เลือกสีพื้นเพื่ออ่านบทความ >>> พื้นขาว พื้นดำ พื้นครีม

วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2563

CBGC 036 ฝนบนภูเขากำลังมา


CBGC 036 ฝนบนภูเขากำลังมา

  

หวูเหลียงซานเริ่มที่จะมีความวุ่นวายกับปัญหาที่ยุ่งยาก

 

นับตั้งแต่ที่วังลึกลับได้ปรากฏขึ้นบนเกาะทดสอบ มันได้ถูกทำการตรวจสอบทั่วบริเวณทั้งหมดจนได้ผลสรุปจากผู้เชี่ยวชาญระดับสูงหลายคนว่า วังแห่งนี้ไม่ได้ปรากฏขึ้นตามธรรมชาติ แต่มันตาข่ายอาคมของมันได้ถูกทำลายอย่างรุนแรงก่อนที่มันจะปรากฏขึ้นต่อท้องฟ้าและเหนือทะเล 

 

ตอนนี้สิ่งต่าง ๆ ในวังเองก็ดูแปลกมาก ไม่ว่าพวกเขาจะค้นพบสมบัติอะไร มีคุณค่าขนาดไหน แม้ว่าพวกเขาจะมีจิตรับรู้ระดับชั้นยอด แต่ทว่าทสมบัติเหล่านั้นจะอันตธานหายไปในอากาศภายในสามวันหลังจากที่พวกเขาได้รับพวกมัน และถ้าหากพวกเขาได้กลับไปที่วังนั้นอีกครั้ง พวกเขาจะสามารถพบสมบัตินั้นและพวกมันยังคงอยู่ที่เดิม 

 

ยังคงเหมือนเดิม เหมือนไม่เคยถูกนำออกไป 

 

ทุกคนต่างพากันงงงวย และในที่สุดก็ชี้นิ้วไปที่นิกายหวูเหลียงซาน ผู้ค้นพบวังเป็นนิกายแรก พวกเขาได้รับผลประโยชน์พิเศษอะไรหรือไม่? ความแปลกประหลาดของสิ่งต่าง ๆ ในวังนี้เกี่ยวข้องกับหวูเหลียงซานหรือไม่? หรือหวูเหลียงซานเกี่ยวข้องกับการทำลายตาข่ายอาคมในก่อนหน้านี้หรือไม่?

   

ในเวลานั้น ผู้ที่เข้าร่วมจากนิกายหวูเหลียงซานมีเซียนระดับหยวนหยวนเพียงคนเดียวภายใต้ ลั่วหยานซาน(?) คนอื่นต่างเป็นเพียงศิษย์ใหม่และศิษย์ที่เข้าร่วมในการฝึกเท่านั้น 


ดังนั้น ลั่วหยานซาน จึงตกอยู่ภายใต้แรงกดดันสูงสุด เขาเพิ่งดิ้นรนเพื่อจัดการกับเหล่าผู้ที่เข้ามาเพื่อทำลายเขาเป็นหลัก 


เหล่าอาวุโสเซียนที่บุกเข้ามาไม่ได้มีพลังมากพอที่จะไปที่วังเพื่อค้นหาสมบัติ และในที่สุดก็ยอมล่าถอยออกจากหวูเหลียงซานอย่างไม่เต็มใจ และรออยู่ที่นอกนิกายเท่านั้น

  

เขาไม่ใช่คนของวิหารฟูจง เขาไม่เก่งในเรื่องอักขระอาคม แล้วเขาจะทำลายตาข่ายอาคมได้อย่างไร คนเหล่านั้นแสดงท่าทางชัดเจนว่าพวกเขาไม่เชื่อในคำพูดของเขา และมาถามทุกวัน เขาจะพิสูจน์มันได้อย่างไร

  

มันคลุมเครือมาก!

 

 

...

 

 

เนื่องจากเหตุการณ์นี้ หวูเหลียงซานจึงมีผู้คนมากระแทกที่ข้างประตูนิกายอยู่บ่อยครั้ง มันเต็มไปด้วยเจตนาชั่วร้าย สิ่งนี้ทำให้พวกเขามีช่วงเวลาที่ยากลำบาก วิกฤตกาลในครั้งนี้ศิษย์ของนิกายจำนวนมากถูกวางยาพิษและหวูเหลียนซานก็ถูกกระตุ้น 

 

เหล่าศิษย์จงเหมินมีความตึงเครียดมากยิ่งขึ้น และบรรยากาศที่อึมครึมได้แพร่กระจายไปถึงตำหนักเทียนซือเฟิง เซียนบางคนที่เคยล่าถอยให้กับผู้อาวุโสได้กลับมาที่ตำหนักเทียนซือเฟิง ในขณะที่หลิงหวูออกไปข้างนอก เพื่อตามหาศิษย์ทั้งสิบเอ็ดคนของเทพเซียน เพื่อสืบสวนข่าวดังกล่าว 


ดูซวีจือ และ หยินหลี่ ถูกรบกวนอย่างหนัก แต่พวกเขาก็ยังอยากรู้เกี่ยวกับการสืบค้นข่าวของเกาะ พวกเขายังสามารถอดกลั้นเก็บอารมณ์ของเขาเอาไว้ได้เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลที่จำเป็นกับคนเหล่านั้น 

 

ซูถิงหยุนไม่ได้ให้ความสนใจกับสิ่งเหล่านี้ จนกระทั่งเธอได้ยินคนเหล่านั้นสงสัยว่า มีบางคนได้ทำลายตาข่ายอาคมและมีบางสิ่งที่พิเศษเกิดขึ้น จากนั้น มันก็ดึงดูดความสนใจของเธอ

  

เปลวไฟของเธอได้มาจากเกาะทดสอบ แต่เปลวไฟดังกล่าวมีค่าเท่ากับนิกายทั้งสองของโลกการบ่มเพาะหรือไม่? หรือแม้แต่อาจที่จะสร้างนิกายแห่งการบ่มเพาะที่ทรงพลังเช่น หวูเหลียงซาน ...

  

ซูถิงหยุน เข้าใจถึงสาเหตุที่ผู้ชายรู้สึกผิดและรู้สึกละอาย นอกจากนี้เธอยังรู้อีกว่า ถานฮัวสามารถถอดถอนออกจากร่างกายได้ ถานฮัวของหลิวเฟยโจวเคยเป็นของกูฮัว และมันก็สามารถถูกฉกฉวยเอาไปได้

  

ตอนนี้เธอไม่กล้าปรุงยาโดยใช้ธาตุไฟ ทุกครั้งที่เธอปรุงยา คุณภาพของยาจะต่ำกว่าก่อนมาก หลีซินเหม่ยได้มารับรันไหมถานเพื่อฝึกซ้อมทุกวัน และเธอก็สามารถรู้สึกถึงความแตกต่างของตัวยา อย่างไรก็ตามเธอก็รู้ว่าสถานการณ์นั้นค่อนข้างเร่งด่วนและเธอต้องเก็บเป็นความลับ ดังนั้นเธอจึงไม่ถามเรื่องยามากเกินไป

  

แม้กระนั้น เมื่อกลับมาใช้รันไหมถานคุณภาพต่ำ ความเจ็บปวดในระหว่างการฝึกดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นเป็นพันเท่าในคราวนี้ เธอไม่สามารถต้านทานต่อการโคจรพลังลมปราณได้ ในช่วงเวลาแห่งการบ่มเพาะ มันก็ดูราวกับว่ามีมดหลายพันตัวกำลังกัดกินร่างกายเธอ ความเจ็บปวดดูเหมือนจะเป็นเช่นพายุทะเลที่ซัดสาดเข้าปะทะภูเขา ทำลายพลังใจของเธอ จนรากฟันที่เคยยึดติดแน่นเริ่มสั่นคลอนในที่สุดเนื่องจากการกัดฟันท่ามกลางความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้น

  

สำหรับศิษย์ฝึกหัด หลีซินเหม่ย หนิงสวีจือมักจะรู้สึกเสียใจเสมอ เห็นได้ชัดว่าเธอมีความสามารถสูง แต่เธอก็ไม่สามารถก้าวหน้าได้เนื่องจากอาการบาดเจ็บ ถ้าเป็นคนอื่น ก็อาจที่จะยอมแพ้นานแล้ว แต่เธอยังคงยืนยันที่จะทำการฝึกฝน เด็กหญิงผู้นี้แข็งแกร่งกว่าหลาย ๆ คน

  

หากเขารู้ว่าใครทำร้ายเธอ เขาจะสับคนคนนั้นเป็นล้าน ๆ ชิ้น!

  

บางทีมันเป็นการยืนกรานของ หลีซินเหม่ย ที่ทำให้เขาประทับใจ ดังนั้นแม้ว่าจะรู้ว่าเธอจะอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากในอนาคต หนิงสวีจือยังคงปฏิบัติต่อเธอเป็นอย่างดีและก็ใส่ใจกับเธอเสมอ 

 

คราวนี้หลังจากได้ยินเสียงกรีดร้องของหลีซินเหม่ย หนิงสวีจือรีบวิ่งเข้าไปก่อนมองเข้าไปในตาข่ายอาคม อาจารย์ร่างอ้วนสามารถรับรู้แค่ว่าเธอกำลังฝึกซ้อมท่ามกลางความเจ็บปวด แต่ไม่ได้คาดหวังว่าเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้จะเจ็บปวดอะไรมากมาย

  

ร่างของเธอถูกปกคลุมไปด้วยเลือด และผิวหนังของเธอถูกปกคลุมด้วยเลือดอย่างหนาแน่น ร่างทั้งหมดดูแย่มาก 

 

การบาดเจ็บดังกล่าวไม่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยยาทั่วๆไป  หนิงสวีจือสามารถนำเธอไปที่ตำหนักเทียนซือเฟิงได้เท่านั้นและตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้ที่จะขอให้อาจารย์ถานรักษา ดังนั้นเธอจึงถูกส่งไปยังเว่ยหยุ่น ผู้ซึ่งสามารถเรียนรู้การปรุงยา 

 

แต่เดิมศิษย์ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาควรที่จะส่งไปยังวิหารอื่น ๆ แต่หลีซินเหม่ยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเซียนของตำหนักเทียนซือเฟิง พวกเขาไม่ควรปฏิเสธที่จะรักษาเธอ ...

  

หนิงสวีจืออดที่จะกังวลไม่ได้ แต่เขาก็ยังส่งคนไปที่ตำหนักเทียนซือเฟิง แต่เมื่อเขาไปถึง เขากลับพบว่าคนที่ส่งมาล่วงหน้าที่ตำหนักเทียนซือเฟิง ได้ถูกหยุดไว้โดยผู้มาใหม่และศิษย์ที่ได้เข้าไปฝึกซ้อมบนเกาะทดสอบ (เจินฟา) เพื่อถามถึงเรื่องสำคัญ

   

มีเพียงผู้มาใหม่สี่คนและศิษย์จากเกาะทดสอบเจินฟา อีกไม่กี่นาทีต่อมาทั้งสามก็ได้เดินเข้ามา ในขณะที่หลีซินเหม่ยหมดสติบนอุปกรณ์บินของหนิงสวีจือ ที่ด้านหน้าคนหลายคน

  

"พวกเขาเป็นใคร?" หัวหน้าเจียงเฟ่ยหยุนหันไปมองดูทั้งสี่คนจากคนทั้งหมด เขามองด้วยหางตาไปที่ชายคนหนึ่งในชุด ซิงอี้ (ชุดกระโปรงสไตล์จีน Tsing Yi) แล้วพูดอย่างหงุดหงิดว่า "ศิษย์สี่คนบนเกาะทดสอบ จากวิหารเจินฟูเถียนนั้นมีระดับสูงที่สุด แต่ถ้าเจ้ายังยึดความคิดของตัวเอง เจ้าจะยังสามารถทำลายลานอักขระอาคมได้หรือไม่?"

  

ชายในชุดซิงอี้ไม่ตอบ ในขณะที่ดวงตาของเขาทำการกวาดไปยังคนทั้งสี่ หลายคนรู้สึกราวกับว่าพวกเขากำลังถูกปล้น และยืนนิ่งอยู่กับที่ ร่างกายของพวกเขาสั่นสะท้านโดยไม่ตั้งใจและจิตวิญญาณก็สั่นคลอนเบา ๆ 

 

การแสดงออกสีหน้าของเจียงเฟยหยุนดูไม่พอใจมากนัก โดยการพึ่งพาทักษะการฝึกฝนของเขา เขาทำการค้นหากระเป๋ามิติของสี่คนที่อยู่ภายใต้นิกายของเขา

  

อย่างไรก็ตามสถานะของอีกฝ่ายนั้นสูงมาก และมันหมายถึงกลุ่มใหญ่อีกกลุ่มหนึ่ง เจียงเฟยหยุนไม่ได้รู้สึกว่าไม่พอใจอีกต่อไป เขาจะไม่ตบหน้าอีกฝ่าย เนื่องจากผู้มาใหม่และศิษย์เหล่านี้

  

ชายในชุดซิงอี้หันไปมองหญิงสาวที่บาดเจ็บซึ่งอยู่ข้างหน้าหนิงสวีจือและพูดอย่างไม่ลังเล "ข้าได้ยินมาว่ามีนางเซียนคนหนึ่งในวิหารเจินฟูเถียน ที่ได้รับดวงตาผ่ามิติ"

  

ใบหน้าของหนิงสวีจือตึงในทันที ตัวเขาเห็นสัญลักษณ์จันทร์เสี้ยวปักอยู่ที่มุมหนึ่งของชุดซิงอี้ และหัวใจของเขาก็บังเกิดความเคารพและหวาดกลัว ชายในชุดซิงอี้ผู้นี้คือ เหลียวเฉิงจุน หรือไม่? เป็นอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่สามารถพบเห็นได้ในโลกนี้หรือไม่?

  

ไม่แปลกใจเลย แม้แต่ผู้นำมาก่อนหน้านี้ก็ยังต้องสุภาพต่อเขา หนิงสวีจือกล่าวอย่างเคารพนับถือ "มันเป็นเรื่องจริงทั้งหมด เซียวเหม่ยมีอาการป่วยของเงามืดภายในร่างกายของเธอ และเธอแทบจะไม่สามารถทำการบ่มเพาะได้เลย แล้วจะยังรับสืบทอดดวงตาจากบรรพบุรุษได้อย่างไร" เขาถอนหายใจ "พลังการสืบทอดของอาจารย์เพียงพอที่จะบดขยี้เธอ"

  

เหลียวเฉิงจุนยังคงมองดูหลีซินเหม่ยที่หมดสติอย่างระมัดระวัง เขายังเป็นอาจารย์ระดับผู้เชี่ยวชาญ (ดาวดาว Dao Dao น่าจะหมายถึงเชี่ยวชาญ?) ด้วย เขาย่อมรู้โดยธรรมชาติแล้วว่าเด็กหญิงคนนี้มีอาการป่วยของเงามืดในร่างกายของเธอและเห็นได้ว่าเธอตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เพราะเธอฝืนบังคับร่างกายเพื่อที่จะทำการบ่มเพาะ และเขาเพิ่งค้นพบด้วยจิตรับรู้อันศักดิ์สิทธิ์ ว่าไม่มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับตัวเธอ

  

ใบหน้าของ เจียงเฟยหยุน ไม่ดีนัด แม้ว่าท่าทีของหนิงสวีจือนั้นจะให้ความเคารพ แต่บางครั้งเขาก็จ้องมองไปที่อุปกรณ์การบินและดูกังวลเล็กน้อย เหลียวเฉิงจุนไม่ต้องการรุกรานหวูเหลียงซานมากเกินไป เขายกมือขึ้นแล้วหยิบไม้เลื้อยสีเขียว ด้วยปลายนิ้วของเขา ก่อนห่อรอบลำตัวของหลีซินเหม่ยโดยตรง

  

"อ่า ไม้ที่ตาย เริ่มผลิใบ!"

  

มีกระแสพลังที่มั่นคงแผ่ออกมาจากไม้เลื้อยและม่านไอหมอกฟ้าได้ห่อหุ้มหลีซินเหม่ย และในวินาทีต่อมาเหลียวเฉิงจุนก็ถอนมือของเขาออกมา “ข้าระงับอาการบาดเจ็บของเธอ และอาการบาดเจ็บภายในยังคงต้องการการพักฟื้นในระยะยาว เส้นลมปราณนั้นเปราะบางและได้รับความเสียหาย มันไม่าจที่จะฝืนบ่มเพาะได้ในอนาคต”

  

"ขอบคุณ" หลังจากนั้น หนิงสวีจือก้มคำนับและกล่าวคำขอบคุณ เขานำหลีซินเหม่ยไปที่ตำหนักเทียนซือเฟิง ในขณะที่ศิษย์ใหม่อีกสามคนกำลังตกตะลึงจากสิ่งที่พวกเขาเห็นในเวลานี้ พวกเขาจะจินตนาการไม่ได้อย่างไรว่า หลีซินเหม่ย ผู้ซึ่งเป็นที่อิจฉามาตลอด เส้นลมปราณของเธอถูกทำลายและกลายเป็นขยะ

  

ฟางถิงหยวนมองดูหลีซินเหม่ยด้วยความตกใจและอารมณ์ของเขาค่อนข้างซับซ้อน เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการที่จะเอาชนะเธออย่างซื่อตรง เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเธอจะเป็นอย่างนี้ ...

  

ตั้งแต่นั้นมา ก็ไม่มีชื่อหลีซินเหม่ยในมือขวาของเขาอีกต่อไป (ไม่ใช่คู่แข่ง)

 

...

 

 

ภายในตำหนักเทียนซือเฟิง ซูถิงหยุนได้ยินเสียงสยองขวัญของหญ้าหางจระเข้ และมันก็ดูดุร้ายมากจนเธอรู้สึกกลัว จนรีบถอยห่างออกไปทันที ใครจะอยากเห็นหญ้าหางจระเข้กลายเป็นบ้าคลั่ง

  

ในตอนแรกใบหญ้าสดสองใบวางพาดอยู่บนพื้นราวกับว่ามันอ่อนแอ ใบของมันเปิดแยกออกจากกันเช่นเปลือกหอย และมีดอกไม้สีแดงเล็ก ๆ อยู่ตรงกลางเหมือนลิ้นเล็ก ๆ ในขณะนี้ ลิ้นกำลังสั่น มันดูคล้ายกับคนที่ต้องทนทุกข์ในภาพยนตร์ผี ในตอนท้าย หญ้าหางจระเข้ถูกทำร้าย

  

"เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า?"

  

หญ้าไม่สามารถพูดได้อย่างคล่องแคล่ว ดังนั้นเว่ยหยุนจึงพูดต่อไป เปลือกตาของซูถิงหยุนก็กระตุกด้วยเช่นกัน เธออดที่จะรู้สึกเสมอว่า มันกำลังจะมีบางอย่างไม่ดีเกิดขึ้น เมื่อเธอสัมผัสใบหญ้าเพื่อปลอบโยนมัน ทันทีทันใดเธอก็ได้ยินเสียงอุทานของหยินหลี่ดังออกมา "ผู้เฒ่า ผู้เฒ่า พี่สาวเหม่ยได้รับบาดเจ็บ"

  

ปรากฏเสียงดังออกมาจากระยะไกล เมื่อมันได้ยิน หญ้าหางจระเข้หยุดทันทีและใบทั้งสองหุบเข้าหากั พร้อมกับยืดใบของมันตรงอย่างเงียบ ๆ เหมือนดอกไม้ผนัง 

 

ซูถิงหยุนหันไปมองตามเสียง แล้วเห็นศิษย์ของเทพเซียนหลิงหวูได้นำหนิงสวีจือมาพร้อมกับสาวน้อยที่นอนอยู่บนอุปกรณ์บินข้างหน้าเขา หยินหลี่ตามมาที่ด้านข้างเซียวเหม่ยพร้อมกับสีหน้าที่ดูเป็นกังวล

  

เมื่อพวกเขาลงจอด ซูถิงหยุนก็เข้าไปทักทายในทันที เธอเห็นว่าเสื้อผ้าของเสี่ยวเหม่ยเต็มไปด้วยเลือด แต่เธอก็รู้ว่าไม่มีบาดแผลบนร่างกายของเธอ แต่เส้นลมปราณของร่างกายเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น ทำไมมันจึงเป็นเช่นนั้น มันจะต้องยากลำบากอย่างมากในระหว่างการฝึกและในที่สุดเส้นลมปราณก็ทนไม่ไหว 

 

"หลีซินเหม่ย หมดหวังที่จะฝึกฝนแล้ว" ตอนนี้หลีซินเหม่ยไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตอีกต่อไป และหนิงสวีจือจึงไม่ได้รีบร้อน เขาได้แต่ถอนหายใจ "ข้านำเธอมาส่งเจ้า ที่เป็นคนที่เธอรัก รอให้เธอตื่นขึ้นมาและเจ้าค่อยปลอบโยนเธอ"

  

ซูถิงหยุนพยักหน้าและขอบคุณคนอื่น ๆ และจัดการดูแลสาวน้อย ที่กำลังป่วยสาหัส ด้วยความรู้สึกหนักใจ

  

เธออยู่ข้างเตียงของหลีซินเหม่ย และไม่ได้ทิ้งหายไปไหน ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา หลีซินเหม่ยก็ตื่นขึ้นมาในที่สุด

 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น