เจตจำนงของแท่นประหารเซียนได้หลอมรวมเข้ากับหยางเฉินไปเกือบหมด เหลือเพียงสามในสิบส่วนที่ยังไม่ได้ถูกหลอมรวม
แต่เมื่อหยางเฉินได้มาถึงจุดสูงสุดของบันไดสวรรค์ การหลอมรวมก็เริ่มชะลอตัวลงอย่างรวดเร็ว
ดูเหมือนว่าความตื่นเต้นของการฆ่าในบนบันไดสวรรค์ในช่วงท้ายๆ มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำความดุร้ายโดดเด่นออกมา
กระบวนการหลอมรวมหยุดลงอย่างช้าๆ หลังจากที่หยางเฉินได้เดินขึ้นมาถึงจุดสูงสุดของยอดเขาครู่หนึ่ง
แม้ในขณะนี้หยางเฉินผู้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของบันไดสวรรค์ก็ยังคงมีเจตจำนงแห่งการฆ่าแผ่ออกมา
ซึ่งทำให้ทุกคนต่างรู้สึกสั่นสะท้านตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เมื่อบรรดาผู้เชี่ยวชาญระดับก่อลำต้น
ผู้ซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆเขาได้ดูดซึมเจตจำนงแห่งการฆ่านี้ ทั้งเก้าคนที่บาดเจ็บสาหัสต่างส่งเสียงออกมา
ไม่นานหลังจากนั้นก็เริ่มเป็นลม มีเพียงคนเดียวคือ ซีเชิงซิน ที่ยังรู้สึกตัวอยู่และแม้ว่าความกลัวจะผุดขึ้นมาภายในใจเขา
แต่เขาก็ยังรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งเพราะหลังจากที่ได้พูดและทำเสร็จแล้ว หยางเฉินก็ยังคงเป็นศิษย์ของพระราชวังหยางบริสุทธิ์
และนี่จะเพิ่มชื่อเสียงให้กับนิกายของเขาได้อย่างงดงาม
ภายในร่างกายของหยางเฉิน ส่วนหนึ่งของพลังจิตวิญญาณที่กล้าหาญได้วิ่งเข้ามามากมาย
มันมีความแข็งแกร่งของแก่นโลหิตจากผู้เชี่ยวชาญระดับก่อลำต้น ในช่วงเวลาสุดท้าย
สิบส่วนของพลังงานจิตวิญญาณได้ไหลเวียนอย่างรวดเร็วภายในเส้นลมปราณของหยางเฉิน ซึ่งพยายามที่จะทำให้การหลอมรวมของหยางเฉินสอดคล้องกับเจตจำนงของแท่นประหารเซียน
หลังจากที่การหลอมรวมหยุดนิ่ง พลังจิตวิญญาณในส่วนที่เหลือก็เริ่มที่จะฉีกร่างกายของหยางเฉิน
ผู้เชี่ยวชาญระดับก่อลำต้นทั้งสิบคน ถึงแม้ว่าพวกเขาได้มาถึงสภาวะที่ตะเกียงขาดน้ำมันจนแห้งเหือด
แก่นโลหิตที่พวกเขาถ่ายถอนออกมาด้วยพลังจิตวิญญาณครั้งสุดท้ายของพวกเขา ยังคงมีคุณภาพที่ดีมากกว่าเมื่อเทียบกับความแข็งแกร่งของผลไม้หยางล้ำเลิศสิบผล
ยิ่งไปกว่านั้นพลังจิตวิญญาณนี้ได้ผ่านบันไดสวรรค์ไปและได้เปลี่ยนไปเป็นพลังจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์โดยลานอักขระอาคมนี้
โดยไม่จำเป็นต้องใช้ยาเพื่อทำให้พวกมันมีความบริสุทธิ์แต่อย่างใด
หยินหยางห้าธาตุย้อนกลับถูกโคจรอย่างบ้าคลั่ง โดยใช้พลังจิตวิญญาณมหาศาลนี้ทำการบีบอัดและปรับแต่งมันให้ดีที่สุด
โชคดีที่ลานอักขระอาคมของบันไดสวรรค์ได้หยุดไปอย่างช้าๆหลังจากที่บุคคลที่รับผิดชอบในดูแลลานอักขระอาคมไม่สามารถดูแลพวกมันได้อีกต่อไป
มิฉะนั้นหยางเฉินจะไม่สามารถทนต่อพลังจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่นี้ได้
เส้นลมปราณของเขาขยายตัวอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนโชคดีที่ร่างกายของหยางเฉินได้รับการเปลี่ยนแปลงโดยแก่นชีวิตของเซียนนับไม่ถ้วนและกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งอย่างมาก
ดังนั้นแม้ว่าจะถูกผลักดันไปจนถึงขีดสุดที่เขาจะทนรับไหว แต่มันก็ยังสามารถสนับสนุนเขาให้สามารถดำเนินการต่อไปได้อยู่
โชคดีเป็นของหยางเฉินที่ลานอักขระอาคมของบันไดสวรรค์สัมผัสได้ว่าพลังจิตวิญญาณจำนวนมหาศาลจำเป็นสำหรับการหลอมรวมเจตจำนงของหยางเฉินและเจตจำนงของของ
แท่นประหารเซียน ซึ่งถูกดึงออกจากผู้เชี่ยวชาญระดับก่อลำต้นทั้งสิบคนนี้
ในตอนนี้การหลอมรวมยังไม่สมบูรณ์ แต่ถ้ายังมีคนพร้อมที่จะดูแลลานอักขระอาคมนี้ หยางเฉินก็จะระเบิดออกมาอย่างแน่นอน
เนื่องจากพลังจิตวิญญาณที่มากเกินไป ถ้าเขาได้รับอนุญาตให้เผชิญหน้ากับกำแพงกั้นอีกครั้ง
ความกดดันก็จะเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน พลังจิตวิญญาณที่เหลืออยู่ก็ไม่มีอะไรที่เขาจะต้องกังวล
ในที่สุด ใครบางคนได้ค้นพบสถานการณ์ปัจจุบันของผู้เชี่ยวชาญระดับก่อลำต้น
มันสร้างความตื่นตระหนกอย่างมาก ผู้คนที่เฝ้าดูไม่สามารถให้ความสนใจกับเขาได้มากนัก
ไม่นานหลังจากนั้น หยางเฉินเริ่มมีช่วงเวลาเพื่อซึมซับและรับรู้ถึงจุดสูงสุดของบันไดสวรรค์
ช่วงเวลาถัดมา ได้ปรากฏผู้คนที่ส่งเสียงเอะอะขึ้น พวกเขามาเพื่อสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญระดับก่อลำต้นทั้งสิบคนและในไม่ช้าพวกเขาก็เริ่มร่ายอาคมของตัวเองเพื่อช่วยพวกเขา
พยายามเอาชนะกันและกัน ครั้งนี้สามารถใช้เพื่อสร้างบุญคุณกับผู้เชี่ยวชาญระดับก่อลำต้นเมื่อเทียบกับอาคมเพียงไม่กี่อันนี้มันก็คุ้มค่ามาก
กงซุนหลิง เงยหน้าขึ้นมองร่างของคนที่นั่งตรงจุดสูงสุดของบันไดสวรรค์
แววตาของความพึงพอใจเปล่งประกายออกมาจากดวงตาของเธอ อย่างไรก็ตามเธอค้นพบว่าหัวใจของเธอไม่ได้รู้สึกประหลาดใจเท่าไหร่กับสิ่งที่เกิดขึ้น
ราวกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่หยางเฉินจะขึ้นสู่ยอดเขาของบันไดสวรรค์ ความรู้สึกนี้คล้ายคลึงกับความรู้สึกที่เธอรู้สึกเมื่อได้พบกับหยางเฉินเป็นครั้งแรก
แต่ในช่วงเวลานั้นเธอไม่ได้ค้นพบความรู้สึกนี้
คนของหอพันปีได้จัดเตรียมสถานที่ที่ดีสำหรับ ซีเชิงซิน ไว้เพื่อให้พักผ่อนและกงซุนหลิงก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับความรู้สึกที่แปลกใจที่พุ่งโจมตีในเวลานี้
ดังนั้นเธอจึงนั่งอยู่ที่เดิมและเริ่มทำความเข้าใจกับสิ่งที่เธอได้รับจากบันไดสวรรค์ทีละนิด
ทีละนิด อย่างรวดเร็วเธอได้เข้าสู่สถานะของการรู้แจ้ง
หยางเฉินที่จุดสูงสุดของบันไดสวรรค์ก่อนหน้านี้กังวลว่าใครบางคนจะเข้าใกล้เขาด้วยจุดประสงค์ร้าย
ไม่ต้องพูดถึงคนจำนวนมากที่กำลังเฝ้าดูเขาอยู่ แต่เพียงแค่กลิ่นอายที่น่าประทับใจที่ปลดปล่อยออกมาจากร่างกายของเขา
มันก็อาจทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวจากที่ไกลๆ และอาจทำให้จิตใจของพวกเขาสั่นสะท้าน ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าที่จะเข้ามาใกล้เขาภายในรัศมี
สามสิบจ้างรอบตัวเขา
มีบางคนที่ไม่เชื่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและมีจุดประสงค์ที่ชั่วร้ายได้เปิดใช้งานผลึกยันต์
เจตนาของเขาคือเพื่อทำการตรวจสอบลมหายใจของ หยางเฉิน อย่างไรก็ตามทันทีที่ผลึกยันต์เข้าไปในรัศมีสามสิบจ้าง
ผลึกยันต์ระดับกลางก็เริ่มสั่นเหมือนกับพยายามที่จะหลุดพ้นออกจากการควบคุมของเจ้านายของมัน
เจ้าของผลึกยันต์รีบถอนผลึกยันต์กลับมา เพียงแต่ความพยายามในครั้งนี้ มันกลับทำให้ผลึกยันต์ลดระดับลงไปกึ่งหนึ่ง
ทำให้เจ้าของผลึกยันต์เสียใจเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อคนอื่นๆเห็นตัวอย่างนี้ พวกเขาก็ยังไม่มีความคิดที่จะทำการใดๆ
ทุกคนต่างมองไปที่หยางเฉินด้วยความอิจฉาเป็นอย่างมาก และถอนหายใจอยู่ภายในใจของพวกเขาเกี่ยวกับความโชคดีของพระราชวังหยางบริสุทธิ์ที่มีศิษย์ทั้งสองคนนี้
คนหนึ่งสามารถปีนบันไดได้ถึงขั้นที่หกสิบสอง ในขณะที่อีกคนได้ปีนขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุด
มันอาจเป็นไปได้ว่าตั้งแต่บัดนี้ พระราชวังหยางบริสุทธิ์จะเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก?
หยินหยางและห้าธาตุแบบย้อนกลับได้ถูกเปิดใช้งานในทันทีภายใต้ความคิดของหยางเฉิน
แต่คราวนี้เขารู้สึกผ่อนคลายและมั่นคงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ถ้าในก่อนหน้านี้เขายังไม่ได้รับความเห็นชอบตามแบบแผนในการเป็นเพชฌฆาตบนศาลสวรรค์และคว้าโอกาสต่างๆมากมาย
ในตอนนี้มันก็คงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามแบบแผนอย่างสมบูรณ์จากการตัดสินใจในครั้งก่อนหน้านี้ของเขา
บันไดสวรรค์เป็นเส้นทางค้นหาใจ มันทำให้เจตจำนงของหยางเฉินยิ่งมีความเด็ดเดี่ยวและยิ่งทำให้เขารู้สึกดีขึ้น
จากการหลอมรวมกับเจตจำนงของแท่นประหารเซียน ทำให้เขาได้รู้ว่าควรเลือกถนนสายไหนในช่วงที่เขาเกิดใหม่
หยางเฉินได้ตัดสินใจที่จะไม่เป็นหยางเฉินคนเดิม แต่ในขณะนี้ หยางเฉิน ได้ตัดสินใจที่จะกลายเป็น
หยางเฉิน ที่สามารถเผชิญกับอันตรายที่นับไม่ถ้วนและตัดเส้นทางที่โชคเลือดผ่านพวกเขาทั้งหมดออกไป
พลังจิตวิญญาณส่งผ่านมาจากบันไดสวรรค์ ราวกับสายธารที่อ่อนโยนและไม่รู้จักจบสิ้น
ซึ่งทำให้หยางเฉินสามารถปรับแต่งพลังจิตวิญญาณเหล่านี้ได้ทีละส่วนจนครบทั้งสิบส่วน
เมื่อหยางเฉินได้โยนตัวเองด้วยความตั้งใจที่จะกลั่นพลังจิตวิญญาณนี้ ประสิทธิภาพของหยินหยางของห้าธาตุย้อนกลับก็ได้เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
ความเร็วของกระบวนการในการดูดซับของพลังจิตวิญญาณนั้นเพิ่มขึ้นบ้างในบางส่วน
เจตจำนงอันรุนแรงของแท่นประหารเซียน สะท้อนถึงความดื้อรั้นในเวลานี้ พลังจิตวิญญาณที่เข้าสู่ร่างกายของหยางเฉิน
ได้รับการจำกัดโดยทันทีด้วยเจตจำนงนี้ โดยไม่กล้าที่จะเร่งเร้าให้เร็วขึ้นและสร้างความวุ่นวาย
ปล่อยให้หยางเฉิน สามารถสร้างความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องด้วยการบีบอัดและปรับแต่งพลังจิตวิญญาณนี้ทีละนิดทีละนิด
คนรอบข้างไม่รู้ว่าหยางเฉินกำลังทำอะไร แต่เมื่อเห็นหยางเฉินนั่งเข้าฌานพวกเขาเชื่อว่าเขาได้รับการรู้แจ้งจากบันไดบนสวรรค์
จู่ๆก็ปรากฏรัศมีแสงหลายสีบนบันไดสวรรค์ ราวกับว่าไม่มีผู้เชี่ยวชาญระดับก่อลำต้น แต่บันไดสรรค์ก็ยังสามารถทำงานได้เหมือนเดิม
ไม่มีใครตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แต่พวกเขาก็เข้าใจว่าพวกเขาไม่ควรขยับเขยื้อนไปไหน
ข้อความนับไม่ถ้วนถูกส่งไปยังแต่ละนิกาย
เหล่าศิษย์ของนิกายต่างๆที่กำลังนั่งเข้าฌานเพื่อทำความเข้าใจจากสิ่งที่ได้รับมาจากบันไดบนสวรรค์อย่างต่อเนื่องเริ่มตื่นขึ้นมา
มีเพียงหยางเฉินเท่านั้นที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่ด้านบน ในอีกไม่กี่วันต่อมา สถานการณ์เหล่านี้ก็ยังคงเหมือนเดิม
และนิกายที่อยู่ใกล้ๆกับภูเขาลอยฟ้าได้ส่งผู้เชี่ยวชาญมาหลายคน ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญระดับก่อลำต้น
ที่ได้รับบาดเจ็บก็ตื่นขึ้นมาและเริ่มทำการฟื้นฟูตัวเอง
ในที่สุดหยางเฉินก็ตื่นขึ้นมาจากสภาวะเข้าฌานนี้ เมื่อเขาลืมตาขึ้น เขาเริ่มตรวจสอบร่างกายของเขาจากบนลงล่างในทันที
เขารู้สึกผ่อนคลาย ซึ่งในขณะนี้เขาไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ ส่วนหนึ่งของพลังจิตวิญญาณที่มากมายไหลไปตามเส้นลมปราณที่อยู่ภายในร่างกายของเขาโดยไม่หยุดหย่อน
ความรู้สึกนี้มันทำให้เขารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากที่เขาทำการตรวจสอบอย่างรอบคอบแล้ว ในตอนนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว
จนถึงจุดที่ทำให้เขารู้สึกกลัวการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วนี้
หยินหยางห้าธาตุของพลังจิตวิญญาณภายในร่างกายของเขาซึ่งได้รับการบีบอัดและได้รับการขัดเกลา
พวกมันหักผ่านคอขวดของระดับรวบรวมลมปราณขั้นสาม กล่าวอีกนัยหนึ่งหยางเฉินได้หลุดพ้นจากระดับรวบรวมลมปราณขั้นสองโดยไม่ได้ตั้งใจและไปถึงระดับรวบรวมลมปราณขั้นสามหลังจากปีนขึ้นบันไดสวรรค์
ก่อนหน้านี้
หยางเฉินใช้เวลาถึงหนึ่งปีในการที่จะเจาะผ่านระดับรวบรวมลมปราณขั้นหนึ่งไปยังระดับรวบรวมลมปราณขั้นสอง
ในช่วงเวลาแปดเดือนแรกเขาได้ใช้ไปในหอลี้ลับ จากนั้นเขาได้ใช้เวลาสามเดือนเพื่อทำการฝึกบ่มเพาะอย่างยากลำบากและในที่สุด
หลังจากที่เตรียมการเรียบร้อย เขาได้ใช้เวลาอยู่ในที่พักของบรรพบุรุษของเขา
ซึ่งเป็นที่ที่เขาต้องใช้ความพยายามเพื่อเก็บกล่องกระบี่ โดยการยืมพลังจิตวิญญาณจากแหล่งกำเนิดใต้ดิน
จนเขาสามารถทะลุผ่านดินแดนเข้าสู่ระดับรวบรวมลมปราณขั้นสองได้
จากการทะลวงผ่านในครั้งนั้นจนถึงในตอนนี้ มันผ่านมาเพียงครึ่งปีเท่านั้น
ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ หยางเฉินได้ทำกิจวัตรประจำวันอย่างสม่ำเสมอและไม่พยายามที่จะปรับความแข็งแกร่งของเขาแต่อย่างใด
แต่ใครจะคิดได้ว่าด้วยความช่วยเหลือจากบันไดสวรรค์ เขาจะสามารถสร้างความตื่นตะลึงโดยการที่เขาสามารถทะลวงผ่านดินแดนระดับรวบรวมลมปราณขั้นสาม?
มันไม่ใช่ว่าพลังจิตวิญญาณทั้งหมดของเขาเพิ่มขึ้นและเขาได้ผ่านทะลุดินแดนระดับรวบรวมลมปราณขั้นสามด้วยเหตุนี้
แต่หลังจากที่เขาเปิดใช้งานหยินหยางห้าธาตุย้อนกลับ พลังจิตวิญญาณได้ถูกควบแน่นและกระชับ
ในเวลาเดียวกัน มันไม่เพียงแต่ประกอบด้วยธาตุเดียวของพลังจิตวิญญาณ
แต่มันประกอบด้วยทั้งหมดห้าธาตุ นอกจากนี้ทั้งห้าธาตุยังมีทั้งพลังงานหยินและพลังงานหยางจิตวิญญาณ
ซึ่งมันย่อมมากกว่าระดับรวบรวมลมปราณขั้นสามที่คนทั่วๆไปควรจะมี
สิ่งที่ทำให้หยางเฉินรู้สึกประหลาดใจยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากการหลอมรวมเข้ากับเจตจำนงของแท่นประหารเซียน
ร่างกายของเขาดูเหมือนจะเริ่มแผ่กลิ่นอายเจตจำนงแห่งการฆ่าซึ่งสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าออกมาอีกครั้ง
แต่เนื่องจากรัศมีแสงหลากสีที่สะท้อนออกมาจากบันไดสวรรค์ จึงทำให้คนอื่นไม่สามารถสังเกตเห็นมันได้อย่างชัดเจน
ยิ่งไปกว่านั้นเจตจำนงแห่งการฆ่านี้ก็เข้มข้นไปจนถึงสุดขีดในรัศมีสามสิบจ้างรอบๆตัวเขา
นอกบริเวณนี้คนอื่นแทบจะไม่รู้สึกกลัว มันไม่สามารถทำให้ดวงวิญญาณของพวกเขาสั่นสะท้านราวกับว่าพวกเขากำลังเผชิญที่ด้านหน้าของพระเจ้าแห่งความตาย
เจตจำนงแห่งการฆ่านี้ เป็นผลที่ดีที่สุดของเคล็ดวิชาลับสามขั้นแห่งการรู้แจ้ง
เมื่อคิดถึงจุดนี้หยางเฉินเปิดตาออกมา แต่หลังจากตรวจสอบพบการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายของเขาแล้ว
เขารีบปิดตาอีกครั้งในทันทีเพื่อเริ่มต้นทำการบ่มเพาะขั้นที่สองของ เคล็ดวิชาลับสามขั้นแห่งการรู้แจ้ง
เจตจำนงแห่งการฆ่าที่ปกคลุมรอบตัวเขาเริ่มค่อยๆถูกดูดซับ นี่คือจุดมุ่งหมายของการประหารบนแท่นประหารเซียน
สะสมมานานนับไม่ถ้วน ควบแน่นนานนับหลายพันปีจนอาจนับได้ว่าเป็นหมื่นปี บางทีเซียนอาจสามารถที่จะใช้ประโยชน์ของพลังเหล่านี้ได้มากกว่าหยางเฉิน
แต่ก็ยังดีกว่านักบ่มเพาะทั่วๆไป แม้ภายใต้การดูดซึมอย่างบ้าคลั่งของเคล็ดวิชาลับสามขั้นแห่งการรู้แจ้ง
แต่มันก็ยังคงใช้เวลาทั้งกลางวันและกลางคืนทำงานอย่างหนักตลอดเวลาเพื่อแปลงทุกอย่างให้เข้าสู่การรับรู้ทางจิต
ด้วยความช่วยเหลือของเจตจำนงแห่งการฆ่านี้ การรับรู้ทางจิตของหยางเฉินสามารถไต่ระดับไปถึงระดับสูงสุดของผู้เชี่ยวชาญก่อสร้างรากฐาน
การรับรู้ทางจิตได้แผ่กระจายออกไปอย่างสมบูรณ์
มันสามารถแผ่ออกไปเป็นรัศมีได้นับหลายร้อยจ้าง ในช่วงเวลานี้สภาพแวดล้อมที่อยู่รอบๆตัวของหยางเฉินดูเหมือนจะเริ่มถูกตรวจสอบโดยหยางเฉิน
หลังจากที่หยางเฉินได้ใช้เวลาไปเจ็ดหรือแปดวันแล้ว หยางเฉินเริ่มเข้าใจเกี่ยวกับบันไดบนสวรรค์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆจนถึงมากที่สุด
นอกจากผู้คนจากพระราชวังหยางบริสุทธิ์ หอพันปีและกงซุนหลิง ไม่มีใครคอยเฝ้าดู
หยางเฉินตื่นขึ้นมาโดยไม่ได้เพิ่มความสนใจให้กับผู้คนมากมายนัก
อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่ปีนไปถึงจุดสูงสุดของบันไดสวรรค์นี้ทำให้เกิดความวุ่นวายในโลกของการบ่มเพาะทั้งหมด
ในก่อนหน้านี้เมื่อซือสานส่านสามารถไต่ขึ้นสู่บันไดสวรรค์ขั้นที่หกสิบสามขั้น มันก็ทำให้เกิดความวุ่นวายอันยิ่งใหญ่และทุกคนที่มีสายตามองเห็นได้ว่าการบ่มเพาะของ
ซือสานส่านสามารถก้าวหน้าขึ้นมากในภายหลัง และทุกคนในโลกของการบ่มเพาะพยายามที่จะได้รับความโปรดปรานจากเทพธิดาซือ
ในการเชื่อมโยงเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้แต่การจัดอันดับของเกาะมรกตอมตะก็ได้เพิ่มขึ้นในหมู่นิกายของโลกบ่มเพาะ
ในเวลานี้พระราชวังหยางบริสุทธิ์แสดงให้เห็นถึงศิษย์ที่มีพรสวรรค์สองคน
คนหนึ่งสามารถปีนขึ้นไปถึงขั้นที่หกสิบสอง กงซุนหลิง และอีกคนหนึ่งคือหยางเฉิน ผู้ซึ่งเพิ่งขึ้นบันไดสวรรค์จนถึงจุดสูงสุดของยอดเขา
โลกการบ่มเพาะจะเปลี่ยนแปลงไปแบบไหนนั้น ไม่มีใครรู้
สิ่งเดียวที่เป็นที่แน่ชัดคือหยางเฉินและกงซุนหลิง
ได้สร้างชื่อเสียงแผ่กระจายออกไปภายใต้สวรรค์ ในฐานะอัจฉริยะแห่งการบ่มเพาะและพระราชวังหยางบริสุทธิ์ก็อาจที่จะส่องแสงเปล่งประกายได้ในอนาคตเนื่องจากความสามารถพิเศษของศิษย์ทั้งสองคนนี้
ซือสานส่าน และ กงซุนหลิง มีความแตกต่างเพียงบันไดขั้นเดียว ด้วยท่าทางที่สง่าและงดงามของเธอ
ตราบเท่าที่เธอไม่ได้ทำผิดพลาดขนาดใหญ่ใดๆ
ไม่แน่ในอนาคตอันใกล้นี้อาจจะได้ยินชื่อเทพธิดากงซุนก็เป็นได้
สำหรับหยางเฉินไม่มีใครกล้าตัดสินอะไรเกี่ยวกับเขา
ที่จริงแล้วไม่มีใครคิดถึงความสามารถของหยางเฉิน หรือว่าพวกเขาไม่แน่ใจว่าอนาคตของหยางเฉินว่าจะดีขึ้นสักเท่าไร
เหตุผลก็คือรากจิตวิญญาณของหยางเฉินนั้นมันธรรมดามาก
แต่ความตั้งใจของเขาก็ค่อนข้างเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยได้เห็นในชีวิตนี้ ทุกคนที่ได้เห็นเขาขึ้นไปบนบันไดสวรรค์ต่างยอมรับแล้วในจุดนี้
อย่างไรก็ ตามคนที่มีความสามารถแต่มีความเก่งทั่วๆไปไม่ได้โดดเด่นอะไร
มันก็ไม่สามารถนำไปเปรียบเทียบกับ ซือสานส่าน หรือพรสวรรค์ตามธรรมชาติของ กงซุนหลิง
ที่มีได้ ในโลกของการบ่มเพาะ คนที่ทุ่มเทให้กับการบ่มเพาะแต่ไร้ซึ่งพรสรรค์
มันก็ยากที่จะก้าวหน้าได้ เหมือนกับแม่น้ำที่มีแต่ขยะมูลฝอย
แต่ก็มีคนไม่มากที่สามารถลุกขึ้นได้ แต่ทั้งหมดนี้การบ่มเพาะนั้นต้องการพรสรรค์ที่โดดเด่น
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาซีเชิงซินได้ฟื้นฟูพลังกลับคืนมามาส่วนหนึ่ง ตามที่คาดการณ์ไว้อาการสึกหรอของจิตวิญญาณของเขาน่าจะใช้เวลาราวๆหนึ่งเดือนถึงจะฟื้นฟูได้อย่างสมบูรณ์
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้เป็นช่วงเวลาที่น่าภาคภูมิใจที่สุดสำหรับ ซีเชิงซิน ในอดีตศิษย์ของแต่ละนิกายอื่นๆที่ส่งไปทั้งหมด
พวกเขาสามารถปีนบันไดสวรรค์ได้เพียงสามสิบขั้น สี่สิบขั้น ห้าสิบขั้น และหลังจากนั้นพวกเขาก็จะมาคุยโวต่อหน้า
ซีเชิงซิน แต่ในครั้งนี้มันเป็นช่วงเวลาของเขาที่จะยืนอย่างสง่าท่ามกลางหมู่มิตรสหายของเขา
แต่น่าเสียดายที่อีกเก้าผู้เชี่ยวชาญระดับก่อลำต้น ยังคงต้องได้รับการเยียวยา
แม้กระทั่งการบ่มเพาะของพวกเขาก็ต้องลดลงไปหนึ่งระดับ แต่เดิมพวกเขาอยู่ในขั้นห้าของระดับก่อลำต้น
แต่ในตอนนี้พวกเขาต้องถอยมาอยู่ที่ระดับที่สี่ของ ระดับก่อลำต้น แม้ว่านี่จะแตกต่างกันเล็กน้อยในดินแดนเดียวกัน
แต่สิ่งนี้ไม่สามารถฟื้นฟูได้ด้วยการบ่มเพาะในเวลาสิบวันหรือครึ่งเดือน ระดับก่อลำต้นนั้นมันจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยห้าถึงสิบปีเพื่อให้สามารถก้าวไปข้างหน้าได้อีกครั้ง
นี่จึงนับว่าเป็นความสูญเสียอย่างมากสำหรับพวกเขา แต่ก็สายเกินไปที่จะมานั่งนึกเสียใจกับสิ่งเหล่านี้
ถ้าพวกเขารู้กันก่อนหน้านี้ พวกเขาก็คงจะไม่ทำตามผู้เชี่ยวชาญที่มาจากนิกายเทียนเชวียน
และสร้างอุปสรรคที่ยากลำบากให้กับหยางเฉิน ศิษย์ที่มีระดับบ่มเพาะรวบรวมลมปราณขั้นสอง
หยางเฉินทำการคุกคามพวกเขาได้อย่างไร? ทันทีที่ทำการโจมตีจุดอ่อนของหยางเฉิน
ในฐานะที่หยางเฉินมีอดีตเป็นเพชฌหาต อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าสิ่งที่พวกเขาคิดว่าเป็นจุดอ่อนของฝ่ายตรงกันข้าม
มันจะไม่ใช่จุดอ่อน แต่ตรงกันข้ามหยางเฉินกลับใช้มันเพื่อช่วยให้ตัวเขาสามารถไต่บันไดสวรรค์ไปจนถึงจุดสูงสุดได้สำเร็จ
ถ้าพวกเขารู้เรื่องนี้ก่อนหน้านี้บางทีพวกเขาอาจจะทำตามขั้นตอนที่เคยปฏิบัติมา ถ้าพวกเขาหยุดใช้จุดอ่อนของหยางเฉินหลังจากที่หยางเฉินปีนขึ้นบันไดขั้นแรก
บางทีหยางเฉินก็อาจจะไม่สามารถปีนขึ้นไปถึงจุดสูงสุดได้
อย่างไรก็ตามมานึกเสียใจในตอนนี้ มันก็ไม่มีประโยชน์แล้ว พวกเขาก็ต้องยอมรับความจริงในข้อนี้
ในทันทีที่ระดับการบ่มเพาะลดลงไปหนึ่งระดับ และแม้กระทั่งได้รับบาดเจ็บสาหัสในตอนนี้
อย่างน้อยพวกเขาก็จะไม่ต้องเห็น ซีเชิงซินมาคุยโอ้อวดต่อหน้า เพื่อให้ซีเชิงซินไม่สามารถรบกวนพวกเขา
นี่อาจจะเป็นการชดเชยที่มีขนาดเล็กมากจากสวรรค์สำหรับพวกเขา!
แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญระดับก่อลำต้น เหล่านี้มีเจตนาแอบแฝงและไม่พูดใดๆออกมามาก
เหมือนกับว่ามันไม่ได้มีผลกับคนอื่น ก้าวขึ้นสู่จุดสุดยอดของบันไดสวรรค์ สิ่งที่เป็นเกียรติยศอย่างนี้
ศิษย์ที่มีระดับบ่มเพาะรวบรวมลมปราณขั้นสอง ที่มีพรสวรรค์เพียงแค่ระดับปานกลางสามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้
ยิ่งกว่านี้ก่อนที่เขาจะเริ่มต้นทำการฝึกบ่มเพาะเขาคนนี้เคยเป็นเพชฌฆาตที่ฆ่าคนโดยไม่มีการพิจารณาดังนั้น
มือของเขาย่อมย้อมด้วยเลือดสีแดง
"ทำไมมันถึงเป็นเช่นนั้นได้ ซีเชิงซินของพระราชวังหยางบริสุทธิ์
พลังจิตของเขาเพียงแค่หมดไป ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญระดับก่อลำต้นคนอื่นๆต่างมีระดับการบ่มเพาะที่ลดลง?"
มีคนจำนวนมากที่ไม่มั่นใจ ดังนั้นในที่สุดเมื่อผู้เชี่ยวชาญของนิกายอื่นมาถึงพวกเขาก็ยกเรื่องนี้มาคัดค้าน
แม้ซูเฉิงซินไม่ทราบสาเหตุ แต่เขาก็ควบคุมลานอักขระอาคมเท่าที่เคยทำมา
แต่อีกเก้าผู้เชี่ยวชาญระดับก่อลำต้น พวกเขาต่างรู้สึกว่ามันน่าอายที่จะพูดถึงความคิดของพวกเขา
ทั้งเก้าผู้เชี่ยวชาญระดับก่อลำต้น พยายามที่จะกำราบศิษย์ที่มีระดับบ่มเพาะรวบรวมลมปราณขั้นสอง
หากประกาศเช่นนี้ออกไปมันจะไม่เป็นการกำราบหยางเฉิน
แต่กลับจะเพิ่มประกายให้หยางเฉินมากยิ่งขึ้น
"หยางเฉินแห่งพระราชวังหยางบริสุทธิ์ เขาโกงอย่างแน่นอนเขาเป็นคนหลอกลวง!"
เมื่อคนยกคำถามเหล่านี้ขึ้นมา บางคนทันทียกคำถามที่ใหญ่กว่าเดิม ผู้เชี่ยวชาญระดับก่อลำต้น
เจิ้งเหวินไช แห่งนิกายสวรรค์ยิ่งใหญ่ หลังจากฟังคำพูดของรุ่นน้องในนิกายของเขา
เขาก็พูดออกมาในทันทีราวกับว่าเขาได้ให้คำตัดสิน
"ผู้ชายคนนั้นต้องถูกประหาร!"
ไม่พ้นคำครหาอีก...ซวยแท้ สกิลพระเอกทุกเรื่องจริงๆ
ตอบลบพูดออกมาแล้ว เจิ้งเหวินไซลาก่อนนะ ถึงจะโผล่มาแค่บรรทัดเดียวแต่นายก็ได้พูดประโยคปักธงตายมาแล้ว R.I.P. ล่วงหน้าฮะ
ตอบลบเฮ้อ มีแต่คนโง่ เฮ้อ
ตอบลบมาถึงปับก็ตายปุบเลยมั้งน่ะ เจิ้งเหวินไช อิอิอิ ขอบคุณค่ะท่านผู้แปล
ตอบลบความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบ