EGT
179 การกลับมา (1)
ฉีเซียหัวเราะเบา
ๆ และพูดว่า: "ข้าไม่ได้บอกว่ามันไม่ใช่"
จากนั้นบอกเธอว่าทำไมกลุ่มเล็ก
ๆ ที่มีจุดประสงค์เพื่อฆ่าเวลาจริง ๆ ต้องซ่อนเร้น เฉินหยานเซียวตอบโต้ในใจของเธอ
แต่ไม่ได้ดำเนินการต่อในหัวข้อดังกล่าว ฉีเซียช่วยให้เธอพ้นจากอันตรายโดยไม่ตั้งใจ
ดังนั้นเธอจึงย่อมมีความสุขตามธรรมชาติ
เธอเพียงแค่รู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลกที่หลิงเย่วจะถามคำถามเหล่านั้นในก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตามข้อควรระวังคือความปลอดภัย
เฉินหยานเซียว ตัดสินใจที่จะทำตัวให้อยู่เป็น ในระยะเวลาหนึ่ง ลองสังเกตสิ่งต่าง ๆ
เป็นเวลาหลายวันก่อนที่จะดำเนินแผนอีกครั้ง
ในฐานะขโมยเทพเจ้า
ทักษะและสายตาเป็นสิ่งสำคัญ แต่การสังเกตอย่างรอบคอบนั้นสำคัญมาก
หากไม่ใช่เพราะสิ่งนั้นเธอจะไม่สามารถยืนหยัดอย่างมั่นคงในองค์กรก่อนหน้านี้ของเธอในฐานะขโมยหมายเลขหนึ่ง
“เจ้ามาถูกเวลาแล้ว ข้ายังไม่ได้กินอะไรมากในสองสามวันนี้ลองเรียกคนอื่นสิ
แล้วเราไปหาอะไรทาน”
ฉีเซียตรวจสอบความเรียบร้อยและเก็บเสื้อผ้าและพูดออกมาพร้อมด้วยรอยยิ้ม
“ถังนาจื่อเพิ่งเข้านอน” เฉินหยานเซียวสงสัยว่าหยางซือและหยานอู๋
พักแล้วหรือยัง ร่างกายของหยานอู๋นั้นดูไม่ดีนัก เจ็ดวันแห่งการวิ่งไปรอบ ๆ
นั้นเพียงพอสำหรับเขาที่จะหมดความอดทน
“งั้นก็ปล่อยเขาไป” โดยไม่คำนึงถึงความเป็นสหายแม้แต่น้อย
ฉีเซียเตะถังนาจื่อออกจากแผนของเขาโดยตรง
เฉินหยานเซียวก็เริ่มหิวเล็กน้อย
ดังนั้นเธอจึงเดินตามและออกจากกระโจมไปพร้อมกับฉีเซีย
เมื่อทั้งสองคนปรากฏตัวในที่ตั้งค่าย
ความคิดเห็นต่าง ๆ ก็ดังขึ้นในทันที
“ดูสิ เฉินจิว ขยะตัวน้อย กำลังเกาะต้นขาของเขาจริง ๆ
ช่างเป็นคนที่ไร้ยางอาย พวกเขาเพิ่งกลับมาที่ค่าย และเขาก็ขอร้องฉีเซียอีกครั้ง”
“นี่คือสิ่งที่มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนคือ
เขารู้ว่าเขาไม่มีความสามารถดังนั้นแน่นอนว่าเขาจะต้องเกาะต้นขาหนา ๆ สักสองสามขา”
“และ ฉีเซีย ก็คือต้นขาที่หนาที่สุดที่จะกอด”
“เรื่องตลก เราไม่มีต้นขาบาง ๆ แต่ หยางซือ
ภูมิใจกับธรรมชาติและเขาไม่ต้องการให้ความสนใจกับสิ่งที่ประจบสอพลอ”
“โย่ โย่ โย่...... หยานอู๋กลายเป็น มังสวิรัติ*? ขาของเขาสามารถหักขาเจ้าได้ทั้งคู่”
[* อ่อนแอ ไร้อำนาจ ยอมแพ้ ขี้ขลาด]
“พวกเราหมอเวท……”
“พวกเรานักดาบ……”
“นักเวทคือราชา……”
คำพูดดังออกมาต่อเนื่อง
ในที่สุดก็กลายเป็นข้อโต้แย้งที่ว่า 'ต้นขาใคร'
ที่หนากว่ากัน ระหว่างอันดับต้น ๆ ของสามสาขา
ค่ายที่เคยสงบสุขเมื่อไม่นานมานี้ก็เริ่มเดือดอีกครั้ง
ศิษย์นักธนู
นักกระบี่และนักปรุงยาไม่สนใจชะตากรรมของอีกสามสาขา
อย่างไรก็ตามนั่นไม่ได้ป้องกันพวกเขาจากการดูถูก จากพฤติกรรมการเกาะ ต้นขา
ของเฉินหยานเซียว
ศิษย์หลายคนจากสาขาปรุงยากำลังฮึมฮัมเสียงดังสองสามครั้งเมื่อพวกเขาเดินผ่านเฉินหยานเซียว
ผลการทดสอบเกี่ยวข้องกับการเลือกชั้นเรียน
แม้ว่านักปรุงยาจะไม่มีความกล้าหาญในการต่อสู้
แต่ศิษย์ก็ยังต้องการพึ่งพาความแข็งแกร่งของสหายร่วมกลุ่มเพื่อปีนขึ้นไป
น่าเสียดายที่โชคของพวกเขาไม่ดีเท่าเฉินหยานเซียว
มีป้ายสองสามป้ายก็นับว่ามีอยู่มาก แต่เมื่อคิดว่าเฉินหยานเซียว กลับมาพร้อมกับป้ายที่เต็มไปด้วยทองคำระยิบระยับทั่วร่างกาย
มันก็เพียงพอที่จะทำให้ศิษย์นักปรุงยาทุกคนกัดฟันของพวกเขา
เขาเป็นแค่น้องใหม่
โดยที่พวกเขาไม่รู้จริง ๆ
ว่าสุนัขแบบไหนที่สามารถทำให้น้องใหม่ผู้นี้สามารถปีนขึ้นไปหาคุณชายน้อยทั้งสี่ของตระกูลใหญ่ทั้งห้าได้
หากไม่ใช่เพราะเขาเกาะต้นขาของพวกเขา ด้วยความสามารถของเขาเอง
เขาจะต้องถูกตัดออกจากการทดสอบก่อนหน้านี้
“ไร้ยางอาย” ศิษย์คนหนึ่งของสาขาปรุงยาแอบเยาะเย้ยเธอเมื่อผ่านไป
เฉินหยานเซียวหรี่ตาของเธอ
และขยับนิ้วของเธอเล็กน้อย
แต่ไม่นานเธอก็ผ่อนคลาย
สิบปีไม่สายเกินไปสำหรับการแก้แค้นของสุภาพบุรุษ
ลูกหมีเหล่านี้ควรรอเธอ
ไม่ช้าก็เร็วเธอจะขโมยชุดชั้นในออกมาจากกลุ่มคนเหล่านี้แขวนพวกมันในสำนักศักดิ์สิทธิ์รั่วหลาน
และทำให้พวกเขาเดือดแค้น!
เฉินหยานเซียวถอนหายใจหายใจออก
เขาติดตามฉีเซีย ห่างจากฝูงชนโดยไม่รู้สึกอะไรเลย
EGT
180 ผลตอบแทน (2)
ฉีเซียและเฉินหยานเซียว
พวกเขาทั้งสองเรียกหาหยางซือ และหยานอู๋
จากนั้นพวกเขาก็ไปหาอาหารอร่อยมากมายในค่ายที่พัก สำหรับคนที่ยังคงหลับ เขาก็ถูกโยนออกไปไว้ด้านหลังของจิตใจของคนทั้งสี่คน
จนถึงเที่ยงคืนถังนาจื่อผู้ซึ่งหลับอยู่ในที่สุดก็ตื่นขึ้นมา
เขาคิดว่าจะไปหาฉีเซียและคนอื่น ๆ เพื่อหาของกิน
แต่เขากลับพบว่าสารเลวทั้งสี่นั้นกินแล้วเมาอย่างเต็มที่แล้ว
และสารเลวทั้งสี่คนนี้ไม่ได้เหลืออาหารเอาไว้ให้เขาแม้แต่น้อย
ถังนาจื่อสามารถกินหมั่นโถนึ่งได้เท่านั้น
การทดสอบเจ็ดวันสิ้นสุดลง
ศิษย์ทุกคนเก็บข้าวของของตัวเองภายในหนึ่งวัน
เช้าวันรุ่งขึ้นพวกเขาขึ้นรถม้าและกลับไปยังสำนักศักดิ์สิทธิ์รั่วหลาน
ศิษย์ที่อยู่ในป่ามาเป็นเวลานานหลังจากกลับมาที่สำนักศักดิ์สิทธิ์รั่วหลาน
ต่างก็รีบเข้ามาไปในหอพักที่ไม่ได้อยู่มานานในทันที
ผลการทดสอบจะประกาศหลังจากนี้อีกสามวัน
ก่อนหน้านั้นศิษย์จะได้รับอนุญาตให้ลาพักร้อน
เฉินหยานเซียวยังใช้ประโยชน์จากช่วงเวลานี้อยู่ในหอพักและถือคัมภีร์หนังแกะเธอเพื่อเรียนรู้ให้มากขึ้น
เคล็ดวิชาคำสาปทั้งสองที่เธอได้เรียนรู้มาก่อนนั้นมีผลกระทบที่ยอดเยี่ยม
เธอต้องการรู้ว่าเธอจะมีพลังเพียงใดเมื่อเธอเรียนรู้เคล็ดวาชาผสานคำสาป
ในขณะเดียวกันหอคอยนักเวทมนต์ดำที่ว่างเปล่าก็ปรากฏมีผู้เข้ามาเยี่ยมเยียน
ชายชราผู้เฝ้าหอคอยนักเวทมนต์ดำขมวดคิ้วเมื่อเห็นโอวหยางฮันหยู
ที่ไม่ได้รับเชิญ วันนี้แปลกมาก ผู้นำสูงสุดที่ควรจะยุ่งกับการดูแลเรื่องต่าง ๆ
มากมาย กลับมีเวลามาเยี่ยมที่นี่อย่างไม่น่าเชื่อถึงสองครั้งในหนึ่งเดือน
นี่มันแปลกจริงๆ
"เจ้ามาทำอะไรที่นี่?" ชายชราถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่สุภาพ
โอวหยางฮันหยูคุ้นเคยกับเสียงของชายชราและไม่สนใจเสียงที่ไม่สุภาพของเขาเลย
เขามองดูคัมภีร์ที่ได้รับการดูแลรักษาอย่างดีซึ่งอยู่ในสภาพสมบูรณ์เขาหัวเราะ:“
การทดสอบในปีนี้เพิ่งจบลง”
“สิ่งนั้นเกี่ยวข้องกับข้าได้อย่างไร” ชายชราผู้รู้สึกอัปยศอดสู
กล่าวออกไปอย่างไม่มีความสุข สาขานักเวทมนต์ดำไม่มีศิษย์มากี่ปีแล้ว? แล้วการทดสอบ? มันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาอีกแล้ว
“ข้าได้รับข้อมูลที่น่าสนใจเมื่อสองวันที่แล้ว ดังนั้นข้าจึงอยากคุยกับเจ้า”
โอวหยางฮันหยูกล่าวขณะที่เขายังไม่เคลื่อนไหวใด ๆ
“ข้าไม่สนใจที่จะได้ยินเกี่ยวกับเรื่องใดในตอนนี้”
“อย่าด่วนปฏิเสธเร็วเกินไป ข้าเชื่อว่าเจ้าจะสนใจข่าวนี้” โอวหยางฮันหยู
เดินไปที่ด้านข้างและนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเล็ก ๆ มือของเขาประสานกันที่ด้านหน้า
ก่อนมองที่ชายชรา
“พูดออกมา ข้าไม่มีเวลาคุยกับผู้นำสูงสุดมากนัก”
หากไม่ใช่เพราะสถานการณ์ปัจจุบันของเขา
เขาจะไม่สนใจที่จะมองใบหน้าของโอวหยางฮั่วหยู
“ในระหว่างการทดสอบ อาจารย์พี่เลี้ยงจากสาขานักเวทค้นพบสิ่งแปลกประหลาด
มีศิษย์สองคนที่มีร่องรอยของเวทอาคมที่มีฤทธิ์กัดกร่อนภายในร่างกายของพวกเขา”
โอวหยางฮันหยูล่าว
การแสดงออกที่ดูใจร้อนบนใบหน้าของชายชราเปลี่ยนไปเล็กน้อย
แต่อย่างรวดเร็วเขาระงับอารมณ์ได้อย่างฉับพลันภายในหัวใจของเขา
“งั้นเหรอ?”
"เจ้าคิดอย่างไร?" โอวหยางฮันหยูเลิกคิ้วและพูดต่อ:
“มีเพียงอาคมคำสาปของนักเวทมนต์ดำเท่านั้นที่จะทำให้หลงเหลือเวทอาคมมีฤทธิ์กัดกร่อนในร่างกายมนุษย์
เป็นที่ชัดเจนว่าในการทดสอบนี้มีนักเวทมนต์ดำที่ซุ่มอยู่รอบ ๆ
บุคคลนั้นซ่อนตัวในหมู่ศิษย์คนอื่นและโจมตีพวกเขาบางคน ไหนเจ้าลองบอกข้าสิ ข้าจะจัดการกับสิ่งนี้ได้อย่างไร
เจ้าต้องรู้ว่าอาจารย์ที่ปรึกษาของสาขานักเวทล้วนกลัวเรื่องนี้และด้วยความพยายามทั้งหมดของพวกเขา
พวกเขาจะต้องค้นหานักเวทมนต์ดำผู้นั้น
เจ้าควรเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าภาพลักษณ์ปัจจุบันของนักเวทมนต์ดำในหัวใจของผู้คนคืออะไร
ควรเข้าใจด้วยว่าผลที่ตามมาคืออะไรหากค้นพบศิษย์ผู้นั้น” ชื่อเสียงของ
นักเวทมนต์ดำ ในทวีป คังหมิง นั้นสามารถอธิบายได้ว่าแย่จนถึงขีดสุด
มากจนแม้แต่ร่องรอยของปัญหาเล็กน้อยจากนักเวทมนต์ดำก็จะดึงความหวาดกลัวออกมาจากผู้คนในแผ่นดินใหญ่ได้ในทันที
EGT
181 กลับมา (3)
แม้ว่าสำนักศักดิ์สิทธิรั่วหลานจะยังคงสภาพสาขานักเวทมนต์ดำเอาไว้
แต่ในสายตาของศิษย์และอาจารย์ที่ปรึกษาทั้งหลาย
ต่างถือว่านักเวทมนต์ดำเป็นศัตรูของประชาชนมานาน
นอกจากนี้นักเวทมนต์ดำยังโจมตีศิษย์คนอื่นในการทดสอบ
ด้วยความเป็นศัตรูที่มีอยู่ในจิตใจ มันก็น่ากลัวว่าเมื่อศิษย์ผู้นั้น หากถูกค้นพบ
เขาจะถูกไล่ออกจากสำนักศักดิ์สิทธิ์รั่วหลาน
ชายชรามีความชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งหมดนี้
"ฮึ ข้ารู้ว่า คนอย่างพวกเจ้ามีแต่พวกไร้ประโยชน์
แน่นอนว่ามันเป็นแบบทดสอบทุกอย่างเกี่ยวกับความสามารถ ศิษย์สองคนต้องขาดความสามารถ
จึงตกอยู่ในการครอบงำของนักเวทมนต์ดำ
นั่นหมายความว่าพวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนักเวทมนต์ดำ”
ชายชราพูดกับโอวหยางฮั่วหยูโดยไม่มีความตึงเครียด แต่ภูมิใจ
ถ้าโอวหยางฮันหยูรู้จักตัวตนของศิษย์ผู้นั้น
เขาจะไม่มาที่นี่เพื่อพูดเรื่องไร้สาระ เขามาพูดมากที่นี่ นั่นเป็นเพียงเพราะเขาไม่มีเงื่อนงำใด
ๆ
"เป็นเช่นนั้น? อันดับต้นของสาขานักกระบี่
ไม่มีความสามารถ?” โอวหยางฮั่วหยูเผยรอยยิ้มออกมา
คิ้วของชายชราเลิกขึ้น
“อันดับต้นของสาขานักกระบี่ เชาซู
และศิษย์อีกคนในสาขาเดียวกันนั้นถูกควบคุมโดยเคล็ดวิชาผสานคำสาป “ภาพลวงตา” ทำให้พวกเขาสูญเสียตราประทับทั้งหมด
และยาแก้พิษสามขวด เท่าที่ข้ารู้เคล็ดวิชาผสานคำสาปนี้ไม่ได้อยู่ในระดับสูงมาก
แต่ในทวีปคังหมิงทั้งหมดมีนักเวทมนต์ดำอยู่สองสามคนที่สามารถใช้คำสาปนี้ได้”
โอวหยางฮันหยูจ้องมองไปที่ใบหน้าของชายชรา
“นั่นเกี่ยวข้องกับข้าอย่างไร? เจ้ากังวลที่จะบอกว่ามันเป็นศิษย์ชั้นยอดที่ถูกควบคุมโดยเคล็ดวิชาผสานคำสาป
ตอนนี้ข้าเห็นแล้วว่าศิษย์ของสาขาต่าง ๆ ของเจ้าเป็นกลุ่มขยะ” ชายชราตะคอกเขากลับ
เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ไม่ดี
"บางที
อย่างไรก็ตามในปัจจุบันอาจารย์ที่ปรึกษาหลายคนกลัวปัญหาของนักเวทมนต์ดำ ข้าต้องการดูว่าบุคคลนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าหรือไม่
ถ้ามีความสัมพันธ์ใด ๆ สาขานักเวทมนต์ดำก็จะได้รับศิษย์คนแรก
แต่เนื่องจากเจ้าไม่รู้จักบุคคลนั้น
นักเวทมนต์ดำอาจไม่มาที่นี่เพื่อเป็นศิษย์จริงและมีจุดประสงค์อื่นในการเข้าเรียนที่สำนักศักดิ์สิทธิ์รั่วหลาน
เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยของสำนัก ข้ากลัวว่าข้าจะต้องสั่งการลงไป
เพื่อให้จัดการเรื่องนี้โดยเฉพาะ” เขาไม่ได้รับการตอบรับเชิงบวกจากชายชรา
โอวหยางฮันหยูจึงรู้สึกว่ามันค่อนข้างไร้ประโยชน์
“ทำอย่างที่เจ้าพอใจ” ชายชราไม่ได้ดื้อด้านหรือต่อต้า
เขาหันหลังกลับและจัดเก็บคัมภีร์บนโต๊ะอย่างต่อเนื่อง
“เอาละ เห็นทีข้าจะไม่รบกวนเจ้าอีกต่อไป” โอวหยางฮันหยู ไม่ได้พูดอะไรอีก
และออกจากหอนักเวทมนต์ดำ
จนกระทั่งเมื่อโอวหยางฮันหยูออกจากหอนักเวทมนต์ดำไปไม่นาน
ชายชราเงยหน้ขึ้นจากกองคัมภีร์ และการแสดงออกบนใบหน้าของเขาเผยให้เห็นถึงความประหลาดใจ
“เจ้าได้เรียนรู้เคล็ดวิชาผสานคำสาป เด็กน้อย เจ้ามีพรสวรรค์จริง ๆ!”
เช่นเดียวกับสิ่งที่โอวหยางฮันหยูกล่าวไว้ในทวีปคังหมิง ทั้งทวีป
เขากลัวว่าจะเหลือเขาเพียงคนเดียวที่สามารถใช้เคล็ดวิชาผสานคำสาปดังกล่าวได้
แต่เขาไม่ได้ก้าวออกจากสำนักศักดิ์สิทธิ์รั่วหลานมาหลายปีและผู้คนข้างนอกก็ไม่สามารถเรียนรู้คำสาปได้
ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวคือเจ้าตัวน้อยที่หยิบคัมภีร์หนังแกะออกไป
ชายชราจำได้อย่างชัดเจนว่ามันผ่านเป็นเพียงหนึ่งเดือนตั้งแต่เด็กน้อยเข้ามาอ่านคัมภีร์บางเล่ม
แต่เขาสามารถเปิดใช้งานเคล็ดวิชาผสานคำสาประดับสี่ได้อย่างเหลือเชื่อ?
ช่างมีพรสวรรค์อะไรเยี่ยงนี้!
ชายชรารู้ถึงความยากของเคล็ดวิชาผสานคำสาป
ในตอนแรกเขาไม่คิดว่าเด็กน้อยที่หยิบคัมภีร์หนังแกะไปจะสามารถฝึกบ่มเพาะเคล็ดวิชาผสานคำสาปได้ในเวลาสั้น
ๆ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะประเมินคนผู้นั้นต่ำเกินไป
“ศิษย์เก่งกว่าอาจารย์ เจ้าเด็กน้อย
อย่าได้ทำให้ความพยายามของชายชราผู้นี้สูญเปล่า ดีมาก ดีมาก!”
ดวงตาของชายชรานั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
ขอบคุณครับ
ตอบลบ