ตราประทับขนาดเท่าฝ่ามือบนแขนขวาของเธอปรากฏจุดสีแดงเข้มมากเป็นพิเศษ
มันมีขนาดเล็กกว่าเล็บนิ้วก้อย
เห็นได้ชัดว่าผนึกของตราประทับชั้นแรกได้ถูกยกเลิกออกไป
"ข้าสามารถบ่มเพาะพลังลมปราณหรือพลังเวทได้? เขาไม่ได้บอกชัดเจน"
แม้ว่าเธอจะไม่ค่อยสนใจเรื่องต้นกำเนิดของซิวก็ตาม
แต่เฉินหยานเซียวก็ยังคงรับรู้อย่างสุดซึ้งว่า "ปีศาจ" เป็นอย่างไร
แต่ทว่ามันน่าสงสารที่เธอไม่รู้เรื่องทุกสิ่งทุกอย่างในโลกใบนี้
และไม่จำเป็นต้องพูดถึงการบ่มเพาะพลังลมปราณหรือพลังเวท
“ถ้าเจ้าสามารถทำมันได้
การบ่มเพาะทั้งคู่ย่อมเป็นไปได้"
เสียงเย็นที่เป็นเสียงของซิวดังขึ้นอีกครั้งภายในสมองของเฉินหยานเซียว
"......
" เฉินหยานเซียว
ขมวดคิ้วขณะที่เธอครุ่นคิดถึงความหมายที่แฝงอยู่เบื้องหลังประโยคของซิว
เป็นไปได้ไหมที่
......
คำพูดก่อนหน้านี้ของซิวไม่ได้บ่งชี้ว่าเธอสามารถบ่มเพาะได้โดยการเลือกหนึ่งในสองแบบนี้ได้
และก็อาจที่จะสามารถเรียนรู้ได้ทั้งสองแบบ
แบบนี้….
มันควรที่จะมีความสุข?
ผ่านความทรงจำของร่างกายที่เธอครอบครอง
เฉินหยานเซียวแทบจะไม่รู้ว่ามีการบ่มเพาะอยู่สองรูปแบบสำหรับคนในโลกนี้ที่ทำการบ่มเพาะกัน
แบบแรกเป็นแบบที่มีผู้นิยมทำการบ่มเพาะพลังลมปราณ ทำให้คนมีร่างกายที่แข็งแกร่ง
เส้นเอ็นและเส้นเลือดเหนียวและยืดหยุ่นและอีกทั้งยังสามารถทำการควบแน่นพวกมันไว้ในจุดตันเถียน
สำหรับอีกรูปแบบ ผู้คนจะทำการศึกษาพลังเวท สภาพร่างกายดูปกติธรรมดา
แต่มีพลังทางจิตที่น่าเกรงขามและมีความสามารถในการจัดการกับพลังทางจิตวิญญาณที่ขับเคลื่อนทุกสิ่งในโลกใบนี้
สวรรค์มีความเป็นธรรม
เมื่อใดก็ตามที่มีร่างกายที่แข็งแกร่ง เขาผู้นั้นก็จะไม่สามารถมีพลังจิตที่น่ากลัว
ดังนั้นหากมองดูในมุมกว้าง ๆ ในมณฑลคังหมิง ทั้งมณฑลในช่วงเวลาหลายร้อยปี
จึงยังไม่มีใครที่สามารถเรียนรู้ได้ทั้งทักษะการต่อสู้และเวทมนตร์ ไม่เพียงแค่นั้น
ไม่ว่าจะเป็นพลังลมปราณหรือพลังเวท ถ้าใครอยากจะไปถึงระดับหนึ่ง
พวกเขาจำเป็นต้องฝึกฝนอย่างขยันขันแข็ง เพื่อทำการบ่มเพาะและปรับปรุง คน ๆ
หนึ่งจะต้องทุ่มเททั้งเวลาและพลัง ยังไม่ต้องพูดถึงสวรรค์ที่ขัดขวางการดำรงอยู่ของคนเหล่านี้ที่มีทั้งพลังภายในและพลังจิต
แค่จินตนาการในการที่ต้องทำการบ่มเพาะทั้งสองแบบในเวลาเดียวกัน
มันก็เป็นเรื่องฝันเฟื่องของคนบ้า
"เจ้าหมายถึงว่าข้าสามารถบ่มเพาะได้ทั้งทักษะต่อสู้และเวทมนตร์ได้ใช่หรือไม่? อย่างไรก็ตามตอนนี้ข้าอายุสิบสี่ปีแล้ว
และข้าก็ยังไม่รู้ถึงรายละเอียดของการบ่มเพาะทั้งสองแบบ
เกี่ยวกับการบ่มเพาะทั้งคู่นี้จึงเป็นสิ่งที่ห่างจากตัวข้ามากเกินไป”
เฉินหยานเซียวรู้สึกหดหู่มาก เพราะทุกคนในมนฑลคังหมิง
คงจะเลือกเส้นทางที่พวกเขาจะเดินไปในเวลาไม่นานหลังจากที่พวกเขารู้ว่าอะไรเป็นอะไร
ตอนนี้สำหรับเธอแล้ว เธอช้ากว่าคนอื่น ๆ ทุกคนได้กำหนดเส้นทางการบ่มเพาะ
แต่สำหรับเธอ หากเธอคิดที่จะทำการบ่มเพาะในตอนนี้ มันก็ดูเหมือนว่าจะสายเกิน แล้วยิ่งหากเป็นการบ่มเพาะคู่ทั้งทางเวทมนตร์และทักษะการต่อสู้
มันก็เป็นเพียงแค่การเย้ยหยันเธอเท่านั้น
"มันเป็นไปได้สำหรับเจ้า"
เสียงของซิวยังฟังดูทั้งหนาวเย็นและมั่นคง
“ร่างกายของเจ้าแตกต่างจากคนอื่นอย่างสิ้นเชิงและด้วยความช่วยเหลือจากข้า
ปัญหาทุกอย่างก็จะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป"
เฉินหยานเซียวรู้สึกมีความสุข
จนเธอลืมเรื่องซิวที่เป็น "ปีศาจ" ที่ลึกลับ? คนที่มีความสามารถในการพึ่งพาจิตวิญญาณของตนเอง
โดยการฝากไว้ในร่างกายของผู้อื่น และรอดชีวิตมาได้นับสิบปีหรือมากกว่านั้น
ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา
ในที่สุดเฉินหยานเซียวก็มีความหวัง
หลังจากที่ปัญหาแรกของเธอได้รับการแก้ไขได้อย่างง่ายดาย เห็นได้ชัดว่า
"เธอ" ตอนนี้ไม่มีใครให้พึ่งพา
ถ้าเธอไม่สามารถทำให้ตัวเองให้เข้มแข็งได้ในเวลาอันสั้น
มันก็คงเป็นไปได้มากที่เธอจะต้องแบกตัวตนที่เป็นขยะไว้บนบ่าของเธอตลอดไป
แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการ
"เจ้าจะสอนข้าเกี่ยวกับการฝึกบ่มเพาะพลังลมปราณและพลังเวท?"
เฉินหยานเซียวยิ้มออกมาในขณะที่เธอถามออกไป
“ตราบเท่าที่เจ้ามีความสามารถ
ข้าก็จะสอนเจ้าทุกอย่างที่ข้าได้เรียนรู้มาตลอดชีวิตของข้า
และนี่จะเป็นของขวัญที่สองที่ข้ามอบให้แก่เจ้า” เสียงของ ซิว เต็มไปด้วยความเป็นไปได้โดยไม่จำกัด
แต่เสียงที่เย็น ๆ ของซิวที่พูดออกมา มันสามารถทำให้ทุกคนรู้สึกโกรธขึ้นมาได้ง่าย
ๆ
"เมื่อเป็นแบบนั้น
ข้าหวังว่าเราจะร่วมมือกันเป็นอย่างดี"
ยิ้มของเฉินหยานเซียวคล้ายกับแมวเจ้าเล่ห์
ด้วยความช่วยเหลือจากปีศาจลี้ลับที่ลึกลับ เธอก็ไม่เชื่อว่าด้วยความสามารถของเธอ
เธอจะต้องแบกรับตัวตนของขยะที่โง่เง่าไปตลอดชีวิตนี้!
ขอบคุณค่ะ
ตอบลบ