เมื่อฮั่นหลางกลับมายังฐานทัพขั้วโลกใต้เขาก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นเป็นประวัติการณ์
“ไง ฮั่นหลาง!
ในที่สุดนายก็กลับมา!”
“ฉันคิดถึงนายมากน้องชาย!
ยินดีที่นายกลับมา!”
“ขอบคุณ!
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะนายที่ทำให้เราสามารถรักษาอาณาจักรสาปสูบอันล้ำค่านี้เอาไว้ได้!”
ฮั่นหลางส่งยิ้มทักทายทุกคน
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้สนิทกับผู้คนในฐานทัพมากนักเพราะเขามาอยู่ที่ฐานทัพนี้ได้ไม่นานเท่าใดนัก
และมักจะมุ่งเน้นไปที่การฝึกฝนเพียงอย่างเดียว ในตอนนี้ผู้คนในฐานทัพต่างเห็นฮั่นหลางเป็นดั่งเพื่อนรัก
แม้จะเคยพบปะพูดคุยกับเขาเพียงครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น
แต่นั่นไม่ส่งผลกระทบต่อทุกคนที่รักฮั่นหลาง
‘ฮันกระดูกแกร่ง’ เป็นฉายาที่ไม่มีใครในโลกไม่รู้จัก
ในสายตาของทุกคนฮั่นหลางอาจจะไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุด แต่เขาเป็นคนที่กล้าหาญที่สุดที่ยากจะหาใครมาเทียบได้!
หนึ่งคนเผชิญหน้าต่อศัตรูนับสิบไม่ก็เกือบยี่สิบ
แต่ยังคงไม่ลังเลที่จะยืนหยัดอย่างกล้าหาญต่อสู้จนวินาทีสุดท้ายและเกือบจะต้องเสียสละชีวิตของตน
การกระทำของฮั่นหลาง เป็นดั่งตำนานที่ยังคงมีชีวิตอยู่!
นับตั้งแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งล่าสุด
ระดับการรักษาความปลอดภัยของฐานทัพเพิ่มขึ้นอย่างมาก ขณะนี้มียามรักษาการณ์22คนที่อยู่ในกองกำลังพิเศษสองกองกำลังที่คอยเฝ้าระวังประตูเข้าสู่อาณาจักรสาปสูญ
ฮั่นหลางมองไปที่ประตูโลหะเงินผสมและถอนหายใจออกมา
ที่นี่คือที่ที่เขาได้เห็นความตายของชาร์ลีและโฟลีแมนด้วยสายตาของตัวเอง ตอนนี้เขาได้กลับมาเยือน
ณ สถานที่แห่งนี้อีกครั้ง เขาจะไม่รู้สึกหดหู่ใจได้อย่างไร?
เมื่อก้าวผ่านประตูลึกลับนั้น
ฮั่นหลางก็มาถึงสถานที่ในตำนานอย่างอาณาจักรสาปสูญ
มันแตกต่างจากที่ฮั่นหลางเคยจินตนาการเอาไว้มาก
ไม่มีการตกแต่งที่หรูหราหรือประติมากรรมที่ยอดเยี่ยมใดๆ มีเพียงรูปปั้นสูงใหญ่ราวกับป้อมปราการโลหะ
ห้องโถงกว้างที่เชื่อมต่อกับทางเดินนับไม่ถ้วน
ทางเดินส่วนใหญ่ได้ติดตั้งรางรถไฟและรถไฟขนส่งพลังงานไฟฟ้าเพื่อบรรทุกแร่สีดำไว้ภายในตู้สินค้าแล้วนำส่งไปยังเครื่องกลั่นและคัดกรองขนาดยักษ์ที่ตั้งอยู่ภายในห้องโถง
เมื่อเครื่องนั้นเริ่มทำงาน ส่วนสีดำของแร่จะถูกขจัดทิ้ง
หลังเสร็จสิ้นกระบวนการแร่สีดำที่นำมากลับกลายเป็น ผลึกสีเหลืองระยิบระยับ
ผลึกนั้นมีขนาดเล็กมากขนาดเท่าๆกับเม็ดทรายโปร่งใส
ต่อจากนั้นก็จะมีคนงานมาบรรจุผลึกเหล่านี้ จากแร่สีดำที่ขนมาเต็มตู้สินค้าหลังจากที่ทำการกลั่นสกัดสามารถผลิตผลึกสีเหลืองได้เพียงไม่กี่กิโลกรัม
ฮั่นหลางกวาดตามองไปรอบๆบริเวณด้วยความอยากรู้
เห็นได้ชัดว่าทุกพื้นที่มีเหล็กเสริมพิเศษและมีภาพจิตรกรรมฝาผนังบนเพดานแสดงเป็นภาพจักรวากำลังโคจรกาแลคซี่ที่ซับซ้อนราวกับว่าเผ่าพันธุ์ที่มีอารยธรรมก่อนประวัติศาสตร์มีความชื่นชอบในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยดวงดาว
หลี่อู่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“นี่คืออาณาจักรสาปสูญระดับชั้น C ซึ่งเป็นของโลก
มันเป็นเหมืองแร่ที่มีประวัติอันเก่าแก่สามารถขุดพบแร่ที่มีคุณภาพดีเยี่ยมคือ
ผลึกสะเก็ดดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นหินสีเหลืองเล็กๆ ที่ใช้ในการผลิตโลหะผสมเกรดสูง
สามารถขายได้ 50,000 GC ต่อตัน”
“อัตราการผลิตในปัจจุบันที่เหมืองแร่สามารถผลิตได้อยู่ที่ประมาณ
1 ตันต่อวันและเราสามารถนำแร่เหล่านี้ไปขายต่อในตลาดการค้าแห่งทางช้างเผือก
ด้วยวิธีนี้รัฐบาลกลางจะมีรายได้ประมาณ 15 ล้าน GC ต่อเดือน
เมื่อผลผลิตสูงขึ้นอัตราการเก็บเกี่ยวก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน เมื่อเราสามารถผลิตได้ 3
ตันต่อวันนั่นก็หมายความว่าเราจะมีรายได้ 45 ล้าน GC ต่อเดือน”
“เจ้าควรรู้ว่ารายได้ของรัฐบาลกลางเมื่อปีที่แล้วมีเพียง
50 ล้าน GCเท่านั้น”
ฮันหลางขมวดคิ้ว “ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจนัก เห็นได้ชัดเจนว่าจริงๆแล้วมันเป็นเพียงการสำรวจเหมืองทำไมเหล่าพี่น้องถึงถูกฆ่าตายไปมากมาย?”
หลี่อู่มองไปยังทางเดินที่มืดมิดและพูดว่า
“เพราะที่นี่มีสัตว์อสูรแห่งความมืด”
ฮั่นหลางรู้สึกตกใจเล็กน้อย
เขาไม่เข้าใจว่าสัตว์อสูรแห่งความมืดที่หลี่อู่ กล่าวถึงนั้นคือตัวอะไร
“ตามข้ามา”
หลี่อู่พาฮั่นหลางเดินไปยังทางเข้าเหมืองทางหนึ่ง
คนที่ทำงานที่นี่คือคนธรรมดาทั่วๆไป ทุกคนไม่มีพลังพิเศษ เห็นได้ว่าร่างกายของพวกเขาเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ
พวกเขาทำงานอย่างหนัก คนที่ทำงานอยู่ที่นี่อาจรับรู้ว่าเหมืองแห่งนี้มีความสำคัญมากขนาดไหนต่อโลกใบนี้
พวกเขาพยายามที่จะทำภารกิจให้สำเร็จ
รายได้ต่อเดือนที่คาดการณ์ไว้คือ
45 ล้าน GC
ยังคงไม่เพียงพอสำหรับประชากรที่อาศัยอยู่บนโลก
เอสเปอร์ทุกคนจะต้องมีอุปกรณ์และยาซึ่งมีราคาแพงมาก ไม่ต้องกล่าวถึงถ้าหากพวกเราต้องการสร้างกองเรือบินอวกาศ
ตอนนี้โลกมีเพียงเรือรบป้อมปราการอากาศยานเพียงลำเดียวเท่านั้นซึ่งเป็นรางวัลที่คลาร์กได้รับมาจากการทำคะแนนได้เป็นอันดับที่
9 ในงานชุมนุมแห่งการแลคซี่ครั้งล่าสุด
ไม่ว่าโลกจะขนาดเท่าใด
โลกก็ยังเป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่งอยู่ดี สำหรับดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่มีเรือรบเพียงลำเดียวหากผู้อื่นรับรู้มันคงเป็นเรื่องตลกที่ขำไม่ออกจริงๆ
แต่เพื่อที่จะมีกองเรือรบและฝึกฝนบุคลากรเพิ่มขึ้นมันต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้รัฐบาลกลาง
ยังต้องนำเข้าแหล่งพลังงานขั้นสูง เครื่องจักร ระบบการฝึกฝนและยังต้องเดินทางไปเยือนสถานที่ต่างๆในฐานะทูตซึ่งทั้งหมดต้องใช้ค่าใช้จ่ายเป็น
GC
ดังนั้นตอนนี้สำหรับโลกแล้ว ปัญหาไม่ใช่ความเป็นอยู่ที่ยากจน
แต่ความยากจนนั้นแหละที่เป็นปัญหา
ฮั่นหลางเดินตามหลี่อู่ต่อไป
ขณะที่ยิ่งเดินลึกเข้าไปตามทางเดิน ยิ่งปรากฎร่องรอยของการต่อสู้ ร่องรอยกรงเล็บปรากฏบนผนังมีความลึกอย่างน้อย
15 ซม. หากร่องรอยนี้ปรากฏอยู่บนร่างของทหาร ทหารคนนั้นย่อมต้องตายในทันที
หลี่อู่นึกถึงช่วงเวลาต่อสู้ที่ผ่านมาและพูดขึ้นว่า
“ก่อนที่เผ่าพันธุ์ที่มีอารยธรรมก่อนประวัติศาสตร์จะจากไป พวกเขาได้ทิ้งเหมืองแร่จำนวนมากเอาไว้
รวมทั้งสถาบันวิจัย สิ่งอำนวยความสะดวกและยังได้ทิ้งสัตว์อสูรแห่งความมืดจำนวนมหาศาลไว้ด้วยเช่นกัน”
“โดยปกติแล้วอาณาจักรสาปสูญระดับยิ่งสูง
ก็จะยิ่งมีสัตว์อสูรแห่งความมืดที่มีความแข็งแกรงมากได้ถูกทิ้งไว้ และอาณาจักรสาปสูญระดับชั้น
B ขึ้นไปนอกจากสัตว์อสูรแห่งความมืดแล้วยังมีกับดักมากมายถูกติดตั้งไว้
ดังนั้นสำหรับเราที่สามารถเข้ายึดครองสมบัติที่ถูกทิ้งไว้โดยเผ่าพันธุ์ก่อนประวัติศาสตร์มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”
“อย่างเหมืองแห่งนี้ที่เป็นอาณาจักรสาปสูญระดับชั้นC
ที่ค่อนข้างง่ายในการยึดครอง แต่กองพลจู่โจมก็ยังเกิดความสูญเสียไปมากมาย
ความแข็งแกร่งของโลกในปัจจุบัน ถ้าเราต้องการสำรวจอาณาจักรสาปสูญที่ระดับชั้นสูงกว่านี้
ปู่เกรงว่าโลกในตอนนี้ยังไม่มีพลังมากพอที่จะสำรวจได้”
ฮั่นหลางพยักหน้าเล็กน้อยนิ่งคิดไตร่ตรองและเอ่ยถามออกมาด้วยความอยากรู้ว่า
“เราจะกำหนดได้อย่างไรว่าอาณาจักรไหนคือระดับชั้นที่เท่าไหร่? นอกจากนี้ผมไม่เข้าใจ
ถ้าหากเผ่าพันธุ์ก่อนประวัติศาสตร์ถอนตัวออกจากทางช้างเผือกไป ทำไมพวกเขาจึงต้องผนึกทุกสิ่งทุกอย่างไว้และทำให้คนอื่นๆลำบากในการเข้าถึง?
ถ้าพวกเขาไม่ต้องการให้ผู้อื่นเข้าถึง ทำไมพวกเขาไม่ทำลายมันทิ้งให้สิ้นเรื่องไปเลย?”
หลี่อู่กล่าวอธิบายออกไปว่า
“ระดับชั้นของอาณาจักรสาปสูญนั้นขึ้นอยู่กับความคุ้มค่าและความยากลำบาก
ต่ำสุดคือระดับชั้นD ไม่มีภัยคุกคาม ระดับชั้นC ก็จะเริ่มมีอันตรายแต่ก็ยังเป็นไปได้ที่จะสามารถเข้ายึดครอง ในระดับชั้นB
มีความเสี่ยงสูงมาก คงมีเพียงแค่ดาวเคราะห์ที่เจริญก้าวหน้าในทางช้างเผือกเท่านั้นที่จะมีความสามารถพอที่จะสำรวจระดับชั้นBได้ และในดาวเคราะห์ที่ด้อยการพัฒนาลงมาก็อาจที่จะแจ้งให้ดาวเคราะห์ที่เจริญเหล่านั้นรับทราบเพื่อขอความช่วยเหลือเมื่อพบเจออาณาจักรสาปสูญระดับชั้นB
หรือไม่ก็หาดาวเคราะห์อื่นๆมาเป็นพันธมิตร
ไม่เช่นนั้นพวกเขาก็แทบจะไม่สามารถก้าวผ่านประตูเพื่อทำการสำรวจได้”
“สำหรับระดับชั้น
A มันยากเกินกว่าที่จะจินตนาการได้
แม้แต่ดาวเคราะห์ที่มีเทคโนโลยีเจริญก้าวหน้าที่สุดในทางช้างเผือกพร้อมด้วยพันธมิตรก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้ายึดครองอาณาจักรสาปสูญระดับชั้นAได้อย่างสมบูรณ์ ที่นั่นเป็นเหมือนกับสถานที่ต้องห้ามสำหรับมนุษย์
มีทั้งกับดักเส้นทางลับและสัตว์อสูรแห่งความมืดนับไม่ถ้วน”
“เป้าหมายหลักของงานชุมนุมแห่งทางช้างเผือกก็เพื่อรวบรวมบรรดาเอสเปอร์หนุ่มสาวที่มีพรสวรรค์ในทางช้างเผือกสร้างเป็นพันธมิตรเพื่อสำรวจอาณาจักรสาปสูญระดับชั้นA
ที่พิเศษมากๆก็คือ อาณาจักรสาปสูญ A-7 อาณาจักรสาปสูญ A-19 และ
อาณาจักรสาปสูญ A-23”
“อาณาจักรสาปสูญระดับชั้นAทั้งสามแห่งนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมีข้อจำกัดอยู่ที่ประตูทางเข้าซึ่งอนุญาตให้เฉพาะบุคคลที่อายุต่ำกว่า
30 ปีผ่านเข้าไปเท่านั้น ปีที่คลาร์กประสบความสำเร็จได้เข้าร่วมสำรวจ A7 และคะแนนโดยรวมของเขาอยู่ในอันดับที่ 9 จากการชุมนุมทางช้างเผือกในครั้งนั้นมันเผยให้เห็นถึงศักยภาพที่แข็งแกร่งมหาศาลของเขา!”
“ด้วยพลังของนักรบหนุ่มที่มีศักยภาพอาศัยอยู่บนโลกเช่นนี้
แม้ว่าหลังจากสิ้นสุดงานชุมนุมแห่งกาแลคซี่ลงแล้ว ดาวเคราะห์บางดวงที่ต้องการจะยึดโลกเป็นอาณานิคมก็ถูกระงับอย่างรวดเร็วโดยพันธมิตรทางช้างเผือก
นั้นก็เพราะสายตาของพวกเขาเห็นความสำคัญของผู้มีความสามารถระดับสูงอย่างคลาร์ก เขาอาจที่จะเป็นประโยชน์อย่างแท้จริงต่อพันธมิตรทางช้างเผือกในอนาคต”
“แต่น่าเศร้าหลังจากที่งานชุมนุมแห่งกาแลคซี่สิ้นสุดลง
เขาได้ส่งเรือรบป้อมปราการอากาศยานกลับมายังโลก
แต่ตัวเขาไม่เคยกลับมาและไม่มีใครรู้ว่าเขาไปที่ไหน จนถึงวันนี้เรายังไม่เคยรับรู้ข่าวคราวหรือพบเห็นร่องรอยใดๆของเขา”
หลังจากที่ได้พูดถึงคลาร์ก
หลี่อู่ก็แทบจะซ่อนอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่ คลาร์กเป็นลูกศิษย์ของหลี่อู่ และคนอื่นๆอีกสองคน
พวกเขาทั้งหมดมีความผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง
เกือบทศวรรษแล้ว
ถ้าคลาร์กยังคงอยู่ โลกก็คงจะไม่อยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้ แม้แต่กับไรเดอร์ก็ยังกล้าที่จะลอบกัดโลกในเวลาทีเผลอ
หลังจากที่หยุดพูดไปสักพัก
หลี่อู่ก็กล่าวต่อไปว่า “สาเหตุที่ว่าทำไมอาณาจักรสาปสูญถึงได้ถูกป้องกันไว้อย่างหนาแน่น
นั้นก็เนื่องมาจากเผ่าพันธุ์ก่อนประวัติศาสตร์ เชื่อว่าสักวันหนึ่งพวกเขาจะต้องได้กลับมายังทางช้างเผือก
ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงปิดผนึกทุกอาณาจักรเอาไว้อย่างรัดกุม”
“พวกเขายังต้องการที่จะกลับมา?”
ฮั่นหลางกลายเป็นสับสนและพูดขึ้นมา “การที่จะย้ายถิ่นฐานของเผ่าพันธุ์ทั้งหมดไม่ใช่เรื่องตลกและมันต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายที่มากมาย
ถ้าพวกเขาต้องการที่จะกลับมา แล้วทำไมพวกเขาถึงย้ายถิ่นฐานอารยธรรมทั้งหมดออกไป?”
หลี่อู่กล่าวว่า “ปู่คิดว่าพวกเขาคงมีเหตุผลของพวกเขา นี่เป็นสิ่งที่ลึกลับที่สุดอย่างหนึ่งของทางช้างเผือก
โดยปกติแล้วการย้ายถิ่นฐานของเผ่าพันธุ์ทั้งหมดส่วนมากจะเป็นเพราะภัยคุกคาม
แต่จากวัสดุและเทคโนโลยีที่เก็บเกี่ยวมาจากอาณาจักรสาปสูญจะเห็นได้ชัดว่าก่อนที่จะมีเผ่าพันธุ์มนุษย์กำเนิดขึ้นมานั้น
มันมีเผ่าพันธุ์ที่ชาญฉลาดมากและมีอารยธรรมระดับสูงอยู่มาก่อน
มนุษย์ได้เรียนรู้เพียงเศษเสี้ยวในความสำเร็จทางเทคโนโลยีของเผ่าพันธุ์ก่อนประวัติศาสตร์และได้รับประโยชน์จากมันไม่น้อย
เรือรบที่มีความสามารถในการบินข้ามผ่านทางช้างเผือก เทคโนโลยีฟิวชั่นพลังงานไฟฟ้าซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่อิสระมีอยู่ทั่วโลก
เทคโนโลยีเหล่านี้เป็นเทคโนโลยีที่ถูกทิ้งไว้ในอารยธรรมก่อนประวัติศาสตร์”
“ความจริงไม่มีใครรู้ถึงภัยคุกคามที่เผ่าพันธุ์ก่อนประวัติศาสตร์ที่ทรงพลังนี้ประสบ
มันถึงกับสามารถทำให้เผ่าพันธุ์ก่อนประวัติศาสตร์ไม่มั่นใจที่จะเผชิญหน้าทำได้เพียงย้ายถิ่นฐานหลีกหนีไปยังสถานที่ห่างไกลที่ไม่มีใครรู้จัก
แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือบางสิ่งบางอย่างที่บังคับให้เผ่าพันธุ์ก่อนประวัติศาสตร์ย้ายออกจากทางช้างเผือกจะต้องเป็นศัตรูที่อันตรายมากและการดำรงอยู่ของสิ่งที่เป็นอันตรายนั้นมีความเป็นไปได้มากที่มันอาจจะอยู่ที่ไหนสักแห่งในทางช้างเผือกแต่ยังคงอยู่ในสภาพหลับไหลหรือไม่ก็ไม่อยู่แล้ว
เราไม่อาจรับรู้ได้”
“ไม่ว่าทางช้างเผือกจะเป็นสถานที่วุ่นวายและอันตรายอย่างไร
ในฐานะที่เราเป็นสมาชิกของกาแลคซีนี้ โลกยังคงอ่อนแอเกินไป มันมีหนทางเดียวที่พวกเราจะอยู่รอดนั่นก็คือ
พวกเราจะต้องเพิ่มความแข็งแกร่งให้มากขึ้นจนสามารถต่อสู้กับภัยคุกคามจากภายนอกโลกทั้งหมดได้”
“สิ่งที่ปู่ทำได้ในตอนนี้ก็คือทุ่มเทความพยายามทั้งหมดในการพัฒนาอาณาจักรสาปสูญ
ตราบใดที่โลกมีรายได้ทางการเงินที่มั่นคง เราก็สามารถสะสมความแข็งแกร่งได้อย่างช้าๆ
สำหรับเจ้า เจ้าต้องสนใจแต่เพียงหาหนทางที่จะไปให้ถึงงานชุมนุมแห่งกาแลคซีให้ได้ ข้าเชื่อว่าเจ้ามีศักยภาพที่สามารถทำมันได้!”
ฮั่นหลางพยักหน้า “อย่าได้กังวล ผมจะพยายามอย่างเต็มที่
ตามที่ผมรู้มาที่สำนักงานใหญ่ดูเหมือนว่าจะมีกลุ่มเอสเปอร์หนุ่มสาวที่มากประสิทธิภาพที่ได้รับการฝึกมาเป็นพิเศษพวกเขาก็มีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมแข่งขันในงานชุมนุมแห่งกาแลคซี่ด้วยใช่หรือไม่?”
หลี่อู่พูดออกมาอย่างเคร่งขรึมว่า
“มันก็ยากที่จะพูดออกมา ในตอนนี้พวกเขาก็เหมือนกับเจ้า ตัดขาดตนเองออกจากโลกภายนอก
มุ่งเน้นการฝึกฝน โอ้ จริงสิ เดี๋ยวพวกเจ้าก็ได้พบกัน นอกจากเหล่าอัจฉริยะของสำนักงานใหญ่แล้วก็ยังมีเฉินจงและหลวงจีน
พวกเขาทั้งหมดจะมาเข้าร่วม กองพลเอสเปอร์ที่หนึ่ง”
ฮั่นหลางคิดถึงเฉินจงและหลวงจีน
เขามีความสุขมากที่จะได้พบกับสหายของเขาอีกครั้ง แม้ว่าพวกเขาเพิ่งจะได้รู้จักกันได้ไม่นานนัก
แต่พวกเขาก็ได้ต่อสู้เคียงข้างกัน เหมือนเป็นพี่น้องที่มีชีวิตร่วมกันและนั่นเป็นมิตรภาพที่ดีที่สุด
ในไม่ช้า ฮั่นหลางและหลี่อู่ก็มาถึงจุดสิ้นสุดของเส้นทาง
บริเวณนี้ยังคงมีรางรถไฟติดตั้งไว้อยู่ และแร่ก็จะถูกขุดในไม่ช้าเพื่อหาเงินมาสนับสนุนโลก
หลี่อู่มองไปที่เลือดที่แห้งกรังติดอยู่บนกำแพง
เขาพูดด้วยน้ำเสียงต่ำๆ ว่า “ถ้าเราไม่สามารถรักษาตำแหน่งที่ดีในงามชุมนุมกาแลคซี่ได้
เพื่อหลีกเลี่ยงการกลายเป็นอาณานิคมของดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ
สิ่งเดียวที่พอจะทำให้มีโอกาสรอดก็คือกระตุ้นเปิดอาณาจักรสาปสูญระดับชั้นBที่นี่และให้เหล่าพี่น้องเอสเปอร์ที่แข็งแกร่งของเราบนโลกต่อสู้กับมัน เพื่อความหวังสุดท้าย”
ฮั่นหลางรู้สึกตกใจแล้วถามขึ้นอย่างประหลาดใจว่า
“โลกมีอาณาจักรสาปสูญระดับชั้นBด้วยหรือ?”
Thank you
ตอบลบสนุกมาก ขอบคุณครับ
ตอบลบ