เลือกสีพื้นเพื่ออ่านบทความ >>> พื้นขาว พื้นดำ พื้นครีม

วันเสาร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ZX 061 หลอมรวมเจตจำนงแห่งการฆ่าของแท่นประหารเซียน

ตอนนี้หยางเฉินยังไม่สามารถควบคุมกระบี่บินฆ่าคนจากระยะไกล เขาไม่สามารถที่จะทำอะไรกับเรื่องนี้ได้ ด้วยการบ่มเพาะที่ไม่เพียงพอ แม้ว่าเขาจะเข้าสู่ระดับที่สี่รวบรวมลมปราณ เขาเพียงสามารถบังคับให้จู่โจมได้ไม่กี่ครั้งแล้วพลังจิตของเขาก็หมด

ทักษะการใช้กระบี่บินฆ่าสัตว์อสูรใต้พิภพนั้น ต้องใช้พลังจิตวิญญาณจํานวนมหาศาล และในขณะที่การสังหารสัตว์อสูรใต้พิภพค่อนข้างรวดเร็วเขาจัดการสามตัว ก่อนที่เขาต้องนั่งฟื้นฟูพลังจิตวิญญาณ ตอนนี้ขั้นของพลังจิตวิญญาณของเขายังไม่ทะลวงด่าน  เขาจึงใช้เจตจํานงแห่งการฆ่าของแท่นประหารเซียนผสมผสานเท่าที่จะเป็นได้ ดังนั้นมันจะดี ถ้าไม่ใช้อย่างต่อเนื่อง 

ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนคล้ายกับตอนที่เขาเป็นเพชรฆาต กล่องกระบี่ทําหน้าที่เหมือนดาบประหารเซียนในมือของเขา  สัตว์อสูรตัวใดที่พยายามบุกเข้ามา ก็จะติดอยู่ตรงทางเข้าเหมือนนักโทษในกรง  หยางเฉินก็จะใช้ท่าทางที่เขาเคยชิน ฟันลงไป ฟันครั้งที่หนึ่ง ตามด้วยครั้งที่สอง สามครั้งต่อหนึ่งศพ  ทันทีที่ตัวหนึ่งถูกสังหาร อีกตัวก็จะตามเข้ามาในทันที ไม่มีเวลาที่จะหยุดพัก

ภายใต้การฟาดฟันโดยดาบประหารเซียน ที่แฝงไปด้วยพลังของเคล็ดวิชาประสานหยินหยางห้าธาตุ โดยไม่ใส่ใจกับธาตุ ของสัตว์อสูร ไม่สนใจสิ่งที่จะถูกเหลือไว้ภายหลัง มันจึงปราศจากความยากลําบาก ในการบั่นศรีษะเหล่าสัตว์

แม้สัตว์อสูรนี้จะไม่มีความฉลาด แต่มันก็เป็นสิ่งที่เกิดจากภูมิปัญญาของจิตวิญญาณ  การบั่นศีรษะของมันนั้นหยางเฉินสัมผัสได้ถึงการฆ่าสิ่งที่มีชีวิต  นี่เป็นเหตุให้เจตจำนงแห่งการฆ่าภายในร่างเขาค่อยๆเพิ่มขึ้น และก็เป็นเหตุให้เจตจำนงแห่งการฆ่าที่แผ่ออกมานอกร่างกายของเขาเพิ่มขึ้นใน อัตราเดียวกัน 

เจตจํานงแห่งการฆ่าของแท่นประหารเพิ่มขึ้นรวดเร็วอย่างน่ากลัว ความรู้สึกของหยางเฉินสอดคล้องกับตอนอยู่แท่นประหารเซียน  ความดุดันบางส่วนทะลักออกจากร่างเขาและหลอมรวมเข้ากับเจตจำนงแห่งการฆ่า

หยางเฉินใช้การสังหารสัตว์อสูรทุกตัว มากระตุ้นให้ตัวเองเป็นเพชรฆาต ไม่ต้องถกเหตุผล ไม่สนใจผลที่ตามมา  เพียงใส่ใจกับรายละเอียดของเคล็ดวิธีการสังหาร และเขาเริ่มที่จะรู้สึกได้ถึงความดุดันที่มากยิ่งขึ้นของตน 

เจตจำนงแห่งการฆ่าที่รุนแรง ทําให้เหล่าสัตว์อสูรภายนอกรับรู้และหวาดกลัว ไม่กล้าเข้ามา  ดังนั้นในชั่วขณะหนึ่งหยางเฉินจําต้องหยุดมือ ด้านหนึ่งฟื้นฟูพลังจิตวิญญาณ อีกด้านหนึ่งใช้เคล็ดวิชาสามขั้นแห่งการรู้แจ้ง ดังนั้นเจตจำนงแห่งการฆ่าบนร่างเขาจึงถูกดูดซับคืนเรียบร้อย  ทุกๆวัน เป็นกิจวัตรประจำวันที่วนเวียนเช่นนี้  

การบ่มเพาะด้วยการฆ่าเป็นอะไรที่น่าเบื่อและจืดชืด มันไม่มีอะไรที่น่าตื่นเต้นเลย ทุกวันราวกับเครื่องจักรสังหารฟาดดาบลงไป เขาสังหารมากกว่าหมื่นตัวต่อวัน  บางครั้งเขาเกิดความรู้สึกอยากจะวิ่งเข้าใส่เหล่าสัตว์อสูรเพื่อตะลุมบอนเข่นฆ่าอย่างป่าเถื่อนดุดัน  แต่ถูกประสบการณ์การบ่มเพาะหลายๆปีของชีวิตก่อนนี้คอยยับยั้งเขาไว้

  ณ.ขณะนี้ สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่การต่อสู้ที่ดุดัน แต่สิ่งที่จําเป็นคือการเพิ่มความแข็งแกร่ง และไม่ให้เป็นที่เปิดเผยต่อผู้อื่น  ซึ่งจะนําปัญหามาสู่เขา จากนั้นเขาก็จะสามารถไปแสดงความเคารพต่ออาจารย์ของเขาอีกครั้ง ….เรื่องอื่น ๆไม่มีค่าแม้แต่ชําเลืองเมื่อเทียบกับจุดหมายนี้

 คิดถึงท่าทาง แววตา อาจารย์ของเขาในวันที่จากกัน ..ปราศจากความหวังขณะที่เธอกล่าวอําลาเขา   มันเป็นสิ่งบังคับหยางเฉิน และสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเอง

หลังเสร็จสิ้นจากการต่อสู้ เขาไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าใด แต่เขาสัมผัสได้ถึง เจตจำนงแห่งการฆ่าของแท่นประหารเซียน ที่ในที่สุดก็เพิ่มขึ้นมากอย่างเต็มที่ หลังจากการสังหารสัตว์อสูรหลายล้านตัว 

คล้ายกับตอนที่หลังจากเขาฆ่าผู้อาวุโสทองคําในชีวิตนี้ … …ทันใด รังสีไม่มีที่สิ้นสุดของเจตจำนงแห่งการฆ่า สาดไปทั่วจนทุกคนในหลุมดักเซียนรับรู้ถึงความน่ากลัวนี้ ด้วยเจตจำนงแห่งการฆ่านี้แม้กระทั่งจักรพรรดิหยกยังสั่นด้วยความกลัว ทุก ๆสิ่งมีชีวิตในหลุมดักเซียนต่างหวาดผวา แม้กระทั่งผู้เชี่ยวชาญระดับผลิดอกและออกผลก็ไม่เว้น ….มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้รับผลนี้ หยางเฉิน

ในพื้นที่ใกล้เคียงที่หยางเฉินอยู่ สัตว์อสูรจิตวิญญาณเหล่านี้เกิดจากการควบแน่นของพลังจิตวิญญาณ แล้วมีสติปัญญาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น มันมีเพียงสัญชาตญาณของพวกมัน แต่พวกมันทั้งหมดก็ถูกจัดการโดยเจตจำนงแห่งการฆ่านี้ ภายในรัสมีหนึ่งร้อยเมตรที่เคยเต็มไปด้วยสัตว์จิตวิญญาณ เหลือไว้เพียงแก่นจิตวิญญาณและไม่มีสิ่งอื่นใดเหลืออยู่อีก

ความจริงของเรื่องราวคือ ไม่เพียงแต่เจตจำนงแห่งการฆ่าที่เขามีหลังจากแท่นประหารเซียน แต่มันยังมาผนวกเข้ากับการสังหารที่ สะสมมานับไม่ถ้วนในที่นี่ ความหวาดกลัวของสัตว์อสูรที่สะสมในร่างเขา ความหวาดกลัวของสัตว์อสูรที่ถูกกักขังภายในร่างหยางเฉิน ก็ได้ปลดปล่อยออกมาอย่างไม่ยั้ง และเริ่มหลอมรวมกับหยางเฉิน

พลังจิตวิญญาณในร่างเขาเริ่มโคจร  ราวกับร่างของเขาเปลี่ยนไปเป็นเหมือนหลุมดํา  มันดูดซับพลังจิตวิญญาณสัตว์อสูรใต้พิภพอย่างบ้าคลั่งเข้าสู่ร่างของเขาอย่างเร็วแม้กระทั่งเขายังรู้สึกกลัว 

ยังมีความโชคดีที่เคล็ดวิชาประสานหยินหยางห้าธาตุย้อนกลับ มีประสิทธิภาพพอที่จะทําให้พลังจิตวิญญาณนี้บริสุทธิ์  ซึ่งก็ใช่ว่าหยางเฉินต้องการให้ร่างเขาระเบิดด้วยพลังจิตวิญญาณที่ทะลักเข้ามาอย่างเร็วนี้   การผสมผสานพลังจิตของเคล็ดวิชาการกลั่นสมบัติดวงดาวสวรรค์และเคล็ดวิชาเซ่นสรวงก่อร่างปฐพี  เริ่มขยายตัวรุนแรงภายใต้แรงดึงดูดของเจตจำนงแห่งการฆ่า 

และเจ้าเจตจำนงแห่งการฆ่าก็เริ่มที่จะตะโกนอย่างบ้าคลั่ง ภายในจิตของหยางเฉิน 

เชื่อฟังข้าเชื่อฟังข้าเชื่อฟังข้าสิ…”

แต่หลังจากที่เขาเคยผ่านเหตุการณ์เช่นนี้มาที่แท่นประหารเซียนมาแล้ว เขาจึงสามารถจัดการมันได้อย่างง่ายดาย  ภาพแววตาอาจารย์ของเขาในวันอําลา ปรากฏในจิตใจเขาอย่างต่อเนื่อง ภาพที่ระลึกได้นี้สร้างความแสงสว่างให้กับเขา ราวกับแสงจากกระบี่บิน และรอยยิ้มพลันปรากฏบนใบหน้าหยางเฉินอีกครั้ง

ข้าเคยบอกหลายครั้งแล้ว ….ข้าคือเพชรฆาต !” 

เมื่อเผชิญกับเจตจำนงแห่งการฆ่าของแท่นประหารเซียน หยางเฉินไม่ได้หวั่นไหว เพียงยิ้มแย้ม ถึงแม้เจตจํานงแห่งการฆ่าของแท่นประหาร กําลังกระตุ้นเจตจำนงแห่งการฆ่าในร่างเขา และกําลังทําให้มันคลั่ง และอย่างรวดเร็ว เมื่อเจตจํานงแห่งการฆ่าของแท่นประหารเซียน มันถูกยับยั้งเอาไว้และไม่สามารถต้านทานหยางเฉินไว้ได้ หยางเฉินจึงเริ่มผสานเข้ากับ จิตของเขาทีละน้อย และกลายเป็นส่วนหนึ่งของเขา

กลิ่นอายรังสีสีแดง ทั้งที่คุ้นเคย และไม่คุ้น ปรากฏรอบตัวหยางเฉินอีกครั้ง ราวกับปีศาจสีแดง หมอกโลหิตนั้นถูกกระทบ ด้วยแสงจากไข่มุกราตรี เมื่อเจตจำนงแห่งการฆ่าถูกหลอมรวมเข้ากับจิตใจของหยางเฉิน พลังจิตวิญณาณในร่างของเขาเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ครั้งใหญ่อีกครั้ง 

เดิมเขาเข้าสู่ระดับรวบรวมลมปราณขั้นที่สี่เรียบร้อย และเมามันส์กับการบ่มเพาะที่ได้รับเป็นพิเศษ หยางเฉินได้เพิ่มเติมการบ่มเพาะไปอย่างไม่หยุดหย่อน และในไม่กี่วัน เมื่อเขารวบรวมพลังจิตวิญญาณไว้อย่างเพียงพอ ดังนั้นเมื่อพลังจิตได้รับการกระตุ้นจาก เจตจำนงแห่งการฆ่า เขาได้ทะลวงเข้าสู่ระดับที่ห้าขั้นรวบรวมลมปราณในทันที ในระหว่างกระบวนการหลอมรวมเจตจำนงแห่งการฆ่า เขาได้ทะลุสู่คอขวดของขั้นที่ห้า ภายใต้การหลอมรวมอย่างบ้าคลั่งของ เจตจำนงแห่งการฆ่า พลังจิตของเขาก็เพิ่มอย่างพรวดพราด ภายในพริบตาก็ข้ามไปสู่ขั้นที่หก  และเริ่มรวมพุ่งตรงไปที่ขั้นที่ เจ็ดระดับรวบรวมลมปราณ

เพียงแต่หลังจากกระทบแนวกําแพงขั้นที่เจ็ด พลังจิตวิญญาณของเขาก็สงบลงอย่างช้า ๆ ไม่บ้าคลั่งเหมือนก่อนนี้   การทะลวงรวดเดียวอย่างบ้าคลั่งสามระดับ ทําให้ชีพจรของเขาได้รับความบอบชํ้าอย่างรุนแรง  เขาจึงยังไม่สามารถทําอย่างอื่นได้ นอกจากนั่งรีบนั่งลงบนแผ่นหยก เพื่อฟื้นฟูเส้นชีพจร และเพื่อทําการบ่มเพาะให้เสถียร ยิ่งขึ้น 

ผู้อาวุโสหวูที่ดูแลหลุมดักเซียนเป็นคนแรกที่รู้สึกตัว หลังจากผ่านไปหนึ่งวันกับหนึ่งคืน  หลังจากนั้นเขาพบว่ากลิ่นอายเย็นยะเยือกของเจตจำนงแห่งการฆ่ากระจายไปทั่วทุกที่ ความน่าสะพรึงกลัวที่เข้มข้นนี้ทําให้เขารู้สึกหวาดกลัวไปทั่วทั้งร่าง เขาต้องการสำรวจรอบๆ แต่พบว่าภายใต้แรงกดดันจากเจตจำนงแห่งการฆ่าทําให้เขาไม่สามารถขยับตัวได้

….ภัยพิบัติใดได้มาเยือนหลุมดักเซียน.. ผู้อาวุโสหวูไม่กล้าสรุป และไม่สามารถทําอะไรได้และไม่มีอะไรอื่นที่จะทํา นอกจากยืนหยัดอดทนต่อเจตจำนงแห่งการฆ่าที่แผ่กระจายไปทั่ว

ตามแผนที่หยางเฉินวางไว้ เขาจะบ่มเพาะที่นี่สิบปี หนึ่งขั้นต่อหนึ่งปี  เนื่องจากเขาเองไม่ได้ผิดปกติจากผู้อื่น และไม่ได้เป็นผู้มีพรสวรรค์ ที่จะได้รับการดูแลพิเศษจากนิกาย  แต่หลังจากเหตุที่บันไดสวรรค์ เขาได้รับการใส่ใจมากขึ้น มันจึงไม่มีอะไรที่จะต้องปิดบังมากนัก 

เขาเคยคิดที่จะให้การฝึกการบ่มเพาะเป็นไปตามธรรมชาติ มันเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายว่าเมื่อมาที่หลุมดักเซียน ด้วยการผสมผสานของเจตจำนงแห่งการฆ่าจะเกิดขึ้นในเวลาอันสั้น ด้วยการกระตุ้นของมันสร้างสิ่งที่ชวนพิศวงให้เกิดขึ้น  ระดับการบ่มเพาะของเขาเพิ่มสามขั้น จากระดับกลางขั้นที่สี่มาสู่ขั้นที่เจ็ดระดับรวบรวมลมปราณ  คิดแล้วหนึ่งปีเขาเพิ่มสามขั้น อัตราเร็วช่นนี้ นับว่าเป็นสัตว์ประหลาดในหมู่ผู้มีพรสวรรค์โดยแท้!

เขาใช้เวลาสิบวันในการควบแน่นการบ่มเพาะและฟื้นฟูเส้นชีพจรที่เสียหาย. ในช่วงเวลานี้ กลิ่นอายเจตจำนงแห่งการฆ่าที่หนาแน่นไหลเวียนอยู่รอบ ๆ ผู้คนที่อยู่ในถํ้าหลุมดักเซียน แต่มีเพียงหยางเฉินและผู้อาวุโสหวูที่รู้สึกตัว

หยางเฉินทราบความเสียหายที่เกิดขึ้นจากเจตจำนงแห่งการฆ่า ดังนั้นหลังจากการควบแน่นการบ่มเพาะเสร็จ เขารีบโคจรความลับสามขั้นแห่งการรู้แจ้ง ในระดับขั้นที่สองของเคล็ดวิชาสามขั้นแห่งการรู้แจ้ง ความเร็วในการดูดซับเจตจำนงแห่งการฆ่านั้น มันยังไม่เพียงพอ ดังนั้นมันจึงต้องใช้เวลาหกชั่วโมงกว่าที่จะดูดซับหมอกโลหิตที่หนาแน่นได้หมด 

นี่เป็นเจตจำนงแห่งการฆ่าที่ถูกสะสมมาจากการประหารเซียนที่แท่นประหารเซียน และมันถูกดูดซับเปลี่ยนเข้าไปในการรับรู้ทางจิต วิญญาณของหยางเฉินโดยสิ้นเชิง หยางเฉินรู้สึกว่าพลังจิตวิญญาณของเขาคล้ายพายุ กระทั่งเขาเองไม่กล้าที่จะเชื่อ

เดิมทีการรับรู้ทางจิตวิญญาณของหยางเฉินอยู่ในขั้นสูงสุดของระดับก่อสร้างรากฐานอยู่แล้ว  แต่ตอนนี้หลังจากสะสมพลังเพิ่มอย่างไม่ได้หยุด มันเริ่มจะเข้าทะลุคอขวดในระดับก่อลําต้น เขายังไม่กล้าเชื่อนัก เพราะตัวเองก็เพิ่งอยู่ในระดับรวบรวมลมปราณเมื่อไม่นานมานี้เอง  ได้แต่ประหลาดใจที่พลังการรับรู้ทางจิตวิญญาณของตัวเองเทียบได้กับระดับก่อลําต้น

ปังงงง!” 

ภายใต้การกระแทกอย่างดุดันของพลังรับรู้ทางจิตวิญญาณ เสียงดังสนั่นก้องภายในจิตใจหยางเฉิน  หลังจากนั้นเขารับรู้ได้ถึงการสั่นของร่างกาย ราวกับว่าทั้งร่างไปปรากฏในแม่นํ้าโลหิต

หยางเฉินรู้ว่านี่คือทะเลจิตวิญญาณ ที่ถูกสร้างขึ้นหลังจากทะลวงระดับก่อลําต้น  โดยปกติผู้ฝึกการบ่มเพาะเพียงหวังสร้างทะเลจิตวิญญาณของเขา หลังจากควบแน่นลมปราณ  แต่สําหรับหยางเฉินแล้ว หลังจากดูดซับเจตจํานงแห่งการฆ่าของแท่นประหารเซียน เขาก็ก้าวข้ามขั้นตอนนี้ไป

เดิมทีเคล็ดวิชาสามขั้นรู้แจ้ง จะส่งผลในตอนควบแน่นพลังจิตวิญญาณเพื่อขยายทะเลจิตวิญญาณ  ตอนนี้มันได้เปิดทะเลการรับรู้ แต่เจตจำนงแห่งการฆ่ายังไม่ได้ถูกดูดซับอย่างสมบูรณ์ มันยังคงดูดซับอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นทะเลการรับรู้ทางจิตวิญญาณจึงค่อยๆปรากฏอย่างช้าๆ

หมอกโลหิตมีอยู่ในทุกที่ ราวกับเจตจำนงแห่งการฆ่าจากภายนอกมารวมอยู่ที่นี่  แต่ในทันที่นั้นหมอกโลหิตก็เริ่มรวมตัวกัน หลังจากนั้นกลายเป็นสายน้ำโลหิตไหลลงสู่พื้นสีแดงกลายเป็นทะเลจิตวิญญาณ สายน้ำโลหิตเริ่มไหลลงไปอย่างช้าๆ ในความว่างเปล่าของทะเลจิตวิญญาณ จากนั้นความรับรู้ของทะเลเริ่มจางหายไปอย่างช้าๆราวกับว่าโลหิตทั้งหมด เริ่มผสานเป็นหนึ่งเดียวเข้ากับแม่น้ำนั้น

ในที่สุดความรับรู้ทะเลจิตวิญญาณที่ว่างเปล่าก็เริ่มกลายเป็นแม่น้ำโลหิตที่มองไม่เห็นขอบ ทำให้หยางเฉินรู้สึกยินดีจนแทบบ้า ในชีวิตก่อนนี้  เมื่อใดที่เขาเปิดทะเลจิตวิญญาณ มันเป็นเพียงละออง ที่เล็กมากราวกับจุด  ไหนเลยจะเทียบได้กับ ทะเลการรับรู้โลหิตขนาดใหญ่นี้ได้

เคล็ดวิชาสามขั้นแห่งการรู้แจ้งเป็นสามขั้นตอนที่รู้แจ้งจริง ๆ เขาเพียงแต่รู้สึกเสียใจ ต่อความแข็งแกร่งของวิธีการบ่มเพาะนี้ของผู้อาวุโส สูงสุด อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าประหลาดคือ ด้วยความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสสูงสุด ทําไมจึงเสียท่าถูกจับโดยคนจากนิกายสวรรค์ลํ้าเลิศ และถูก ส่งมาที่แท่นประหารเซียน?

ความอัศจรรย์ของทะเลการรับรู้นี้ หยางเฉินรู้ว่า นี่เป็นระดับตํ่าสุดในสามระดับของความลับสามรู้แจ้ง  มันเป็นเพียงทะเลจิตวิญญาณที่สร้างใหม่ ด้วยความยาวสุทธิสองหมื่นหกพันลี้  แต่ด้วยการเริ่มต้นเยี่ยงนี้ หยางเฉินถึงกับกังวลอนาคตของการบ่มเพาะของเขาจะเป็นเช่นใด?   

เขาถอนการรับรู้ทางจิตวิญญาณออกจากทะเลการรับรู้ หลังจากที่ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว ในเวลานี้การผสมผสานของเจตจํานงแห่งการฆ่าของแท่นประหารเซียน สร้างความสิ่งที่น่ายินดีได้อย่างประหลาด

เจตจำนงแห่งการฆ่าที่กระจายไปในทุกอณูของหลุมดักเซียน ได้ถูกชะล้างออกไปอย่างเรียบร้อย เหล่าผู้คนในหลุมดักเซียนเริ่มที่จะรู้สึกตัวอย่างช้า ๆ สําหรับผู้ที่มีการบ่มเพาะที่แข็งแกร่งเมื่อตื่นขึ้นมา ก็พบกับยินดีครั้งใหญ่ เมื่อเห็นเหล่าสัตว์อสูรที่ไร้สติจํานวนหลายร้อยอยู่รอบๆ ไม่ต้องคํานึงอื่นใด อันดับแรก …. สังหารมันซะ แล้วเก็บรวบรวมแก่นจิตวิญญาณ 

โชคดีที่เหล่าผู้ฝึกตนที่สามารถเข้าสู่หลุมดักเซียน เป็นผู้ที่ได้รับการยินยอมจากผู้นํานิกาย และล่วงรู้ถึงสถานที่ใดที่ไม่ควรไป

ถึงแม้บางคนรู้สึกตัวช้า บางคนเร็ว แต่เมื่อเทียบกับเหล่าสัตว์อสูรใต้พิภพแล้ว พวกเขายังฟื้นตัวเร็วกว่า มิฉะนั้นแล้ว วันนี้คงมีการสูญเสียครั้งใหญ่ในหลุมดักเซียน เหตุการณ์นี้ทุกคนล้วนไม่เข้าใจเหตุผลที่ทําให้พวกเขาหมดสติ รวมทั้งสภาห้าผู้อาวุโสที่ดูแลหลุมดักเซียน เหล่าศิษย์นิกายก็เพียงห่วงแต่เรื่องสะสมแก่นจิตวิญญาณเท่านั้น

หยางเฉินไม่ได้ทําสิ่งใดที่ผิดปกติ เมื่อเขาปล่อยสํานึกจิตวิญญาณออกไป เขารับรู้ได้ทุกสิ่งในอาณาเขตหลายร้อยจ้าง  เหล่าสัตว์อสูรที่สิ้นสติกระจัดกระจายไปทั่ว เป็นธรรมดาที่หยางเฉินจะไม่ปล่อยโอกาสนี้หลุดลอยไป  เขาพุ่งออกจากถํ้าตรงไปจัดการรอบๆ ท่ามกลางเหล่าสัตว์อสูรและแก่นจิตวิญญาณนับพันอย่างไม่ยั้ง เพียงเท่านี้เขาก็กลับสู่ถํ้าอย่างสุขสันต์ เมื่อกลับเข้ามาในถ้ำเขาก็เริ่มบดขยี้ศีรษะสัตว์อสูรตรงทางเข้า และเริ่มสํารวจการเปลี่ยนแปลงภายในร่างตัวเอง  

และมันสามารถตัดสินได้โดยง่ายว่าขณะนี้เขาอยู่ในระดับรวบรวมลมปราณขั้นที่เจ็ด แต่มันเป็นขั้นที่เจ็ดที่แตกต่างจากชีวิตก่อนหน้านี้ ด้วยพลังของเคล็ดวิชาประสานหยินหยางห้าธาตุ การกลั่นสมบัติดวงดาวสวรรค์ และเคล็ดวิชาเซ่นสรวงก่อร่างปฐพี ตอนนี้เขาสามารถจัดการกับสิบหยางเฉินชีวิตก่อนนี้ได้ ในระดับการบ่มเพาะเดียวกัน!

มันเป็นความเคยชินที่เขานํากระบี่บินออกจากกล่องกระบี่ และเริ่มทําการปรับแต่งระดับที่สองด้วยเคล็ดวิชาการกลั่นสมบัติ ดวงดาวสวรรค์ และในครั้งนี้ไร้ซึ่งอุปสรรค ภายในเวลาสองชั่วโมงกระบี่บินก็ถูกยกระดับขึ้นอีกหนึ่งขั้น แสงจากกระบี่ดูเปร่งประกายขึ้น สร้างความพอใจให้กับเขา  และคล้ายกันนี้การปรับแต่งขั้นที่สองของเคล็ดวิชาเซ่นสรวงก่อร่าง ปฐพีก็ไร้อุปสรรคเช่นกัน กระทั่งเข้าไปสู่ระดับขั้นที่สามของการปรับแต่ง  สําหรับเส้นไยพลังจิตภายในร่างของเขานั้น

ไม่ว่าจะเป็นเส้นไยของเคล็ดวิชาการกลั่นสมบัติดวงดาวสวรรค์หรือเคล็ดวิชา เซ่นสรวงก่อร่างปฐพี เริ่มที่จะฉายแสงและกระจายออกเป็นสองเส้น ในตอนเริ่มมันมีขนาดเท่าเส้นไหม และในทันใดก็หนา ขึ้นและแน่นขึ้นอย่างน่าแปลกใจ

ภายในใจของหยางเฉิน ภาพของความเจ็บปวดที่ปรากฏในดวงตาอาจารย์ของเขา ที่อําลาเขาปรากฏอีกครั้ง  และชั่วกระพริบตา มันเปลี่ยนเป็นใบหน้าอาจารย์เขา กล่าวกับเขา

หยางเฉิน นี่เป็นกระบี่ประกายแสง ข้าได้ปรับแต่งให้เจ้าเป็นพิเศษ เจ้าควรดูแลมันให้ดี และหมั่นฝึกการบ่มเพาะให้มากขึ้น!

ความทรงจำทั้งหมดค่อยๆแวบผ่านเข้ามาภายในหัวใจของหยางเฉิน


อาจารย์ ทันทีที่ข้าถึงระดับก่อสร้างรากฐาน ข้าจะกลับไปอยู่เคียงข้างท่าน และเป็นศิษย์ของท่านอีกครั้ง 

2 ความคิดเห็น:

  1. เลื่อนระดับรัวๆแต่ก็ยังคงเก็บตัวอยู่เช่นเคย
    นี่พี่ท่านตั้งเป้าไว้สิบปีเลยรึ หวังว่าในนิยายคงกินเวลาไม่เกินสามตอนจากนี้... เพี้ยง!

    ตอบลบ
  2. รอลุ้นตอนต่อไปครับ

    ตอบลบ