เลือกสีพื้นเพื่ออ่านบทความ >>> พื้นขาว พื้นดำ พื้นครีม

วันเสาร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2564

CBGC 041 ความเมตตากรุณา

 CBGC 041 ความเมตตากรุณา 

  

ซูถิงหยุนไม่ได้รู้ถึงผลของยากล่อมประสาทของหลิวเฟยโจวนั้นจะมีผลกระทบมากขนาดไหน เธอทำได้เพียงแค่กลับไปยังที่พัก ก่อนตรงเข้าไปหาหลีซินเหม่ย แล้วมอบยาระดับสูงที่ได้มาจากหลิวเฟยโจวให้กับหลีซินเหม่ย

  

หลีซินเหม่ยเองก็รู้สึกสงสัยในขณะที่ยื่นมือไปรับยาอย่างเชื่อฟัง ก่อนที่จะกินมันจนหมด  

 

ในเวลานี้ สีหน้าของหลีซินเหม่ยเริ่มดูสับสนและมึนงง หลังจากที่ได้กินยากล่อมประสาท ผลของมันก็เป็นอย่างที่เคยได้ยินมา 

 

ตาโตของเธอเริ่มพร่ามัว และเธอไม่ได้ดูเฉยเมยเช่นในเวลาปกติ ร่างของเด็กสาวเริ่มนุ่มนิ่มและน่ารักเหมือนกระต่าย

  

ซูถิงหยุนลูบที่หัวของเธอเบาๆ หลีซินเหม่ยยกหัวขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ก่อนที่ซูถิงหยุนจะส่งสัญญาณออกไปสองครั้ง 


พลันปรากฏร่างของชายคนหนึ่งที่มีรูปลักษณ์ฉลาดเฉลียว มันทำให้สีหน้าของซูถิงหยุนดีขึ้นเล็กน้อยและปากของเธอก็เผยรอยยิ้มออกมา 

 

"คงต้องรบกวนอาจารย์หลิวแล้ว"

  

หลิวเฟยโจวเงียบไปครู่หนึ่ง หลังจากที่เขาได้ยินคำพูดของซูถิงหยุน เขามองเธออย่างไม่มั่นใจก่อนกล่าวว่า "เจ้า.. ข้าไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของเจ้ากับเทพเซียนหลิงหวูเป็นอย่างไร แต่ในช่วงนี้ เจ้าเองก็ต้องต้องระวังตัวด้วย"

  

มันไม่ใช่ว่าจะต้องระมัดระวังหรือกังวลใจกับตัวเทพเซียน หากแต่ต้องระวังเกี่ยวกับอาวุโสระดับสูง อย่างไรก็ตาม หลิวเฟยโจวไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยถึงชื่อของเขาผู้นั้น... เจ้าควรที่จะรู้ว่าคนเหล่านั้นสามารถปลุกกระแสสายลมไปในทิศทางไหนก็ได้ 

 

หลิวเฟยโจวได้ออกเดินทางในคืนนั้นพร้อมกับหลีซินเหม่ยในทันที โดยที่ไม่มีใครปิดกั้น ซูถิงหยุนรู้สึกตึงเครียดมากขึ้นจนเธอไม่สามารถสงบสติอารมณ์ของเธอได้ จนต้องเดินออกมานอกที่พัก เดินออกไปจนถึงบันไดหินที่เชื่อมต่อระหว่างตำหนักเทียนซือเฟิงกับวิหารอื่น ๆ

  

ตำหนักเทียนซือเฟิงมีรัศมีของพลังลมปราณที่เพียงพอไหลเวียนอยู่บนภูเขา พื้นถนนบนภูเขานั้นทำมาจากแผ่นหินสีฟ้าแบบทั่ว ๆ ไป มีตระไคร่น้ำสีเขียวที่ดูนุ่มเกาะอยู่บนแผ่นหินบริเวณที่มีน้ำขัง  

 

ตั้งแต่ซูถิงหยุนเข้าสู่ตำหนักเทียนซือเฟิง เธอเองก็ไม่เคยไปไหน มานานหลายปี สถานที่เดียวที่เธอเดินไปได้ไกลสุดคืออาคารหว่านเบาโล แต่อาคารหว่านเบาโลก็อยู่บนไหล่เขาของภูเขาตำหนักเทียนซือเฟิง 


ในขณะนี้ซูถิงหยุนกำลังเดินไปตามถนนฉิงซือป่าน ซูถิงหยุนได้เดินออกมาจนกำลังที่จะก้าวออกจากตำหนักเทียนซือเฟิง ทันใดนั้นได้ปรากฏร่างเงาร่างหนึ่งออกมาจากอากาศบางเบา ร่างเงานั้นได้ปิดกั้นเธอไว้ที่ด้านหน้าของเธอ 

 

“นางเว่ยมันดึกแล้ว และมันไม่ปลอดภัยที่เจ้าจะออกไปข้างนอก” คนที่ขวางเธอคือชูหยู เธอแต่งตัวด้วยชุดดำ ในตอนกลางคืนดวงตาของเธอกลับดูสดใส

  

"ข้านอนไม่หลับและไม่สามารถฝึกสมาธิได้ ดังนั้นข้าจึงออกมาเดินเล่น" ซูถิงหยุนตอบ ในตอนท้ายเธอถามอย่างสงสัยกลับไปว่า "ชูหยูทำไมเจ้าถึงได้มาอยู่ที่นี่"

  

ชูหยูหันกลับไป ก่อนก้าวเท้าขวาไปบนก้อนหินที่อยู่ข้างถนน ก้อนหินนั้นจมลงไป และภายใต้สายลมที่พัดผ่าน รัศมีที่แผ่ออกมานั้นดูแข็งแกร่งมาก

  

"บ่มเพาะ" หลังจากพูดแล้ว ชูหยูกระชับดาบที่ถืออยู่ไว้ในมือ และหยุดพูด ซูถิงหยุนรู้ว่าเธอไม่สามารถออกไปจากตำหนักเทียนซือเฟิงได้ ก่อนที่เธอจะหันหลังกลับ เดินขึ้นบันไดไปทีละขั้น 

 

เธอเดินช้าๆ ในขณะที่กำลังคิดอยู่ตลอดทางถึงสิ่งที่ผู้อาวุโสจะทำและสิ่งที่เธอจะต้องเผชิญในอนาคตอันใกล้ แต่เธอไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเธอจะสามารถทำอะไรได้บ้าง มันเป็นเพียงการเต้นของหัวใจที่ดูจะแย่ลงเรื่อย ๆ ราวกับว่ามันจะโผล่ออกมาจากอกของเธอในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง

  

บันไดนี้จะพาเธอไปถึงชั้นด้านบน แม้ว่าเธอจะเดินขึ้นไปอย่างช้าๆ 


ซูถิงหยุนเดินช้า ๆ กลับไปที่บ่อน้ำ เธอไม่สามารถใจเย็นได้ในขณะที่นั่งข้างหญ้าหางจระเข้ 

 

ก่อนหน้านี้เธอกังวลเกินไป พยายามที่จะหาทางทำให้เสี่ยวเหม่ยออกไปก่อน จนเธอไม่ได้สนใจหญ้าหางจระเข้ แต่มันก็ดูจะไม่เหมาะหากจะมอบหญ้าหางจระเข้ให้หลิวเฟยโจว... มันเป็นแค่หญ้า

  

"ข้าคิดว่า ข้าอาจจะต้องทำอะไรซักอย่าง" เธอสัมผัสใบไม้ขนาดใหญ่ของหญ้าหางจระเข้ "จะไม่มีใครจะดูแลเจ้าในอนาคต ข้าจะทำอะไรได้บ้าง"

  

ในอดีต มันจะหัวเราะทุกครั้งที่ซูถิงหยุนแตะมัน แต่คราวนี้หญ้าหางจระเข้ไม่ขยับและมันก็ไม่ส่งเสียงอะไรออกมาเลย

  

ซูถิงหยุนนั่งอยู่ริมสระน้ำจนถึงรุ่งเช้า 


เช้าตรู่ของวันถัดมา ชูหลิงที่มีใบหน้านิ่งเฉยได้เข้ามาแจ้งข่าวอย่างไม่เต็มใจให้กับซูถืงหยุน "หลิงหวู ได้ขอให้ภรรยาของเขาไปพบที่ห้องโถงใหญ่เพื่อแจ้งข่าว"

  

ถึงเวลาแล้ว!

  

ซูถิงหยุนไม่ได้คาดคิดว่า มันจะมาถึงเร็วขนาดนี้ ซูถิงหยุนเดินตามชูหลิงไปด้วยความตึงเครียด และหลังจากเข้าไปในห้องโถงใหญ่สิ่งแรกที่เธอเห็นกลับไม่ใช่ซูหลี่เจียง หากแต่เป็นผู้อาวุโสที่มีผมสีขาวโพลน

  

เซียนที่ผ่านการฝึกฝนตนเองจะสามารถรักษารูปร่างหน้าตาของพวกเขาให้อยู่ในช่วงวัยหนุ่มสาวหรือวัยกลางคนได้ พวกเขาจะไม่แก่ชรา จนกว่าพวกเขาจะเข้าใกล้ดินแดนโชวหยวน 


ผู้อาวุโสที่อยู่ข้างหน้าเธอมีผิวหนังเหี่ยวย่นราวกับหนังไก่ รูปร่างผอมแห้ง และดวงตาของเขามีเมฆหมอกปกคลุม จนดูพร่ามัว มือของเขาเป็นเหมือนกิ่งไม้ที่ตายแล้ว มือทั้งคู่วางอยู่บนที่วางแขนของที่นั่งแกะสลัก มันแทบจะมองไม่เห็นว่าเขามีเล็บมีสีดำหรือไม่

  

ผู้ชายคนนี้เป็นผู้อาวุโสของหวูเหลียงซาน ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายความตาย และซูถิงหยุนไม่เคยจินตนาการว่าตัวละครในตำนานผู้นี้จะแก่มากขนาดนี้

  

"หลิงหวู" กูเฟิงหยางเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่เบามาก และเขาเองก็ดูอ่อนแอเมื่อเขาพูด นิ้วของเขาขยับเล็กน้อยเพียงไม่กี่ครั้ง 

  

"อาจารย์ ศิษย์อยู่นี่" หลิงหวูยืนอยู่ด้านหลังเสาหยกในห้องโถงใหญ่ ในขณะนี้เขาก้าวออกมาจากด้านหลังเสาและปรากฏตัวต่อสายตาของซูถิงหยุน

  

"มันขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว" กูเฟิงหยางหลับตาหลังจากพูดจบ หลิงหวูหันไปมองที่ซูถิงหยุน สีหน้าเย็นชาของเขาหายไปในเวลานี้ 

  

เมื่อเขาทะลวงผ่านดินแดนจินถาน เขาได้สร้างจินถานมาแล้วเจ็ดเส้น ความแข็งแกร่งของเขาเปรียบได้กับเซียนในขั้นกลางของระดับจินถานโดยตรง ในปีต่อ ๆ มาเขาก็สามารถก้าวกระโดด ในการฝึกฝนในต่างแดน(เกาะทดสอบ) เขายังเป็นสายชนวนที่ลึกซึ้ง ที่ได้เข้ามาเกี่ยวพันในเวลาอันสั้น 

 

ซูหลี่เจียงมีความมั่นใจ ภายในสิบปี เขาจะสามารถก้าวเข้าไปยังดินแดนหยวนหยิง 


อย่างไรก็ตามอาจารย์กล่าวว่า เขาไม่สามารถรอได้นานถึงสิบปี 


เช่นเดียวกับเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่มีร่างกายของ เว่ยซิงปิง (ร่างกายพิเศษ) ที่อยู่รอบ ๆ เว่ยหยุน ร่างกายของซูหลี่เจียงเองก็มีความพิเศษเช่นกัน เขาเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ ถ้าเขายังฝึกอยู่ต่อไปเรื่อย ๆ เขาจะสามารถทะลวงผ่านดินแดนหยวนหยิงได้ก่อนเวลาที่คาดการณ์ไว้

  

นางเซียน บุตรของ ฮัวเย่วจง (ผู้นำนิกายฮันเย่ว) เองก็มีร่างกายที่มีความเป็นพิเศษ 

 

หากแต่กลับมีมารผจญที่เข้ามากั้น นั่นก็คือเว่ยหยุน ที่เป็นผู้ทำลายสิ่งนี้ทั้งหมด

  

ตัวเว่ยหยุนเองไม่ได้มีความสามารถในการบ่มเพาะ ถ้าหากเธอไม่ได้รับยา เธอจะไม่รู้สึกถึงพลังลมปราณใดๆ อย่าว่าแต่พูดคุยเกี่ยวกับการบ่มเพาะเลย 

 

ซูถิงหยุนรู้สึกชาตั้งแต่หนังศีรษะลงไปถึงปลายเท้า เธอจ้องมองไปที่ตาของซูหลี่เจียงและความรู้สึกนั้นทำให้เธอรู้สึกท้อถอยมากขึ้น เหงื่อออกจากฝ่ามือและฝ่าเท้าของเธอ

  

ในขณะนี้ กูเฟิงหยางที่นั่งเฉยในตอนแรกได้เอ่ยออกมาอีกครั้ง "ยังไม่ลงมืออีกหรือ?"

  

"หลิงหวู เจ้าไม่สามารถตัดสินใจใด้ด้วยอารมณ์ในตอนนี้ของเจ้า เจ้าจะต่อต้านหมาป่า เสือดาวที่น่ารังเกียจ เหล่าเสือโคร่งที่ไร้ศีลธรรมเฟล่านั้นได้อย่างไร?"

  

หลังจากที่กูเฟิงหยางพูดจบ เขาก็เริ่มไอออกมาอย่างรุนแรง "แค่ก แค่ก ในเมื่อเจ้าไม่สามารถต่อต้านปีศาจได้ด้วยตัวเอง เจ้าต้องสามารถตัดต้นตอของปีศาจด้วยดาบของเจ้า แค่ผู้หญิงคนเดียว มันผู้นี้ไม่คู่ควรที่จะได้ศิษย์ของข้า กูเฟิงหยาง"

  

ในความเป็นจริง เขาเกือบจะเห็นมันได้ชัดเจน ซูหลี่เจียงรู้สึกว่าเขาอาจที่จะสามารถคิดหาเหตุผลออกมาได้เมื่อหลายปี เว่ยหยุนยืนอยู่ต่อหน้าต่อตาของเขา และสภาพจิตใจของเขาก็นิ่งสงบเหมือนบ่อน้ำโบราณ อย่างไรก็ตามอาจารย์ก็ไม่เชื่อในตัวเขา


ดาบในมือของซูหลี่เจียงดึงออกมาจากฝัก และเสียงโลหะที่เสียดสีดังสะท้านออกมา มันทำให้ขาและเท้าของซูถิงหยุนอ่อนนุ่มจนเธอต้องถอยกลับไปครึ่งก้าว

  

ผู้อาวุโสไท่ชาง (กูเฟิงหยาง) ต้องการที่จะรับรู้ว่า เว่ยหยุนจะถูกฆ่าโดยเทพเซียน!

  

ซูถิงหยุนอยากจะพูด แต่ในขณะนี้ผู้อาวุโสเงยหน้าขึ้นมองและทันใดนั้นแสงสว่างในดวงตาที่ขุ่นมัวของเขาก็ปะทุขึ้น ราวกับว่าผู้คนสามารถถูกทำร้ายด้วยสายตานั้นได้ ซูถิงหยุนกุมคอของเธอด้วยมือทั้งสองข้าง พูดไม่ออก

  

ความกดดันในร่างกายของเธอ เหมือนภูเขาซึ่งทำให้เธอแทบหยุดหายใจ

  

เธอไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ เธอทำได้แค่เบิกตากว้างแล้วจ้องไปที่ซูหลี่เจียงโดยไม่กระพริบตา... ทำไม? การฆ่าจึงจะสามารถแก้ปัญหาปีศาจได้หรือไม่ มันเป็นไปได้ยังไง!

  

น้ำตาสั่นระริกในดวงตาของเธอ ก่อนที่มันจะไหลรินรดแก้มลงมา โดยที่เธอไม่สามารถหยุดมันไว้ได้ ใบหน้าที่ปกติไม่น่ามอง ก็ยิ่งดูแปลกไปมากกว่าเดิม

  

อย่างไรก็ตาม ดาบในมือของซูหลี่เจียงกลับถูกเสียบกลับคืนฝัก ก่อนที่เขาจะหันหลังกลับเพื่อคำนับผู้อาวุโสไท่ซาง "อาจารย์ หากฆ่าเธอ ศิษย์จะไม่สามารถต่อต้านปีศาจได้อีกเลยตลอดชีวิต"

  

ซูหลี่เจียงไม่ใช่คนโหดร้าย มิฉะนั้นเขาจะไม่ติดกับดักมานานหลายปี เขาดูเฉยเมย แต่นั่นก็เป็นเพราะเขาไม่สนใจใครเลย 

 

"ไร้ประโยชน์!" กูเฟิงหยางถอนหายใจด้วยความโกรธ "เจ้าอยากทำให้อาจารย์ของเจ้าขุ่นเคือง ใช่หรือไม่?"

  

เขาต้องการบังคับลูกศิษย์ที่โง่เขลาคนนี้ให้ลงมือทำมันด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า จะมีเพียงเขาที่จะทำมันได้เท่านั้น 


อย่างไรก็ตามในขณะนี้ เขาจำบางสิ่งได้ เขาทำการติดต่อกับอาจารย์ถานด้วยหยกสื่อสารว่า "เจ้าบอกว่า ทุกอย่างจะดีขึ้นหรือไม่?"

 

หลังจากได้รับคำตอบในเชิงบวก กูเฟิงหยางโบกมืออย่างเหนื่อยล้า "ไร้เหตุผล ออกไปซะ ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้า"

  

ซูหลี่เจียงจ้องมองทางด้านข้างเว่ยหยุน "ถ้าอย่างนั้น เว่ยหยุน ... "

  

ก่อนที่เขาจะพูดจบ ผู้อาวุโสก็สะบัดมือ และพูดออกไป "ไป!"

  

ร่างของซูหลี่เจียงบินออกไปโดยตรงในทันที ก่อนที่ร่างกายของเขาจะกระแทกเข้ากับเสาหยกขาว แรงผลักก็ยังไม่ลดลง ร่างของเขาบินต่อออกไปจนกระเด็นออกจากห้องโถงโดยตรง เมื่อซูหลี่เจียงยืนขึ้น เลือดก็ไหลออกมาจากมุมปากของเขา

  

ชูหลิงเก็บตัวเงียบที่ด้านนอกห้องโถง ในขณะนี้เมื่อเห็นว่าเทพเซียนถูกขับไล่ออกมา เธอก็เป็นกังวล และตั้งใจที่จะเข้าไปช่วย ก่อนจะเห็นว่าซูหลี่เจียงลุกขึ้นยืนและอยากจะเข้าไปในห้องโถงอีกครั้ง 

 

อย่างไรก็ตามในเวลานี้มีตาข่ายอาคมที่ด้านนอกห้องโถง เขาถูกระดมยิงในทันทีหลายครั้ง เมื่อเขาพยายามที่จะเข้าไปในห้องโถง ซึ่งทำให้ชูหลิงรู้สึกตกใจ ในขณะที่เธอพุ่งเข้าไปแล้วพูดพึมพำออกมาอย่างเงียบ ๆ "ทำไม?"

  

เพียงไม่กี่คำที่สามารถเอ่ย….ก่อนที่ซูหลี่เจียงจะบินออกมาอีกครั้ง

  

ในขณะเดียวกัน ใบหน้าของชูหยูนั้นไร้ความรู้สึก และเธอก็ไม่ได้มองซูหลี่เจียงหรือใส่ใจเขาเช่นที่ว่า "เขาเป็นอะไรหรือไม่"


ชูหลิงจ้องไปที่ชูหยูอย่างว่างเปล่า ในตอนนี้เธอเพียงแค่รู้สึกว่าไม่เคยเห็นแม่บ้านคนนี้มาก่อน มันมองดูราวกลับไม่อาจหยั่งรู้ได้ และรัศมีลมปราณที่เยือกเย็นที่เล็ดลอดออกมาจากร่างกายของอีกฝ่าย มันก็ทำให้เธอกระสับกระส่าย

  

ในเวลานี้ถานเฟิงหยาง (อาจารย์ใหญ่ปรุงยา) ได้รีบก้าวขึ้นบันไดไปสองสามก้าว เข้าไปในห้องโถงใหญ่โดยไม่มีสิ่งกีดขวางใด ๆ 

 

"ซูหลี่เจียงเกิดมาพร้อมกับสภาพร่างการที่มีความพิเศษ และหยางหยวนที่หายไปในเวลานั้นได้หล่อเลี้ยงร่างกายของเว่ยหยุน ทำให้เธอกลายเป็นวัตถุดิบยาที่ขาดไม่ได้สำหรับยาเหยาหยางถาน"

  

"ดี น้องถาน เจ้ารู้หรือไม่ ข้าไม่สามารถรอได้อีกต่อไปแล้ว" ผู้อาวุโสกูเฟิงหยางอ่อนแอเกินกว่าที่จะพูดอะไรออกมาได้อีก

  

เมื่อซูหลี่เจียงได้รับเหยาหยางถาน เขาก็จะสามารถบุกทะลวงผ่านดินแดนทารกหยวนได้สำเร็จ และได้รับการฟื้นฟูในช่วงเวลาสั้น ๆ เพื่อปีนขึ้นไปสู่ช่วงขั้นกลางของดินแดนทารกหยวน และในเวลานั้นร่างกายของเขาแทบจะไม่สามารถต้านทานสำหรับการทะลวงผ่านดินแดนเฟิงหยาง ร่างกายของเขาทรุดโทรมและเขาจะไม่สามารถคงสภาพร่างกายที่มีความสามารถและรูปงาม!

  

ถานเฟิงหยางมองดูเว่ยหยุนขึ้น ๆ ลง ๆ และพยักหน้า "วัตถุดิบพร้อมแล้วและตอนนี้เจ้าจะพร้อมที่ปรุงยาใช่หรือไม่ เจ้าไม่ได้บอกว่าลูกศิษย์ของเจ้าได้ฆ่าเธอด้วยตัวเองไปแล้วหรอกหรือ? แล้วก็โกหกเขาหลังจากที่เขาจัดการปีศาจ? มันอยู่ในกระบวนการรวบรวมถาน..."

  

ถานเฟิงหยางถูกขัดจังหวะพูด โดยผู้อาวุโสไท่ซาง ก่อนที่เขาจะพูดจบ "ความอ่อนโยนใจดีของเขา ยากที่จะทนทานได้!"

  

"มนุษย์ที่มาที่นี่ พวกเขาไม่เคยได้เห็นโลกนี้มาก่อน พวกเขาไม่เคยสัมผัสกับความโหดร้าย โดยธรรมชาติ มันจะต้องเป็นแบบนี้ ..." ถานเฟิงหยางสามารถเข้าใจจิตใจของของซูหลี่เจียง 

 

บทสนทนาระหว่างคนทั้งสองนั้นดำเนินต่อไป โดยที่ไม่ได้สนใจกับการมีตัวตนของซูถิงหยุน เห็นได้ชัดว่าเธอได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็นคนตาย

 

...

 

 

เมื่อซูถิงหยุนได้ยินคำพูดของถานเฟิงหยาง เธอไม่สามารถตอบสนองใด ๆ ได้ในตอนแรก ด้วยที่เธอไม่สามารถเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน

  

พวกเขาต้องการที่จะนำตัวเธอไปปรุงยา!

  

ใช้คนที่มีชีวิตเพื่อเป็นวัตถุดิบในการปรุงยา!

  

ซูถิงหยุนคิดว่ามันเป็นฝันร้าย เธอจิกแขนของเธอจนหมดแรงและอยากตื่นจากความฝัน อย่างไรก็ตามแขนของเธอกลายเป็นรอยแดงอย่างชัดเจน ผู้คนและสิ่งที่อยู่ข้างหน้าเธอยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

  

ในขณะนี้ถานเฟิงหยางพูดขึ้นมาอย่างก็ไม่พอใจว่า "หลิวเฟยโจวหายหัวไปไหนแล้ว"

  

เวลานี้การปรุงยาเป็นสิ่งสำคัญ เขายังต้องการผู้ช่วย กูเฟิงหยาง ไม่ได้บอกเขาถึงวัตุดิบยาสำหรับการปรุงยาพร้อมแล้วล่วงหน้า  ดังนั้นเขาจึงไม่ได้บอกหลิวเฟยโจวไว้ก่อน เขาแค่คิดว่าศิษย์ของเขาจะพร้อมให้ถูกเรียกหาได้ตลอด แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้อยู่ในตำหนักเทียนซือเฟิง

  

เขาไปไหน?

  

อาจารย์ถานนำหยกสื่อสารออกมาและเริ่มติดต่อหลิวเฟยโจว เมื่อรัศมีแสงสว่างแผ่ออกมา เขาก็กล่าวว่า "เด็กสารเลว เจ้าอยู่ไหน กลับมาที่ตำหนักเดี๋ยวนี้ เพื่อมาปรุงยาเหยาหยางถานระดับแปดกับข้า!"


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น