในเวลาที่ได้รับเปลวไฟก็สามารถเผาไหม้ภายในและฆ่าเขาได้

วิธีที่ดีที่สุดคือต้องใช้สื่อกลาง อย่างแรกให้สื่อกลางดูดซับ เปลวไฟจากนั้นผู้บ่มเพาะก็รวบรวมลมปราณค่อยๆดึงเปลวไฟออกจากสื่อกลางทีละเล็กทีละน้อยไปเรื่อยๆ รอจนกว่าร่างกาย จะปรับตัวให้เข้ากับเปลวไฟที่เพิ่มขึ้นและทำซ้ำจนกว่าเขาจะ บรรลุเป้าหมายในการดูดซับไฟ

ตามประสบการณ์ของหยางเฉินอย่างแรกเขาต้องมีแผน เดิมทีเตาหลอมแก่นจิตวิญญาณยังขาดเปลวไฟนี่ถือเป็นโอกาสที่ดี แต่หยางเฉินยังคงระมัดระวังเป็นอย่างมาก เขาไม่ต้องการที่จะประมาท แม้ขณะนี้ของที่เขาต้องการจะอยู่ตรงหน้า แต่เขาไม่ต้องการที่จะทำลายงานนี้เพียงเพื่อผลประโยชน์ระยะสั้นเท่านั้น

ด้วยผลไม้หยางล้ำเสิศสองพันปีในมือเขา เตาหลอมแก่นวิญญาณได้เปลี่ยนแปลงเป็นขนาดเท่ากับผ่ามือของเขา อย่างแรกหยางเฉินนั่งขัดสมาธิและหันฝ่ามือไปทางท้องฟ้า นั่งสมาธิอยู่ครู่หนึ่งแล้วเขาก็หลอมรวมเป็น หนึ่งเดียวผลไม้หยางล้ำเสิศ ใช้พลังจิตวิญญาณที่ไหลวนอยู่รอบร่างกายเขาควบคุมเตาหลอมแก่นวิญญาณให้ลอยอย่างช้าๆไปทิศทางเปลวไฟแก่นพิภพ

ทันทีที่เปลวไฟสัมผัสกับเตาหลอมแก่นจิตวิญญาณขอบเขตรอบเปลวไฟก็ทะลายลง ความเร็วของเตาหลอมแก่นวิญญาณก็เพิ่มขึ้นในทันที และมุ่งตรงไปยังเปลวไฟ

ภายในชั่วขณะเตาหลอมแก่นวิญญาณที่เดิมทีมีสีดำก็ เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม เนื่องจากการเชื่อมโยงกันระหว่าง หยางเฉินและเตาหลอมแก่นวิญญาณเขาจึงรู้สึกถึงคลื่น ความร้อนอันรุนแรงที่ไหลเวียนรอบเตาหลอมแก่นวิญญาณ ตัวเตาหลอมแก่นวิญญาณเริ่มแสดงร่องรอยถึงการหลอมละลาย

อย่างไรก็ตามแม้ว่าเตาหลอมขั้นที่สามจะสามารถละลายลาวา
จำนวนมหาศาลได้อย่างง่ายดายก็เป็นเรื่องปกติที่เตาหลอมแก่น วิญญาณจะแสดงร่องรอยการหลอมละลาย ถ้าเขาไม่ได้รับการ ปกป้องจากพลังจิตวิญญาณและไม่มีสื่อกลางอย่างเตาหลอม แก่นวิญญาณที่สามารถดูดซับเปลวไฟ ในจุดนี้จะต้องเป็นเขา อย่างแน่นอนที่หลอมละลาย

หยางเฉินรู้สึกได้ทันทีถึงแรงดันและพลังจิตวิญญาณภายในร่างของเขา เริ่มไหลอย่างบ้าคลั่งสู่เตาหลอมแก่นวิญญาณ พลังแก่นวิญญาณห้าธาตุของเคล็ดวิชาลับประสานหยินหยางห้าธาตุทั้ง หมดแปลเปลี่ยนเป็นพลังไฟจิตวิญญาณและซึมซับเข้าสู่เตาหลอมแก่นวิญญาณ

การใช้ทักษะในการควบคุมไฟเป็นทางเดียวที่จะรวบรวมเปลวไฟได้ นี่เป็นเหตุผลใหญ่สำหรับนักบ่มเพาะให้สามารถดูดซับเปลวไฟ มิฉะนั้นหากล้มเหลวจะถูกเผาไหม้

ภายใต้การควบคุมของหยางเฉินร่องรอยแห่งเปลวไฟซึมซับเข้าสู่เตาหลอมแก่นจิตวิญญาณ เขาเริ่มปรับแต่งภายในเตาหลอม ร่องรอยแห่งเปลวไฟนี้ถูกควบคุมโดยสำนึกทางจิตวิญญาณของหยางเฉินภายในเตาหลอมแก่นวิญญาณ เพราะเขาเป็นเจ้าของเตาหลอมแก่นวิญญาณ

ร่องรอยเเห่งเปลวไฟดูดซึมอย่างรวดเร็วโดยเตาหลอมแก่นจิตวิญญาณตามมาด้วยร่องรอยอื่น การบ่มเพาะของหยางเฉินนั้นยังอยู่ในขั้นต่ำมากแค่การรวบรวมลมปราณขั้นสูงเท่านั้นที่สามารถเชื่อมต่อกับพลังของสวรรค์และโลกได้ ซึ่งเขาไม่สามารถฉะนั้นการดูดซึบเปลวไฟของเขาในทุกครั้งจึงจำกัด เนื่องจากพื้นที่เล็กเพียงห้าชุนนี้ที่เก็บเปลวไฟแก่นพิภพไว้หยางเฉินต้องใช้วิธีที่ยากลำบากและใช้เวลานานในการค่อยๆเข้าไปที่เปลวไฟทีละนิดๆ

การดูดซึมนี้ใช้เวลาโดยรวมครึ่งปี ภายในครึ่งปีนี้หยางเฉิน ไม่ได้หยุดการควบคุมเปลวไฟเพื่อหลอมรวมเป็นอันหนึ่งอัน เดียวกันของเปลวไฟแก่นพิภพและ เตาหลอมแก่นวิญญาณ ในช่วงเวลานี้เขากินผลไม้หยางล่ำเสิศสองพันปีที่สุกงอมแล้วทุกวัน พลังจิตวิญญาณที่เขาได้รับสามารถทำให้ผู้เชี่ยวชาญธรรมดาระดับพื้นฐานอับอายได้

แต่ทั้งหมดนี้ใช่ว่าจะไม่มีผลประโยชน์ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นๆ เอาแค่จิตวิญญาณธาตุไฟของเขาที่ได้รับการพัฒนาอย่างน้อย หนึ่งขั้นมื่อเทียบกับพลังวิญญาณของธาตุอื่นๆของเขานั้น หยางเฉินรู้สึกได้ชัดเจนว่าพลังไฟจิตวิญญาณของเขาเข้าสู่การ รวบรวมลมปราณขั้นที่แปดแล้ว

ในที่สุดหลังจากเวลาผ่านไปครึ่งปีมีเพียงร่องรอยของเปลวไฟ แก่นพิภพเท่านั้นที่ยังเหลืออยู่ในพื้นที่นั้น ส่วนที่เหลือได้รับการ ดูดซึมเข้าสู่เตาหลอมแก่นวิญญาณโดยหยางเฉินแล้ว

ในขณะนี้ภายในมิติเตาหลอมแก่นจิตวิญญาณเหมือนมีการ เปลี่ยนแปลงไปและมันแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เมื่อ เทียบกับที่ผ่านมา เตาหลอมขนาดเล็กก็ยังคงขนาดเท่าฝ่ามือแต่มัน ได้เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มอย่างสมบูรณ์ มันส่องแสงมีชีวิตชีวา และสีสันสดใสมันสวยงามอย่างที่สุด

ร่องรอยสุดท้ายแห่งเปลวไฟได้ถูกดูดซับเข้าสู่เตาหลอมอย่างรวดเร็ว การดูดซับได้ผ่านไปแล้วครึ่งปี เตาหลอมแก่นวิญญาณ ได้ปรับตัวให้เข้ากับเปลวไฟของแก่นพิภพ ร่องรอยแห่งเปลวไฟใช้เวลาแค่ครึ่งหนึ่งในช่วงแรกในการดูดซับอย่างสมบูรณ์

เมื่อกระบวนการเสร็จสิ้นแล้ว เกิดเสียงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จากเตาหลอม

ซู่

อย่างฉับพลันเกิดเสียงกระแทกตามมาแล้วหลังจากนั้นเตา หลอมก็สงบลงอีกครั้ง แสงสีแดงเข้มเริ่มหมุนรอบๆเหนือเตาหลอมเหมือนมีชีวิต หลังจากหมุนวนอยู่เฉพาะรอบนอกเป็นเวลานาน มันก็หยุดลงที่เตาหลอมแก่นจิตวิญญาณแต่ยังคงหลงเหลือความรู้สึกเหมือนถูกเผาไหม้โดยเปลวไฟแก่นพิภพ

ภายใต้การควบคุมของหยางเฉินเตาหลอมแก่นวิญญาณก็ลอยลงมาอยู่ตรงหน้าเขาอย่างช้าๆ เขาคว้ามันไว้และชื่นชมอยู่เป็นเวลานานหลังจากนั้นเขาก็วางมันไว้ในแหวนแห่งความสำเร็จ หลังจากเสร็จสิ้นทุกอย่างหยางเฉินก็ถอนหายใจยาวๆในที่สุด เขาก็ไม่จำเป็นต้องใช้พลังจิตวิญญาณต่อเนื่องอย่างบ้าคลั่งแล้วเขาจะได้มีเวลาพักเล็กน้อย

แต่หยางเฉินก็ไม่ได้เสียเวลาในการพักผ่อนนาน แม้ว่าเปลวไฟ แก่นพิภพจะดูดซึมกับเตาหลอมแก่นวิญญาณอย่างสมบูรณ์แล้ว เขาเองก็ยังไม่ได้เริ่มเก็บมันนี่เป็นหน้าที่สำคัญที่ต้องทำให้สำเร็จ

ในมุมหลบซ่อนนี้หยางเฉินเริ่มเตรียมพร้อมการบ่มเพาะของเขา เนื่องจากเขาใช้พลังจิตวิญญาณเป็นระยะเวลานานในการควบ คุมเตาหลอมแก่นวิญญาณให้ดูดซึมเปลวไฟแก่นพิภพ หยาง เฉินไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับการฝึกมานานครั้งนี้เขาใช้เวลา สิบวันเต็มในการจัดการความเหนื่อยล้าที่สะสมมาในครึ่งปี

หลังโคจรพลังลมปราณและพลังจิตวิญญาณภายในร่างกายของเขานั้นกลับมาไหลเวียนไปถึงขีดสุด ตามความคาดหวังของหยางเฉินพลังจิตวิญญาณธาตุไฟโดดเด่นออกมาได้กลายเป็นพลังจิตวิญญาณขั้นสูงระดับห้า เทียบกับธาตุอื่นๆมันถึงขั้นสูงสุดเต็มรูปแบบ

นี่เป็นไปตามความคาดหมายของหยางเฉิน ในขณะที่ธรรมชาติ มอบรากจิตวิญญาณธาตุไฟแก่เขา พลังจิตวิญญาณธาตุไฟจึงเด่นชัดออกมายิ่งขึ้นมันเป็นเรื่องปกติ ภายใต้การควบคุมของ หยางเฉินการบ่มเพาะที่เกิดจากไฟได้ช่วยปกปิดพลังจิตวิญ ญาณระดับอื่นเพื่อที่ว่าเมื่อเขาออกจากหลุมดักเซียนจะได้ไม่เป็นที่สงสัย

อีกอย่างหนึ่งที่หยางเฉินต้องทำคือหาพื้นที่ปลอดภัยเพื่อแยก เปลวไฟออกจากเตาหลอมแก่นวิญญาญและดูดซับทีละนิด นี่ค่อนข้างแตกต่างจากสิ่งที่หยางเฉินต้องการทำในตอนแรก เตาหลอมแก่นวิญญาณมีความสามารถในการรักษาเปลวไฟ ด้วยตัวมันเองทั้งหมด นอกจากนี้ยังสามารถเป็นสื่อกลางให้หยางเฉิน ถ้าเขาต้องการควบคุมเปลวไฟแก่นพิภพอย่างแท้จริง เปลวไฟยังคงต้องการพลังของหยางเฉิน

หยางเฉินปรากฎตัวอย่างเงียบเชียบบนผิวแม่น้ำลาวา ไม่มีใครอยู่บริเวณรอบๆ หลังจากผ่านไปครึ่งปีถ้าคนเหล่านั้นยังคงรอเขาอยู่เขาคงต้องชื่นชมกับความอดทนกับการตั้งใจเฝ้ารอและการตัดสินใจที่ถูกต้อง

สถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในหลุมดักเซียนเป็นเพียงเรื่องโกหก ที่หยางเฉินเคยใช้มาก่อน แค่ที่ตรงนั้นเขาไม่ต้องกังวลกับการ โจมตีจากสัตว์อสูร นอกเหนือจากนั้นเขายังมีแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณใต้พิภพที่สามารถช่วยเขาในการบ่มเพาะ มันเป็นเพียงหนึ่งในถ้ำแห่งนิรันดร์ที่เรียบง่าย

ภายนอกมีพื้นที่ปลอดภัยมากมายแต่นักบ่มเพาะมีเวลาแค่สิบปีภายในหลุมดักเซียน ถ้าเขาทิ้งไปกลางทางนับเป็นการจากไป ที่สูญเสียโอกาสอย่างยิ่ง เขายังมีเรื่องอีกมากมายที่ต้องจัดการ ให้จบที่นี่

ขณะที่เขากำลังจะออกเดินทางเขาก็พบบางอย่างรอบตัว เขาปลดปล่อยจิตสำนึกจิตวิญญาณเล็กน้อยและในไม่ช้ามันก็จับจิตสำนึกจิตวิญญาณที่บางราวกับว่าทำมาจากเส้นไหมค่อยๆ กระจายตัวออกไปรอบๆ นี่เป็นส่วนเล็กๆของเคล็ดวิชาลับสามขั้นแห่งการรู้แจ้งใช้ควบคุมจิตสำนึกจิตวิญญาณ การใช้จิตสำนึกจิตวิญญาณนี้ไม่สามารถถูกค้นพบโดยคนอื่นได้

การจับตัวกันบางๆของจิตสำนึกจิตวิญญาณกระจายไปรอบๆในระยะสามจ้างหนึ่งฉื่อ(สิบเมตร) แต่หยางเฉินยังคงรับรู้ได้อย่าง
รวดเร็วเวลาผ่านได้ไปยาวนานแต่ยังคงมีผู้คนเสียเวลาอยู่รอบๆ
แม่น้ำลาวาแห่งนี้ นี่อยู่นอกเหนือการคาดการณ์ของเขาอย่าง
แท้จริง

หยางเฉินได้ประเมินค่าความโลภในการหาวิธีที่จะสามารถทำ
ให้ศิษย์ขั้นรวบรวมลมปราณกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญปรุงยาเม็ดขั้นสามของคนเหล่านั้นต่ำเกินไป แม้จะผ่านไปอีกกี่ปีในภายหน้า ตราบเท่าที่พวกเขาเหล่านี้มีหวังที่จะได้โอกาส ไม่แน่คนเหล่านี้ก็คงยังรอคอยเขาอยู่เช่นเดิม

พูดอย่างจริงจังมันเป็นเรื่องน่าขายหน้ามากที่หยางเฉินต้องวิ่ง หนีคนเหล่านี้เพื่อช่วยตัวเองให้รอดพ้นจากคนพวกนี้ เดิมทีหยางเฉินได้วางแผนไว้ว่า หลังจากดูดซับเปลวไฟแก่นพิภพแล้วเขาจะค้นหาคนเหล่านี้เพื่อชำระหนี้ของพวกเขา แต่น่าประหลาดหลังจากที่เห็นคนเหล่านี้ยังคงเฝ้าดูอยู่ที่นี่ หยางเฉินก็เกิดความรู้สึกโกรธจัดอย่างไร้ขอบเขต

เขาเคยเห็นคนที่เอาผลประโยชน์จากผู้อื่นอย่างไม่เป็นธรรมแต่
ไม่เคยเป็นคนที่ไม่เป็นธรรมแบบนี้ ในชีวิตที่ผ่านมาหยางเฉิน ถูกกักขังอยู่ในบ้านเหมือนคนที่ถูกควบคุม สิ่งที่เขาเกลียดที่สุดคือคนประเภทที่จับตามองเขาอย่างไม่ให้เขาหลุดรอดสายตาไปได้เลย

ดอกกุหลาบแห่งความเกลียดชังในหัวใจเขาเกิดขึ้นจากความ รู้สึกภายใน ถ้าเขาปล่อยให้คนเหล่านี้ยังคงทำตามความต้อง การของตัวเองโดยที่เขาไม่ได้พูดอะไรเลย แน่นอนว่าสถานการณ์แบบนี้ต้องเกิดขึ้นอีกแม้แต่คนที่เดิมทีไม่ได้มีส่วน ร่วมถ้าหากได้รับอิทธิพลจากคนเหล่านี้ก็อาจจะเข้าร่วมกับพวกเขา เขาจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปอย่างแน่นอนถ้าคนเหล่านี้
ไม่ได้รับบทเรียนและรับรู้ถึงความโหดเหี้ยมของหยางเฉิน

ถึงแม้ว่าเขาจะโกรธมากอย่างไรก็ตามแต่หยางเฉินก็ไม่ลืม เหตุผลเขาเพิ่งจะดูดชับเปลวไฟแก่นพิภพเข้าไปในเตาหลอมแก่นจิตวิญญาณ และอย่างน้อยศัตรูจำนวนน้อยที่สุดก็อยู่ระดับกลางในขั้นก่อสร้างรากฐาน หลังจากเขาประสบความสำเร็จในการก่อสร้างรากฐาน และเชื่อมต่อพลังของสวรรค์และโลกการเปลี่ยนแปลงของพลังบางอย่างนั้น หยางเฉินรู้ดีกว่าใครรูปแบบของพลังนี้ไม่ใช่เรื่องที่นักบ่มเพาะขั้นรวบรวมลมปราณจะสามารถต่อกรได้ อาจจะสามารถต่อกรกับมันได้ถ้าหากเป็นเหมือนจินเตาผู้ที่ขาดความมั่นใจและแสดงอาการออกมา เปิดโอกาสให้หยางเฉินได้ปลูกปีศาจหัวใจ ในทางตรงกันข้ามหากต่อสู้แบบตัวต่อตัวแล้ว เขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกนั้น

ในเมื่อเขาไม่สามารถโจมตีซึ่งๆหน้าได้ หยางเฉินก็ได้แต่โจมตีจากทางด้านหลัง การใช้วิธีนี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับหยางเฉิน แม้ในชีวิตที่ผ่านมาเขาเคยใช้ทุกวิธี เพื่อที่จะได้รับชัยชนะแม้ในสถานการณ์ที่มีโอกาสน้อยก็ตาม

ตามจริงแล้วสัตว์อสูรใต้พิภพไม่ได้เป็นภัยแก่เขา หยางเฉินใช้เทคนิคการหลบหนีไฟของเขาและลอบเข้าไปอย่างเงียบๆ เข้าไปใกล้คนที่อยู่ไกลที่สุดในกลุ่ม ความน่ากลัวของจิตสำนึกจิตวิญญาณเมื่อเทียบกับผู้เชี่ยวชาญระดับกลางขั้นก่อลำต้นที่ล้อมรอบหยางเฉินที่หลบซ่อนอยู่ใต้ดิน อย่างน้อยก็ไม่ได้ปลุกคนที่กำลังสังหารสัตว์อสูรใต้พิภพอยู่ เช่นเดียวกับการเฝ้าจับตาดูหยางเฉิน

การซุ่มโจมตีคนที่ไม่สามารถรู้ตัวตนของเขาและถูกบังคับให้ต่อสู้กับสัตว์อสูรในระยะประชิด มันไม่เป็นปัญหาสำหรับหยางเฉินเลย สิ่งที่น่าหนักใจอย่างเดียวคือมันจะส่งสัญญาณเตือนให้คนอื่นๆ และเขาต้องออกจากที่นี่อย่างรวดเร็วก่อนที่คนเหล่านั้นจะมาถึง

หยางเฉินไม่ได้วางแผนที่จะสังหารอย่างเงียบๆ การโจมตีแบบนี้
ไม่ได้เป็นการข่มขู่ใคร อาจเป็นไปได้ว่าคนเหล่านั้นจะไม่รู้ว่าเป็น ฝีมือของเขาและคิดว่าถูกสังหารโดยสัตว์อสูรใต้พิภพจากความประมาทของตัวเอง หยางเฉินต้องการสอนบทเรียนแก่คนเหล่านี้ และโดยธรรมชาติแล้วเขาจะไม่ปล่อยให้พวกนั้นออกไปได้ง่ายๆ

คนคนนั้นในเวลานี้เขากำลังควบคุมกระบี่บินของตน ไม่มีสัญญาณเตือนสำหรับวิกฤติที่กำลังจะเกิดขึ้นจิตใจของเขาอยู่กับการสังหารสัตว์อสูร หลังจากที่สัตว์อสูรไล่ตามติดตัวเขาและไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากการโจมตีหลายครั้ง เขาเริ่มหลบหนีออกห่างจากพื้นที่และมุ่งไปยังทิศทางทะเลสาบลาวา ถ้าเขาโจมตีอีกครั้ง โดยใช้กระบี่บินเขาก็จะได้รับแก่นวิญญาณสองดวงในเวลาเดียว

ในขณะที่เขาคิดเรื่องนี้อยู่ผู้ที่เฝ้าดูอยู่ใกล้ๆ ก็ใช้กระบี่บินโจมตี สัตว์อสูร แต่ในเวลานี้มีคนมาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังเขาพร้อมถือมีดที่เปล่งประกายในมือและสับลงมาที่หัวเขา เสียงที่ดังออกมาอย่างกับฟ้าผ่า ในเวลาเดียวกันก็มีเสียงคำร้องสองสามคำดังขึ้นที่หูของเขาทำให้หัวใจของเขาแทบหยุดเต้น

”หากเจ้าเป็นหนี้เจ้าก็คือลูกหนี้ ต้ังแต่พวกเจ้ามาเคาะประตูข้องเกี่ยวกับข้า อภัยให้ข้าด้วยที่ต้องสังหารเจ้า”

เสียงตะโกนดังผสมกับทักษะจิตวิญญาณที่ทำให้ดังลั่นจนหูอื้อ รบกวนคนที่กำลังเฝ้าดู แต่การรบกวนเล็กๆนี้ก็เพียงพอที่ทำให้เขาโดนโจมตีอย่างร้ายแรงบนคอ มีรอยของกล่องกระบี่ของหยางเฉินพาดอยู่แล้วเลือดอุ่นๆก็ไหลออกจากคอเขาแล้วกระ จายไปในอากาศและตกลงตามทาง

ผู้คนฝั่งตรงข้ามรวมถึงนักบ่มเพาะระดับสูงที่อยู่ในจุดศูนย์กลางต่างได้ยินเสียงของหยางเฉินในเวลานี้ อย่างฉับพลันทุกคนมุ่ง ตรงไปทิศทางนั้นแต่ก่อนที่ตัวพวกเขาจะมาถึงจิตสำนึกจิตวิญ ญาณของพวกเขาก็มาถึงก่อนและเริ่มสำรวจ

โชคร้ายสำหรับพวกเขา แม้ว่าจิตสำนึกจิตวิญญาณพวกเขาจะ รวดเร็วแต่ก็พบว่าหยางเฉินได้หายตัวไปแล้วพร้อมกับกระบี่บิน

“ระวังคอเจ้าไว้ให้ดี ข้าหวังว่าจะได้พบเจ้าอีก”

หยางเฉินทิ้งไว้เพียงหนึ่งประโยคทำให้คนพิจารณาคำพูดของ เขาก่อนที่เขาจะหายตัวไปจากจิตสำนึกจิตวิญญาณของคนเหล่านั้น


เมื่อถึงเวลาที่ทุกคนเข้ามาก็จะพบเพียงซากศพที่ตายแล้วของคนเหล่านั้นเท่านั้น สิ่งของอื่นๆได้ถูกนำออกไปหมดแล้ว กระเป๋าจัดเก็บ กระบี่บิน ทั้งหมดนั้นได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยสิ่งเดียวที่เหลือคือคำเตือนของหยางเฉินที่ยังคงดังก้องอยู่ในหูของคนเหล่านั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น