“เจ้ามัวคิดอะไรอยู่ล่ะ ? เข้ามา!”
ในชีวิตครั้งก่อน ยามที่หยางเฉินมาถึงประตูหอฉางอัน
เขาจะต้องหยุดเบื้องหน้าชั่วครู่หนึ่งเพราะความตื่นเต้น แล้วรอฟังคำสั่ง ตอนนี้
…ทันทีที่ได้ยินคำสั่งที่คุ้นเคยนี้ เขาแทบลืมว่าเป็นชีวิตเก่าหรือใหม่
“ขอรับ !”
เขาระงับความตื่นเต้นอย่างยากลำบาก สืบเท้าข้ามที่คั่นประตูเข้าสู่หอฉางอัน
…ปรับนัยน์ตาให้เข้ากับแสงที่ริบหรี่ในนั้น
แล้วกวาดสายตาหาที่มาของเจ้าของเสียงคำสั่งนั้น
เรือนร่างสูงที่เปี่ยมด้วยสีสันราวกับดอกไม้ …ใบหน้า..น้ำเสียงที่คุ้นเคย
ทุกสิ่งรวมกันในสายตาที่ซาบซึ้งและคาดหวังในสายตานั้น ที่ยิ้มแย้มอย่างน่ารักใคร่มาที่เขา
…สิบปี ที่เขาเฝ้ารอหลังกลับมาเกิดภพนี้…
“หยางเฉิน เจ้ามีการบ่มเพาะธาตุไฟ งั้นเข้าร่วมวิหารหยางอัคคีของข้า!!”
น้ำเสียงอันคุ้นชินของกั่วหยู่ ก้องในหูของหยางเฉิน
“แต่…ข้าพบความน่าแปลกใจ ที่ทำไมท่านไม่ได้ให้เกียรติกับท่านจูเฉินเตา โดยเข้าร่วมในสาขานั้น
ดูจากพรสวรรค์ด้านนี้ของท่านแล้ว
มันไม่น่าที่จะยากต่อการเป็นนักหลอมโอสถระดับสูงได้”
“สำหรับการเข้าร่วมวิหารหยางอัคคีของศิษย์นั้น
ย่อมไม่เป็นการขัดต่อเส้นทางการเป็นผู้หลอมโอสถ!”
หยางเฉินระงับความตื่นเต้น ด้วยการใช้พลังกายใจทั้งมวลอย่างยากยิ่ง
แม้กระทั่งริมฝีปากยังสั่นยามกล่าววาจา
แม้กระทั่งเอ่ยเสร็จก้อยังคงหายใจอย่างเร่งร้อน
“แม้ว่าพรสวรรค์ดั้งเดิมของท่านไม่ถึงกับดีเลิศ
แต่เจ้ามีความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งในการขึ้นสู่จุดสุดสูงของบันไดสวรรค์
…กระทั่งการขอเป็นศิษย์ต่อท่านประมุข ก้อยังมิเกินเลย
แล้วไยท่านถึงเลือกข้าเป็นอาจารย์”
ในตอนนี้ กั๋วหยู ย่อมมิใช่เป็นประมุขของวิหารหยางอัคคี
และในด้านการบ่มเพาะอย่างมากนางก็อยู่ในฐานะผู้เชี่ยวชาญระดับก่อลำต้น
ของวิหารหยางอัคคี กั๋วหยูพึ่งผ่านการควบแน่นปราณได้ห้าปี
และภายในห้าปีนี้เธอก็มุ่งที่จะทำให้ปราณในระดับนี้ของเธอมั่นคง
ซึ่งว่าไปแล้วเธอไม่อาจเทียบได้กับผู้เชี่ยวชาญระดับก่อลำต้นที่มีประสบการณ์
สิ่งที่ทำให้กั๋วหยูงุนงงมาก เพราะท่านประมุขพระราชวังหยางบริสุทธิ์
ไประกาศเป็นกรณีพิเศษ เป็นการตกรางวัลการขึ้นสู่สุดยอดบันไดสวรรค์ ว่า
เขามีสิทธิ์ที่จะเลือกผู้ใดก็ได้เป็นอาจารย์
และย่อมไม่คาดคิดที่หยางเฉินจะเลือกเธอเป็นอาจารย์ และความประหลาดใจนี้ย่อมไม่ใช่เกิดต่อกั๋วหยูเพียงผู้เดียว
ทุกคนในที่นี้ของพระราชวังหยางล้วนงุนงง
หรือหยางเฉินคิดว่าการเลือกผู้พึ่งบรรลุระดับก่อลำต้นที่ได้รับสิทธิ์ให้มีศิษย์ได้นั้นเป็นทางเลือกที่ดีแล้ว
“สัญชาตญาณมันบอกแก่ศิษย์ว่า
ท่านเป็นผู้ที่เหมาะสมกับการมาเป็นอาจารย์ของข้า”
หยางเฉินมิได้กล่าวเปิดเผยข้อเท็จจริงอันใด
เพียงตอบไปเพื่อกำจัดข้อสงสัยของกั๋วหยู
“สัญชาตญาณของข้า ไม่เคยผิดพลาด ไม่ว่าจะเป็นตอนขึ้นบันไดสวรรค์
รวมทั้งตอนกลั่นหลอมยาเม็ดคว้าครองสวรรค์”
ลำพังเหตุผลที่ยกมาอาจไม่เพียงพอ แต่เหตุการณ์ที่นำมายืนยันนั้นอาจช่วยให้ดูดีขึ้น
เพราะมันเป็นเรื่องที่ดูทรงพลังในการยืนยันคำว่า ‘สัญชาตญาณ’ นั้นถูกต้อง
แม้อาจมีคนที่ไม่ยอมรับคำนี้ แต่ก็ไม่อาจโต้แย้งความจริงที่บังเกิดได้
เมื่อกั๋วหยูสำรวจดูหยางเฉินแล้ว
ถ้าดูให้ดีจะพบว่าร่างกายหยางเฉินยังสั่นแม้จะกดข่มไว้ ซึ่งสำหรับเธอก็มิใช่อะไรที่แปลก
ก่อนหน้านี้บรรดาเหล่าศิษย์
เกือบจะทุกคนล้วนสั่นสะท้านเมื่ออยู่เบื้องหน้าผู้เชี่ยวชาญระดับก่อลำต้น
ยิ่งภายใต้การเพ่งจ้องของเธอ อาการเหล่านี้ย่อมมิอาจหลีกพ้นไปได้
“บางที!”
กั๋วหยูละทิ้งความสงสัยเหล่านี้ไป เธอพึ่งได้รับโอกาสให้รับศิษย์ได้ ดังนั้นเธอต้องระมัดระวังในการเลือกศิษย์คนแรก
ซึ่งตอนนี้มันน่าพึงพอใจทีเดียว
ที่ศิษย์แรกนี้เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงอย่างยิ่งในหมู่ศิษย์
เป็นที่รู้จักไม่เพียงแต่ในพระราชวังหยางบริสุทธิ์
แต่รวมถึงในโลกแห่งการบ่มเพาะนี้
“ข้า กั๋วหยูแห่งวิหารหยางอัคคี
เมื่อเจ้าต้องการอยู่ในอาณัติของข้าและเข้าร่วมกับวิหารของข้า ตั้งแต่นี้ไป
เจ้าถือเป็นศิษย์ของวิหารหยางอัคคี”
ท้ายสุด กั๋วหยูยิ้มแย้มอย่างร่าเริง กับการได้รับศิษย์คนแรกนี้
“เจ้าเป็นศิษย์คนแรก ศิษย์ประเดิมของข้า”
ทันทีที่ได้ยินวาจาดังกล่าว ไม่มีสิ่งอื่นใดอีกละ หยางเฉินคุกเข่าในทันที
โขกศรีษะลงที่พื้น พร้อมเอ่ยเสียงที่เปี่ยมด้วยความรู้สึก
“ศิษย์หยางเฉิน ขอคารวะท่านอาจารย์”
ในทันทีที่ศีรษะสัมผัสพื้น น้ำตาที่เคยกดข่มไว้ก็หลั่งไหลออกมา หลายพันปีแห่งความคิดถึง สุดท้ายแล้ว บัดนี่เขาได้มาอยู่ที่เบื้องหน้าเธอผู้เป็นอาจารย์อีกครั้ง
ทันทีที่ได้ยินเสียงอาจารย์
ในสมองของเขา อุปสรรคทุกอย่างที่เคยผ่าน ความอดทนทั้งมวลหลายปี
ที่ผ่านมาในศาลสวรรค์
ถือได้ว่าไม่มีอะไรลำบากเลยกับความอดทนต่อความยากลำบากนับหมื่นปี
เพื่อแลกกับการได้มายืนอยู่ ณ.ตรงนี้ …เบื้องหน้าอาจารย์
ของเขาผู้นี้
ในชีวิตครั้งนั้น หยางเฉินได้มาเป็นศิษย์เธอหลังจากการเข้ามายี่สิบปี
ตอนนั้นเธอมีระดับการบ่มเพาะระดับกลางของขั้นก่อลำต้น และเขาก็ไม่ใช่ศิษย์คนแรก
ไม่เหมือนครั้งนี้ ที่เธอพึ่งผ่านการควบแน่นปราณ และหยางเฉินได้เข้ามาเป็นศิษย์คนแรก
ความสงบนิ่งและมั่นคงที่มีในชีวิตที่แล้วของกั๋วหยู
ไม่สามารถเปรียบเทียบได้กับ กั๋วหยูในตอนนี้ที่พึ่งควบแน่นปราณ
แต่รับศิษย์คนแรกเป็นประสบการณ์ใหม่ของเธอ ทำให้เธอดุจดังเด็กสาวน่ารักยิ่ง
การหลั่งน้ำตาขณะโขกศีรษะคำนับ หาได้หลบพ้นจากการรับรู้ของกั๋วหยูไม่
แต่กั๋วหยูไม่อาจคาดการณ์ได้ว่าเกิดจากอะไร ถึงมีปฏิกิริยาเช่นนี้
…รึว่าไม่ชื่นชอบในตัวอาจารย์ ? ..จนกระทั่งร้องไห้เลยรึ ? ไม่ว่าจะอย่างไร ดีร้าย
เขาก็เป็นศิษย์คนแรกของเธอ
“เอ้า เร็วเข้า มาคารวะเหล่าผู้อาวุโส”
กั๋วหยู เร่งเตือนหยางเฉิน ที่เสร็จสิ้นจากการทำความเคารพเธอแล้ว
ก็ต้องตามด้วยการคารวะบรรพบุรุษทั้งหลาย การรับศิษย์แรกของเธอจึงจะเสร็จสมบูรณ์
“ขอรับ อาจารย์”
หยางเฉินรีบระงับจิตใจให้สงบ
แสดงการคารวะบรรพบุรุษด้วยการจุดธูปและคุกเข่ากราบกราน
แล้วแสดงความเคารพต่อกั๋วหยูด้วยการยกน้ำชา
สุดท้ายจึงกลายเป็นศิษย์ของกั๋วหยูอย่างสมบูรณ์
มันเป็นครั้งแรกของกั๋วหยูต่อพิธีกรรมต่าง ๆ นี้
เธอจึงรู้สึกประหม่าอยู่บ้าง แม้จูเฉินเตาและคนอื่น
ๆ อยากอยู่ร่วมพิธีก็ถูกเธอห้ามไว้
ดังนั้นในหอเฉิงอันจึงมีเพียงสองศิษย์อาจารย์เท่านั้น
“ต่อไปภายหน้า เจ้าต้องฝึกให้มากขึ้น”
สายตาที่เคารพของหยางเฉินที่จ้องมายังนางนั่งอยู่บนที่นั่งอันทรงเกียรติ
ยิ่งทำให้กั๋วหยู ต้องทำตัวให้เป็นอาจารย์ และทำเป็นผู้เปี่ยมด้วยประสบการณ์
เริ่มทำการสอนหยางเฉิน
“ต่อไป เราสองอาจารย์ศิษย์ ต้องเป็นเสาหลักในวิหารหยางอัคคี”
แน่นอน กั๋วหยูกล่าวถึงการแข่งขันภายในนิกาย นางจึงบอกหยางเฉิน
และแสดงความรู้สึกถึงการไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งใดในตัวนาง
ขณะเดียวกันก็ต้องการให้บรรลุเป้าหมายด้วยตัวนางเอง
“ขอรับอาจารย์ ตามที่ท่านต้องการ”
หยางเฉินตอบรับเสียงดัง และภายในใจเขาบอกว่า
นี่เป็นวาจาที่เขาเคยเอ่ยนับครั้งไม่ถ้วน
“อาจารย์ ไม่เพียงเราจะเป็นแกนในการหนุนวิหารหยางอัคคี
แต่ข้าจะทำให้ท่านได้เป็นเจ้าวิหาร และในเบื้องต่อจากนั้นท่านต้องได้ขึ้นจุดสูงสุดของพระราชวังหยางบริสุทธิ์
ตราบใดที่ข้าต้องการ? “
กั๋วหยู ถึงกับเผลอจ้องมองที่พื้น ถึงแม้กั๋วหยูจะงุนงง
แต่เธอก็เข้าใจความหมายวาจานี้
“ตราบเท่าที่ท่านอาจารย์ต้องการ”
หยางเฉินเอ่ยซ้ำ พร้อมพยักหน้าด้วยท่าทีจริงจังหนักแน่น ไม่มีท่าทีล้อเล่น
“ถ้าเป็นสิ่งที่ข้าต้องการนั้น ข้าต้องการรักษาความอ่อนเยาว์นี้ไว้ตลอดกาล?”
เมื่อครุ่นคิด กั๋วหยูก็ได้เอ่ยสิ่งที่ต้องการ
“ข้ารู้ การฝึกบ่มเพาะสามรูปแบบที่จะหยุดยั้งความแก่ และยังมีโอสถอีกสองชนิดที่จะช่วยหยุดยั้งความแก่นี้”
หยางเฉินยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าว
“ไม่ต้องคำนึงถึงว่าข้าจะต้องใช้วิธีใด
ข้าสามารถทำให้อาจารย์เป็นสาวได้ตลอดกาล!”
“แล้วถ้าข้าต้องการสูตรของโอสถคว้าครองสวรรค์ล่ะ ? “
กั๋วหยูจ้องมองหยางเฉินราวกับเห็นสัตว์ประหลาด ด้วยไม่รู้ว่าวาจาเขาจริงหรือเท็จ
แต่ทันใดเธอก็ยิ้มและเปลี่ยนคำถาม รอคำตอบหยางเฉิน
“กระสายยาพื้นฐานที่สำคัญทีสุดของโอสถคว้าครองสวรรค์คือหญ้าฟ้าคราม
ต้องเป็นหญ้าฟ้าครามที่ดีที่สุด
สมุนไพรชนิดนี้เติบโตภายใต้ชั้นหินในส่วนลึกที่สดุของเหมืองหยกระดับสูง นอกจากนั้นส่วนผสมอื่นๆนั้นคือ..."
หยางเฉินเอ่ยต่อ โดยปราศจากการลังเลท่าทีของหยางเฉิน
สร้างความงงงวยให้กับกั๋วเฉินไปชั่วขณะ หลังหายตะลึง
เธอรีบเอามือตะครุบอุดปากหยางเฉิน
“หยุด ห้ามพูด !”
ไหนเลย กั๋วหยูจะคาดไว้เช่นนี้ ?
เธอเพียงเอ่ยที่จะพิสูจน์เขา แต่ไม่คาดคิด
ที่หยางเฉินจะบอกถึงสูตรโอสถคว้าครองสวรรค์อย่างไม่รอรี
มันย่อมไม่ใช่อะไรที่คนนุยทธภพนี้จะยินยอมทำ
“ทำไม เจ้าเป็นเช่นนี้”
กั๋วหยูมีความรู้สึกสั่นไหว หลังจากปล่อยมือจากปากหยางเฉิน จึงเอ่ยพร้อมขมวดคิ้ว
“เพราะ ท่านเป็นอาจารย์ของข้า”
อย่างไม่ต้องครุ่นคิดหยางเฉินเอ่ยทันที
ความนุ่มนวลและอบอุ่นของฝ่ามือกั๋วหยู แทบจะทำให้เขาไม่สามารถควบคุมสติได้
แทบจะแอบจุมพิตที่ฝ่ามือนั้น แต่ก็มิได้ทำเช่นนั้น
แม้บัดนี้กลิ่นหอมนั้นยังอบอวลอยู่ระหว่างปากกับจมูกของเขา
กั๋วหยูอยู่ใกล้ ๆ เขา
ไหนเลยจะมิได้ยินคำตอบที่เปี่ยมด้วยความจริงใจของหยางเฉิน
เธอรู้สึกหวั่นไหวทั้งมึนงงในขณะเดียวกัน ในเมื่อเขารับเธอเป็นอาจารย์แล้ว
ทั้งสองมีเวลาอีกมากที่จะอยู่ร่วมกัน ดังนั้นไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอดกลั้น
พิธีการรับศิษย์ที่เป็นไปอย่างเรียบง่าย
โดยปราศจากบุคคลที่สามจึงใช้เวลาไม่มากนัก เมื่อหยางเฉินและกั๋วหยูออกจากหอเฉิงอัน
จูเฉินเตาและคนอื่น ๆ จึงใช้เวลาในการรอคอยไม่นาน
เกี่ยวกับการเลือกอาจารย์ของหยางเฉิน ซึ่งเมื่อครู่จูเฉินเตาและคนอื่น
มิได้แข่งขันแย่งชิงมากนัก เพราะศิษย์ที่เปี่ยมด้วยพรสวรรค์เช่นนี้
ไหนเลยจะเลือกอาจารย์ที่ไม่มีศักยภาพ นี่มันจะมีผลกระทบต่ออนาคตหยางเฉินหรือไม่ ? แต่หลังจากที่พวกเขาเข้าพบประมุขทุกอย่างก็ได้รับคำตอบ
“เมื่อหยางเฉิน ได้ขึ้นจุดสูงสุดของบันไดสวรรค์
รางวัลของเขาคือการให้สิทธิ์แก่เขาที่จะเลือกผู้ใดก็ได้เป็นอาจารย์ของเขา”
ประมุขพระราชวังหยางบริสุทธิ์ที่นั่งอยู่บนเสื่อ เอ่ยช้า ๆ
กระทั่งมิได้ลืมตา แล้วกล่าวต่อ
“นี่เป็นรางวัลที่สมควรให้แก่เขา”
“แต่ไม่ว่าด้านความสามารถการรับรู้ หรือพลังจิตของเขาแข็งแกร่งยิ่ง
แล้วกั๋วหยูที่ไม่เคยมีศิษย์มาก่อน จะสอนคนที่มีพรสวรรค์เช่นนี้
มันจะไม่เป็นการเสียของรึ ?”
ซูเฉิงซินที่ค่อนข้างรู้ถึงความน่าทึ่งในศักยภาพของหยางเฉิน
มิต้องเอ่ยถึงเรื่องอื่นใด แค่การมีส่วนร่วมในการปรุงโอสถคว้าสวรรค์
มันก็เพียงพอที่จะบดบังความสำเร็จของคนอื่น ๆ ทั้งหมด จากแค่ที่เห็น
ไม่ว่าผู้ใดย่อมรู้ว่าเขาจะกลายเป็นผู้ปรุงโอสถที่จะนำความรุ่งเรืองมาสู่พระราชวังหยางบริสุทธิ์
ถ้าผู้มีพรสวรรค์เช่นนี้ถูกทำลายมันย่อมเป็นการสูญเสียอย่างแท้จริง
ผู้ที่นั่งด้านหน้าประมุขพระราชวัง นอกจากจะมี ซีเฉิงซิน จูเฉินเตา
แล้วยังมีเจ้าวิหารรัศมีจันทราเหลียงเซาหมิง
เจ้าวิหารหยางอัคคีเจียวหมิง ถือเป็นผู้ที่มีอาวุโสระดับสูงสุดของพระราชวัง
ถ้าไม่นับเหล่าผู้อาวุโสระดับผลิดอกผู้ซ่อนกาย
แล้วย่อมเป็นปกติที่พวกเขาต้องใส่ใจกับเรื่องการบ่มเพาะให้กับศิษย์ทีมีพรสวรรค์
“กั๋วหยู นับได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับก่อลำต้น
ที่มีสิทธิ์ที่จะรับศิษย์ได้ แล้วการที่มีอาจารย์เป็นผู้ชี้แนะ
มันจะเป็นการเสียหายต่อหยางเฉินได้เช่นไร ? “
ประมุขยังคงมีท่าทีสบาย ๆ ราวกับกำลังพูดถึงศิษย์ทั่ว ๆ ไป มิใช่ผู้มีพรสวรรค์พิเศษ
“ท่านประมุข พวกเราทุกคนคิดว่า
ควรจะให้ผู้ที่มีชื่อเสียงเป็นผู้ชี้แนะเขาน่าจะดีกว่า !”
เหลียงเฉาหมิงเอ่ยในสิ่งที่เขาพยายามนำเสนอ
แต่ไม่มีผู้ใดทราบว่าเขากำลังคิดทำอันใด
ประมุขยังคงนั่งหลับตาบนที่เดิม และค่อย ๆ เอ่ย
“ถ้าท่านคิดเช่นนั้น งั้นให้ข้าถามท่าน ก่อนที่เขาจะขึ้นสู่บันไดสวรรค์
ไม่ใช่ท่านรึที่ทำเหมือนไม่รู้จักเขา หลังจากขึ้นสู่สุดยอดบันไดสวรรค์แล้ว
ผู้ใดบ้างที่สอนอันใดแก่เขา ? การบ่มเพาะ …การปรุงโอสถ
ท่านต้องการกล่าวอันใดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ? “
ขณะกล่าวนั้น สำนึกพลังจิตวิญญาณของประมุขหยุดอยู่เหนือเหลียงเซาหมิง
แล้วหายไปอย่างรวดเร็ว
คำถามนี้ทำให้ทุกคนเงียบกริบ ทุก ๆ คน
ย่อมทราบดีของข้อบาดหมางของหยางเฉินกับซูเฮิง ผู้ดูแลการคัดเลือกศิษย์คนก่อน
ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ ทุก ๆ คนทราบดีถึงคุณค่าของตัวหยางเฉิน
แม้เมื่อครั้งในตำหนักเย่ซิว ซูเฮิงได้ห้ามทุกคนถ่ายทอดสิ่งต่างๆ ต่อเขา
ซึ่งทุกคนก็มาทราบในภายหลัง แต่ก็ไม่มีใครว่าอันใด เพราะตอนนั้นใคร ๆ
ย่อมรู้การจะเลือกใคร ระหว่างผู้บ่มเพาะลมปราณกับระกดับก่อสร้างรากฐาน แต่ ณ
บัดนี้ ไม่เหมือนตอนนั้นแล้ว หยางเฉินไม่เพียงบรรลุระดับก่อสร้างรากฐาน แต่ยังเป็นผู้ที่ร่วมกลั่นโอสถคว้าสวรรค์ให้กับผู้อาวุโสหวู
กลายเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในกลุ่มผู้กลั่นโอสถ มันไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ
แต่โด่งดังยิ่งในกลุ่มพวกเขา
เหลียงเซาหมิงรู้สึกตะขิดตะขวงใจ เพราะซูเฮิงที่พยายามกดดันหยางเฉินนั้น
คือศิษย์ของเขา แม้จะไม่มีผู้ใดมาถกเถียงเรื่องนี้กับเขา
แต่สถานะตอนนี้ของหยางเฉิน มันราวกับตบหน้าเขา เป็นเรื่องปกติ
ที่ความผิดพลาดของศิษย์ ย่อมนำความเสื่อมเสียมาถึงอาจารย์
ทุกคนไร้คำจะกล่าว เพราะรู้ดีถึงเรื่องที่ผ่านมาของหยางเฉิน
การที่ความสามารถในการเรียนรู้ของเขาสูงมากนั้น มาจากการอ่านอย่างบ้าคลั่งที่หอเร้นลับของตำหนักเก้าปฐพี
และการใช้แต้มสะสมเพื่อเข้าหอเร้นลับนั้น
เขาล้วนหามาเองด้วยการแลกเปลี่ยนกับน้ำทิพย์ของเขากับภายในนิกาย
มันจริงแท้ที่ไม่มีผู้ใดยื่นมือช่วยเหลือเขา
และด้วยการทำงานหนักอย่างเกินคาดเพื่อพระราชวัง ดิ้นรนเพื่อได้รับการยอมรับ พูดชัด
ๆ คือ ทุกคนในที่นี้ต้องละอายอยู่บ้าง
“ในเมื่อเขาสามารถฝึกการบ่มเพาะด้วยตัวเขาเองมาจนถึงระดับนี้
แล้วพวกเจ้ายังห่วงอันใด รึกลัวว่ากั๋วหยูจะสอนเขาได้ไม่ดีรึ? “
ในที่สุดประมุขก็ลืมตาขึ้น จ้องไปที่ทุกคนที่อยู่รอบ ๆ
แล้วปิดเปลือกตาอีกครั้ง
“ถ้าท่านยังเป็นกังวล งั้นข้าอนุญาตให้เขามีสิทธิ์เข้าใช้
หอเร้นลับของพระราชวัง ถ้าต้องการดูอันใดก็อนุญาตตามนั้น
ถือเป็นการชดเชยทดแทนที่เขาไม่รับโอสถระดับก่อสร้างรากฐาน”
เมื่อเป็นเช่นนี้ ย่อมไม่มีผู้คัดค้าน
เรื่องราวการเลือกอาจารย์ของหยางเฉิน ลงเอยด้วยการที่เขามาเป็นศิษย์ของกั๋วหยู
“หยางเฉิน บัดนี้เจ้าเป็นศิษย์ฝ่ายในเรียบร้อยแล้ว
เจ้าต้องยึดมั่นในกฏของพระราชวังหยางบริสุทธิ์อย่างเคร่งครัด
เจ้าอย่าฝ่าฝืนกฏเป็นอันขาด”
จูเฉินเตา ที่คาดหวังในตัวหยางเฉินอย่างสูง
ให้ความใส่ใจและเอาใจใส่หยางเฉินอย่างดี
“เมื่อกล่าวกันถึงกฏของนิกายแล้ว ศิษย์นี้มีเรื่องจะเรียนให้ทราบ”
บัดนั้นหยางเฉินนึกขึ้นมาได้
แล้วเอากระเป๋าจัดเก็บพร้อมเข็มทิศตามตัวออกมา ทั้งสองอย่างยื่นให้กับตูเชี่ยน
เรื่องนี้สนุกนะครับ แต่ทำไมนานๆๆๆๆๆๆๆๆมาทีครับ
ตอบลบขอบคุณครับ👉😍👈
ตอบลบมีกลุ่มลับหรือเปล่า อยากอ่านมาก
ตอบลบจะนานแค่ไหนก็รอ ตามอ่านเสมอครับ เรื่องนี้
ตอบลบ