ตอนนี้หยางเฉินยังไม่สามารถควบคุมกระบี่บินฆ่าคนจากระยะไกล
เขาไม่สามารถที่จะทำอะไรกับเรื่องนี้ได้ ด้วยการบ่มเพาะที่ไม่เพียงพอ
แม้ว่าเขาจะเข้าสู่ระดับที่สี่รวบรวมลมปราณ
เขาเพียงสามารถบังคับให้จู่โจมได้ไม่กี่ครั้งแล้วพลังจิตของเขาก็หมด
ทักษะการใช้กระบี่บินฆ่าสัตว์อสูรใต้พิภพนั้น
ต้องใช้พลังจิตวิญญาณจํานวนมหาศาล
และในขณะที่การสังหารสัตว์อสูรใต้พิภพค่อนข้างรวดเร็วเขาจัดการสามตัว
ก่อนที่เขาต้องนั่งฟื้นฟูพลังจิตวิญญาณ ตอนนี้ขั้นของพลังจิตวิญญาณของเขายังไม่ทะลวงด่าน
เขาจึงใช้เจตจํานงแห่งการฆ่าของแท่นประหารเซียนผสมผสานเท่าที่จะเป็นได้
ดังนั้นมันจะดี ถ้าไม่ใช้อย่างต่อเนื่อง
ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนคล้ายกับตอนที่เขาเป็นเพชรฆาต
กล่องกระบี่ทําหน้าที่เหมือนดาบประหารเซียนในมือของเขา สัตว์อสูรตัวใดที่พยายามบุกเข้ามา
ก็จะติดอยู่ตรงทางเข้าเหมือนนักโทษในกรง
หยางเฉินก็จะใช้ท่าทางที่เขาเคยชิน ฟันลงไป ฟันครั้งที่หนึ่ง …ตามด้วยครั้งที่สอง …สามครั้งต่อหนึ่งศพ
ทันทีที่ตัวหนึ่งถูกสังหาร อีกตัวก็จะตามเข้ามาในทันที
ไม่มีเวลาที่จะหยุดพัก
ภายใต้การฟาดฟันโดยดาบประหารเซียน
ที่แฝงไปด้วยพลังของเคล็ดวิชาประสานหยินหยางห้าธาตุ โดยไม่ใส่ใจกับธาตุ
ของสัตว์อสูร ไม่สนใจสิ่งที่จะถูกเหลือไว้ภายหลัง มันจึงปราศจากความยากลําบาก
ในการบั่นศรีษะเหล่าสัตว์
แม้สัตว์อสูรนี้จะไม่มีความฉลาด
แต่มันก็เป็นสิ่งที่เกิดจากภูมิปัญญาของจิตวิญญาณ
การบั่นศีรษะของมันนั้นหยางเฉินสัมผัสได้ถึงการฆ่าสิ่งที่มีชีวิต
นี่เป็นเหตุให้เจตจำนงแห่งการฆ่าภายในร่างเขาค่อยๆเพิ่มขึ้น
และก็เป็นเหตุให้เจตจำนงแห่งการฆ่าที่แผ่ออกมานอกร่างกายของเขาเพิ่มขึ้นใน
อัตราเดียวกัน
เจตจํานงแห่งการฆ่าของแท่นประหารเพิ่มขึ้นรวดเร็วอย่างน่ากลัว
ความรู้สึกของหยางเฉินสอดคล้องกับตอนอยู่แท่นประหารเซียน
ความดุดันบางส่วนทะลักออกจากร่างเขาและหลอมรวมเข้ากับเจตจำนงแห่งการฆ่า
หยางเฉินใช้การสังหารสัตว์อสูรทุกตัว
มากระตุ้นให้ตัวเองเป็นเพชรฆาต …ไม่ต้องถกเหตุผล …ไม่สนใจผลที่ตามมา เพียงใส่ใจกับรายละเอียดของเคล็ดวิธีการสังหาร
และเขาเริ่มที่จะรู้สึกได้ถึงความดุดันที่มากยิ่งขึ้นของตน
เจตจำนงแห่งการฆ่าที่รุนแรง
ทําให้เหล่าสัตว์อสูรภายนอกรับรู้และหวาดกลัว ไม่กล้าเข้ามา ดังนั้นในชั่วขณะหนึ่งหยางเฉินจําต้องหยุดมือ
ด้านหนึ่งฟื้นฟูพลังจิตวิญญาณ อีกด้านหนึ่งใช้เคล็ดวิชาสามขั้นแห่งการรู้แจ้ง
ดังนั้นเจตจำนงแห่งการฆ่าบนร่างเขาจึงถูกดูดซับคืนเรียบร้อย ทุกๆวัน
เป็นกิจวัตรประจำวันที่วนเวียนเช่นนี้
การบ่มเพาะด้วยการฆ่าเป็นอะไรที่น่าเบื่อและจืดชืด
มันไม่มีอะไรที่น่าตื่นเต้นเลย ทุกวันราวกับเครื่องจักรสังหารฟาดดาบลงไป
เขาสังหารมากกว่าหมื่นตัวต่อวัน
บางครั้งเขาเกิดความรู้สึกอยากจะวิ่งเข้าใส่เหล่าสัตว์อสูรเพื่อตะลุมบอนเข่นฆ่าอย่างป่าเถื่อนดุดัน แต่ถูกประสบการณ์การบ่มเพาะหลายๆปีของชีวิตก่อนนี้คอยยับยั้งเขาไว้
ณ.ขณะนี้ สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่การต่อสู้ที่ดุดัน
แต่สิ่งที่จําเป็นคือการเพิ่มความแข็งแกร่ง
และไม่ให้เป็นที่เปิดเผยต่อผู้อื่น
ซึ่งจะนําปัญหามาสู่เขา
จากนั้นเขาก็จะสามารถไปแสดงความเคารพต่ออาจารย์ของเขาอีกครั้ง ….เรื่องอื่น
ๆไม่มีค่าแม้แต่ชําเลืองเมื่อเทียบกับจุดหมายนี้
คิดถึงท่าทาง แววตา อาจารย์ของเขาในวันที่จากกัน
..ปราศจากความหวังขณะที่เธอกล่าวอําลาเขา
มันเป็นสิ่งบังคับหยางเฉิน และสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเอง
หลังเสร็จสิ้นจากการต่อสู้
เขาไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าใด แต่เขาสัมผัสได้ถึง
เจตจำนงแห่งการฆ่าของแท่นประหารเซียน ที่ในที่สุดก็เพิ่มขึ้นมากอย่างเต็มที่
หลังจากการสังหารสัตว์อสูรหลายล้านตัว
คล้ายกับตอนที่หลังจากเขาฆ่าผู้อาวุโสทองคําในชีวิตนี้
… …ทันใด รังสีไม่มีที่สิ้นสุดของเจตจำนงแห่งการฆ่า
สาดไปทั่วจนทุกคนในหลุมดักเซียนรับรู้ถึงความน่ากลัวนี้
ด้วยเจตจำนงแห่งการฆ่านี้แม้กระทั่งจักรพรรดิหยกยังสั่นด้วยความกลัว ทุก
ๆสิ่งมีชีวิตในหลุมดักเซียนต่างหวาดผวา
แม้กระทั่งผู้เชี่ยวชาญระดับผลิดอกและออกผลก็ไม่เว้น ….มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้รับผลนี้
…หยางเฉิน
ในพื้นที่ใกล้เคียงที่หยางเฉินอยู่
สัตว์อสูรจิตวิญญาณเหล่านี้เกิดจากการควบแน่นของพลังจิตวิญญาณ
แล้วมีสติปัญญาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น มันมีเพียงสัญชาตญาณของพวกมัน
แต่พวกมันทั้งหมดก็ถูกจัดการโดยเจตจำนงแห่งการฆ่านี้ ภายในรัสมีหนึ่งร้อยเมตรที่เคยเต็มไปด้วยสัตว์จิตวิญญาณ
เหลือไว้เพียงแก่นจิตวิญญาณและไม่มีสิ่งอื่นใดเหลืออยู่อีก
ความจริงของเรื่องราวคือ
ไม่เพียงแต่เจตจำนงแห่งการฆ่าที่เขามีหลังจากแท่นประหารเซียน
แต่มันยังมาผนวกเข้ากับการสังหารที่ สะสมมานับไม่ถ้วนในที่นี่ ความหวาดกลัวของสัตว์อสูรที่สะสมในร่างเขา
ความหวาดกลัวของสัตว์อสูรที่ถูกกักขังภายในร่างหยางเฉิน
ก็ได้ปลดปล่อยออกมาอย่างไม่ยั้ง และเริ่มหลอมรวมกับหยางเฉิน
พลังจิตวิญญาณในร่างเขาเริ่มโคจร
ราวกับร่างของเขาเปลี่ยนไปเป็นเหมือนหลุมดํา มันดูดซับพลังจิตวิญญาณสัตว์อสูรใต้พิภพอย่างบ้าคลั่งเข้าสู่ร่างของเขาอย่างเร็วแม้กระทั่งเขายังรู้สึกกลัว
ยังมีความโชคดีที่เคล็ดวิชาประสานหยินหยางห้าธาตุย้อนกลับ
มีประสิทธิภาพพอที่จะทําให้พลังจิตวิญญาณนี้บริสุทธิ์
ซึ่งก็ใช่ว่าหยางเฉินต้องการให้ร่างเขาระเบิดด้วยพลังจิตวิญญาณที่ทะลักเข้ามาอย่างเร็วนี้
การผสมผสานพลังจิตของเคล็ดวิชาการกลั่นสมบัติดวงดาวสวรรค์และเคล็ดวิชาเซ่นสรวงก่อร่างปฐพี
เริ่มขยายตัวรุนแรงภายใต้แรงดึงดูดของเจตจำนงแห่งการฆ่า
และเจ้าเจตจำนงแห่งการฆ่าก็เริ่มที่จะตะโกนอย่างบ้าคลั่ง
ภายในจิตของหยางเฉิน
“เชื่อฟังข้า…เชื่อฟังข้า…เชื่อฟังข้าสิ…”
แต่หลังจากที่เขาเคยผ่านเหตุการณ์เช่นนี้มาที่แท่นประหารเซียนมาแล้ว
เขาจึงสามารถจัดการมันได้อย่างง่ายดาย
ภาพแววตาอาจารย์ของเขาในวันอําลา ปรากฏในจิตใจเขาอย่างต่อเนื่อง
ภาพที่ระลึกได้นี้สร้างความแสงสว่างให้กับเขา ราวกับแสงจากกระบี่บิน …และรอยยิ้มพลันปรากฏบนใบหน้าหยางเฉินอีกครั้ง
“ข้าเคยบอกหลายครั้งแล้ว
….ข้าคือเพชรฆาต !”
เมื่อเผชิญกับเจตจำนงแห่งการฆ่าของแท่นประหารเซียน
หยางเฉินไม่ได้หวั่นไหว เพียงยิ้มแย้ม ถึงแม้เจตจํานงแห่งการฆ่าของแท่นประหาร
กําลังกระตุ้นเจตจำนงแห่งการฆ่าในร่างเขา และกําลังทําให้มันคลั่ง และ…อย่างรวดเร็ว
เมื่อเจตจํานงแห่งการฆ่าของแท่นประหารเซียน
มันถูกยับยั้งเอาไว้และไม่สามารถต้านทานหยางเฉินไว้ได้
หยางเฉินจึงเริ่มผสานเข้ากับ จิตของเขาทีละน้อย และกลายเป็นส่วนหนึ่งของเขา
กลิ่นอายรังสีสีแดง ทั้งที่คุ้นเคย
และไม่คุ้น ปรากฏรอบตัวหยางเฉินอีกครั้ง ราวกับปีศาจสีแดง หมอกโลหิตนั้นถูกกระทบ
ด้วยแสงจากไข่มุกราตรี เมื่อเจตจำนงแห่งการฆ่าถูกหลอมรวมเข้ากับจิตใจของหยางเฉิน
พลังจิตวิญณาณในร่างของเขาเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ครั้งใหญ่อีกครั้ง
เดิมเขาเข้าสู่ระดับรวบรวมลมปราณขั้นที่สี่เรียบร้อย
และเมามันส์กับการบ่มเพาะที่ได้รับเป็นพิเศษ
หยางเฉินได้เพิ่มเติมการบ่มเพาะไปอย่างไม่หยุดหย่อน และในไม่กี่วัน
เมื่อเขารวบรวมพลังจิตวิญญาณไว้อย่างเพียงพอ
ดังนั้นเมื่อพลังจิตได้รับการกระตุ้นจาก เจตจำนงแห่งการฆ่า
เขาได้ทะลวงเข้าสู่ระดับที่ห้าขั้นรวบรวมลมปราณในทันที
ในระหว่างกระบวนการหลอมรวมเจตจำนงแห่งการฆ่า เขาได้ทะลุสู่คอขวดของขั้นที่ห้า
ภายใต้การหลอมรวมอย่างบ้าคลั่งของ เจตจำนงแห่งการฆ่า
พลังจิตของเขาก็เพิ่มอย่างพรวดพราด ภายในพริบตาก็ข้ามไปสู่ขั้นที่หก และเริ่มรวมพุ่งตรงไปที่ขั้นที่ เจ็ดระดับรวบรวมลมปราณ
เพียงแต่หลังจากกระทบแนวกําแพงขั้นที่เจ็ด
พลังจิตวิญญาณของเขาก็สงบลงอย่างช้า ๆ ไม่บ้าคลั่งเหมือนก่อนนี้ การทะลวงรวดเดียวอย่างบ้าคลั่งสามระดับ
ทําให้ชีพจรของเขาได้รับความบอบชํ้าอย่างรุนแรง
เขาจึงยังไม่สามารถทําอย่างอื่นได้ นอกจากนั่งรีบนั่งลงบนแผ่นหยก
เพื่อฟื้นฟูเส้นชีพจร และเพื่อทําการบ่มเพาะให้เสถียร ยิ่งขึ้น
ผู้อาวุโสหวูที่ดูแลหลุมดักเซียนเป็นคนแรกที่รู้สึกตัว
หลังจากผ่านไปหนึ่งวันกับหนึ่งคืน
หลังจากนั้นเขาพบว่ากลิ่นอายเย็นยะเยือกของเจตจำนงแห่งการฆ่ากระจายไปทั่วทุกที่
ความน่าสะพรึงกลัวที่เข้มข้นนี้ทําให้เขารู้สึกหวาดกลัวไปทั่วทั้งร่าง
เขาต้องการสำรวจรอบๆ แต่พบว่าภายใต้แรงกดดันจากเจตจำนงแห่งการฆ่าทําให้เขาไม่สามารถขยับตัวได้
….ภัยพิบัติใดได้มาเยือนหลุมดักเซียน..
ผู้อาวุโสหวูไม่กล้าสรุป และไม่สามารถทําอะไรได้และไม่มีอะไรอื่นที่จะทํา
นอกจากยืนหยัดอดทนต่อเจตจำนงแห่งการฆ่าที่แผ่กระจายไปทั่ว
ตามแผนที่หยางเฉินวางไว้
เขาจะบ่มเพาะที่นี่สิบปี หนึ่งขั้นต่อหนึ่งปี
เนื่องจากเขาเองไม่ได้ผิดปกติจากผู้อื่น และไม่ได้เป็นผู้มีพรสวรรค์
ที่จะได้รับการดูแลพิเศษจากนิกาย
แต่หลังจากเหตุที่บันไดสวรรค์ เขาได้รับการใส่ใจมากขึ้น
มันจึงไม่มีอะไรที่จะต้องปิดบังมากนัก
เขาเคยคิดที่จะให้การฝึกการบ่มเพาะเป็นไปตามธรรมชาติ
มันเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายว่าเมื่อมาที่หลุมดักเซียน
ด้วยการผสมผสานของเจตจำนงแห่งการฆ่าจะเกิดขึ้นในเวลาอันสั้น
ด้วยการกระตุ้นของมันสร้างสิ่งที่ชวนพิศวงให้เกิดขึ้น ระดับการบ่มเพาะของเขาเพิ่มสามขั้น
จากระดับกลางขั้นที่สี่มาสู่ขั้นที่เจ็ดระดับรวบรวมลมปราณ คิดแล้วหนึ่งปีเขาเพิ่มสามขั้น …อัตราเร็วช่นนี้
นับว่าเป็นสัตว์ประหลาดในหมู่ผู้มีพรสวรรค์โดยแท้!
เขาใช้เวลาสิบวันในการควบแน่นการบ่มเพาะและฟื้นฟูเส้นชีพจรที่เสียหาย.
ในช่วงเวลานี้ กลิ่นอายเจตจำนงแห่งการฆ่าที่หนาแน่นไหลเวียนอยู่รอบ ๆ
ผู้คนที่อยู่ในถํ้าหลุมดักเซียน แต่มีเพียงหยางเฉินและผู้อาวุโสหวูที่รู้สึกตัว
หยางเฉินทราบความเสียหายที่เกิดขึ้นจากเจตจำนงแห่งการฆ่า
ดังนั้นหลังจากการควบแน่นการบ่มเพาะเสร็จ เขารีบโคจรความลับสามขั้นแห่งการรู้แจ้ง
ในระดับขั้นที่สองของเคล็ดวิชาสามขั้นแห่งการรู้แจ้ง
ความเร็วในการดูดซับเจตจำนงแห่งการฆ่านั้น มันยังไม่เพียงพอ
ดังนั้นมันจึงต้องใช้เวลาหกชั่วโมงกว่าที่จะดูดซับหมอกโลหิตที่หนาแน่นได้หมด
นี่เป็นเจตจำนงแห่งการฆ่าที่ถูกสะสมมาจากการประหารเซียนที่แท่นประหารเซียน
และมันถูกดูดซับเปลี่ยนเข้าไปในการรับรู้ทางจิต วิญญาณของหยางเฉินโดยสิ้นเชิง
หยางเฉินรู้สึกว่าพลังจิตวิญญาณของเขาคล้ายพายุ กระทั่งเขาเองไม่กล้าที่จะเชื่อ
เดิมทีการรับรู้ทางจิตวิญญาณของหยางเฉินอยู่ในขั้นสูงสุดของระดับก่อสร้างรากฐานอยู่แล้ว แต่ตอนนี้หลังจากสะสมพลังเพิ่มอย่างไม่ได้หยุด
มันเริ่มจะเข้าทะลุคอขวดในระดับก่อลําต้น เขายังไม่กล้าเชื่อนัก
เพราะตัวเองก็เพิ่งอยู่ในระดับรวบรวมลมปราณเมื่อไม่นานมานี้เอง
ได้แต่ประหลาดใจที่พลังการรับรู้ทางจิตวิญญาณของตัวเองเทียบได้กับระดับก่อลําต้น
“ปังงงง!”
ภายใต้การกระแทกอย่างดุดันของพลังรับรู้ทางจิตวิญญาณ
เสียงดังสนั่นก้องภายในจิตใจหยางเฉิน
หลังจากนั้นเขารับรู้ได้ถึงการสั่นของร่างกาย
ราวกับว่าทั้งร่างไปปรากฏในแม่นํ้าโลหิต
หยางเฉินรู้ว่านี่คือทะเลจิตวิญญาณ
ที่ถูกสร้างขึ้นหลังจากทะลวงระดับก่อลําต้น
โดยปกติผู้ฝึกการบ่มเพาะเพียงหวังสร้างทะเลจิตวิญญาณของเขา
หลังจากควบแน่นลมปราณ
แต่สําหรับหยางเฉินแล้ว หลังจากดูดซับเจตจํานงแห่งการฆ่าของแท่นประหารเซียน
เขาก็ก้าวข้ามขั้นตอนนี้ไป
เดิมทีเคล็ดวิชาสามขั้นรู้แจ้ง
จะส่งผลในตอนควบแน่นพลังจิตวิญญาณเพื่อขยายทะเลจิตวิญญาณ ตอนนี้มันได้เปิดทะเลการรับรู้ แต่เจตจำนงแห่งการฆ่ายังไม่ได้ถูกดูดซับอย่างสมบูรณ์
มันยังคงดูดซับอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้นทะเลการรับรู้ทางจิตวิญญาณจึงค่อยๆปรากฏอย่างช้าๆ
หมอกโลหิตมีอยู่ในทุกที่
ราวกับเจตจำนงแห่งการฆ่าจากภายนอกมารวมอยู่ที่นี่
แต่ในทันที่นั้นหมอกโลหิตก็เริ่มรวมตัวกัน หลังจากนั้นกลายเป็นสายน้ำโลหิตไหลลงสู่พื้นสีแดงกลายเป็นทะเลจิตวิญญาณ
สายน้ำโลหิตเริ่มไหลลงไปอย่างช้าๆ ในความว่างเปล่าของทะเลจิตวิญญาณ
จากนั้นความรับรู้ของทะเลเริ่มจางหายไปอย่างช้าๆราวกับว่าโลหิตทั้งหมด
เริ่มผสานเป็นหนึ่งเดียวเข้ากับแม่น้ำนั้น
ในที่สุดความรับรู้ทะเลจิตวิญญาณที่ว่างเปล่าก็เริ่มกลายเป็นแม่น้ำโลหิตที่มองไม่เห็นขอบ
ทำให้หยางเฉินรู้สึกยินดีจนแทบบ้า ในชีวิตก่อนนี้
เมื่อใดที่เขาเปิดทะเลจิตวิญญาณ มันเป็นเพียงละออง
ที่เล็กมากราวกับจุด ไหนเลยจะเทียบได้กับ
ทะเลการรับรู้โลหิตขนาดใหญ่นี้ได้
เคล็ดวิชาสามขั้นแห่งการรู้แจ้งเป็นสามขั้นตอนที่รู้แจ้งจริง
ๆ เขาเพียงแต่รู้สึกเสียใจ ต่อความแข็งแกร่งของวิธีการบ่มเพาะนี้ของผู้อาวุโส
สูงสุด อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าประหลาดคือ ด้วยความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสสูงสุด
ทําไมจึงเสียท่าถูกจับโดยคนจากนิกายสวรรค์ลํ้าเลิศ และถูก ส่งมาที่แท่นประหารเซียน?
ความอัศจรรย์ของทะเลการรับรู้นี้
หยางเฉินรู้ว่า นี่เป็นระดับตํ่าสุดในสามระดับของความลับสามรู้แจ้ง มันเป็นเพียงทะเลจิตวิญญาณที่สร้างใหม่
ด้วยความยาวสุทธิสองหมื่นหกพันลี้
แต่ด้วยการเริ่มต้นเยี่ยงนี้
หยางเฉินถึงกับกังวลอนาคตของการบ่มเพาะของเขาจะเป็นเช่นใด?
เขาถอนการรับรู้ทางจิตวิญญาณออกจากทะเลการรับรู้
หลังจากที่ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว
ในเวลานี้การผสมผสานของเจตจํานงแห่งการฆ่าของแท่นประหารเซียน
สร้างความสิ่งที่น่ายินดีได้อย่างประหลาด
เจตจำนงแห่งการฆ่าที่กระจายไปในทุกอณูของหลุมดักเซียน
ได้ถูกชะล้างออกไปอย่างเรียบร้อย
เหล่าผู้คนในหลุมดักเซียนเริ่มที่จะรู้สึกตัวอย่างช้า ๆ
สําหรับผู้ที่มีการบ่มเพาะที่แข็งแกร่งเมื่อตื่นขึ้นมา ก็พบกับยินดีครั้งใหญ่
เมื่อเห็นเหล่าสัตว์อสูรที่ไร้สติจํานวนหลายร้อยอยู่รอบๆ ไม่ต้องคํานึงอื่นใด
อันดับแรก …. สังหารมันซะ แล้วเก็บรวบรวมแก่นจิตวิญญาณ
โชคดีที่เหล่าผู้ฝึกตนที่สามารถเข้าสู่หลุมดักเซียน
เป็นผู้ที่ได้รับการยินยอมจากผู้นํานิกาย และล่วงรู้ถึงสถานที่ใดที่ไม่ควรไป
ถึงแม้บางคนรู้สึกตัวช้า บางคนเร็ว
แต่เมื่อเทียบกับเหล่าสัตว์อสูรใต้พิภพแล้ว พวกเขายังฟื้นตัวเร็วกว่า …มิฉะนั้นแล้ว
วันนี้คงมีการสูญเสียครั้งใหญ่ในหลุมดักเซียน
เหตุการณ์นี้ทุกคนล้วนไม่เข้าใจเหตุผลที่ทําให้พวกเขาหมดสติ
รวมทั้งสภาห้าผู้อาวุโสที่ดูแลหลุมดักเซียน
เหล่าศิษย์นิกายก็เพียงห่วงแต่เรื่องสะสมแก่นจิตวิญญาณเท่านั้น
หยางเฉินไม่ได้ทําสิ่งใดที่ผิดปกติ
เมื่อเขาปล่อยสํานึกจิตวิญญาณออกไป เขารับรู้ได้ทุกสิ่งในอาณาเขตหลายร้อยจ้าง เหล่าสัตว์อสูรที่สิ้นสติกระจัดกระจายไปทั่ว
เป็นธรรมดาที่หยางเฉินจะไม่ปล่อยโอกาสนี้หลุดลอยไป เขาพุ่งออกจากถํ้าตรงไปจัดการรอบๆ
ท่ามกลางเหล่าสัตว์อสูรและแก่นจิตวิญญาณนับพันอย่างไม่ยั้ง เพียงเท่านี้เขาก็กลับสู่ถํ้าอย่างสุขสันต์
เมื่อกลับเข้ามาในถ้ำเขาก็เริ่มบดขยี้ศีรษะสัตว์อสูรตรงทางเข้า
และเริ่มสํารวจการเปลี่ยนแปลงภายในร่างตัวเอง
และมันสามารถตัดสินได้โดยง่ายว่าขณะนี้เขาอยู่ในระดับรวบรวมลมปราณขั้นที่เจ็ด
แต่มันเป็นขั้นที่เจ็ดที่แตกต่างจากชีวิตก่อนหน้านี้
ด้วยพลังของเคล็ดวิชาประสานหยินหยางห้าธาตุ การกลั่นสมบัติดวงดาวสวรรค์
และเคล็ดวิชาเซ่นสรวงก่อร่างปฐพี
ตอนนี้เขาสามารถจัดการกับสิบหยางเฉินชีวิตก่อนนี้ได้ ในระดับการบ่มเพาะเดียวกัน!
มันเป็นความเคยชินที่เขานํากระบี่บินออกจากกล่องกระบี่
และเริ่มทําการปรับแต่งระดับที่สองด้วยเคล็ดวิชาการกลั่นสมบัติ ดวงดาวสวรรค์
และในครั้งนี้ไร้ซึ่งอุปสรรค
ภายในเวลาสองชั่วโมงกระบี่บินก็ถูกยกระดับขึ้นอีกหนึ่งขั้น
แสงจากกระบี่ดูเปร่งประกายขึ้น สร้างความพอใจให้กับเขา และคล้ายกันนี้การปรับแต่งขั้นที่สองของเคล็ดวิชาเซ่นสรวงก่อร่าง
ปฐพีก็ไร้อุปสรรคเช่นกัน กระทั่งเข้าไปสู่ระดับขั้นที่สามของการปรับแต่ง สําหรับเส้นไยพลังจิตภายในร่างของเขานั้น
ไม่ว่าจะเป็นเส้นไยของเคล็ดวิชาการกลั่นสมบัติดวงดาวสวรรค์หรือเคล็ดวิชา
เซ่นสรวงก่อร่างปฐพี เริ่มที่จะฉายแสงและกระจายออกเป็นสองเส้น ในตอนเริ่มมันมีขนาดเท่าเส้นไหม
และในทันใดก็หนา ขึ้นและแน่นขึ้นอย่างน่าแปลกใจ
ภายในใจของหยางเฉิน
ภาพของความเจ็บปวดที่ปรากฏในดวงตาอาจารย์ของเขา ที่อําลาเขาปรากฏอีกครั้ง และชั่วกระพริบตา
มันเปลี่ยนเป็นใบหน้าอาจารย์เขา กล่าวกับเขา
“หยางเฉิน
นี่เป็นกระบี่ประกายแสง ข้าได้ปรับแต่งให้เจ้าเป็นพิเศษ เจ้าควรดูแลมันให้ดี
และหมั่นฝึกการบ่มเพาะให้มากขึ้น!”
ความทรงจำทั้งหมดค่อยๆแวบผ่านเข้ามาภายในหัวใจของหยางเฉิน
อาจารย์
ทันทีที่ข้าถึงระดับก่อสร้างรากฐาน ข้าจะกลับไปอยู่เคียงข้างท่าน
และเป็นศิษย์ของท่านอีกครั้ง
เลื่อนระดับรัวๆแต่ก็ยังคงเก็บตัวอยู่เช่นเคย
ตอบลบนี่พี่ท่านตั้งเป้าไว้สิบปีเลยรึ หวังว่าในนิยายคงกินเวลาไม่เกินสามตอนจากนี้... เพี้ยง!
รอลุ้นตอนต่อไปครับ
ตอบลบ