เลือกสีพื้นเพื่ออ่านบทความ >>> พื้นขาว พื้นดำ พื้นครีม

วันจันทร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2566

DMW 044-053 ดยุคดาบมังกร

 DMW 044 ดยุคดาบมังกร (1)



ช่วงเวลานั้นทุกคนต่างหยุดเคลื่อนไหวด้วยความประหลาดใจ เสียงดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างกระทันหันเกินไป และระดับเสียงก็แข็งแกร่งจนน่ากลัว


บริเวณรอบๆ ฝูงนกต่างตกใจจนพากันบินขึ้นไปในอากาศ พร้อมกับฝูงสัตว์ก็วิ่งหนีออกไป ระหว่างนั้นเสียงเดิมก็ดังขึ้นอีกครั้ง


"เจ้า อยู่ ที่ ไหน?!"


ระดับของเสียงดังกล่าวราวกับว่าจะทำให้แก้วหูแตก อีนอร่าล้มลงกับพื้นขณะที่เธอปิดหูของเธอ แม้ว่าไจล์สและโบอาร์จะเปิดใช้งานเคล็ดวิชาของควบคุมจิตวิญญาณ เพื่อป้องกันแก้วหู แต่แก้วหูก็ยังเจ็บอยู่


คนแรกที่เคลื่อนไหวคือ อาเซลล์


เพล้ง!


ในตอนนี้อาเซลล์และดูแรน กำลังปะทะไขว้ดาบกันจนเกิดประกายไฟ อาเซลล์ใช้การเปิดสั้น ๆ เพื่อโจมตีดูแรน


“เจ้าหญิง!”


อาเซลล์เร่งความเร็วในขณะที่เขาร้องเรียก อาเรียต้า ทุกครั้งที่หัวใจของเขาเต้นเป็นจังหวะ จะมีการระเบิดพลังเวทออกมา การเคลื่อนไหวของเขาเพิ่มความเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ


'นี่คือช่วงเวลาชี้ขาดแห่งชัยชนะ!'


เคล็ดวิชาที่เขาใช้หลังจากที่ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยพลังเวทสร้างภาระให้กับร่างกายของเขาอย่างมาก และเขาก็เคยใช้มันมาก่อนแล้ว 


ร่างกายและเส้นชีพจรของอาเซลล์ ยังคงเต็มไปด้วยความเจ็บปวดจากพลังที่ออกมา


อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่จะใช้ทุกอย่างที่มี นี่ไม่ใช่แค่การชนะเท่านั้น นี่คือเพื่อความอยู่รอดของเขา! ถ้าเอาแต่คิดถึงผลที่ตามมา เขาอาจจะถูกฆ่าแทน อาเซลล์จะไม่ทำตัวโง่เขลาขนาดนั้น


เช็ง เช็ง!


“กุ้งน้อย เจ้าดูจะยโส......!”


อาเซลล์ทำการบุกใส่เขา ดูแรนถูกผลักไปด้านหลังอย่างไม่ลดละ การเคลื่อนไหวของอาเซลล์รวดเร็วและดูสับสนวุ่นวายมากจนดูแรนไม่มีเวลาคิด นอกจากนี้.......


'ด้านหลัง!'


อาเซลล์ ยังคงเปลี่ยนตำแหน่งของเขาโดยใช้ก้าวพริบตา เขาใช้เคล็ดวิชานี้เพื่อเดินทางในระยะทางสั้นๆ และเปลี่ยนจังหวะการโจมตีอยู่เรื่อยๆ ทำการโจมตีที่นองเลือด พุ่งเข้าหาดูแรนอย่างต่อเนื่อง


'กุ้งน้อยตัวนี้ โผล่มาจากไหน'


สาระสำคัญของการควบคุมจิตวิญญาณ คือการควบคุมจิตใจและประสาทสัมผัส อาเซลล์แสดงข้อเท็จจริงนี้อย่างเต็มที่ อาเซลล์กำลังคุกคามดูแรนด้วยพลังจิตของเขา พร้อมกับใช้การเคลื่อนไหวที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเพื่อทำให้ประสาทสัมผัสของอีกฝ่ายสับสน เมื่อ อาเซลล์ได้เปรียบ ดูแรนยังไม่พบโอกาสที่จะเปลี่ยนจากการป้องกันเป็นการโจมตี


“แสงที่ทำลายความมืดอันชั่วร้าย!”


วู้วววว!


ดาบสีขาว อาเรียต้าที่ยกขึ้นในอากาศ ปลดปล่อยรัศมีแสงออกมา ลำแสงส่องตรงทะลุผ่านความมืดและเผยให้เห็นตำแหน่งของพวกเขา


ในเวลาเดียวกัน อาเซลล์ก็หายไปจากด้านหน้าของดูแรน เขาปรากฏตัวต่อหน้าไนบีริส ม่านพลังของไนบีริสถูกเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติ และมันก็ขัดขวางการโจมตีด้วยดาบของอาเซลล์ เกือบจะพร้อมๆ กันกับที่ไนบีริส ยิงลำแสงสะท้อนไปยังอาเซลล์


“ตูม!”


เสียงระเบิดดังขึ้น พลันได้ยินเสียงร้องของดูแรน เขาโดนลำแสงที่ไนบีริสยิงออกมา!


ไนบีริสใจหาย เธอแน่ใจว่าเธอโจมตีไปในทิศทางที่ไม่มีดูแรน ยิ่งไปกว่านั้น ดูแรนน่าจะมีเวลามากพอที่จะรับมือกับการโจมตีดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ดูแรนไม่สามารถป้องกันได้อย่างถูกต้องในขณะที่เขาถูกโจมตี


'เขาทำอะไร?'


ฉับพลันอาเซลล์หมุนตัวมาปรากฏต่อหน้าไนบีริสที่ยังรู้สึกประหลาดใจ จากนั้นเขาก็เปิดใช้งานก้าวพริบตา ปล่อยการโจมตีอันทรงพลังจากด้านหลังของเธอ


เพล้ง เพล้ง!


ไนบีริสไม่สามารถโจมตีกลับได้ นอกจากต้องมุ่งความสนใจไปที่การสกัดกั้นการโจมตีของอีกฝ่าย


อาเซลล์เดาะลิ้นของเขา


“จิ๊ อย่างน้อยที่สุด ข้าก็อยากจะจัดการเจ้า... ข้าว่าข้าคงโลภเกินไป”


อาเซลล์ ถอยกลับไปข้างหลังโดยไม่เสียใจ


ไนบีริสยังคงมีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการฟื้นตัวจากการโจมตีก่อนหน้านี้


'ครั้งนี้เขาใช้อุบายอะไร'


อาเซลล์เอ่ยถามหญิงสาวที่ยังมีสีหน้าประหลาดใจ


“เจ้าต้องการดำเนินการต่อหรือไม่? ดูเหมือนว่าเจ้าจะใช้เวลามากเกินไปแล้ว”


“.......”


ไนบีริสจ้องไปที่อาเซลล์ อาเซลล์หัวเราะอย่างไร้ยางอายในขณะที่เขาปล่อยให้สายตาของเธอมองมาที่เขา


วิธีที่อาเซลล์ใช้นั้นค่อนข้างเรียบง่าย


อย่างแรก เขาหายตัวไปต่อหน้าดูแรน จากนั้นเขาก็ซุ่มโจมตีไนบีริส ในเวลาเดียวกัน เขาได้สร้างร่างแยกขึ้น 


ดูแรนวางแผนที่จะเพิกเฉยต่อร่างแยกของอาเซลล์ แต่ร่างแยกนั้นไม่ใช่ภาพลวงตา แต่มันกลับเป็นร่างแยก 'ที่สามารถโจมตีได้เหมือนร่างจริง' ซึ่งทำให้ไนบีริสประหลาดใจมาก่อนหน้านี้


ดูแรนรู้สึกตกใจ พร้อมกับหันมาเพื่อสกัดกั้นการโจมตี และในขณะนั้น ไนบีริสก็ยิงลำแสงออกมา


อาเซลล์อยากจะตะโกนออกมาด้วยความยินดีเมื่อเห็นสิ่งนี้ นี่เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดที่เขาคิดว่าจะเกิดขึ้นได้


เมื่อจอมเวทต้องร่ายอาคมเพื่อทำการโจมตีที่อาจสร้างความเสียหายทางกายภาพอย่างรวดเร็ว พวกเขามักจะใช้อาคมที่เป็นลำแสงหรือสายฟ้าฟาด ถ้าไนบีริสใช้สายฟ้าฟาด แผนของอาเซลล์ก็คงไม่ได้ผล อย่างไรก็ตาม อาเซลล์ได้ป้องกันการโจมตีด้วยสายฟ้าก่อนหน้านี้ของเธอด้วยเคล็ดวิชาฉนวน นี่คือเหตุผลที่ ไนบีริสเลือกใช้การโจมตีด้วยลำแสงโดยไม่รู้ตัว


ยิ่งกว่านั้น กับดักรองกำลังรอเธออยู่


'ถ้าข้ารู้ว่าการโจมตีกำลังจะมา มันค่อนข้างง่ายสำหรับข้าที่จะเปลี่ยนวิถีการโจมตี'


ในการต่อสู้ระหว่างคู่ต่อสู้ทั่วไป ผู้ที่มีทักษะยอดเยี่ยมสามารถคาดเดาได้ว่าการโจมตีใดจะมาเป็นลำดับต่อไป บางคนมีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงการโจมตีของคู่ต่อสู้เล็กน้อย


สำหรับนักบ่มเพาะควบคุมจิตวิญญาณระดับสูง พวกเขาสามารถเดาได้ว่าเวทอาคมใดกำลังมาโดยดูจากคลื่นพลังเวทของฝ่ายตรงข้าม พวกเขาสามารถหามาตรการตอบโต้โดยใช้วิธีนี้ได้ เมื่ออาเซลล์ยืนยันได้ว่าไนบีริสกำลังจะใช้การโจมตีด้วยลำแสง ดังนั้นเขาจึงใช้พลังลมปราณป้องกันเพื่อเบี่ยงเบนวิถีโค้งของลำแสง


ช่วงเวลาดังกล่าวต้องสมบูรณ์แบบ ดูแรนหันร่างของเขาไปเพื่อปัดป้องจากร่างแยกที่ปรากฏตัวด้านหลังเขา 


ดูแรนไม่คิดว่าจะมีการโจมตีทางจิต ดังนั้นอาเซลล์จึงกระโจนเข้าใส่


อาเซลล์ยักไหล่


“ถ้าเจ้าส่งการโจมตีที่รุนแรงกว่านี้ ข้าคงฆ่าผู้ชายคนนั้นไปแล้ว น่าเสียดาย”


“กุก.......”


ดูแรนกัดฟัน กลอุบายของอาเซลล์ ทำให้เขาถูกโจมตี อย่างไรก็ตาม เขาเป็นนักบ่มเพาะควบคุมจิตวิญญญาณระดับสูง และชุดเกราะของเขามีความสามารถในการป้องกันที่ยอดเยี่ยม เขาไม่ได้ทรมานมากเกินไปจากการโจมตี


“เจ้า? มัน สา ระ เลว!”


เสียงคล้ายฟ้าร้องดังขึ้นใกล้กว่าเดิมมาก


ดูแรนพูดขึ้น


“ไนบีริส เราถอยกันเถอะ”


“เป็นเพราะเขาหรือเปล่า”


"ใช่"


“ดยุคดาบมังกร... ข้าเดาว่าการจู้จี้ของผู้อาวุโสไม่ได้เพียงแค่พูดเพื่อเตือนใจ?”


ไนบีริสกัดริมฝีปาก เจ้าของเสียงที่เหมือนฟ้าร้องไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก ดยุคดาบมังกร เขาเป็นนักดาบที่แข็งแกร่งที่สุดของอาณาจักรรูแลน ชื่อของเขาคือ ไคเรน ทารันทอส


ไนบีริสถาม


“ชายคนนั้นรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร”


“ราชวงศ์รูแลน ไม่ใช่คนงี่เง่าทุกคน เวลาเราหมดแล้ว ไนบีริส”


“... ข้าเข้าใจแล้ว”


ทันใดนั้น เสียงเดิมก็ดังออกมา


“เจ้ากล้าแตะต้องเจ้าหญิงผู้น่ารักของข้า! รอข้าอยู่ที่นั่น! ข้าจะตัดหัวเจ้า!”


เสียงนั้นใกล้เข้ามามากกว่าเมื่อครู่ก่อน เขาอยู่ในระยะ 500 เมตรแล้ว และลำแสงก็พุ่งออกมาจากเขา ในเวลาเดียวกัน คลื่นพลังเวทที่กดขี่ก็ปะทุออกมา


“โอ้ ดาบมังกร เผาความมืดอันชั่วร้าย!”


หลังจากตะโกน เขาก็เข้ามาใกล้อีก 100 เมตร เมื่อเขาลดดาบลงในอากาศที่ว่างเปล่า เขาก็ลดระยะได้อีก 100 เมตร


“เขาโจมตีในระยะนี้...?!”


ไนบีริสผงะ เขาเข้าใกล้มามากขึ้นในพริบตา แต่ก็ยังมีระยะห่าง 300 เมตรที่แยกพวกเขาออกจากกัน ดยุคดาบมังกรไม่ใช่จอมเวท เขาเป็นนักดาบที่มีชื่อเสียง แต่เขาจะโจมตีในระยะนี้?


ดูแรนก้าวไปข้างหน้าเธอด้วยความตกใจ พลังเวทดำมืดพวยพุ่งออกมาจากร่างกายของเขา และเขาใช้พลังทั้งหมดที่มีในการโจมตีเพียงครั้งเดียว


ในเวลาเดียวกัน พลันปรากฏลูกเห็บบินพุ่งมาทางพวกเขาจากระยะสองสามร้อยเมตร


ฟิ้ว ฟิ้ว!


'มีพลังมากขนาดนี้......!'


ไนบีริสอ้าปากค้าง


การโจมตีแบบนี้ดูคล้ายคลึงมากกับเคล็ดวิชาที่เปิดใช้งานของอาเรียต้า


อย่างไรก็ตามระดับของพลังนั้นไม่สามารถเทียบได้ ความแตกต่างนั้นเหมือนกับช่องว่างระหว่างลูกธนูและบัลลิสต้า [คันศรยักษ์ของกรีก โรมัน] หรือไม่?


พื้นที่ทั้งหมดของป่าได้รับผลกระทบ และคำพูดที่เต็มไปด้วยพลังที่เขาตะโกนออกมาได้แผดเผาความมืดมิด


“อื้อออออ.......”


ร่างกายของโบอาร์สั่นเมื่อเห็น มันเป็นพลังที่น่ากลัว ความหวาดกลัวจนแผ่นหลังเย็นวาบ เมื่อโบอาร์คิดถึงการโจมตีที่เพิ่งผ่านหัวของเขาไป


ฟิ้ว ฟิ้ว.....


แสงกระจายออกไป จนกลุ่มฝุ่นขนาดใหญ่คละคลุ้ง สมาชิกภายในกลุ่ม มีอาเซลล์เพียงคนเดียวที่ยังมีสภาพไม่ยุ่งเหยิง เขาเดาะลิ้นของเขา


“จิ๊ พวกเขาวิ่งหนีไป”


โบอาร์ประหลาดใจกับคำพูดของอาเซลล์ จนเขาถามออกมา


“พวกเขายังไม่ตาย?”


“ข้าคงจะฆ่าพวกมันไปแล้ว ถ้าพวกมันถูกฆ่าด้วยการโจมตีที่มีคุณภาพแบบนั้น เขาตะโกนออกมาจากระยะไกลว่าเขาจะโจมตี ยังจะมีใครที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อยู่อีกหรือ”


"ไม่ ปกติแล้วผู้คนจะไม่สามารถหลบได้.......”


“พวกมันสามารถหลบการโจมตีดังกล่าวได้แม้ว่ามันจะมีพลังมากมายอยู่เบื้องหลัง การเคลื่อนไหวของเขารุนแรง แต่มันก็ช้าเกินไป เขาส่งหมัดของเขาออกมาเพื่อโจมตี หลังจากที่เขาร้องเตือน”


โบอาร์ส่ายหัวให้กับคำพูดของอาเซลล์ โบอาร์ไม่สามารถยอมรับคำพูดของอาเซลล์ได้ แต่เขาไม่มีพลังที่จะโต้เถียง โบอาร์ตัดสินใจปล่อยมันไป


ในขณะนั้น มีคนปรากฏตัวขึ้นระหว่างพวกเขาสองคน ทันใดนั้นเขาก็ปรากฏตัวขึ้นโดยใช้ก้าวพริบตา และเขาเลื่อนผ่านพื้นดินเข้าไปในกลุ่มฝุ่นที่คละคลุ้ง


ชว๊ากกก!


เขามาถึงอย่างรวดเร็ว จนไม่สามารถลดความเร็วลงได้อย่างเหมาะสม เขาไถลเลื่อนเข้าไปในดินที่พลิกกลับเมื่อพยายามที่จะหยุด เขาไถลไปไกลกว่า 20 เมตรก่อนจะหยุดอยู่ในกลุ่มเมฆฝุ่น


“.. ข้าว่า... ข้าคงมาไม่... สายเกินไป....แฮก”


จากกลุ่มเมฆฝุ่น ได้ยินเสียงหอบหายใจ


ในขณะที่ทุกคนจ้องมองอย่างมึนงง อาเซลล์ก็ก้มศีรษะลง


“เจ้ามาได้ทันเวลาที่ค่อนข้างพอเหมาะเจาะ ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของเจ้า"


“ฮู้ แฮก… แฮก… ข้าก็คิดว่าอย่างนั้น… แฮก แฮก… ดูเหมือนว่า… แฮก… เจ้ากำลังพูดอะไรบางอย่าง...แฮก”


ทุกคนคิดเช่นเดียวกัน เมื่อฟังคำพูดของเขา


'ทำไมเจ้าไม่หายใจก่อน แล้วค่อยพูดแบบสบาย ๆ ล่ะ'


เขาหายใจหอบราวกับว่าเขากำลังจะหมดลมหายใจ แต่เขาก็พูดทุกคำที่เขาต้องการจะพูดออกมา เขาพยายามทำเหมือนไม่มีอะไรผิดด้วยซ้ำ แต่ทุกคนก็สมเพชกับความพยายามที่ชัดเจนเกินไปของเขา


อาเซลล์พูดขึ้น


“เอาเถอะ ค่อยว่ากัน เจ้าวิ่งข้ามระยะทางที่ไกลมาก แน่นอนว่าเจ้าจะต้องเร่งรีบ”


“...แฮก”


ในที่สุดหลังจากสูดลมหายใจ คนๆ นั้นก็ลุกขึ้นจากภายในกลุ่มเมฆฝุ่น


“ระยะทางดูเหมือนจะไม่ไกลมากนักหากดูในแผนที่ ดังนั้นข้าคิดว่าข้าจะมาถึงที่นี่ในระยะเวลาอันสั้น อย่างไรก็ตาม ข้าต้องข้ามภูเขาและทะเลสาบ มันค่อนข้างยาก รู้สึกราวกับว่าข้ากำลังจะตาย เป็นเวลานานแล้วที่ข้าไม่ได้ออกกำลังกายดีๆ แบบนี้”


ทุกคนในกลุ่มยกเว้น อาเซลล์และอาเรียต้าสะดุ้งเมื่อเห็นเขา


ด้วยเหตุผล ที่ชายคนนั้นไม่ใช่มนุษย์ เขาเป็นชายหนุ่มจากเผ่าพันธุ์มังกรปีศาจที่มีผมยาวสีดำ


อาเซลล์ให้ความเคารพต่อบุคคลนี้


“เป็นเกียรติที่ได้พบเจ้า ดยุคดาบมังกร”


ดยุคดาบมังกร มีชื่อว่า ไคเรน ทารันทอส


เขาถูกเรียกว่าเป็นตำนานที่มีชีวิตของอาณาจักรรูเลน เมื่อไม่มีการต่อสู้ เขาปรากฏตัวเฉพาะในระหว่างการประชุมอย่างเป็นทางการเท่านั้น นี่คือสาเหตุที่ไม่ค่อยมีใครรู้ว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างไร


ยิ่งไปกว่านั้น เขาเพิ่งเกษียณไปเมื่อไม่กี่ปีมานี้ จึงไม่มีใครรู้เกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาที่อ่อนเยาว์ของเขา นี่คือสาเหตุที่ ไจล์สและโบอาร์ตกใจเมื่อเห็นเขา


ไคเรน มีอายุมากกว่า 100 ปี แต่รูปร่างหน้าตาของเขาดูเหมือนจะอยู่ในช่วงอายุ 20 กลางๆ โดยพื้นฐานแล้ว เขาดูมีอายุพอๆ กับโบอาร์และอาเซลล์ ถึงกระนั้น ในฐานะสิ่งมีชีวิตจากเผ่าพันธุ์มังกรปีศาจ เขามีลักษณะที่แตกต่างจากมนุษย์อย่างชัดเจน แต่ก็เป็นเช่นนั้น


ไคเรนดูเหมือนชายหนุ่มผมยาวสีดำ เขามีดวงตาสีน้ำเงินเข้มที่สร้างความประทับใจให้กับผู้พบเห็น และหูของเขาก็ยาวกว่าหูของอาเรียต้า อย่างเห็นได้ชัด บนหูของเขามีเขาสีดำสองเขา มันดูคล้ายกับเขาของวัวตัวผู้ และทำให้มันดูแข็งแกร่งและน่ากลัวยิ่งขึ้น





DMW 045 ดยุคดาบมังกร (2)



หลังจากที่ได้สติ อาเรียต้าก็กล่าวทักทาย


“อาจารย์!”


“โอ้ อาร์เรียต้า ข้าดีใจที่เจ้าสบายดี...”


ไคเรนที่ดีใจเริ่มรู้สึกโกรธเมื่อเห็นสภาพของอาเรียต้า เธอไม่มีบาดแผลสาหัสใดๆ แต่สภาพของอาเรียต้าที่ถูกไนบีริสโจมตี ก็ถูกทำลายจนพังยับเยิน


“ไอ้สารเลวพวกนี้กล้าที่จะทำร้ายร่างอันล้ำค่าของอาเรียต้า ศิษย์ที่ข้าเลี้ยงมาด้วยความเอาใจใส่และรักใคร่ที่สุด!”


"...ไม่ กรุณาบอกความจริง เจ้าไม่ได้เลี้ยงดูข้าด้วยความเอาใจใส่และรักใคร่ที่สุด”


อาเรียต้าถอนหายใจขณะที่เธอตอบโต้ ไคเรนทำตัวเหมือนพ่อที่น่าเบื่อ แต่เขาก็เหมือนกับปีศาจเมื่อเขาสั่งอาเรียต้า


ไคเรนบ่นพึมพำ


“ที่ข้าทำทั้งหมดนั่นมันก็เพื่อประโยชน์ของเจ้า ไม่ว่าเด็กคนนั้นจะมีค่ามากเพียงใด เมื่อสอนศิลปะป้องกันตัวก็ต้องตัดขาดความรัก ยังไงข้าก็.......”


ไคเรนมองดูรอบๆ ตัว เขาพึมพำในขณะที่มองไปยังจุดที่การโจมตีของเขาตกลงไป


“ถ้าข้ามีเวลาอีกสักอึดใจ ข้าคงยิงพวกมันจนเละแน่ น่าเสียดายจริงๆ”


ไคเรนไม่ใช่คนงี่เง่า เขาไม่ได้ทำการโจมตีเช่นนี้เพื่อให้ศัตรูสามารถหลบหนีมันได้ เขาวิ่งข้ามระยะทาง 50 กิโลเมตรเมื่อม่านแห่งความมืดของไนบีริสปิดล้อมกลุ่มของ อาเรียต้า เขาข้ามภูเขาและทะเลสาบเพื่อวิ่งเป็นเส้นตรงไปยังสถานที่นี้ เขาใช้กำลังทั้งหมดที่มี


ลมหายใจของเขาแทบจะหมดลงและเขาเต็มไปด้วยความกังวลเกี่ยวกับ อาเรียต้า เขาไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่จะสามารถคำนวณการกระทำของเขาได้อย่างรอบคอบ


อาเซลล์ไม่สนใจข้อเท็จจริงเหล่านี้ แต่เขาก็ยังประทับใจในตัวไคเรน


'มันน่าทึ่งมากที่เขาสามารถดึงการโจมตีขนาดดังกล่าวออกมาได้เมื่อเขาแทบจะหมดลมหายใจ'


ไคเรนเปิดเผยตัวตนของเขาเมื่อเขาปล่อยเสียงฟ้าร้องคำรามออกมา เขาทำเพื่อค้นหาอาเรียต้า อีกทั้งมันยังดึงความสนใจของศัตรูมาที่เขาด้วย


เมื่อระยะห่างแคบลง เขาจงใจปล่อยการโจมตีที่รุนแรงให้ศัตรูสังเกตเห็น เขาพยายามผลักศัตรูให้ถอยออกไปทันที


ทักษะที่เขาแสดงเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้นช่างน่าประทับใจ


เขาปล่อยการโจมตีจากระยะ 300 เมตร แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาใช้พลังของเขาโดยไม่มีการควบคุม เมื่อการโจมตีถูกยิงออกไปในครั้งแรก มันก็เหมือนด้ายเส้นบางๆ พลังเวทถูกบีบอัดจนหนาแน่นที่สุด และเมื่อมันบินเข้าใกล้ศัตรู มันก็ระเบิดเป็นลูกเห็บแสง


เพื่อโจมตีศัตรูของเขาในระยะไกล เขาปล่อยการโจมตีที่ควบคุมได้อย่างแม่นยำซึ่งแทบไม่สูญเสียพลังเวทจนกระทั่งมันระเบิด ยิ่งกว่านั้น จังหวะเวลานั้นสวยงามมากจนการระเบิดถูกจำกัดให้กำหนดเป้าหมายเฉพาะแค่ ไนบีริส และ ดูแรน เท่านั้น


'ถ้าเขาเกิดในช่วงสงครามมังกรปีศาจ เขาสามารถสร้างชื่อให้ตัวเองได้'


การโจมตีของไคเรน ทำให้อาเซลล์รู้สึกประทับใจอย่างมาก


'ยิ่งกว่านั้น ดาบพวกนั้น.......'


อาเซลล์ มองไปที่ดาบที่เอวของไคเรน เขามีดาบสีดำคู่หนึ่ง และมันมีรูปร่างเหมือนดาบของอาเรียต้า ส่วนของใบมีดมีความโค้งเล็กน้อย


'มันปลดปล่อยพลังเวทมังกรปีศาจออกมา..'


นี่เป็นเหตุผลว่าทำไม อาเซลล์ถึงสนใจ ตามขอบเขตความรู้ของอาเซลล์ มีอาวุธมากมายที่มีพลังเวทอัดแน่นอยู่ในนั้น อย่างไรก็ตาม อาวุธชนิดเดียวที่สามารถปล่อยพลังเวทมังกรปีศาจได้คืออาวุธที่เรียกว่า ดาบวิญญาณมังกร [Dragon Maqi] ดาบของไคเรน ยังไม่ใช่ ดาบวิญญาณมังกรที่สมบูรณ์ แต่มันก็ยังมีการปลดปล่อยพลังเวทมังกรปีศาจออกมา (TLN: อาวุธที่ผสมผสานวิญญาณเช่น ดาบอัศวินมังกร ของ อาเซลล์)


ไคเรน เดาะลิ้นของเขา


“จิ๊ มันคงจะดีมากถ้าเจ้ามีคนที่สามารถฟื้นฟูรักษาอย่างน้อยหนึ่งคนในกลุ่มของเจ้า เนื่องจากเวลาเป็นสิ่งสำคัญ เจ้าจึงควรทาสิ่งนี้กับบาดแผลของเจ้า จะไม่มีรอยแผลเป็นเกิดขึ้น”


เขาหยิบขวดไม้ออกมาจากในเสื้อและส่งให้เธอ มันเป็นยารักษาที่นักเล่นแร่แปรธาตุทำขึ้น


อาเรียต้า ถามเมื่อเธอได้รับมัน


“แล้วเซนเซ...”


“อืมมม?”


“ข้าขอบคุณมากสำหรับความช่วยเหลือของเจ้า แต่... เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่”


ดูเหมือนว่าทุกคนจะอยากรู้อยากเห็น ดังนั้นสายตาของพวกเขาจึงมุ่งไปที่เขา ไคเรนตอบกลับ


“ราชินีมังกรปีศาจขอให้ข้าตามหาเจ้า”



“แม่ของข้า ขอให้ตามหาข้า?”


“เจ้าไม่ได้ส่งข่าวไปใช่ไหมว่าเจ้าถูกโจมตีโดยกลุ่มคนที่ก่อความไม่สงบเมื่อเจ้าเดินทางไปพบทหารรักษาการณ์ชายแดนตะวันตก”


"ใช่"


“ราชินีมังกรปีศาจขอให้ข้าไปตรวจสอบดู เนื่องจากเจ้าใช้คนคุ้มกันน้อย”


“มีแค่นี้จริง ๆ เหรอ”


ราวกับว่าอาเรียต้าไม่สามารถยอมรับคำตอบของเขาได้ เธอจึงถามอีกครั้ง


เขาบอกว่าเขามาตามคำขอของราชินีมังกรปีศาจเพราะเธอกังวล ดูเผินๆ ดูเหมือนเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ แต่ อาเรียต้า รู้ว่าเหตุผลที่เขาให้นั้นไร้สาระ


แน่นอนว่าราชินีมังกรปีศาจ สามารถถามไคเรนได้ อย่างไรก็ตาม ไคเรน จะไม่มีวันออกจากดินแดนของเขาเพียงเพราะคำขอของราชินีมังกรปีศาจ ถ้าไคเรนเป็นคนที่จะเดินทางไกล มันก็จะเป็นเพราะเขาเป็นห่วงลูกศิษย์ของเขา มิฉะนั้นบัลลังก์ก็จะร้องขอความช่วยเหลือมากมาย บัลลังก์จะใช้เขาด้วยความยินดี


ไคเรนยิ้ม


“ข้ารู้ว่าลูกศิษย์ของข้าไม่โง่”


“ถึงข้าจะงี่เง่า แต่ข้าก็พอเดาออกว่าอาจารย์จะทำอะไร เพราะข้ารู้จักเจ้าดี”


"ใช่ อย่างที่เจ้าเดา ข้าไม่ออกมาเว้นแต่จะมีเหตุผลพิเศษ ผู้ติดตามของ ราชามังกรปีศาจมีส่วนร่วมในครั้งนี้ ยิ่งกว่านั้น พวกเขายังทรงพลังอีกด้วย”


ไคเรนไม่รู้จักชื่อขององค์กรที่ชื่อว่า เงามังกร ถึงกระนั้น เขาก็ตระหนักว่าพวกเขาเป็นผู้ติดตามของราชามังกรปีศาจ และความจริงที่ว่าพวกเขาเป็นนักสู้ที่ทรงพลังซึ่งสามารถทำอันตรายต่ออาเรียต้า ได้ สิ่งนี้ทำให้พวกเขาสมควรได้รับความสนใจ


"ทั้งหมดนี้หมายความว่าอย่างไร?"


“น่าเสียดาย ข้าไม่อยู่ในสถานะที่สามารถบอกเจ้าได้ ข้าจะบอกเจ้าสิ่งหนึ่ง ข้ามีแรงจูงใจที่จะออกมา เพราะผู้ติดตามของราชามังกรปีศาจ”


"แต่......."


อาเรียต้าต้องการถามคำถามมากกว่านี้ แต่เธอก็กลืนมันลงคอเมื่อเห็นดวงตาของไคเรน การแสดงออกของอาจารย์ที่เคร่งขรึมของเธอบอกว่าเขาจะไม่อนุญาตให้มีคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้


เธอถามคำถามเกี่ยวกับหัวข้ออื่นแทน


“อาจารย์รู้ได้อย่างไรว่าข้ากำลังตกอยู่ในอันตราย”


“สัญญาณจากเจ้าถูกตัดขาด”


ราชบัลลังก์ถือว่า เจ้าหญิงมังกรปีศาจเป็นสินค้าล้ำค่า นี่เป็นเหตุว่าทำไมเวทอาคมพิเศษจึงได้รับการออกแบบมาให้ค้นหาตำแหน่งที่เจ้าหญิงมังกรปีศาจอยู่ได้ตลอดเวลา และยังแสดงให้เห็นว่าเธอยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ไคเรนได้ยืมอุปกรณ์เวทที่เกี่ยวข้องกับเวทอาคมนี้


จากนั้นสัญญาณที่แสดงว่า อาเรียต้ายังมีชีวิตอยู่ก็ถูกตัดขาด ไคเรนตัดสินใจว่าอาเรียต้าอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายถึงชีวิต ดังนั้นเขาจึงวิ่งมาที่นี่ด้วยพลังทั้งหมดที่มี


อาร์เรียต้าพูดขึ้น


"อา... เวลานั้น......."


ถึงกระนั้น ดูเหมือนว่าม่านแห่งความมืดที่ไนบีริสร่ายออกมานั้นเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ ไคเรนมาที่นี่ ไนบีริสซ่อนการกระทำของเธอด้วยม่านแห่งความมืดอย่างละเอียดถี่ถ้วน เธอคงไม่เคยคิดมาก่อนว่าการกระทำของเธอจะเชิญชวนให้ไคเรนเข้ามาหาเธอ


ไคเรนพูดขึ้น


“หากทุกคำถามของเจ้าได้รับคำตอบแล้ว เราก็ควรออกไปจากที่นี่กันเถอะ ที่นี่ไม่เหมาะสำหรับการพักแรม”


สมาชิกทั้งหมดก็ทำตามคำพูดของเขา


พวกเขาตัดสินใจที่จะตั้งค่ายห่างจากที่ตั้งเดิมพอสมควร มันมืดดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถเดินทางไกลได้


“เรามีหลายอย่างที่ต้องซื้อที่เมืองถัดไป”


อาเซลล์ พึมพำในขณะที่เขามองไปที่กองไฟ ในความตื่นตระหนกของการต่อสู้ ม้าของพวกเขาถูกฆ่าตายทั้งหมด พลังเวทได้ระเบิดไปทั่วทุกหนทุกแห่ง และในความโกลาหล พวกเขาได้สูญเสียทรัพย์สินส่วนใหญ่ไป ถึงกระนั้น พวกเขามีทรัพย์สมบัติเพียงพอสำหรับตั้งค่ายพักแรมกลางแจ้งหนึ่งคืน


เดิมทีอาเซลล์ต้องการที่เป็นยามในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด แต่ทุกคนยืนยันว่าให้เขาเข้ายามแรก จากนั้นทุกคนก็เข้านอนอย่างรวดเร็ว บางทีมันอาจจะเป็นความโล่งใจที่พวกเขารู้สึกได้หลังจากหนีจากประสบการณ์เฉียดตาย แต่ไม่มีใครในกลุ่มสามารถต้านทานความเหนื่อยล้าที่ถาโถมเข้ามาหลังจากความตึงเครียดได้สลายไป


'คือ ข้าไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะไม่ยอมแพ้ต่อความเหน็ดเหนื่อยของข้า'


อาเซลล์เหนื่อยมากจนอยากจะหลับตาลงทันที เขาใช้ควบคุมจิตวิญญาณบังคับตัวเองไม่ให้หลับ


'ข้าต้องฝึกร่างกายให้เร็วมากกว่านี้.......'


อาเซลล์ มองไปที่แขนของเขาขณะที่เขาถอนหายใจ


ในแง่ของความอ่อนล้าทางร่างกาย เขาเหนื่อยมากกว่าไจล์สหรือโบอาร์มาก ร่างกายของเขาอ่อนแอเกินไป การใช้พลังเวทที่ไม่ธรรมดาของเขาทำให้เขาสามารถลอยอยู่ได้ อย่างไรก็ตาม เขารู้สึกถึงความอ่อนแอของร่างกายอย่างรุนแรงมากกว่าการขาดพลังเวท


“เจ้าถอนหายใจทำไม”


เขาได้ยินเสียงสบายๆ จากสมาชิกกลุ่มอาเซลล์ ตอบโดยไม่แสดงอาการแปลกใจ


“เจ้ากำลังใช้วิธีการที่ยุ่งยากมาก”


ไคเรนเป็นคนเริ่มการสนทนา ไคเรน ดูเหมือนเขากำลังหลับ แต่เขาแกล้งทำ อาเซลล์เป็นคนเดียวที่ไม่ถูกหลอก


“ประสาทสัมผัสของเจ้าค่อนข้างดี”


"ก็ใช่"


อาเซลล์ยักไหล่


มันเป็นสายตาที่อยากรู้อยากเห็น ทั้งคู่ไม่ได้ลดระดับเสียงลง แต่ไม่มีใครตื่นจากการหลับใหล สถานการณ์ไม่สมเหตุสมผลเนื่องจากทุกคนยกเว้น อีนอร่า มีประสาทสัมผัสที่พัฒนาขึ้นมาก


เหตุผลก็คือ อาเซลล์ และ ไคเรน ใช้เคล็ดวิชาพิเศษ เคล็ดวิชานี้อนุญาตให้มีเพียงเป้าหมายเดียวเท่านั้นที่ได้ยินเสียงของตัวเอง


ไคเรน ลุกขึ้นและเดินไปหา อาเซลล์ แม้ว่าเขาจะสวมชุดเกราะ แต่ก็ราวกับว่าแมวกำลังเดินอยู่ เขาไม่ได้ส่งเสียงดัง


เมื่อไคเรนนั่งลงหน้ากองไฟ เขาก็ถามอาเซลล์


“ทำไมเจ้าถึงใช้วิธีที่ยุ่งยากเช่นนี้”


อาเซลล์ รู้ว่า ไคเรน ต้องการคุยกับเขา อย่างไรก็ตาม เขาไม่รู้ว่าทำไมไคเรนถึงแสร้งทำเป็นหลับ เขารอให้ทุกคนหลับไปก่อนที่เขาจะเคลื่อนไหว


ไคเรนพูดขึ้น


“เจ้าดูไม่แปลกใจเลย”


“ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ข้าแค่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วข้าก็จะยอมรับมัน”


“นั่นเป็นทัศนคติที่ดีที่จะมี ข้าสอนให้เด็กคนนั้นคิดแบบนั้นด้วย”


“หมายถึงเจ้าหญิงเหรอ”


"ใช่ เพื่อตอบคำถามก่อนหน้านี้ของเจ้า... ข้าต้องการพูดกับเจ้าในขณะที่เด็กคนนั้นไม่ตั้งใจฟัง”


"อืม"


เขาต้องการหลีกเลี่ยงความสนใจของอาเรียต้ามากกว่าคนอื่นๆ โดยพื้นฐานแล้วเขาไม่ต้องการให้เธอรู้ว่าเขาได้แบ่งปันบทสนทนากับ อาเซลล์...


'เหตุผลคืออะไร'


มีเหตุผลใดที่อาเรียต้าไม่ควรรู้เรื่องการสนทนานี้ เขาไม่รู้เกี่ยวกับแผนการภายในของราชวงศ์ ดังนั้น อาเซลล์ จึงเข้าใจพฤติกรรมของ ไคเรน ได้ยาก


ไคเรนถามคำถาม


“จากมุมมองของเจ้า เจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับ อาเรียต้า”


“ความหมายของคำถามของเจ้าคืออะไร”


“เจ้าคิดว่าข้าขอให้เจ้าตัดสินรูปร่างหน้าตาของเธองั้นเหรอ? ข้าไม่จำเป็นต้องฟังเจ้าเพื่อตอบคำถามดังกล่าว เธอเป็นผู้หญิงที่มีความงามหาที่เปรียบไม่ได้ เธอเก่งที่สุดในอาณาจักรนี้ ไม่ เธอเก่งที่สุดในทวีปนี้”


“.......”


“เจ้าอาจพยายามปฏิเสธข้อเท็จจริงนี้?”


"ไม่ ไม่... เจ้าหญิงสวยมาก”


“มันก็ใช่ ไม่ใช่เหรอ? มันไม่คุ้มที่จะตั้งคำถามถึงข้อเท็จจริงเช่นนี้ ข้าถามเกี่ยวกับเด็กที่เป็นนักรบ ดูเหมือนว่าเจ้าได้เข้าร่วมในการต่อสู้หลายครั้ง ดังนั้นโปรดให้การประเมินที่ตรงไปตรงมาของเจ้าแก่ข้า”


“อยากให้ข้าพูดความจริงเหรอ”


"ใช่ อย่าเคลือบน้ำตาล อย่างที่อยากจะประจบเอาใจข้า เจ้าก็เลือกเอง อย่างไรก็ตามเจ้าจะไปกับข้าได้ไม่ไกล ด้วยการทำอย่างนั้น”


“ศักยภาพของเธอโดดเด่นและแสดงทักษะที่ยอดเยี่ยม เธอดีกว่าคนในวัยเดียวกันกับเธอมาก”


มันเป็นการประเมินที่ซื่อสัตย์ หากพิจารณาถึงอายุที่ยังน้อยของเธอ อาเรียต้า แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จทางร่างกายและจิตใจในระดับที่น่าทึ่ง


“เหมือนว่าจะเป็นอย่างนั้น.......”


ไคเรนยิ้ม


“เจ้ากำลังประเมินราวกับว่าเจ้ากำลังมองลงมาจากที่สูง นี่หมายความว่าเจ้ามีทักษะมากพอที่จะประเมิน อาเรียต้า ได้ด้วยวิธีนี้เหรอ?”


อาเซลล์ ยอมรับว่าในครั้งนี้ ไคเรนใช้อาเรียต้าเป็นหัวข้อสนทนาเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับ อาเซลล์


ไม่ว่า อาเซลล์ จะซ่อนทักษะไว้ดีเพียงใด การประเมินโดยธรรมชาติต่อผู้อื่นก็เผยให้เห็นถึงมาตรฐานที่เขาใช้ประเมินผู้อื่น


แน่นอนว่ามีคนแสร้งทำเป็นแข็งแกร่งเพื่อโค่นล้มคนอื่นๆ แต่ อาเซลล์ ไม่ได้แสดงท่าทีเช่นนั้นเมื่อเขาพูดถึง อาเรียต้า การประเมินของเขาไม่ได้รับผลกระทบ





DMW 046 ดยุคดาบมังกร (3)



อาเซลล์ถามคำถาม


“เจ้าไม่เคยได้ยินเรื่องของข้าจากเจ้าหญิงเลยหรือ?”


"เคย นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นเด็กช่างพูดมาก นี่ต้องหมายความว่าเจ้าประทับใจเธอมาก”


อาเรียต้าในความทรงจำของไคเรน เป็นเด็กสาวที่พูดน้อย ยิ่งกว่านั้น เธอไม่เคยสนใจใครเลยนอกจากครอบครัวของเธอ


อาเรียต้าซึ่งเป็นเด็กผู้หญิงเช่นนี้ แสดงความสนใจอาเซลล์ในระดับที่น่าแปลกใจ เธอพูดถึงอาเซลล์อย่างตื่นเต้นเหมือนเด็กผู้หญิงทั่วไปในวัยเดียวกัน จากมุมมองของไคเรน มันเป็นประสบการณ์ที่แปลกประหลาดจริงๆ


ไคเรนพูดขึ้น


“อาเรียต้า ตัดสินบุคคลได้ดีมาก ข้าสอนเธอถึงวิธีประเมินผู้อื่นโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของเธอ อย่างไรก็ตามเมื่อข้าได้ยินเกี่ยวกับเจ้าจากเธอ เธอกำลังเล่าเรื่องบางอย่างที่ยากที่จะเชื่อให้ข้าฟัง”


"เจ้าหมายความว่าอย่างไร?"


“เช่น... ส่วนที่เจ้าความจำเสื่อมบางส่วน?”


ทันใดนั้น เขารู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่มีพลังเหนือใครมาจากไคเรน ถ้าเขาเป็นคนธรรมดาเขาคงหยุดหายใจไปแล้ว คงไม่แปลกถ้าคนธรรมดาจะเป็นลมหมดสติจากความกดดัน


สิ่งที่น่ากลัวคือความรู้สึกที่ครอบงำนั้นมุ่งเน้นไปที่อาเซลล์เท่านั้น เมื่อรู้ว่า มันไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งอื่นที่อยู่รอบตัวเขา อาเซลล์ ก็ชื่นชมเขา


'น่าประทับใจ'


อาเซลล์รู้สึกผิดหวังมากหลังจากที่เขาตื่นขึ้นมาในยุคนี้ เขาไม่เคยเจอใครเลยที่บ่มเพาะความสามารถผ่านการต่อสู้จริง


ข้อยกเว้นคือศัตรูของเขา ไนบีริสและดูแรน ไนบีริสมีทักษะในการต่อสู้และด้วยฐานะจอมเวทระดับสูง และ ดูแรนก็เป็นผู้นักบ่มเพาะควบคุมจิตวิญญญาณที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างเหมาะสม


สำหรับอาเซลล์แล้ว ไคเรนก็ดูเหมือนจะเท่าเทียมกับไนบีริสและดูแรน เขามีพลังเวทมังกรปีศาจที่แข็งแกร่ง แต่เขายังใช้เคล็ดวิชาระดับสูงราวกับว่ามันไม่มีอะไรที่ยากลำบาก


ไคเรนประหลาดใจมากกว่าอาเซลล์


'ไอ้เด็กคนนี้ มันเป็นคนแบบไหน'


แรงกดดันที่มากพอจะฆ่ามนุษย์ แต่ อาเซลล์ ก็ไม่ได้ตอบสนองเลย


ไม่ใช่ว่า อาเซลล์กำลังตอบโต้แรงกดดันของเขา แต่มันดูราวกับว่าไม่มีแรงกดดันใดๆ เลย และ อาเซลล์ ก็ปล่อยให้ทุกอย่างไหลผ่านเขาไป


ไคเรนมีอายุมากกว่า 100 ปี แต่เขาไม่เคยเห็นใครตอบสนองต่อแรงกดดันของเขาด้วยวิธีนี้


ถึงกระนั้น การเคลื่อนไหวครั้งนี้เผยให้เห็นว่า อาเซลล์มีทักษะเพียงพอ และทำให้ ไคเรน สนใจในตัวเขา


อาเซลล์ ได้ตอบกลับ


“เจ้าไม่ได้ยินคำอธิบายมากมายจาก อาเรียต้า เหรอ”


“ข้าได้ยินแล้ว”


“แล้วทำไมเจ้าถึงยังสงสัยข้า”


“ไม่ว่าข้าจะมองยังไง เจ้าก็ซ่อนอะไรไว้เยอะเกินไป”


ไคเรนพูดกับอาเรียต้า เขายังเคยฟังไจล์ส โบอาร์ และอีนอร่าพูดถึงอาเซลล์ด้วย เขาได้ยินเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นตั้งแต่มีการค้นพบ อาเซลล์ ในป่าบาหลัน


ยิ่งไคเรนฟังเรื่องราวมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้ว่าเขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับอีกฝ่าย


เขาไม่สงสัยเลยว่า อาเซลล์จะเป็นศัตรูหรือไม่ ทัศนคติของอาเซลล์ จนถึงตอนนี้ทำให้เขาได้รับคำตอบที่ชัดเจน ไคเรนเป็นกังวลเพราะเขาไม่เข้าใจนิสัยที่แท้จริงของอาเซลล์


อาเซลล์ถามคำถาม


“เจ้าคิดว่าข้ากำลังพยายามซ่อนอะไร”


"หลายสิ่งหลายอย่าง ประการแรก มันคือพลังเวทมังกรปีศาจของเจ้า”


เมื่ออาเรียต้าเห็นอาเซลล์เป็นครั้งแรก เธอสงสัยว่าทำไมมนุษย์ถึงมีกลิ่นอายของพลังเวทมังกรปีศาจ นอกจากนี้ กลิ่นอายของพลังเวทมังกรปีศาจที่ของอาเซลล์ ยังรุนแรงกว่าเมื่อก่อนมาก ไคเรน สามารถตรวจจับได้เนื่องจากเขาไวต่อกลิ่น


“ยิ่งไปกว่านั้น... ข้าได้ยินเกี่ยวกับรายละเอียดเกี่ยวกับพิธีกรรมสังหารมังกร”


"อืม"


“ข้าจะถามเจ้าแค่คำถามง่ายๆ เจ้าฆ่ามังกรใช่หรือไม่”


“.......”


อาเซลล์ ไม่ได้ตอบคำถามในทันทีและยังคงเงียบ


หลังจากจ้องอาเซลล์ครู่หนึ่ง ไคเรนก็พูดต่อ


“ข้าเคยต่อสู้กับมังกรมาก่อน ข้าสู้กับมันพร้อมกันสามคน”

มันหาได้ยากมากที่มังกรจะปรากฏตัวในดินแดนของมนุษย์ เมื่อพวกมันปรากฏตัว ส่วนใหญ่นำไปสู่ความหายนะ


เมื่อมังกรและมนุษย์ต่อสู้กัน มนุษย์มักจะได้รับชัยชนะเสมอ อย่างไรก็ตาม มนุษย์ต้องมาพร้อมกับกองกำลังจำนวนมหาศาล มันเป็นชัยชนะที่ว่างเปล่าซึ่งต้องเสียสละและสร้างความเสียหายให้กับกองทหารอย่างมาก


ไคเรน มีความสามารถในการควบคุมสถานการณ์ดังกล่าว เมื่อภัยพิบัติที่เรียกว่ามังกรปรากฏขึ้น ไคเรนก็ยินดีก้าวไปข้างหน้าเพื่อลดความเสียหายให้เหลือน้อยที่สุด


“ถ้าข้ามองผ่านประสบการณ์ของข้า….ข้าคิดว่ามันยากที่จะเชื่อว่าเจ้าเป็นคนสังหารมังกร”


เขายอมรับว่า อาเซลล์มีเคล็ดวิชาที่ยอดเยี่ยมในฐานะนักบ่มเพาะควบคุมจิตวิญญญาณ


อย่างไรก็ตาม เราไม่สามารถฆ่ามังกรได้ด้วยเคล็ดวิชาเพียงอย่างเดียว


แม้ว่าชายชราจะเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาเพื่อเอาชนะชายหนุ่มที่แข็งแรง แต่เขาก็สามารถทำลายกำแพงปราสาทด้วยมันได้หรือไม่?


อาเซลล์ถาม


“เจ้าได้ยินคำอธิบายของข้าเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นหรือไม่”


“เจ้าบอกว่ามีมังกรอีกตัวปรากฏขึ้นเพื่อฆ่ามังกร นั่นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าพูดเหรอ?”


"ใช่"


“เนื่องจากมังกรตายแล้ว นั่นจึงเป็นคำตอบที่น่าสนใจที่สุด เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะฆ่ามังกร ดังนั้น เจ้าดึงความสนใจของมังกร แล้วเจ้าก็วิ่งหนีไปอย่างสิ้นหวัง จากนั้นเจ้าเข้าไปในดินแดนของมังกรอื่น และมังกรก็เริ่มต่อสู้กันเอง…”


อาเซลล์คิดในแนวเดียวกัน ดังนั้นเขาจึงแก้ตัวเช่นนั้น เรื่องราวค่อนข้างมหัศจรรย์เกินไป ดังนั้นมันจึงเป็นคำอธิบายที่น่าสงสัย อย่างไรก็ตาม ใครจะโต้แย้งกับผลลัพธ์ของสิ่งที่เกิดขึ้นได้? ไม่เหมือนกับว่า อาเซลล์ กำลังสร้างเรื่องราวเพื่อสร้างความแตกต่างให้กับตัวเอง ใครจะพูดอะไรได้บ้างเมื่อเรื่องราวเกี่ยวข้องกับมังกรที่ฆ่ามังกร?


ไคเรนพูดขึ้น


“ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับพิธีกรรมสังหารมังกร จากที่อื่นมาก่อน”


“อย่างนั้นเหรอ?”


“ข้าแค่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ไม่มีใครในคนรู้จักของข้ารู้ว่ามันหมายถึงอะไร ไม่มีบันทึกที่ดีเหลืออยู่ เมื่อใดก็ตามที่ข้าเห็นว่ามีคนพูดถึง 'มีคนทำพิธีกรรมสังหารมังกร' นั่นคือขอบเขตของสิ่งที่บันทึกไว้ในบันทึก ข้าเดาได้แต่เพียงว่าพิธีกรรมเกี่ยวข้องกับการฆ่ามังกรเพราะมันบอกไว้อย่างนั้นในชื่อ”


อาเซลล์ตั้งใจฟังคำพูดของไคเรน เขาให้ข้อมูลที่มีค่า


'เขาเคยฆ่ามังกรมาก่อนแต่เขาไม่รู้เกี่ยวกับพิธีกรรมของผู้ฆ่ามังกร? เขาไม่ใช่มนุษย์ด้วยซ้ำ เขาเป็นมังกรปีศาจมานานกว่าร้อยปี...อืม ห่วงโซ่ความรู้แตกตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย'


ตอนนี้ อาเซลล์สามารถคาดเดาได้ว่าการแยกส่วนความรู้ไม่สามารถอธิบายได้ง่ายๆ จากเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ จากการสนทนาที่เขามีกับไนบีริส เขาสามารถสันนิษฐานได้ว่าผู้บูชาราชามังกรปีศาจจงใจสร้างผลลัพธ์ดังกล่าว


ไคเรนยังคงพูดต่อไป


“แต่เจ้าก็รู้เรื่องนี้หมดแล้ว”


"ใช่"


"นอกจากนี้...ไนบีริส จอมเวทหญิงแห่งเงามังกร ทำเรื่องใหญ่ จนทำให้เจ้ารู้ความจริงนี้”


“ใช่ เธอทำ”


“นี่คือเหตุผลที่ข้าสงสัยในความเป็นไปได้”


“เป็นไปได้อย่างไร”


“ความเป็นไปได้ที่เจ้าอาจมีผู้สนับสนุนที่ซ่อนอยู่”


“ผู้สนับสนุน?”


อาเซลล์ผงะเล็กน้อย เพราะเขาไม่คิดว่าไคเรนจะคิดคำอธิบายเช่นนี้


ไคเรนพูดขึ้น


“จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีผู้สนับสนุนที่ซ่อนอยู่ซึ่งมีพลังมากพอที่จะสังหารมังกรได้? ถ้าทั้งหมดนี้เป็นการวางแผนโดยเขา และเขาส่งเจ้าไปที่ อาเรียต้า"


“...เจ้าชอบทฤษฎีสมคบคิดไหม”


“ข้าไม่ชอบพวกเขา อย่างไรก็ตาม คล้ายกับสาวกของราชามังกรปีศาจ มีพลังชั่วร้ายที่ซ่อนอยู่ซึ่งพยายามมีอิทธิพลต่อโลกจากความมืด...”


ไคเรนไม่สงสัยเลยว่าอาเซลล์เป็นเบี้ยของเงามังกร เหตุผลหลักเป็นเพราะไคเรนสงสัยเป้าหมายที่อยู่เบื้องหลังเงามังกรที่พยายามลักพาตัวอาร์เรียตา


หากเขาพูดถูกเกี่ยวกับเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการลักพาตัว อาเซลล์ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องปกป้องเธอ เขาจะโจมตีจากด้านหลังตั้งแต่เนิ่นๆ


“ถึงกระนั้น ก็ไม่ได้รับประกันว่าเจ้าจะไม่เป็นส่วนหนึ่งของแผนอันตราย เจ้าอาจเข้าร่วมกับองค์กรอื่นของผู้บูชาราชามังกรปีศาจซึ่งแข่งขันกับเงามังกร”


“อืมมม จะพูดยังไงดีนะ.......”


อาเซลล์เกาหัว


“ถ้าเจ้าคิดถึงทุกคนในแง่นั้น เจ้าก็ควรจะระแวงทุกคนในโลกนี้”


“เจ้าคิดว่าเจ้าอยู่ในประเภทเดียวกับคนอื่นๆ หรือเปล่า”


“ถ้าเจ้ายืนยันว่ามีมือที่ซ่อนอยู่ ซึ่งทำงานโดยไม่ให้คนทั้งโลกรู้ ข้าเห็นด้วยว่ามันทำให้ข้าดูน่าสงสัยมากขึ้นเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าข้าจะพยายามอย่างไร ข้าก็ไม่สามารถคลายความสงสัยของเจ้าได้ แม้ว่าข้าจะตายในระหว่างปกป้องเจ้าหญิง ข้าก็ไม่สามารถคลายความสงสัยในตัวข้าได้ ข้าอาจถูกปฏิบัติเหมือนคนที่เสียชีวิตโดยไม่ได้ตั้งใจในขณะที่พยายามวางแผน”


“มันนานมาแล้วที่มีคนกล้าพูดประชดประชันต่อหน้าข้า”


“ข้าเดาว่าเจ้าคงชอบผู้ชายที่หัวรั้นและเห็นด้วยกับทุกสิ่งที่ดยุคพูด ผู้ชายที่เห็นด้วยกับเจ้า แม้ว่าเจ้าจะบอกว่าดวงอาทิตย์ขึ้นจากทางทิศตะวันตกก็ตาม”


ทั้งคู่หัวเราะ แต่บรรยากาศแย่ลง ไคเรนปล่อยแรงกดดันออกมามากขึ้น อย่างไรก็ตาม อาเซลล์ยังรับมันอย่างไม่ไยดี และเขาเริ่มหลอกล่อไคเรน ราวกับว่า อาเซลล์กำลังบอกให้ ไคเรน ลองตีเขาสักครั้งหาก ไคเรน อารมณ์ดีขึ้น


ไคเรนเป็นคนแรกที่ถอยออกไป เขาคลายความกดดัน จากนั้นเขาก็ผ่อนคลายสีหน้าของเขา


“...ก็ได้ๆ คำพูดของข้ารุนแรงเล็กน้อย ข้ายอมรับในเรื่องนั้น”


“นั่นเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง”


“อืมมม?”


“ข้าคิดว่าอย่างน้อยเจ้าก็ตบข้าสักครั้งเพื่อเป็นการทดสอบ”


“ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะต้องตอบโต้ พร้อมกับพูดว่า 'ข้าเข้าใจแล้ว ไอ้สารเลว'? เจ้าแสดงช่องโหว่ในการป้องกันของเจ้าอย่างจงใจ เจ้ายังมีบุคลิกที่บิดเบี้ยวมาก”


“ไม่ใช่เรื่องที่ข้าอยากได้ยินจากเจ้า ข้าได้ยินมาจากเจ้าหญิงว่าเจ้ามีชื่อเสียงในเรื่องบุคลิกที่บิดเบี้ยว”


“เจ้าหยิ่งยโส เจ้าเป็นลูกสุนัขที่ไม่รู้ว่าโลกนี้น่ากลัวแค่ไหน”


ไคเรนตะคอก เขามีรูปร่างหน้าตาที่อ่อนเยาว์ แต่ไคเรนทำตัวเหมือนชายชราโดยธรรมชาติ ไม่ใช่แค่เพราะเขาอายุมากกว่าร้อยปี เขาดำรงตำแหน่งที่ทุกคนเคารพ


ทันใดนั้น ไคเรน แสดงสีหน้าจริงจัง


“รู้เพียงแค่ว่า...ตอนนี้ข้าอยู่ในตำแหน่งที่ต้องพิจารณาทฤษฎีสมคบคิดที่ไร้สาระทุกทฤษฎี ราวกับว่ามันอาจเกิดขึ้นจริง การกระทำของผู้ติดตามราชามังกรปีศาจไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยวิธีการทั่วไป เนื่องจากพวกเขาเป็นคนบ้า”


ตอนนี้ อาเซลล์รู้แล้วว่าทำไมไคเรนจึงยืนกรานที่จะซ่อนบทสนทนาของพวกเขาจากอาเรียต้า เขาไม่ต้องการบังคับให้เธอสงสัย


หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ไคเรนก็พูดขึ้น


“ข้าหวังว่าเจ้าจะแบ่งปันสิ่งหนึ่งกับข้า บอกข้าเกี่ยวกับพิธีกรรมสังหารมังกร”


“เจ้าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้จากองค์หญิงหรือ?”


“มนุษย์กับมังกรสู้ตัวต่อตัวจนตาย จากนั้นผู้ชนะจะได้บางอย่างจากฝ่ายที่พ่ายแพ้ มนุษย์ได้รับความแข็งแกร่งของมังกร และมังกรได้รับสติปัญญาของมนุษย์”


"ถูกต้อง"


“มันมีเหตุผลอย่างไร”


ไคเรนรับไม่ได้


แต่ละภูมิภาคมีพิธีกรรมที่มีความหมายทางจิตวิญญาณอยู่เบื้องหลัง พวกเขาเป็นผลผลิตจากสภาพแวดล้อมและประวัติศาสตร์ของภูมิภาค


พิธีกรรมทางวัฒนธรรมดังกล่าวมีความสำคัญระหว่างช่องว่างทางความรู้ในสังคม


มันเป็นเรื่องไร้สาระมากสำหรับไคเรนที่มีพิธีกรรมระหว่างมนุษย์กับมังกร คงจะสมเหตุสมผลถ้าจอมเวทและมังกรคนใดคนหนึ่งทำพิธีกรรมหลังจากทำสัญญา อย่างไรก็ตาม นี่เป็นพิธีกรรมร่วมกันที่มนุษย์และมังกรที่ไม่ทราบจำนวนสามารถเข้าร่วมได้โดยไม่มีเงื่อนไข ข้อตกลงดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร?


อาเซลล์ลูบคางของเขา


"อืม ถ้าข้าให้คำอธิบายเกี่ยวกับหัวข้อนี้แก่เจ้า เจ้าจะให้อะไรตอบแทนข้าบ้าง”


“เจ้ากล้าถามกลับในเมื่อเจ้าแค่ตอบคำถามของข้า?”


“ข้าเชื่อว่าเจ้าเป็นคนยุติธรรม เพราะเจ้าเป็นอาจารย์ของเจ้าหญิง มีค่าแก่ความรู้ ไม่ใช่อย่างนั้นเหรอ?”


ไคเรน ขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิดเมื่อได้ยินคำพูดของอาเซลล์






DMW 047 ดยุคดาบมังกร (4)



“ดูเหมือนบทเรียนที่ข้าเคยสอนนักเรียนจะย้อนกลับมาที่ข้า เอาล่ะ เจ้าต้องการอะไรเป็นค่าตอบแทนสำหรับความรู้? เจ้าไม่มีบุคลิกที่เจ้าจะถูกล่อลวงด้วยวัตถุนิยม”


“โปรดบอกข้าเกี่ยวกับดาบของเจ้า”


อาเซลล์ชี้ไปที่ดาบคู่ที่คาดเอวของไคเรน


ไคเรนแสดงออกอย่างแปลกประหลาด


“แน่ใจเหรอว่าแค่นี้น่ะเหรอ?”


"ใช่"


“เจ้าจะขาดทุนในข้อตกลงนี้ ข้าจะยอมรับมันในทุกกรณี เจ้าไม่สามารถถอยออกไปได้ในตอนนี้”


"ทำไม?"


“หลังจากการสืบสวนสั้น ๆ เจ้าจะสามารถค้นพบข้อมูลนี้ได้ เมื่อเทียบกับสิ่งที่เจ้ากำลังจะบอก ราคาถือว่าถูกมาก”


ไคเรนได้รับฉายาว่า ดยุคดาบมังกร เนื่องจากดาบคู่ที่เขาใช้ ดาบเหล่านั้นมีชื่อเสียงมากเกินไป ดังนั้นจึงไม่มีความลับใด ๆ ที่เปิดเผยต่อสาธารณชน


อาเซลล์ หัวเราะอย่างขมขื่น


“ข้าไม่สน”


“แล้วข้าจะเล่าให้ฟัง ดาบคือดาบมังกร (龍劍)”


“ดาบมังกร?”


“จากหนึ่งถึงสิบ ส่วนผสมทั้งหมดหลอมสกัดจากศพของมังกร ยิ่งกว่านั้น ดาบเหล่านี้เป็นดาบเวทที่หล่อหลอมด้วยเลือดของข้า”


“นั่นคือเหตุผลที่ข้าสัมผัสได้ถึงพลังเวทมังกรจากพวกมัน”


"ใช่ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเจ้าถึงสนใจพวกมัน”


"ใช่...ข้าไม่เคยเห็นดาบที่มีกลิ่นอายพลังเวทมังกรปีศาจเจือปน”


"แน่นอน มีอยู่ไม่กี่ชิ้นบนโลกนี้ มันเป็นสิ่งที่ข้าสร้างขึ้นใหม่หลังจากข้าเห็นบันทึกเก่า”


“บันทึกเก่า?”


“มันเป็นบันทึกเกี่ยวกับสงครามมังกรปีศาจ”


"อะไร?"


อาเซลล์รู้สึกสับสน อาวุธเช่นดาบมังกรไม่มีอยู่ในยุคของเขา


ไคเรนพูดขึ้น


“ไม่มีคำอธิบายโดยละเอียด แต่ข้าสามารถหาข้อความที่บอกว่าวีรบุรุษในยุคนั้นใช้อาวุธที่มีพลังเวทมังกรปีศาจเพื่อต่อสู้กับกองกำลังของราชามังกรปีศาจ อย่างไรก็ตาม ข้าไม่รู้ว่าอาวุธเหล่านั้นทำมาจากอะไรและทำอย่างไร เป็นเวลาหลายปีที่ข้ารวบรวมบันทึกที่เสียหายและผ่านการค้นคว้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ข้าพบเรื่องราวที่บอกว่ามังกรต้องถูกฆ่าเพื่อสร้างอาวุธ นี่คือเหตุผลที่ข้าเดาว่าพิธีกรรมสังหารมังกร เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการที่ทำสิ่งนี้”


นี่คือสาเหตุที่ไคเรนฆ่ามังกรโดยมีผู้ช่วย พวกเขาใช้ซากศพเพื่อค้นคว้าวิธีสร้างอาวุธด้วยพลังเวทมังกรปีศาจที่แฝงอยู่ในนั้น ดาบมังกรทั้งสองนี้เป็นผลมาจากการวิจัยกว่า 30 ปี


“.......”


อาเซลล์พูดไม่ออก


'โดยพื้นฐานแล้วหมายความว่าพวกเขาลืมพิธีกรรมสังหารมังกร และ ดาบวิญญาณมังกร ไปเสียสิ้น....'


ในช่วงเวลาแห่งสงครามมังกรปีศาจ อาเซลล์ไม่ใช่ผู้ใช้เพียงคนเดียวของ ดาบวิญญาณมังกร ถ้ารวมผู้เสียชีวิตในสงครามด้วย มันก็มีราวยี่สิบ ถึงกระนั้น บันทึกทั้งหมดเกี่ยวกับพวกเขาและ ดาบวิญญาณมังกร ก็หายไป?


แม้ว่าการล่มสลายของอาณาจักรนาดิค จะทำให้เกิดความสับสนและความมืดมิดปรากฏขึ้น แต่ทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ผิดธรรมชาติ ความสงสัยของเขาลึกลงไปในขณะที่เขายังคงสงสัยว่าผู้บูชาราชามังกรปีศาจแอบตัดความรู้ในเรื่องนี้


'อย่างไรก็ตาม พวกเขาพยายามเลียนแบบ ดาบวิญญาณมังกร โดยใช้วิธีดังกล่าว มันน่าประทับใจ'


ถ้าคาร์ลอสยังมีชีวิตอยู่ อาเซลล์ก็อยากฟังความคิดเห็นของเขาในเรื่องนี้ ในเวลานั้น คาร์ลอสคิดเกี่ยวกับการสร้างพลังเวทขนาดใหญ่และสวยงามจำนวนมาก แต่เขาก็ไม่เคยคิดเกี่ยวกับการสร้างหลอมสกัดดาบวิญญาณมังกร ความพยายามในการจำลอง ดาบวิญญาณมังกร เกิดขึ้นในยุคสมัยที่ความรู้ทั้งหมดเกี่ยวกับ ดาบวิญญาณมังกร ถูกตัดขาด


ไคเรนพูดขึ้น


“ตอนนี้ก็ถึงตาเจ้าแล้ว”


“เจ้ารู้เกี่ยวกับเป้าหมายของจอมเวทในการแสวงหาหนทางที่จะช่วยมนุษยชาติในท้ายที่สุดหรือไม่”


“ข้ารู้เรื่องนี้ น้ำท่วมใหญ่ของโลกได้กวาดล้างโลกนี้และทิ้งบาดแผลไว้บนโลกนี้ตลอดไป”


มันเป็นสิ่งที่จอมเวททุกคนต้องการ พวกเขาต้องการเปลี่ยนโลกด้วยเวทอาคมของพวกเขาเอง


นี่ไม่ใช่อุปมาโวหาร จอมเวทเชื่ออย่างแท้จริงว่าพวกเขาสามารถเปลี่ยนโลกได้ด้วยเวทอาคม พวกเขาไม่ได้พยายามใช้เวทอาคมเพื่อเปลี่ยนความคิดหรือการกระทำของมนุษย์ พวกเขาต้องการเปลี่ยนกฎพื้นฐานของโลก


อาเซลล์พูดขึ้น


“เจ้าชอบพูดในบทกวี”


“เพื่อนจอมเวทของข้าเต็มไปด้วยความเสแสร้ง ถ้าใครเป็นจอมเวทที่มีพรสวรรค์ เราจะต้องแสดงท่าทางด้วยความหวาดระแวงเพื่อให้เป็นไปตามความคาดหวังของคนทั่วไป นี่เป็นประเพณีที่สืบทอดโดย จอมเวทผู้ยิ่งใหญ่คาร์ลอส ... อืมม? มีอะไรผิดปกติ? ทำไมสีหน้าของเจ้าเป็นแบบนั้น”


"...ไม่ ไม่เป็นไร"


ครู่หนึ่งเขาเกือบจะสำลักเสียงออกมา คาร์ลอสมักจะพูดแบบนั้นเมื่อเขาคุยโม้เกี่ยวกับตัวเอง


'ไม่มีทาง ทุกอย่างเกี่ยวกับพิธีกรรมสังหารมังกร และ ดาบวิญญาณมังกร ถูกลืม แต่คำพูดของ คาร์ลอส นั้นยังเหลือรอดอยู่หรือไม่? นอกจากนี้ยังกลายเป็นประเพณี?’


มันเป็นสิ่งที่แย่มาก อาเซลล์ พูดในขณะที่ร่างกายของเขาสั่นเทา


“จอมเวทเชื่ออย่างจริงใจว่างานดังกล่าวเป็นไปได้ ยิ่งไปกว่านั้น พิธีกรรมสังหารมังกร เป็นเครื่องพิสูจน์”


“อืมมม?”


“ตั้งแต่ไหนแต่ไร จอมเวทผู้ยิ่งใหญ่ได้ทำข้อตกลงที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งมนุษย์และมังกร มนุษย์กระหายในความแข็งแกร่ง และมังกรกระหายในสติปัญญา พิธีกรรมทำให้สิ่งที่ทั้งสองฝ่ายต้องการอยู่ในจุดเดียวกัน”


มันเป็นสัญญาระหว่างสองเผ่าพันธุ์ ในขณะเดียวกันก็บัญญัติเป็นกฎของโลกนี้


ไม่เหมือนมนุษย์ มังกรไม่ได้ส่งต่อความรู้ของพวกเขา อย่างไรก็ตาม มังกรทุกตัว—รวมถึงตัวที่เกิดใหม่ด้วย—รู้เกี่ยวกับพิธีกรรมสังหารมังกร


ดวงตาของไคเรนเปิดกว้างราวกับว่าเขาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เขาเพิ่งได้ยิน


“เรื่องราวไร้สาระแบบไหนกัน?”


“อย่างไรก็ตาม นี่เป็นคำตอบเดียวที่ข้าสามารถตอบคำถามของเจ้า”


“อืมมม.......”


ไคเรนขมวดคิ้ว ฟังดูเหมือนเพ้อฝัน แต่เขาไม่มีหลักฐานใดๆ ที่จะโต้แย้งสิ่งที่เขาได้ยิน อาเซลล์ อ้างถึงพิธีกรรมสังหารมังกร ในการต่อสู้กับมังกรปฐพี เพื่อให้ได้รับความสนใจ และผู้บูชาราชามังกรปีศาจก็สนใจอยู่กับข้อเท็จจริงนี้


ไคเรนถามคำถาม


“เอาเป็นว่าทุกคนสามารถไปหามังกรได้ และพวกเขาก็เริ่มพิธีกรรมสังหารมังกร เจ้าหมายถึงว่าพลังของมังกรสามารถได้รับจากการชนะการต่อสู้แบบตัวต่อตัวหรือไม่?


“ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำได้ เป็นไปได้เฉพาะกับมนุษย์เท่านั้น อา เป็นไปได้ที่มังกรปีศาจจะทำได้ พวกเขาแทบไม่มีคุณสมบัติตามข้อกำหนดที่จำเป็นสำหรับสัญญา..."


“โดยพื้นฐานแล้ว มันเป็นไปไม่ได้สำหรับข้าที่จะทดสอบมัน?”


"ใช่"


“อืมม… มันยากที่จะเชื่อเรื่องราวนั้น”


ไคเรน บ่นพึมพำ แต่เขาไม่ได้ถามคำถามอะไรอีก หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไคเรน ก็ลุกขึ้นยืน


“วันนี้เอาแค่นี้ก่อน”


“เจ้าแน่ใจหรือว่านี่คือทั้งหมดสำหรับวันนี้”


"ใช่"


ไคเรนไม่พูดอะไรอีกและกลับไปนอนลงบนผ้าปูที่นอนของเขา จากนั้นเขาก็ผล็อยหลับไปทันที


อาเซลล์มองเขาแวบหนึ่งก่อนจะหันไปมองกองไฟ เขาเริ่มคิด


'พิธีกรรมสังหารมังกร.......'


ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงบทสนทนาที่เขามีในอดีต


เขาเคยฝัน


เขายอมรับว่ามันเกิดขึ้นไกลจากโลกปัจจุบัน มันเป็นความทรงจำจากอดีตอันไกลโพ้น


'อา ก็ประมาณนี้พอดี'


ในฐานะนักบ่มเพาะควบคุมจิตวิญญญาณระดับสูง เขาสามารถชี้นำความฝันของเขาได้ เขายังสามารถเปลี่ยนเนื้อหาในฝันของเขา ในระหว่างกระบวนการควบคุมจิตใจของเขา เขาได้เรียนรู้เคล็ดวิชาที่เขาสามารถสร้างความฝันโดยใช้ความทรงจำที่เฉพาะเจาะจง


อาเซลล์ ใช้เคล็ดวิชานี้เพื่อสร้างส่วนย่อยของอดีตของเขาขึ้นมาใหม่ในรูปแบบของความฝัน


“ข้าจะเปลี่ยนโลกในสักวันหนึ่ง”


เขามีเพื่อนคนหนึ่งที่พูดคำเหล่านั้นเสมอ


หากเป็นคนอื่นพูด เขาคงหัวเราะออกมา ก่อนจะบอกกคนๆ นั้นว่าไร้สาระ อย่างไรก็ตาม นี่คือคาร์ลอส มันไม่ใช่ความฝันของเด็กชายที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะซึ่งไม่รู้ความจริง อาเซลล์ ยอมรับความฝันของผู้ที่มีความสามารถที่จะบรรลุมัน


นี่คือเหตุผลที่ อาเซลล์ถามคำถาม


“เจ้าต้องการเปลี่ยนมันอย่างไร”


“อืม... ข้ายังไม่ได้แนวคิดที่เป็นรูปธรรม สิ่งที่ทำได้กับสิ่งที่อยากทำยังไม่ตรงกัน”


“จะเป็นอย่างไรหากเราสามารถป้องกันไม่ให้เผ่าพันธุ์มังกรปีศาจมาเกิดในโลกนี้ได้”


“ถ้าเป็นไปได้ สงครามบ้าๆนี้ก็จะจบลง อย่างไรก็ตาม การกำเนิดของเผ่าพันธุ์มังกรปีศาจนั้นเกิดจากพลังเวทที่เปลี่ยนแปลงโลก ข้าไม่แน่ใจว่าจะสามารถย้อนกลับการเปลี่ยนแปลงนั้นได้ ถึงกระนั้นก็เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การค้นคว้า”


จอมเวทถือว่าการกำเนิดของเผ่าพันธุ์มังกรปีศาจเป็นผลมาจากพลังเวทอันยิ่งใหญ่ มันเป็นพลังเวทแรกที่สร้างรอยประทับบนโลกใบนี้อย่างไม่มีวันลบเลือน นอกจากนี้ ทุกคนเชื่อว่าราชามังกรปีศาจเอเธน เป็นผู้สร้างจอมเวท


อาเซลล์ ตะคอก


“อย่าเอาคำพูดของข้าไปคิดจริงจังเกินไป เป็นไปได้อย่างไรที่จะเปลี่ยนเผ่าพันธุ์ทั้งหมดให้เป็นหมัน?”


“...เจ้าเห็นอย่างนั้นเหรอ? ดูเหมือนว่าข้าต้องทิ้งความคิดของข้าที่คิดว่าเจ้าเป็นนักดาบโง่ๆ ดูเหมือนว่าเจ้าอาจจะไม่ธรรมดาทีเดียว”


คาร์ลอสประหลาดใจ จากนั้นเขาก็พูดราวกับว่าจู่ๆก็นึกอะไรขึ้นได้


“ถึงกระนั้น ก็อาจใช้วิธีอื่นได้ เช่นเดียวกับพิธีกรรมสังหารมังกร เราอาจสามารถทำสัญญาระหว่างมนุษย์กับเผ่าพันธุ์มังกรปีศาจได้…”


“พิธีกรรมสังหารมังกร ข้าไม่รู้ว่าจอมเวทคนนั้นคิดอะไรอยู่ตอนที่เขาสร้างมันขึ้นมา”


“เจ้าที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจากพิธีกรรมสังหารมังกร ไม่ควรพูดถึงมันในเงื่อนไขเหล่านั้น”


“ข้อเท็จจริงที่ว่าข้าได้ประโยชน์จากพิธีกรรมนั้นเป็นประเด็นที่แยกจากกัน ถึงกระนั้น คนประเภทไหนกันที่คิดพิธีกรรมที่มนุษย์ต้องต่อสู้กับมังกรแบบตัวต่อตัว? เขาคิดว่ามันเป็นการต่อสู้ที่ยุติธรรมหรือไม่”


“จอมเวทเป็นคนที่เพ้อฝันมากเกินไป ข้าคิดว่าเขาเชื่อว่าความดีจะชนะทุกสิ่งเสมอ”


"อะไร?"


อาเซลล์มองไปที่คาร์ลอส ราวกับว่าเขาได้ยินอะไรบางอย่างที่อุกอาจ คาร์ลอสหัวเราะอย่างขมขื่น


“ข้ารู้ว่ามันฟังดูแปลกๆ....อย่างไรก็ตาม ข้าคิดว่านั่นเป็นความคิดของเขาจริงๆ จอมเวทถูกบดบังด้วยอุดมคติที่สวยงามของเขา”


"พูดอะไรหยั่งงั้น?"


“ยุคที่พิธีกรรมสังหารมังกรก่อตัวขึ้นนั้นป่าเถื่อนยิ่งกว่านั้นมาก…. ยิ่งกว่านั้น ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมังกรนั้นแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง”


มังกรเคยอาศัยอยู่ในสถานที่ที่มนุษยชาติไม่เคยเหยียบย่ำ เป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะแสดงตัวต่อโลก อย่างไรก็ตาม คาร์ลอสได้ทำการค้นคว้าบันทึกเก่าๆ เขาพบว่ามังกรแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงก่อนพิธีกรรมสังหารมังกร


“ในอดีต มังกรไม่มีศัตรูตามธรรมชาติ ดังนั้นพวกมันจึงเป็นทรราชของธรรมชาติ พวกมันไม่ลังเลที่จะขยายอาณาเขต และมนุษย์ทุกคนที่ขวางทางก็ถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม


ยิ่งไปกว่านั้น ในตอนนั้น มนุษย์ไม่มีทางหยุดมังกรได้


“เมื่อผ่านพิธีกรรมสังหารมังกร มังกรได้เรียนรู้ว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ควรค่าแก่การเคารพ ยิ่งไปกว่านั้น เวลามีปัญหา ผู้คนไม่ได้คิดอย่างมีเหตุผลเหมือนทุกวันนี้ ไอ้สารเลวนั่นฆ่าคนในครอบครัวเจ้า? จากนั้นเจ้าก็มีสิทธิ์ทุบเขาด้วยก้อนหิน เจ้ามีปัญหา? เมื่อนั้นผู้ที่ชนะในการต่อสู้ก็จะได้รับความเป็นธรรม โลกทำงานในลักษณะนั้น”


“ฟังดูไม่แตกต่างจากปัจจุบันเกินไปเหรอ?”


แม้แต่ในยุคของอาเซลล์ กษัตริย์ก็ยังยืนยันว่าพวกเขาถูกต้อง ถ้าฝ่ายหนึ่งบอกว่าอีกฝ่ายหนึ่งผิด สงครามก็จะยืดเยื้อ เหล่าอัศวินต่างสบประมาทซึ่งกันและกันในขณะที่การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด


คาร์ลอสหัวเราะอย่างขมขื่น


“ตอนนั้นมันแย่กว่านี้มาก อย่างน้อยฝ่ายที่เสียเปรียบ ผู้หญิงของเขาก็ไม่โดนข่มขืนอีกต่อไป ในอดีต ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ประชาชนมีสิทธิเพียงพอที่การกระทำเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก”


“ที่ไหนสักแห่งในโลกนี้ ผู้คนยังคงใช้ชีวิตแบบนั้น”


“ในยุคนั้น วิถีชีวิตนั้นเป็นบรรทัดฐาน พวกเขาไม่มีแม้แต่ภาษากลางที่ทั้งสองเผ่าพันธุ์ใช้สื่อสารกัน แต่พวกเขาก็สามารถจัดพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้แบบตัวต่อตัวได้ มันทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองเผ่าพันธุ์เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก.....หากทั้งสองฝ่ายไม่มีเจตนาที่ดีในหัวใจของพวกเขา มันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะบรรลุผลสำเร็จเช่นนี้”


“เจ้ากำลังบอกว่ามันเป็นยุคที่ป่าเถื่อนมาก และพิธีกรรมก็เป็นไปตามสามัญสำนึกในสมัยนั้น?”


"ใช่ พวกเขาคิดและทำในวิธีที่แตกต่างจากยุคของเราอย่างสิ้นเชิง”


“ข้าคิดว่าคำอธิบายของเจ้าเพ้อฝันมาก... อืม อะไรก็ได้”


อาเซลล์ต้องการพลังอย่างมากเพื่อเอาชนะศัตรูของเขาในสงครามมังกรปีศาจ นี่คือเหตุผลที่เขาท้าทายมังกรเพื่อใช้พลังของพวกเขา เขาล้างเลือดด้วยเลือดขณะที่เขาขโมยพลังของมังกร จากมุมมองของเขา เขาไม่เห็นด้วยกับคำอธิบายของคาร์ลอส


“สักวันหนึ่งข้าจะเปลี่ยนโลก...”


คาร์ลอสพูดในขณะที่เขามองออกไปในระยะไกล


“ข้าต้องการเปลี่ยนส่วนร้ายให้กลายเป็นดี หลังจากสงครามบ้าๆ นี้จบลง ข้า... ข้าต้องการเปลี่ยนโลกเพื่อใครสักคน”


“เจ้าจะทิ้งคำพูดนั้นเมื่อเจ้ามองคนรักของเจ้าอย่างลึกซึ้ง”


อาเซลล์พึมพำ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น