ก่อนการชุมนุมที่ภูเขาลอยฟ้าจะเริ่มขึ้น ผู้คนจำนวนมากได้ยินเกี่ยวกับข่าวที่น่าสนใจบางอย่าง
ศิษย์สายนอกของนิกายเทียนเชวียน ฮันเจียนเต๋อ ต้องการที่จะท้าทายความเป็นและความตายกับศิษย์หยางเฉินแห่งพระราชวังหยางบริสุทธิ์
และ หยางเฉินก็ยอมรับการท้าทายในครั้งนี้ในทันที ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันในเรื่องเวลาและสถานที่สำหรับการท้าทายความเป็นและความตาย
สำหรับศิษย์สายนอกของทั้งสองนิกายที่มีส่วนร่วมในการท้าทายความเป็นและความตายนี้
เป็นวิธีที่ถูกต้องสำหรับผู้บ่มเพาะ เพื่อแก้ไขความเกลียดชังและการเป็นศัตรูโดยไม่มีเล่ห์กลใดๆ
ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ทั้งสองฝ่ายต้องปล่อยวางความขุ่นเคืองทั้งหมดออกไป เพราะมันเป็นการท้าทายความเป็นและความตาย
ที่มักจะมีฝ่ายหนึ่งเสียชีวิตในท้ายที่สุด ในเมื่อคนนั้นได้เสียชีวิตไปแล้ว ความขุ่นเคือง
ประเภทไหนที่เขาจะไม่ได้รับการปลดปล่อย?
แต่ในการต่อสู้ครั้งนี้มีความแตกต่างกันมากระหว่างสองฝ่าย ฝ่ายอยู่ในระดับรวบรวมลมปราณขั้นหก
ในขณะที่อีกฝ่ายอยู่ที่ระดับรวบรวมลมปราณขั้นสอง แต่ด้วยกฏกติกาของการท้าทายความเป็นและความตายนี้
แม้ว่าฮันเจียนเต๋อจะรู้สึกเสียใจ แต่หยางเฉินก็บังคับให้เขาต้องมาอยู่ในจุดๆนี้ เขาก็ไม่ใช่คนที่จะปฏิเสธที่จะเผชิญกับความเป็นจริงและก็ไม่กล้าที่จะท้าทายหยางเฉิน
แม้ว่าบุคคลที่เกี่ยวข้องไม่ได้ปรากฏตัวขึ้น แต่ผู้คนจำนวนมากต่างได้มากันจนเต็มบริเวณพื้นที่รอบๆที่จะทำการต่อสู้ตัวต่อตัว
ส่วนใหญ่ของพวกเขาเป็นศิษย์ที่อยู่ต่ำกว่าระดับก่อสร้างรากฐานของผู้เข้าร่วมหลักของการชุมนุมที่ภูเขาลอยฟ้า
สำหรับผู้เชี่ยวชาญที่มีความแข็งแกร่งระดับก่อสร้างรากฐานหรือสูงกว่านั้น การต่อสู้ของสองคนที่อยู่ในดินแดนรวบรวมลมปราณ
มันจะคุ้มค่ากับการมาของพวกเขาเป็นพิเศษ?
ฮันเจียนเต๋อไม่ได้มาสาย แต่เมื่อเทียบกับหยางเฉิน ถือได้ว่าเขามาก่อน
เมื่อตอนที่เขาปรากฏตัว ยังไม่มีผู้ใดที่มาจากพระราชวังหยางบริสุทธิ์มาถึง ฮันเจียนเต๋อก็ดูใจลอยอยู่ในเวลานั้น
ด้วยเหตุนี้เขาจึงหาสถานที่และนั่งลงเข้าฌานเพื่อรอเวลา
จากซ้ายไปขวาทุกคนกำลังรออยู่ แต่ก็ยังไม่มีใครเห็นคนจากพระราชวังหยางบริสุทธิ์เข้ามา
คนรอบข้างเริ่มแสดงความคิดเห็น
"เกิดเรื่องอะไรขึ้น?
คนของพระราชวังหยางบริสุทธิ์ไม่ควรที่จะกลัว!"
"แปลก...เขาไม่ได้เจรจาเตรียมการท้าทายความเป็นและความตาย?
นี่ก็ถึงเวลาที่ตกลงกันไว้แล้ว แต่พวกเขาก็ยังมาไม่ถึง?"
"พวกเขาฉลาดจริงๆ
นักบ่มเพาะระดับรวบรวมลมปราณขั้นสองกับนักบ่มเพาะระดับรวบรวมลมปราณขั้นหก
ไม่ใช่ว่ามันเป็นการโยนชีวิตของตัวเองทิ้งไป?"
"นั่นก็ไม่ถูกต้อง
ศิษย์ของพระราชวังหยางบริสุทธิ์ ที่รู้จักกันในนาม หยางเฉิน มีคนเล่าว่าเขาได้ต่อสู้และฆ่ามือสังหารที่มีพลังบ่มเพาะระดับรวบรวมลมปราณขั้นเจ็ดและระดับรวบรวมลมปราณขั้นแปด
ซึ่งนักบ่มเพาะระดับรวบรวมลมปราณขั้นหกนั้นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยสำหรับเขา!"
"เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข่าวลือนั่นเป็นความจริงอย่างแท้จริง?
บางทีพระราชวังหยางบริสุทธิ์ได้แพร่กระจายข่าวนี้เพียงเพื่อเพิ่มชื่อเสียงของพวกเขา"
...
"แล้วนิกายเทียนเชวียนทำอะไร?
นักบ่มเพาะระดับรวบรวมลมปราณขั้นหก ที่กำลังเผชิญหน้ากับผู้เพาะปลูกระดับรวบรวมลมปราณขั้นสอง
นี่ไม่ใช่แค่การข่มขู่เท่านั้นหรอกหรือ?
หรือนิกายเทียนเชวียนและพระราชวังหยางบริสุทธิ์อาจมีเรื่องขัดแย้งใดๆที่พวกเราไม่ทราบ!"
"ข้าได้ยินมาว่าศิษย์ของนิกายเทียนเชวียนที่ชื่อฮันเจียนเต๋อเป็นคนเริ่มทำการท้าประลอง
ว่ากันว่าสหายเต๋าฮั่นเจียนเต๋อได้เรียกร้องที่จะทำการประลองเพื่อที่จะเรียนรู้เปรียบเทียบการต่อสู้กับคู่ต่อสู้
แต่ศิษย์ของพระราชวังหยางบริสุทธิ์ สหายเต๋าหยาง ได้ยอมรับความพ่ายแพ้ในทันที ว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย
แต่ถ้ามันเป็นการท้าทายความเป็นและความตายพวกเขาก็อาจจะทำการต่อสู้กันได้ สหายเต๋าฮันไม่สามารถทำการปฏิเสธได้
ถ้าเพียงไม่ตราหน้าเขาว่ากำลังรังแกคนที่อ่อนแอกว่าตนเอง มันก็จะดีถ้าเขาได้รับชัยชนะ
แต่ถ้าเขาพ่ายแพ้ เขาจะต้องชดใช้ด้วยชีวิตของเขาและตกจากเส้นทางที่สง่างาม อมิตตาพุธ!"
...
การอภิปรายเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งหมดไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนยืนอยู่ด้านข้างของนิกายเทียนเชวียนหรือพระราชวังหยางบริสุทธิ์
แต่ละคนกำลังสร้างทฤษฎีของตัวเอง ในเวลานั้นโชคดีที่การชุมนุมของภูเขาลอยฟ้า ถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญในโลกการบ่มเพาะ
ดังนั้นนิกายจำนวนมากที่มาเข้าร่วม ต่างสุภาพให้เกียรติซึ่งกันและกัน ทุกคนต่างพูดคุยกันแต่ก็ไม่ได้แสดงความคิดเห็นที่ก้าวร้าวใดๆออกมา
แน่นอนว่าฮันเจียนเต๋อย่อมได้ยินเสียงที่ทุกคุยพูดคุย ยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งมีการถกกันในเรื่องนี้มากขึ้น
ถึงแม้ทุกคนจะพุดคุยกันอย่างเงียบๆ แต่มันกลับทำให้ฮันเจียนเต๋อรู้สึกหดหู่มากเข้าไปอีก
ยกระดับการประลองมาเป็นการท้าทายความเป็นและความตาย จากการทะเลาะกันด้วยปัญหาเล็กน้อย
คำพูดเหล่านั้นได้นำพามาสู่ความผิดพลาด เขาได้บังคับให้ตัวเองเข้ามาสู่สถานการณ์ในปัจจุบัน
ถ้าเขาได้รับโอกาสอีกครั้งเขาก็จะไม่วิ่งไปรอบๆ และพยายามสร้างปัญหาให้กับหยางเฉิน
เขารู้สึกหดหู่มากพอที่แทบจะอาเจียนออกมาเป็นเลือด ฮันเจียนเต๋อ จับผลึกยันต์ที่ผู้ดูแลหอฑูตต่างแดนมอบให้กับเขา
ผู้เชี่ยวชาญระดับก่อลำต้นได้มอบกำไลข้อมือให้กับเขา มันถูกกลั่นสกัดโดยผู้อาวุโส ตราบเท่าที่เขาถ่ายพลังจิตวิญญาณเข้าไปในมัน
มันก็จะถูกเปิดใช้งานที่มีพลังรุนแรงซึ่งผู้คนที่อยู่ต่ำกว่าระดับก่อสร้างรากฐานยากที่จะสามารถรอดพ้นจากอาการบาดเจ็บสาหัสหรือไม่ก็ตายไปเลย
ฝ่ายตรงข้ามของเขา นั้นมีความแข็งแกร่งในระดับรวบรวมลมปราณขั้นสองตราบเท่าที่เขาถูกโจมตีด้วยการโจมตีในครั้งนี้เขาก็จะตายได้โดยไม่ต้องสงสัย
โชคร้ายที่อาจารย์ของหอฑูตต่างแดนได้กลั่นสกัดมันเพื่อมอบให้กับศิษย์หญิงดังนั้นฮันเจียนเต๋อสามารถปกปิดมันได้ภายในถุงมิติของเขามิฉะนั้นถ้าเขาสวมมันไว้ที่ข้อมือของเขา
มันก็คงจะดูประหลาดและก็จะเป็นไปไม่ได้ที่จะปกปิดมัน
ด้วยวิธีนี้เขาสามารถฆ่าหยางเฉินได้อย่างแน่นอน เพียงแต่มันจะสร้างความเกลียดชังและความปรารถนาที่จะแก้แค้นให้เกิดขึ้นภายในพระราชวังหยางบริสุทธิ์
สิ่งนี้ทำให้ฮันเจียนเต๋อรู้สึกเป็นกังวลมากขึ้น แม้กระนั้นเมื่อเทียบกับชีวิตของเขาแล้ว
ความลำบากนี้ในอนาคตนี้อาจได้รับการแก้ไขในภายหลัง อย่างน้อยในตอนนี้เขาต้องการที่จะมีชีวิตอยู่รอด
เมื่อคิดอย่างนี้มันทำให้จิตใจของฮันเจียนเต๋อสงบลง ในขณะที่การแสดงออกของความมั่นใจก็ผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเขา
คนที่สังเกตเห็นเขาย่อมเข้าใจเป็นอย่างดีว่าเกิดอะไรขึ้นและถอนหายใจออกมาให้กับหยางเฉินผู้ซึ่งยังไม่มาปรากฏตัว
ศิษย์ที่เป็นตัวแทนของนิกายของเขาเพื่อเข้าร่วมการชุมนุมที่ภูเขาลอยฟ้า ผู้ซึ่งถูกคาดหวังไว้สูงจากนิกายของเขา
แต่น่าเสียดายที่เขากำลังจะตายในการท้าทายความเป็นและความตาย
หยางเฉินมาถึงที่นัดหมายเมื่อเวลาได้ล่วงเลยเวลานัดไปเล็กน้อยราวๆหนึ่งเค่อ
เขาและกงซุนหลิงก็ปรากฏตัวขึ้น กงซุนหลิงมองไปรอบๆ โดยไม่มีเจตนาที่จะช่วยเหลือหยางเฉินแต่อย่างใด
ถึงแม้ว่ากงซุนหลิงต้องการที่จะช่วยแต่มันก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ถ้ามีใครก็ตามยกเลิกกำหนดการท้าทายความเป็นและความตาย
ระหว่างคนสองคน ด้วยการช่วยเหลือจากคนใดคนหนึ่ง มันก็จะกลายเป็นการยุแหย่ให้กับทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนี้
"ข้าคิดไปว่า
เจ้ากลัวความตายถึงยังไม่มาสักที!"
ฮันเจียนเต๋อหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา ในขณะที่ลุกขึ้น เขามีเครื่องมือฆ่าที่ยิ่งใหญ่อยู่ในมือของเขา
มันทำให้เขาไม่มีกลัวแม้แต่น้อย
"กำหนดการก็บอกให้มาในเวลานี้
ข้าไม่ได้มาช้า!"
หยางเฉินตอบกลับอย่างไม่แยแสแล้วก็หันไปทางผู้ตัดสินและถามว่า
"เราสามารถเริ่มได้เลยหรือไม่?"
ผู้ตัดสินเป็นศิษย์จากนิกายอื่นๆที่อยู่ในระดับก่อสร้างรากฐาน ในการท้าทายความเป็นและความตาย
ผู้ตัดสินมีหน้าที่รับผิดชอบเพียงอย่างเดียวคือต้องทำให้แน่ใจว่าทั้งสองฝ่ายไม่มีใครคอยแอบช่วยเหลือพวกเขา
แต่เขาไม่มีส่วนต้องจัดการในเรื่องอื่นๆ
ก่อนที่ผู้ตัดสินจะตอบกลับคำถามของหยางเฉิน เขามองไปทางฮันเจียนเต๋อที่พยักหน้าตอบรับในทันที
ผู้ตัดสินไม่ได้ประกาศให้เริ่มทำการท้าทาย แต่กลับถามทั้งสองฝ่ายออกไปว่า
"นี่เป็นการท้าทายความเป็นและความตาย
มันจะไม่หยุดจนกว่าใครบางคนจะตาย ก่อนที่จะเริ่มทำการท้าทาย ใครต้องการที่จะพูดอะไรหรือไม่?"
“ไม่!”
ฮันเจียนเต๋อ ส่ายหน้าไม่ว่าจะเป็นอย่างไร คนที่ตายจะไม่เป็นเขา ทำไมต้องพูดให้มากความ?
"และเจ้า?"
ผู้ตัดสินมองไปที่ยางหยาง
"สำหรับคนที่มีหนี้ก็คือลูกหนี้
เจ้าและข้าไม่มีความแค้นในอดีตที่ผ่านมาหรือความเกลียดชังในตอนนี้ เจ้าเป็นคนคิดริเริ่มที่จะเริ่มต้นทำการท้าทายความเป็นและความตาย
ซึ่งจะไม่หยุดจนกว่าความตายจะมาเยือน ระหว่างการเดินทางไปนรก ก็จงอย่าตำหนิพระเจ้าและกล่าวโทษคนอื่น
จงทำใจให้สบายในเส้นทางที่เจ้าเลือก!"
หลังจากที่หยางเฉินพูดจบประโยคนี้เขาก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก
ผู้ตัดสินได้มองไปทางซ้ายและขวาแล้วก็โบกมือลงอย่างนุ่มนวล
"เริ่มทำการท้าทายได้!"
ทันทีหลังจากที่ผู้ตัดสินถอยกลับออกไปอย่างรวดเร็ว
ปรากฏม่านครอบพวกเขาทั้งสองไว้
รอยยิ้มที่น่ากลัวปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฮันเจียนเต๋อ
เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะนำอาวุธร้ายออกมาในตอนแรก อย่างน้อยที่สุดก็จนกว่าหยางเฉินจะตาย
เขาก็อยากจะแสร้งทำเพื่อมอบความตายที่มีเกียรติ ภายใต้คำพูดที่ลูบคมเขาในก่อนหน้านี้
แต่ก่อนที่ฮันเจียนเต๋อจะได้ขยับตัวหรือทำอะไร เขาก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างเกิดขึ้นที่ด้านหน้าของเขา
สัญญาณเตือนอย่างรุนแรง มันทำให้ลำคอของเขาเริ่มเกร็ง ราวกับว่าทั้งตัวของเขาถูกแช่แข็ง
ด้วยการสนับสนุนของยันต์เพิ่มความคล่องตัวซึ่งได้ผ่านการปรับแต่งจากเคล็ดวิชากลั่นสมบัติจิตวิญญาณสวรรค์
ความเร็วของหยางเฉินได้เพิ่มขึ้นเป็นสองสามเท่า ระยะห่างระหว่างทั้งสองไม่ไกลนัก ดังนั้นหยางเฉินจึงก้าวเข้าไปโดยใช้ความแข็งแกร่งเพียงบางส่วนเท่านั้น
เมื่อเขาได้ไปยืนที่ด้านหน้าฮันเจียนเต๋อ
ร่างของหยางเฉินได้ปรากฏขึ้นที่ด้านข้างของฮันเจียนเต๋อในทันที ความเร็วแบบนี้ดูราวกับเป็นปีศาจ
ดังนั้นฮันเจียนเต๋อไม่อาจรั้งรอที่จะใช้อาวุธที่เป็นไม้ตายของเขาได้อีกต่อไป
แต่ดูเหมือนว่าในขณะที่เขาตัดสินใจที่จะทำ มันก็สายเกินไป
ความกดดันที่มากราวกับภูเขาได้กดทับเขาไว้ สำหรับเขาแล้วในตอนนี้ดูเหมือนกับว่าเขากำลังอยู่ในนรก
กลิ่นอายที่น่าสยดสยองนี้ทำลายความมุ่งมั่นที่จะต่อต้านของเขา ร่างกายของเขาหมดแรงและไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีกต่อไป
แม้แต่ผู้ที่เป็นเซียนบนศาลสวรรค์ก็ต้องรู้สึกกลัวเมื่อหยางเฉินปลดปล่อยเจตจำนงแห่งการฆ่าออกไปอย่างเต็มที่
นับประสาอะไรกับศิษย์ธรรมดาทั่วๆไปที่มีระดับบ่มเพาะเพียงแค่ระดับรวบรวมลมปราณขั้นหก
ในสายตาของทุกคนที่เฝ้าดูอยู่ ฮันเจียนเต๋อและพวกเขาต่างกลายเป็นคนโง่ ฮันเจียนเต๋อทำได้เพียงแค่เอื้อมมือไปที่ขอบของถุงมิติของเขา
แต่ไม่สามารถที่จะดำเนินการต่อไปได้
"มันคืออีกชีวิตของข้า!"
คำพูดง่ายๆเพียงไม่กี่คำที่เขาพูดออกมาอย่างง่ายดายในวันธรรมดา ในตอนนี้พวกมันติดอยู่ในลำคอของเขา
เขาต้องการที่จะตะโกน แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากจ้องมองไปที่หยางเฉินด้วยความรู้สึกที่ไม่สบายใจเท่านั้น
ในขณะที่หยางเฉินกำลังเข้าไปใกล้ๆ ความสิ้นหวังถูกเติมเต็มไปทั่วทั้งร่างกายของฮันเจียนเต๋อ
ในมือของหยางเฉิน ปรากฏมีดาบอำมหิต ด้วยการตวัดเฉือนเพียงเล็กน้อย ดาบยาวได้พาดผ่านลำคอของฮันเจียนเต๋อ
ภายใต้การจ้องมองของดวงตาหลายคู่ ศีรษะของฮันเจียนเต๋อ ได้ปลิวบินขึ้นไปบนท้องฟ้าและเลือดพวยพุ่งออกมาจากรอยตัดบนคอของเขา
ในขณะเดียวกันผู้ลงมือกระทำ หยางเฉิน ได้เก็บดาบยาวไว้ในที่เดิมและหันหลังเดินกลับไปยังตำแหน่งเดิมของเขา
โดยไม่สนใจที่จะมองไปทีฮันเจียนเต๋ออีก ในตอนนี้หยางเฉินกำลังมองไปที่ผู้ตัดสิน
เพื่อรอให้เขาประกาศผลการท้าทายออกมา
การกระทำทั้งหมดของเขาทำได้ง่ายเกินไป เพียงแค่วิ่งออกไป แล้วตวัดเฉือนดาบไปหนึงครั้ง
เก็บดาบและถอนตัวออกมา มันช่างดูเรียบง่ายจนไม่มีใครที่จะคิดหรือสงสัยว่าเขาทำการโกง
หลังจากที่ผ่านไปสักครู่ ร่างของฮันเจียนเต๋อค่อยๆล้มลงไปบนพื้น แต่เมื่อมองไปที่ร่างกายของหยางเฉิน
เขายังคงดูสะอาด ราวกับว่าเขาเพิ่งอาบน้ำมา เสื้อผ้าของเขาปราศจากรอยเลือดใดๆ
ตกใจ อึ้ง ตกตะลึง มันเป็นความรู้สึกที่ยากที่จะสามารถจินตนาการได้
และไม่สามารถเข้าใจมันได้ การแสดงออกหลากหลายรูปแบบปรากฏอยู่บนใบหน้าของทุกคนที่เฝ้าดูการท้าทายนี้
ในขณะนี้ทุกคนได้สูญเสียความเชื่อมั่นของการบ่มเพาะที่เหมาะสมของตนเอง ชัยชนะที่ดูน่าเกรงขามอย่างไม่น่าเชื่อ
ไม่ว่าจะเป็นตอนเริ่มต้นหรือหลังจากที่เสร็จสิ้น สีหน้าของหยางเฉินก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใดๆ
มันคือความสามารถที่แท้จริงที่เห็นได้อย่างชัดเจนต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชมการท้าทายในครั้งนี้
ใครจะจินตนาการได้ว่าในการต่อสู้ระหว่างผู้บ่มเพาะระดับรวบรวมลมปราณขั้นสองกับผู้เพาะระดับรวบรวมลมปราณขั้นหก
ซึ่งมีช่องว่างระหว่างดินแดนถึงสี่ขั้น หากแต่ผลสรุปของการท้าทายความเป็นและความตาย
จะเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดเช่นนี้? หลังจากที่คนนับไม่ถ้วนได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างนี้
พวกเขาทุกคนรู้สึกว่าหัวใจของพวกเขาหนาวสั่น ราวกับดาบยาวของหยางเฉินที่ได้บั่นหัวของฮันเจียนเต๋ออยู่เหนือศีรษะของพวกเขา
ก่อนหน้านี้ถ้าไม่ได้ฮันเจียนเต๋อ ผู้ซึ่งปรากฏตัวเป็นคนแรก พวกเขาก็อาจจะเป็นคนแรกที่ไปยั่วยุและกระตุ้น
หยางเฉินก็เป็นไปได้
พวกเขาต่างรู้สึกดีใจที่พวกเขาไม่ได้ใจร้อนเช่นเดียวกับฮันเจียนเต๋อ และยังดีใจที่ฮันเจียนเต๋อได้กระโดดออกไปเป็นคนแรก
เพื่อแสดงให้พวกเขาได้เห็นตัวอย่างที่แท้จริงหากไปยั่วยุหยางเฉิน
ไม่เพียงแต่กงซุนหลิง ผู้ซึ่งไม่กล้าที่จะเชื่อผลที่ได้เกิดขึ้นในครั้งนี้
คนอื่นๆก็ยังคงมีสีหน้ามึนงงอยู่เป็นเวลานาน แม้ว่ากงซุนหลิงจะเชื่อคำพูดของหยางเฉินโดยไม่มีข้อสงสัยใดๆ
เธอก็ยังไม่ได้คาดหวังว่าคำตอบของหยางเฉินต่อนักบ่มเพาะระดับรวบรวมลมปราณขั้นหก ฮันเจียนเต๋อ
จะดูง่ายมากเช่นนี้ บริเวณรอบๆต่างอยู่ในความเงียบสงบ จนกระทั่งหยางเฉินได้เริ่มพูดขึ้นมา
"ข้าไม่ใช่คู่ประลองของเจ้า
เพื่อทำการเปรียบเทียบการต่อสู้!"
เสียงของหยางเฉินไม่ได้ดังนัก แต่เห็นได้ชัดว่ามันปลุกให้ทุกคนตื่นฟื้นคืนสติ
และพร้อมกับที่เตือนทุกคนไม่ให้ไปยั่วยุหยางเฉิน
"แต่ในการท้าทายความเป็นและความตาย
ก็ดูเหมือนว่าเจ้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าเช่นกัน!"
ในตอนนี้ทุกคนเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่า ทำไมก่อนหน้านี้ หยางเฉินยอมรับว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฮันเจียนเต๋อในการประลองเปรียบเทียบการต่อสู้
แต่ใครจะนึกว่าคำถามเช่นนั้นจะมีคำตอบในรูปแบบที่ร่างและศีรษะของฮันเจียนเต๋อที่แยกจากกัน
มันได้แสดงให้เห็นถึงทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างชัดเจนแม้กระทั่งหลังจากที่เขาเสียชีวิตแล้วเขายังยึดกำไลข้อมือไว้แน่น
ใครก็ตามที่เห็นก็สามารถระบุได้ว่า เขาไม่ได้มีแม้แต่เวลาที่จะได้ใช้ผลึกยันต์อันดับหนึ่งก่อนที่เขาจะเสียชีวิต
แม้ว่าคนเหล่านี้จะไม่ต้องการที่จะเชื่อมัน แต่จากที่เห็นสถานการณ์ในตอนนี้ ทุกคนได้รับการยืนยันอย่างหนักแน่นว่า
ข่าวลือที่ว่าหยางเฉินได้ฆ่ามือสังหาร สามคนที่อยู่ในระดับรวบรวมลมปราณขั้นเจ็ด
และอีกหนึ่งในระดับรวบรวมลมปราณขั้นแปดด้วยตัวเขาเองนั้นเป็นความจริง
ผู้ตัดสินในที่สุดก็สามารถตอบสนองออกไปได้ เขาหันหน้าไปมองซากศพของฮันเจียนเต๋อและกล่าวออกไปด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก
"หยางเฉินจากนิกายพระราชวังหยางบริสุทธิ์
ชนะ!"
แล้วเขาก็เงียบอีกครั้ง สำหรับเขาซึ่งเป็นบุคคลที่สามที่อยู่ในระดับก่อสร้างรากฐาน
มันไม่สำคัญว่าใครจะชนะหรือแพ้ในการท้าทายความเป็นและความตาย ระหว่างสองหนุ่มระดับรวบรวมลมปราณ
แม้ว่าเขาจะประหลาดใจกับความรุนแรงของดาบที่หยางเฉินได้ใช้ แต่มันก็ยังอยู่ในระดับที่น่าประหลาดใจ
นักบ่มเพาะที่ชื่นชอบท้าทายผู้ที่อยู่เหนือดินแดนของตัวเอง คงมีเพียงหยางเฉินคนเดียวในโลกของการบ่มเพาะนี้?
เมื่อถึงจุดนี้ม่านที่ครอบไว้ระหว่างที่ทำการท้าทายความเป็นและความตายก็ถูกทำให้สลายออกไป
ซากศพที่ไร้หัวของฮันเจียนเต๋อถูกนำออกไปโดยคนจากนิกายเทียนเชวียน และหยางเฉินก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุในตอนนี้
ตามมาด้วยรอยยิ้มของกงซุนหลิง ผู้ที่สนับสนุนจากด้านข้างคนสองคน คนหนึ่งที่อยู่ด้านหน้าและอีกหนึ่งอยู่ด้านหลัง
ราวกับว่าไม่มีใครกำลังดูอยู่ พวกเขาเดินกลับไปที่หอพันปีอย่างเงียบๆ
หลังจากภาพเงาของทั้งสองคนได้ลับตัวไปอย่างสมบูรณ์แล้วการพูดคุยก็เริ่มต้นขึ้นในฝูงชนที่อยู่ในที่เกิดเหตุ
"เจ้าเห็นหรือไม่?
ผู้ชายคนนั้นมีความเชื่อมั่นราวกับเป็นนักฆ่า!"
"อนิจจา
สหายเต๋าฮันที่น่าสงสารไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะทำการต่อสู้ หรือตอบโต้ในการท้าทายความเป็นและความตาย
กับคนที่น่ากลัวเช่นนี้ มันคุ้มค่ากันหรือไม่?"
"เมือมองไปอีกมุมหนึ่ง
เพื่อต้องการทำให้คนอื่นเดือดร้อน คิดว่าตัวเองเป็นคนที่เหนือกว่า สหายหยางได้ยอมรับความพ่ายแพ้
แต่สหายฮันก็ยังคงไม่ละเลิกที่จะติดตามเขา มันเป็นความผิดของเขาเอง!"
...
มีหลายคนที่เคยได้ยินคำพูดของหยางเฉิน ก่อนการต่อสู้และรู้สึกสนใจ พวกเขาจึงถาม
"สหายเต๋าหยางเฉินของนิกายราชวังหยางบริสุทธิ์
เขากล่าวอะไรบางอย่าง เช่นที่ว่า สำหรับคนที่มีหนี้ก็คือลูกหนี้
ไม่มีความแค้นในอดีตที่ผ่านมา มันหมายความว่าอย่างไร?"
"เจ้าไม่รู้หรือ?
สหายเต๋าหยางเป็นมือเพชฌฆาตในโลกมนุษย์ก่อนที่จะกลายมาเป็นผู้ฝึกตน และทุกครั้งก่อนที่เขาจะตัดศีรษะใคร
เขาจะพูดคำเหล่านั้นออกมา เจ้าก็ควรที่จะระวังตัวให้ดี อย่าได้ทำให้เขาพูดคำเหล่านั้นกับเจ้าออกมาซะละ
ฮ่าฮ่า!"
"มือเพชฌฆาตก็ยังสามารถทำการบ่มเพาะได้
มันเป็นไปได้อย่างไร?"
"คนนั้นได้ฆ่าผู้เชี่ยวชาญไปหลายคน
ในขณะที่เขาอยู่ในระดับการบ่มเพาะรวบรวมลมปราณขั้นสอง และในตอนนี้ เราก็เห็นแล้วว่า
เขาสามารถที่จะตัดหัวนักบ่มเพาะระดับรวบรวมลมปราณขั้นหกได้ แต่เจ้ากลับมาถามว่าเขาสามารถบ่มเพาะได้หรือไม่?"
...
"เยี่ยม!"
เมื่อเห็น หยางเฉินและกงซุนหลิงได้กลับมาถึงหอพันปี ซีเชิงซิน ก็ได้หัวเราะออกมาดังๆ
และได้ชมเชยหยางเฉินออกไปว่า
"หนึ่งดาบ
ทำให้คนที่เคยสงสัยทั้งหมดปิดปาก ประหยัดแรงกายของเจ้าได้เยอะ และไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับอะไรทั้งสิ้น
ข้าขอชื่นชมเจ้า!"
"ขอบคุณ
อาจารย์อา!"
ในการตอบสนองต่อคำชมของ ซีเชิงซิน หยางเฉินทำเพียงแค่คำนับเล็กน้อยและแสดงความขอบคุณ
"ขอบคุณใคร?
ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย!"
ซีเชิงซิน โบกมือให้หยางเฉินและหัวเราะเบาๆออกมา ในขณะพูดถึงเรื่องนี้
"ผลสรุปที่ออกมานี้
มันทำให้ชื่อเสียงของพระราชวังหยางบริสุทธิ์ของข้าแผ่กระจายเป็นที่รู้จักออกไปมากขึ้น
เจ้าเป็นเพียงนักบ่มเพาะระดับรวบรวมลมปราณขั้นสอง ดังนั้นเจ้าย่อมไม่มีทักษะบินใดๆ
นี่คือเหยี่ยวไผ่เวหา ซึ่งข้าได้ใช้มันเพื่อเดินทางในอดีต นี่เป็นรางวัลสำหรับเจ้า!"
ขณะที่เขาพูด แสงสีดำได้บินออกมาจากร่างกายของเขาพุ่งตรงไปที่หยางเฉิน
ก่อนที่จะหยุดแล้วเผยให้เห็นที่ด้านหน้าของหยางเฉิน
"ขอบคุณ
อาจารย์อา!"
หยางเฉินยื่นมือออกไปและคว้าเหยี่ยวไผ่เวหา ก่อนที่เหยี่ยวไผ่เวหาจะหดตัวลงอยู่บนมือของเขา
ความจริงในตอนนี้หยางเฉินมีเพียงแค่นกกระดาษซึ่งถูกอักขระอาคมติดตามอยู่ เหยี่ยวไผ่เวหาเป็นทางออกที่สมบูรณ์แบบสำหรับปัญหานี้
ซีเชิงซินมักจะให้ความสนใจกับคนใกล้ชิด และในเวลานี้หยางเฉินได้แสดงความขอบคุณออกไปด้วยความจริงใจ!
"พักผ่อนสักสองสามวันจนกว่าบันไดสวรรค์จะเปิดขึ้น!"
ซีเชิงซินออกคำสั่งพร้อมกับเผยให้เห็นรอยยิ้มที่แจ่มใส
"ข้าก็อยากรู้ว่าเจ้าจะเดินขึ้นบันไดสวรรค์ได้กี่ขั้น"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น