เลือกสีพื้นเพื่ออ่านบทความ >>> พื้นขาว พื้นดำ พื้นครีม

วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2561

DMW 001-006 อาเซลล์ เซสตริงเจอร์

DMW 001 อาเซลล์ เซสตริงเจอร์


อาเซลล์ จำเหตุการณ์ได้อย่างชัดเจนก่อนที่เขาจะหลับ


ในเวลาเดียวกันเขาก็ตระหนักว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ได้เกิดขึ้นในอดีตอันไกลโพ้น สติของเขากำลังหลับไหล แต่ร่างกายที่ไร้สติของเขาสัมผัสได้ถึงเวลาที่ล่วงผ่านเลยไป


เขาหลับมานานจนเมื่อเขาเปิดตาขึ้นมาอีกครั้ง ความรู้สึกแรกของเขาก็คือความมืด เขาไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเขาตื่นขึ้นมาแล้วหรือว่าเขายังอยู่ในความฝัน ...


ตูมม..ม...ม.....! 


อาเซลล์ตื่นขึ้นมาจากการนอนหลับอันยาวนานของเขาเพราะจากเสียงระเบิดจากสถานที่ห่างไกล


เวลาได้ผ่านมานาน ตลอดเวลานั้นเขายังนอนหลับไหล แต่ในเวลานั้นได้เกิดเสียงระเบิดและแผ่นดินสั่นสะเทือน ดังนั้นเขาจึงลืมตาตื่นขึ้น


“อืมมม.....”


ปัญหาคือเมื่อเขาได้เปิดตาของเขาขึ้นมา ร่างกายของเขาไร้ซึ่งพละกำลังใด ๆ มันทำให้เขาประหลาดใจกับความจริงที่ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ความรู้สึกของเขารู้สึกราวกับว่ามันกำลังล่องลอยอยู่และร่างกายของเขาก็ไม่ตอบสนองใดๆ


อาเซลล์สงบจิตใจของเขา เขายังคงหายใจและหลังจากยืนยันว่าหัวใจของเขายังเต้นอย่างช้า ๆ เขาก็ส่งพละกำลังทั้งหมดไปที่มือของเขา


กร๊อบบบ แกร็บบบ


นิ้วมือของเขาเริ่มขยับ


กร็อบบบบ


นิ้วเท้าของเขาขยับ


เขาไม่ได้ขยับเคลื่อนไหวร่างของเขามาเป็นเวลานาน ดังนั้นมันจึงแข็งเหมือนกับหิน มันเหมือนกับสัตว์ที่ตื่นขึ้นมาจากการจำศีลตลอดฤดูหนาว ร่างกายที่ดูเหมือนว่าตายไปครึ่งหนึ่งแล้วก็เช่นเดียวกับที่เขากำลังรู้สึก


เลือดที่อบอุ่นเริ่มไหลเวียนไปทั่วร่างที่แข็งทื่อ และพละกำลังเริ่มถูกฟื้นฟูมากขึ้น ความรู้สึกที่ตายแล้วของเขาเริ่มกลับมามีชีวิตชีวา และเขารู้สึกได้ถึงอากาศที่ผ่านสัมผัสกับผิวของเขา


หลังจากที่เขาเริ่มขยับนิ้วมือและนิ้วเท้าของเขาแล้ว เขาก็ต้องใช้ความอดทนและความพยายามที่จะเคลื่อนไหวอย่างเห็นได้ชัด หลังจากดิ้นรนเป็นเวลา 1 ชั่วโมงเขาก็สามารถยกแขนของเขาได้


‘เยี่ยม อย่างน้อยข้าก็สามารถที่จะขยับตัวได้แล้วในตอนนี้ แต่ ... ..’


เขายังไม่ทราบว่าที่นี่คือที่ไหน


'คาร์ลอส ไอ้สารเลว เจ้าทิ้งข้าไว้ที่นี่ แล้วเจ้าหายหัวไปไหน?'


สภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัวเขามืดเพราะฉะนั้นเขาจึงไม่เห็นอะไร


จุดที่เขาวางมือทาบลง มันนุ่มเหมือนเตียง แต่เขาสามารถบอกได้ง่ายว่ามันไม่ใช่พื้นที่ขนาดใหญ่ ถ้าเขาเหยียดแขนออกไปเขาก็สามารถสัมผัสกำแพงที่ปิดกั้นเขาไว้


'บางทีนี่อาจเป็นโลงศพ?'


โดยการมองไปที่โครงสร้างรอบๆตัว เขามีข้อสงสัยว่า ตัวเขาอาจถูกบรรจุใส่ไว้ในโลงศพขนาดใหญ่


เขาถูกฝังอยู่ในโลงศพในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกดีนัก อย่างไรก็ตามอาจมีเหตุผลอะไรบางอย่างภายใต้สถานการณ์นี้ เมื่ออาเซลล์คิดถึงเรื่องนี้ เขาก็เริ่มทบทวนความทรงจำของเขา


เขาเป็นวีรบุรุษที่สามารถเอาชนะราชามังกรปีศาจเอเธน และช่วยทวีปให้รอดพ้นจากความสิ้นหวัง เขาคือ อาเซลล์ คาร์ซาร์ค


อย่างไรก็ตามเขากำลังจะตายเนื่องจากคำสาปจากราชามังกรปีศาจเอเธน และสหายของเขา คาร์ลอส เสนอให้เขาจำศีลเป็นเวลานาน มันจะคล้ายกับการจำศีลของมังกรและวัตถุประสงค์ของการจำศีลอย่างยาวนานก็เพื่อที่จะเอาชนะคำสาป


การทำเช่นนี้จำเป็นต้องผ่านพิธีกรรมอันทรงพลัง คาร์ลอสและจอมเวทหลายคนได้มารวมตัวกันอย่างลับ ๆ เพื่อทำพิธีกรรมนี้ ความทรงจำของอาเซลล์สิ้นสุดลงที่นั่น คาร์ลอสมองเขาด้วยสีหน้าเศร้าโศกและทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นสีดำ หลังจากนั้นเขาจำได้ในส่วนของหน่วยความจำ แต่อาจเป็นผลข้างเคียงของการเดินไปรอบ ๆ ภายในความฝันของเขา มันอาจจะไม่ใช่ประสบการณ์จากความเป็นจริง


เพราะฉะนั้น อาเซลล์ ไม่รู้ว่าเขาหลับอยู่ที่ไหนและสถานการณ์เป็นอย่างไร


'ก่อนอื่นข้าต้องออกไปจากที่นี่'


เขาจะไม่พบอะไรเลย หากแต่เพียงครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ หลังจากตัดสินใจเรื่องนี้ อาเซลล์พยายามผลักฝาโลงศพให้เปิดออก


กึก...


มันไม่ขยับ


“.......”


เขายังคงผลักฝาโลงศพและหลังจากนั้นสักครู่ อาเซลล์ ก็ลดแขนลงเพราะสูญเสียกำลังไปมาก จากการมองผลที่ได้รับเมื่อเขาผลักมันด้วยแรงทั้งหมดของเขา มันดูเหมือนว่าจะไม่สามารถเปิดฝาโลงออกได้โดยจากการผลักจากด้านใน บางทีอาจจะมีกลไกมหัศจรรย์ที่จะเปิดมันได้หรือไม่?


‘ฮื่ม ไอ้บ้าเอ้ย ทำไมเจ้าถึงทำอะไรที่ไม่จำเป็นอย่างนี้ มันเกินไปไหม!'


อาเซลล์กัดฟันของเขา


มันไม่สำคัญว่าเขาจะถูกขังอยู่ที่นี่ หากว่าเขายังนอนหลับไหลภายใต้พลังเวทเช่นเดียวกับการจำศีลของมังกร แต่ตอนนี้เขาตื่นขึ้นมาแล้ว และมันก็จะลำบากถ้าเขาไม่สามารถออกไปข้างนอก อีกทั้งอากาศที่ต้องถ่ายเทเพื่อทำให้เขาหายใจได้ เขาจะตายเนื่องจากอดอาหารตายหรือไม่?


'เอาละ ข้าจะใช้พลังความแข็งแกร่งของข้าเพื่อเปิดและออกไปข้างนอก’


อาเซลล์หลับตาลงและรวบรวมพลังอย่างตั้งใจ


เดิมทีร่างกายของเขามีความสามารถที่ไม่สามารถมองเห็นได้ซึ่งเกินขีดจำกัดของมนุษย์


ถ้าเขาใช้ความแข็งแกร่งนั้นเขาก็ควรจะสามารถขยับฝาโลงได้ภายในหนึ่งลมหายใจ...


‘เอ่อ? นี่มันอะไรกัน?'


อาเซลล์ตรวจสอบภายในร่างกายของตัวเองและเขาก็ต้องตกใจ


พลังลมปราณจากจิตวิญญาณที่ไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายของเขาซึ่งเป็นพลังที่เคยทำให้เขาอยู่เหนือมนุษย์ได้หายไปหมดแล้ว


'ไม่มีทาง ... หรือว่าข้าได้ใช้พลังทั้งหมดเพื่อรักษาสภาพจำศีลไว้?'


พวกสัตว์จะกินอาหารกักเก็บไว้เป็นจำนวนมากก่อนที่จะจำศีลในช่วงฤดูหนาวของพวกมัน ดังนั้นในช่วงที่จำศีลในฤดูหนาว พวกมันก็จะสามารถใช้อาหารที่กักเก็บไว้ก่อนตื่นขึ้นมา


อาเซลล์เองก็คงประสบกับสถานการณ์เช่นเดียวกันนี้ เขาไม่รู้ว่าเขาหลับมานานแค่ไหน แต่เขาเข้าใจดีว่าเขาใช้พละกำลังทั้งหมดเพื่อรักษาชีวิตของเขาไว้


‘ไม่ มันไม่ใช่เวลาที่จะทำความเข้าใจ!’


อาเซลล์รวบรวมพละกำลังของเขา พร้อมกับรีบหลอมรวมพวกมัน ถ้าเขาไม่สามารถหาทางออกไปจากที่นี่ได้ เขาก็จะต้องอดตาย มันก็จะดูตลก ถ้าเขาต้องมาตายที่นี่หลังจากที่เขารอดจากการจำลองการจำศีลของมังกรและเอาชนะคำสาปได้?


'เอาละ"


อาเซลล์รู้สึกถึงความแข็งแกร่งของพลังจิตวิญญาณที่กระจัดกระจายอยู่ภายในร่างกายที่เหือดแห้งของเขา ด้วยความวิตกกังวลที่รุนแรง เขาจึงพยายามรีดพลังทั้งหมดของเขาออกมา


ตุบ ตุบ


หัวใจของเขาเต้น


มันเป็นหลักฐานว่าเขายังมีชีวิตอยู่


หัวใจของเขายังคงเต้นอยู่เรื่อย ๆ และอากาศที่เขาสูดเข้าไป ไหลเวียนไปทั่วร่างกายของเขา ผลักดันเลือดในร่างให้หมุนเวียนไปทั่วร่าง เขาสามารถรักษาสภาพร่างกายของเขาไว้ได้


นอกจากนี้การเต้นของหัวใจยังเป็นความลับของนักรบ มันเป็นแหล่งกำเนิดและที่มาของ 'การควบคุมจิตวิญญาณ'


ทุกครั้งที่หัวใจเต้น มันจะสั่นสะเทือนไปทั่วร่างของเขา และมันจะกระตุ้นให้เกิดพลังลมปราณ จากนั้นพลังเวทก็จะไหลผ่านกลายเป็นพลังลมปราณขึ้นมาจากการสั่นสะเทือน


และส่วนนี้มันจะขยายเพิ่มมากขึ้น และนำมาซึ่งความแข็งแกร่งที่เหนือธรรมชาติ


'ข้าคิดว่ามันเป็นไปได้ที่จะทำมันสักครั้ง'


อาเซลล์ ประสบความสำเร็จในการรวบรวมพลังความแข็งแกร่งที่ยังหลงเหลืออยู่ภายในร่างกายของเขา และเขาทำการประเมินอย่างรอบคอบ มันเป็นความแข็งแกร่งที่อ่อนแอ ถ้าเป็นคนอื่น พวกเขาก็อาจจะไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร อย่างไรก็ตามนี่คืออาเซลล์ เขาสามารถใช้การเต้นของหัวใจและการสั่นสะเทือนของหลอดเลือดเพื่อเพิ่มพลังงาน เขาสามารถรวบรวมพละกำลังให้มากขึ้น และพังทะลายมันในครั้งเดียวได้ ไม่ว่าโลงศพจะหนาเท่าไหร่ก็ตาม เขาก็มีพลังพอที่จะทำลายมันได้!


'ลงมือ!'


อาเซลล์ เปิดตาขึ้น จากนั้นเขาก็กางมือทั้งสองข้างออก


มันถูกต้องแล้ว


กึก กึก กึก!


ทันใดนั้น จากพื้นที่โดยรอบ พลังงานมหาศาลก็ถูกถ่ายเทลงไป! มันเป็นจำนวนมหาศาลที่เกินกว่าสิ่งที่เขาสามารถทำได้!


กึก!


ถ้าเขาไม่ระมัดระวัง สถานการณ์ของเขาก็จะพังพินาศ อย่างไรก็ตาม อาเซลล์ แสดงให้เห็นถึงความสามารถที่น่าทึ่งของเขาในการปรับตัว เขากระจายพลังอำนาจที่เขากำลังจะปล่อยออกมา เขาเริ่มหมุนเวียนพลังงานและผสมผสานกับพลังที่ฉีดเข้ามาใหม่ จากนั้นเขาปล่อยมือก่อนที่มันจะสร้างความหายนะภายในร่างกายของเขา ทั้งสองฝ่ามือของเขาเริ่มเปล่งแสงสีน้ำเงินเข้ม รัศมีแสงสว่างพุ่งออกไป ความมืดค่อยๆถูกรัศมีแสงสว่างกลืนกินก่อนที่มันจะระเบิดขึ้น


ตูมมมม!


พื้นที่โดยรอบสว่างไสว อากาศสั่นสะเทือน





DMW 002 อาเซลล์ เซสตริงเจอร์ 



ตูม!

 

เสียงระเบิดฝุ่นตลบคลุ้งจนแลดูเหมือนกลุ่มเมฆขนาดใหญ่ เมื่อฝุ่นจางลงมันปรากฏหลุมขนาดยักษ์อยู่บนพื้น พร้อมกับรัศมีแสงสีน้ำเงินสว่างจ้าออกมาครู่หนึ่ง ก่อนที่ร่างเงาร่างหนึ่งจะพุ่งออกมา

 

ตูมมมม

 

แผ่นดินทรุดตัวลงและเศษดินทลายร่วงหล่นลงไปในหลุมอย่างรวดเร็ว

 

“อ้ากก...”

 

อาเซลล์ร้องออกมา เมื่อแผ่นดินถล่มลงมา หลังจากที่เขาทำลายฝาโลงศพเขา เขาต้องใช้กำลังที่เหลืออยู่ของเขาเพื่อพุ่งออกมาข้างนอก มิฉะนั้นเขาจะถูกฝังทั้งเป็นในหลุมนี้

 

"อึก…. ลึกมาก….."

 

ในช่วงจังหวะที่เขากำลังจะบ่นเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ว่าเขาได้ถูกฝังลึกลงใต้พื้นดินอย่างมาก พลันเสียงของเขาได้หายไปเหลือเพียงลมหายใจของเขา ริมฝีปากภายในปากและลำคอของเขาแห้งผาด ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะพูดอะไรออกมา

 

ขณะที่เขากระโดดพุ่งหนีออกมา เขารู้ว่าตัวเขาอยู่ใต้พื้นดินลึกลงไปไม่เกิน 10 เมตร อย่างไรก็ตามมีช่องว่างราว ๆ 3 เมตรระหว่างโลงศพกับเพดานดิน

 

ในขั้นต้นเขาสามารถทำลายโลงศพของเขาได้เพียงอย่างเดียวและพุ่งออกมา อย่างไรก็ตามพลังงานภายนอกที่ถูกฉีดเข้าไปในร่างกายของเขาก็เป็นปัญหา มันมีจำนวนมากจนทำลายฝาโลงศพ ทะลวงผ่านเพดานดิน จนเจาะผ่านผนังหนาของโครงสร้างใต้ดินซึ่งถูกสร้างขึ้นมาจากหิน จนเขาจำต้องกระโดดพุ่งหนีออกมามากกว่า 10 เมตร

 

ในจังหวะที่ร่างของอาเซลล์พุ่งออกมา เขาก็บ่นพึมพำออกมา

 

'เกิดบ้าอะไรขึ้น?'

 

จากพลังที่ส่งออกมาอย่างที่คาดเดาไม่ได้ ถ้าบุคคลนั้นเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่อาเซลล์ เขาก็อาจจะเสียชีวิตจากการตกลงไปที่พื้นไปแล้ว

 

“อั่ก”

 

หลังจากที่อาเซลล์สามารถโผล่ขึ้นมาบนพื้นผิวดินได้ แสงแดดที่เจิดจ้าจากดวงอาทิตย์สาดเข้าดวงตาของเขาจนเขาต้องหยีตา

 

ตั้งแต่ที่เขาหลับไปเป็นเวลานาน แสงแดดสดใสเหมือนกับเป็นของแปลกปลอมกับดวงตาของเขา

 

ในตอนนี้ ทั้งร่างของอาเซลล์เปลือยเปล่าไร้ซึ่งเสื้อผ้านุ่งห่มแม้แต่ชิ้นเดียว

 

ร่างของเขาผอมมากจนเหมือนซากมัมมี่และสัตว์ประหลาด ความจริงที่ว่าเขาสามารถขยับร่างของเขาได้มันก็เป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อ

 

ในความเป็นจริง เพียงแค่เขาจะพูดออกมา มันก็เป็นเรื่องยากสำหรับเขา เขาไม่มีพละกำลังใด ๆ ริมฝีปากของเขาแตกและปากของเขาก็แห้ง

 

'ข้าต้องการน้ำ'

 

มันจำเป็นสำหรับเขาที่จะต้องกินอะไรบางอย่างเพื่อฟื้นฟูร่างกายของเขา อย่างไรก็ตาม ความต้องการเร่งด่วนในตอนนี้คือน้ำ อาเซลล์ไม่สามารถมองเห็นร่างกายของเขาว่าเป็นอย่างไร ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ตรวจสอบ แต่เขาก็รู้ว่าร่างกายของเขาอยู่ในสภาพที่แย่อย่างมาก ถ้าเขาตายลงในตอนนี้ มันก็คงไม่แปลกอะไร

 

‘ทำไมข้าถึงมาอยู่กลางป่า ... ทำไมเขาถึงฝังศพข้าไว้ที่นี่?’

 

หลังจากมองไปรอบ ๆ ตัวเขา อาเซลล์ตกอยู่ในอารมณ์มืดมัว เขาอยู่ในป่ารกคลื้มไปด้วยต้นไม้ เขารู้ว่าสถานที่นี้อาจเต็มไปด้วยอันตราย ในสภาพปัจจุบันของเขา แม้ว่าเขาจะพบกับสัตว์ป่าเพียงแค่ตัวเดียว เขาก็อาจที่จะถูกฆ่าตาย

 

‘ชีวิตของข้าตอนนี้ ต้องขึ้นอยู่กับโชคเสียแล้ว’

 

อาเซลล์เม้มริมฝีปากแห้งของเขา เขาพยายามขยับเคลื่อนร่างของเขาเพื่อออกไปหาน้ำดื่ม จากนั้นเขาก็จะต้องหาอาหาร ซึ่งมันก็อาจจะเป็นผลไม้บางอย่าง แม้ว่าเขาจะสามารถฟื้นตัวร่างกายของเขาได้เพียงนิดหน่อย จากการเติมพลังงานด้วยพลังเวท...

 

เขาค่อย ๆ เดินหน้าไปเรื่อย ๆ ในขณะที่คิดถึงเรื่องนี้

 

ทันใดนั้นก็ปรากฏเสียงดังขึ้น มันได้กระตุ้นความรู้สึกของเขา

 

'มีคนกำลังเดินมาที่นี่'

 

ฝากตรงข้ามต้นไม้ เขาได้ยินเสียงของผู้คน เขาไม่รู้ว่ามีกี่คน แต่จากเสียงที่ได้ยินมันก็น่าที่จะมีคนจำนวนมาก พวกเขากำลังมุ่งเข้ามาในทิศทางที่เขายืนอยู่ ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังสนทนาอะไรบางอย่าง

 

'ข้าจะปลอดภัยจากพวกเขาหรือไม่?’

 

ถึงกระนั้นเขาก็ไม่คิดว่านี่เป็นสถานการณ์ที่โชคดีนัก เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าใครกำลังจะมาหาเขา? เกิดอะไรขึ้นถ้ามันเป็นกลุ่มของโจร ที่เห็นชีวิตมนุษย์เหมือนชีวิตของแมลงวัน?

 

ขณะที่รู้สึกกระวนกระวายใจ เขาจ้องมองไปในทิศทางที่ผู้คนกำลังมา ชายหนุ่มคนหนึ่งสวมชุดเกราะหนังปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหน้าเขา

 

เมื่อชายคนนั้นเห็นอาเซลล์ เขาชะงักถอยกลับและหันไปพูดกับคนที่อยู่ข้างหลัง

 

"มีคนอยู่ที่นี่!"

 

ไม่นานหลังจากนั้น หลายคนรีบวิ่งเข้ามา พวกเขาล้วนอยู่ในเครื่องแบบที่มีลักษณะในแบบเดียวกัน

 

‘พวกเขาน่าจะเป็นทหารจากกองทัพ?'

 

เขาคิดเช่นนั้น เพราะพวกเขาต่างมีอาวุธแบบเดียวกัน ภายใต้ชุดเกราะหนังในแบบเดียวกัน สีชุดสีเข้มแบบเดียวกัน

 

“นายกอง”

 

หลังจากนั้นสักครู่ ชายคนหนึ่งก็เดินมาที่ข้างหน้า เสื้อผ้าของเขาอาจแตกต่างจากคนอื่น ๆ เขาเป็นเด็กหนุ่มผมสีบลอนด์ที่มีพู่สีแดงบนหมวก และมีเรเปียร์อยู่ที่เอว

 

ช่วงเวลาที่อาเซลล์เห็นชายคนนี้ เขารู้สึกขบขันเล็กน้อย

 

"เขาแข็งแกร่งมาก?"

 

การปรากฏตัวของชายหนุ่มไม่ได้ดูเหมาะสมกับตำแหน่งของนายกองร้อย เขาให้ความรู้สึกของคุณชายหนุ่มที่ดูดีและใบหน้าของเขาดูอ่อนเยาว์มาก อายุของเขาต้องน้อยกว่า 20 ปี

 

อย่างไรก็ตามกลิ่นอายของเขากระตุ้นความทรงจำบางอย่าง เมื่อเขาก้าวมาที่ข้างหน้า พวกทหารก็แหวกทางออกและไม่ใช่เป็นเพราะว่าเขามีตำแหน่งนายกองเท่านั้น คนนี้เป็นนักบ่มเพาะควบคุมจิตวิญญญาณโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาแผ่พลังออกมากดดันผู้อื่น

 

"เขาเป็นมนุษย์..."

 

ชายหนุ่มผู้ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นนายกองร้อย เขาขมวดคิ้วเมื่อมองมาที่อาเซลล์ แต่ว่าด้วยรูปลักษณ์ของอาเซลล์ในตอนนี้ มันไม่ค่อยน่าดูนัก มันดูเหมือนว่าเขาไม่ใช่สิ่งที่มีชีวิต

 

'อะไรที่ทำให้มนุษย์ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้?'

 

แม้ว่าคน ๆ นั้นจะถูกกักขัง และผ่านความอดอยาก มันจะทำให้เขาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้หรือ? ถ้าตอนนี้ไม่ใช่เวลากลางวัน แต่เป็นเวลากลางคืนแทน เขาก็คงจะสงสัยว่าเวทมนตร์ชั่วร้ายอะไรสักอย่างที่ทำให้ซากศพเคลื่อนไหวได้

 

"ข้าเป็นนายกองทหารชายแดนของราชอาณาจักรรูแลน อัศวินไจล์ส วินซ์ เจ้าเป็นใคร มาจากไหน"

 

เขายังคงมีใบหน้าเด็ก แต่เสียงของเขากลับดูเคร่งเครียด ในขณะที่อาเซลล์กำลังคิดว่าคำพูดของเด็กหนุ่มดูสมฐานะการเป็นอัศวินมาก อาเซลล์ก็พยายามที่จะตอบกลับ

 

"ข้าคือ……."

 

แต่เสียงของเขาหายไป

 

“.......”

 

เสียงของอาเซลล์หายไป เห็นชัดว่าเขาไม่มีเสียงและไม่สามารถพูดอะไรออกมาในตอนนี้ได้ หลังจากที่ไจล์สได้เห็นว่าอาเซลล์เสียงขาดหายไปเขาก็พูดขึ้นว่า

 

"ข้าไม่คิดว่า เจ้าจะอยู่ในสภาพที่จะสามารถพูดอะไรออกมาได้ในตอนนี้ ก่อนอื่นเรากลับไปที่ค่ายของเรา เจ้าติดขัดอะไรหรือไม่?"

 

“เอ่อ ......”

 

อาเซลล์ พยายามจะบอกว่ามันดี ก่อนที่เขาจะพยักหน้าขึ้น หลังจากที่ ไจล์สยืนยันว่าเขาสามารถสื่อสารกับคนอื่นได้ เขาส่งสายตาของเขาไปที่ทหารคนอื่น

 

จากนั้นทหารสองคนก็ก้าวเดินมาข้างหน้าและช่วยพยุงอาเซลล์ อาเซลล์ อยากจะบอกพวกเขาว่าเขาสามารถเดินได้ด้วยตัวเขาเอง แต่ก็ยากสำหรับเขาที่จะก้าวแม้แต่ก้าวเดียว

 

'ข้าดูแย่มากจริง ๆ’

 

ทหารช่วยพยุงอาเซลล์ เพื่อกลับไปที่ค่าย ทันใดนั้นไจล์สก็ถามออกมาว่า

 

"เจ้าต้องการดื่มน้ำไหม?"

 

ในขณะนั้นแววตาของอาเซลล์เปิดกว้าง

 

น้ำ!

 

อ่า มันช่างเป็นคำพูดที่ราวกับสรรค์เปิดหรือไม่?

 

หลังจากได้เห็นอาเซลล์พยักหน้า ไจล์สก็คว้าเอากระติกน้ำที่เหน็บไว้ออกมาจากเอวและส่งมอบให้เขา หลังจากที่อาเซลล์ได้รับมันมา อาเซลล์หยุดเดินก่อนกรอกมันเข้าปากของเขา จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ และค่อย ๆ ดื่มน้ำ

 

"อึก อึก อึก...... "

 

มันเป็นสิ่งที่อาจจะเรียกได้ว่าให้น้ำให้ชีวิต ขณะที่น้ำหยดลงบนปากแห้งของเขา เขาสั่นสะท้านไปทั่วร่างกายของเขา แต่มันกินเวลาเพียงสักครู่ เขาพยายามที่จะดื่มมันอย่างช้า ๆ แต่น้ำในกระติกก็หมดลงไปในเวลาอันสั้น อาเซลล์มองไปที่กระติกน้ำด้วยแววตาที่เสียดายก่อนที่เขาจะส่งมันกลับคืนไป

 

'ข้ารู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย'

 

ร่างกายที่เกือบจะตายของเขาดีขึ้นอย่างมาก หลังจากการที่ได้ดื่มน้ำเพียงกระติกเดียว ถึงกระนั้นเรี่ยวแรงของเขาก็ฟื้นฟูเพียงเล็กน้อย แต่ในตอนนี้ เขาสัมผัสได้ว่า พลังเวทย์ของเขากำลังจะตื่นขึ้นมา

 

"ขอบคุณ…."

 

"โอ้ไม่เป็นไร เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรในตอนนี้"

 

ไจล์สหยุดอาเซลซึ่งกำลังพยายามอย่างหนักที่จะพูด จากนั้นเขาก็ถามผู้ใต้บังคับบัญชา

 

"ใครมีน้ำเหลือ? ข้าคิดว่าน้ำหนึ่งกระติกไม่พอ"

 

ทันทีทหารที่อยู่ข้าง ๆ เขาก็ยื่นกระติกน้ำให้กับอาเซลล์ เขาดื่มมันไปทั้งหมด 3 กระติกที่ได้จากทหาร เขาจึงหยุดดื่ม

 

หลังจากการจำศีลมาอย่างยาวนาน ร่างกายของเขาขาดสารอาหารและน้ำจำนวนมาก มันเป็นความมหัศจรรย์ที่ร่างกายของเขายังหลงเหลือเลือดที่ไหลเวียนในร่างของเขา สภาพร่างกายของเขาดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเขาดื่มน้ำ

 

นอกจากนี้ ...

 

‘อืมมม มันก็ควรจะเพียงพอ’

 

การควบคุมจิตวิญญญาณเป็นเคล็ดวิชาลับที่สามารถทำให้มนุษย์กลายเป็นสุดยอดมนุษย์ได้ อาเซลล์ได้ฝึกเคล็ดวิชาควบคุมจิตวิญญญาณจนถึงขีดจำกัดสูงสุด จนเขาไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา เขาสามารถควบคุมสิ่งที่เกิดขึ้นภายในร่างกายของเขาได้ เขาใช้มันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซับน้ำและภายในร่างกายของเขาเริ่มที่จะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว

 

ขณะที่เขากำลังทำเช่นนี้ อาเซลล์และทหารก็มาถึงค่ายที่พัก

 

“อา .........”

 

ดวงตาของอาเซลล์เบิกกว้างเมื่อเขาเห็นค่าย

 

มันเป็นสถานที่ขุดค้นของสถานที่ปรักหักพัง ตรงกลางของป่าถูกขุดขึ้นมาและมีทางเข้าออกสู่ใต้ดิน บริเวณล้อมรอบได้รับการเปิดเผย และพวกเขาอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังที่ขุดขึ้นมา

 

'นี่คือเหตุผลที่ทำให้ข้าตื่นขึ้นมา'

 

อาเซลล์ตระหนักว่าเสียงที่ดังทำให้เขาตื่นขึ้นมา มันเกิดจากความพยายามจากการขุดค้นของพวกเขา

 

ซากปรักหักพังที่พวกเขาขุดออกมาเป็นอาคารใต้ดินที่อาเซลล์กำลังนอนหลับอยู่ก่อนหน้านี้

 

คาร์ลอสทำการปิดบังสถานที่นี้ให้เป็นความลับในขณะที่ข้าจำศีล

 

'เวลาได้ผ่านไปนานเท่าไหร่...'

 

เนื่องจากการสถานที่ลับ ถูกปฏิบัติเหมือนโบราณสถาน มันได้ถูกขุดขึ้นมาเขาอาจสันนิษฐานได้ว่า มันได้ผ่านมาเป็นเวลานาน บางทีมันอาจจะนานมากกว่าที่อาเซลล์คาดไว้ได้

 

ความรู้สึกผิดปกตินี้ เขารู้สึกได้เมื่อเขาตื่นขึ้นมา มันเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

 

เมื่ออาเซลล์ถูกนำมาที่มุมหนึ่งของค่ายทหารของไจล์ส เนื่องจากเขาเป็นนายกองร้อย เขาจึงมีกระโจมส่วนตัวที่แยกออกจากผู้ใต้บังคับบัญชา

 

"นั่งนี่"

 

หลังจากที่ไจล์สบอกให้อาเซลล์นั่งบนเก้าอี้ เขาก็มอบผ้าห่มให้

 

"เอาผ้าผืนนี้คลุมร่างกายเจ้าไว้ จนกว่าข้าจะนำเสื้อผ้าสำรองมาให้..."

 

“อ่า”

 

ในที่สุดอาเซลล์ก็ตระหนักว่าเขาเปลือยเปล่า ท่าทางของอาเซลล์ดูประหลาดมากเกินกว่าที่พวกทหารจะสนใจที่อาเซลล์เปลือยเปล่า ดังนั้น อาเซลล์ก็ลืมเรื่องนี้ไปด้วย

 

'ให้ตายสิ พอข้าตื่นขึ้นมา ทำไมข้าจะต้องมาอับอายเช่นนี้?'

 

ใบหน้าของอาเซลล์แดง แต่มันก็มองไม่เห็นเนื่องจากเขาดูไม่ต่างไปจากมัมมี่

 

ไจล์สพูดขึ้นมาว่า

 

"เพราะมันจะยากเกินไปสำหรับเจ้าที่จะพูด เอาละเจ้าก็ทำเพียงแค่ฟัง ขณะที่เรากำลังขุดอุโมงค์ ได้เกิดเหตุระเบิดอยู่ใกล้ ๆ เราไปตรวจสอบสถานการณ์แล้วเราก็พบเจ้า"

 

การระเบิดเกิดขึ้นเมื่ออาเซลล์พยายามจะออกมาจากโลงศพ อาเซลล์ดีใจกับการที่เขาสร้างเรื่องวุ่นวายจนเป็นเหตุให้มีนำคนมาพบเขา

 

ไจล์สพูดต่อไป

 

"การขุดค้นของไซต์งานนี้ถือว่าเป็นภารกิจที่สำคัญของทหารเรา ดังนั้นเราจำเป็นต้องรู้ว่าเจ้าคือใครและทำไมเจ้าถึงอยู่ในสถานที่เช่นนี้ เจ้าเข้าใจไหม?"

 

คำพูดของเขามีความหมาย อาเซลล์จึงพยักหน้า อย่างไรก็ตามในเวลาเดียวกันเขากำลังคิดถึงเรื่องอื่น

 

'ข้าควรจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไรดี?'

 

เขาไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร ตั้งแต่ที่เขานอนหลับอยู่ที่นี่ หรือคนเหล่านี้เป็นใคร เขารู้สึกงงว่าควรจัดการกับสถานการณ์นี้อย่างไร

 

'อันดับแรกข้าต้องประเมินสถานการณ์ ... '

 

โชคดีที่ไจล์สไม่ได้ดูเหมือนว่าเขาจะกดดันอาเซลล์ อาจเป็นเพราะรูปลักษณ์ที่น่ากลัวและน่าสงสารมากเกินไปของอาเซลล์

 

"ก่อนอื่นเจ้าไปหาแพทย์ทหารเพื่อพักผ่อนก่อนสักวัน ข้าหวังว่าเจ้าจะยอมตอบคำถามของข้าในครั้งต่อไป"

 

อาเซลล์ พยักหน้า

 

กองทัพเป็นองค์กรที่มีรูปแบบการรักษาคนภายนอกเช่นอาเซลล์แบบคร่าว ๆ มันจะไม่แปลกถ้าพวกเขาเลือกที่จะทำอย่างนั้น

 

อย่างไรก็ตามเขารู้สึกแปลก เพราะพวกเขาปฏิบัติต่อเขาด้วยความสุภาพเช่นนี้

 

‘บอกตามตรง เด็กหนุ่มผู้นี้ควรจะเป็นอัศวินยอดเยี่ยม แทนที่จะเป็นพียงแค่นายกองในกองทัพ ...'

 

อาเซลล์แน่ใจว่าไจล์สเป็นขุนนาง เขาไม่สามารถทำตัวเปี่ยมไปด้วยศักดิ์ศรีและมีมารยาทที่สุภาพเหล่านี้ เว้นเสียแต่ว่าเขาได้รับการศึกษาและเติบโตขึ้นมาจากตระกูลขุนนาง ไม่นานนักผู้ใต้บังคับบัญชาของไจล์สได้นำเสื้อผ้าสำรองมาให้อาเซลล์ มันเป็นเสื้อผ้าทำงานสำหรับคนงาน แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ อาเซลล์รู้สึกขอบคุณ ต่อมาอาเซลล์ ได้รับคำแนะนำให้ไปหาแพทย์ทหาร เพราะมันไม่ใช่สถานการณ์การสู้รบ เมื่อแพทย์ทหารหนุ่มมองไปที่ อาเซลล์ เขาก็ตกใจ

 

"นรกอะไรกัน? เจ้าแน่ใจนะว่าเขาเป็นมนุษย์ที่ยังมีชีวิต?"





DMW 003 อาเซลล์ เซสตริงเจอร์



ปัจจุบัน อาเซลล์ ดูดีขึ้นกว่าเดิมมากหลังจากที่ร่างกายของเขาได้รับน้ำอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม สภาพร่างกายของเขาก็ยังคงดูเหมือนสัตว์ประหลาด


ทันใดนั้นทหารที่นำทางอาเซลล์ก็พูดขึ้น


“นายกองไจล์สต้องการให้เจ้าตรวจสุขภาพของเขา”


'ตรวจสุขภาพ?'


อาเซลล์เอียงศีรษะไปข้างหนึ่ง เขาไม่รู้ว่าคำนี้คืออะไร


ก่อนหน้านี้ เขาฝึกฝนประสาทหูของเขาเพื่อฟังคำพูดที่พูดรอบตัวเขา และเป็นเรื่องปกติที่เขาจะไม่เข้าใจคำศัพท์เหล่านั้น ทั้งสำเนียงและน้ำเสียงก็ดูเกือบจะเหมือนกับสิ่งที่เขารู้ แต่ในมุมมองของเขา มันก็ดูเหมือนว่าเขาได้ยินส่วนหนึ่งของภาษาถิ่นอย่างต่อเนื่อง และภายในคำพูดเหล่านั้น เขาก็ได้ยินคำที่เขาไม่รู้จักปะปนอยู่ในนั้นด้วย


ตัวอย่างคือ 'แพทย์ทหาร' ในสมัยของ อาเซลล์ ตำแหน่งแพทย์ทหารนี้ไม่มีอยู่ในกองทัพ มีก็แต่นักบวชที่เรียนวิชารักษาโรคจากวิหาร จะทำการติดตามกองทัพไป


มันเหมือนกันกับคำว่า 'ตรวจสุขภาพ' เมื่อผู้รักษาตรวจดูผู้ป่วย ไม่เคยมีคำศัพท์เฉพาะสำหรับคำนี้ ดังนั้น เมื่ออาเซลล์ได้ยินการสนทนาของพวกเขา เขามีปฏิกิริยามึนงงแปลกๆ ราวกับว่าเขาไม่เข้าใจในสิ่งที่ได้ยิน นั่นเป็นเพราะเขาพยายามเดาความหมายของคำที่เขาไม่รู้


'เกิดอะไรขึ้น? เป็นเพราะข้าอยู่ในที่ที่ข้าไม่เคยไปมาก่อน? หรือ....'


ในขณะที่ อาเซลล์ กำลังคิดเรื่องนี้ แพทย์ประจำกองทัพก็พูดขึ้น


“อืม... เขาผู้นี้เป็นใคร และเจ้าไปเอาเขามาจากไหน”


"นั่นคือ...."


ทหารคนนั้นได้เริ่มทำการอธิบายสถานการณ์ ในขณะที่แพทย์ทหารก็เริ่มจะขมวดคิ้ว


“เขาถูกทดลองด้วยมนต์ดำบางอย่าง เจ้ากำลังหมายความเช่นนั้นใช่หรือไม่”


หลังจากได้ยินสิ่งนี้ อาเซลล์ ก็เริ่มมีความคิด


'ไม่เลว'


เขาสามารถพูดได้ว่าเขาถูกลักพาตัวโดยจอมเวทมนตร์ดำ เขาถูกทดลองและมันก็คล้ายกับการทรมาน ทำให้เขาอยู่ในสภาพนี้และเขาจำไม่ได้ว่าเขาเป็นใคร เขาจำได้แต่เพียงชื่อของเขา แต่ทุกอย่างยังเลือนลางและกระจัดกระจาย....


มันจะเป็นข้อแก้ตัวที่ดีพอ มันน่าจะได้ผลดีกว่าการบอกเล่าความจริงอย่างตรงไปตรงมา?


แพทย์ประจำกองทัพกำลังมองอาเซลล์ด้วยสีหน้าตื่นตระหนกเล็กน้อย เขาวางมือลงบนหน้าผากของอาเซลล์ จากปลายมือของเขาพลันปรากฏรัศมีแสงอุ่นๆ ส่องสว่างขึ้นมา ก่อนที่จะถูกดูดกลืนเข้าไปในร่างกายของ อาเซลล์


'เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษา'


ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาคือการดำรงอยู่ที่ถือว่า แตกต่างจากจอมเวท โดยปกติแล้ว พวกเขาจะสะสมยาที่ทำขึ้นเป็นพิเศษไว้ภายในร่างกายของพวกเขา และพวกเขาก็สามารถหลอมรวมมันเข้ากับพลังเวทเพื่อให้มันสำแดงออกมา


'ข้าไม่คิดว่าเขาเป็นนักบวช...'


ในสมัยของอาเซลล์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาทั้งหมดเป็นนักบวชของวิหารและก็ไม่ได้มีมากนัก อย่างไรก็ตาม ชายที่อยู่ตรงด้านหน้าเขาดูเหมือนจะไม่ได้มีอาชีพเป็นนักบวช


'ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาที่ไม่ใช่นักบวช สามารถสมัครเข้ากองทัพและได้รับการแต่งตั้งเป็นแพทย์ของกองทัพหรือไม่'


มันน่าสนใจ ก่อนที่อาเซลล์จะหลับไป มีเพียงนักบวชของวิหารเท่านั้นที่สามารถใช้ศิลปะการรักษาได้ ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับความเคารพแม้กระทั่งจากบุคคลที่มีสถานะสูง อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ ชายผู้นี้ไม่ได้รับการปฏิบัติเช่นนั้น


ในไม่ช้า แพทย์ประจำกองทัพก็พูดออกมา


“เขามีชีวิตอยู่ได้อย่างไร กับสภาพร่างกายที่เป็นเช่นนี้”


ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาสามารถบอกสถานภาพของร่างกายของอีกฝ่ายได้ด้วยการสัมผัส นอกจากนี้ยังสามารถให้พลังในการรักษาบาดแผลและโรคต่างๆ


แพทย์ประจำกองทัพเข้าใจสถานะของ อาเซลล์ และมันก็เป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่เขายังมีชีวิตอยู่


อีกทั้งเขายังสามารถครองสติ เดินเองได้ เขาท้าทายตรรกะธรรมชาติ!


หลังจากที่มึนงง เขาก็หันไปพูดกับทหาร


"เจ้า ชายคนนี้.....เขาไม่เพียงต้องการแค่น้ำ เจ้าได้ให้อาหารเขาบ้างหรือยัง”


"อะไรนะ?"


“เขาอยู่ในสภาพขาดอาหารอย่างรุนแรง ไม่สามารถพูดได้ว่าเขาสามารถรักษาสติได้อย่างไร หลังจากเห็นสภาพแย่ๆ ของเขา เจ้าไม่คิดอย่างนั้นเหรอ?”


"นั่นคือ....ข้ากลัวเกินกว่าจะคิดเรื่องนั้น”


“ข้าเดาว่าเขาดูเหมือนสัตว์ประหลาดมากกว่ามนุษย์”


อาเซลล์ ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจากคำพูดของแพทย์ทหาร พวกเขาเรียกเขาว่าสัตว์ประหลาด แต่ร่างกายของเขาเคยได้รับคำชมเชยจากผู้หญิงมาแล้ว


“ไปที่ห้องครัวและขอให้พวกเขาทำอาหารที่ย่อยง่าย สิ่งที่คล้ายกับซุป”


“เข้าใจแล้ว”


“นำมันมาที่นี่ด้วยเพราะชายคนนี้น่าจะเคลื่อนไหวลำบาก”


"ใช่ อย่างไรก็ตาม เขาสามารถเดินมาที่นี่ได้ด้วยดี.....”


“ดูไม่เหมือนว่าเขากำลังลำบาก?”


ทหารไม่มีอะไรจะพูด หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น


หลังจากที่ทหารออกไป แพทย์ของกองทัพก็พูดกับอาเซลล์


“คุณอยากดื่มน้ำไหม”


อาเซลล์รีบผงกศีรษะ แม้ว่าเขาจะได้ดื่มน้ำมามากแล้วแต่ก็ยังไม่เพียงพอ


แพทย์ประจำกองทัพพูดกับเขาหลังจากที่เห็น อาเซลล์ ดื่มน้ำอย่างระมัดระวัง


“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร แต่อย่าได้คิดที่จะทำอะไรบุ่มบ่ามเกินไป แม้ว่าเจ้าจะได้เรียนรู้เคล็ดวิชาควบคุมจิตวิญญญาณแล้วก็ตาม”


“.......”


“มันน่ากลัว ดังนั้นอย่ามองข้าแบบนั้น ข้าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษา อย่างน้อยที่สุดข้าก็รู้ว่า คนไข้ของข้าควรปฏิบัติตนอย่างไร”


'ไม่ ข้าไม่ได้มองเขาแบบ...ที่จะทำให้เขากลัว....'


อาเซลล์มองไปที่แพทย์ประจำกองทัพด้วยสายตาขบขัน อย่างไรก็ตาม แพทย์กองทัพกลับเข้าใจผิดว่าการป้องกันตัว


'ข้าคงจะดูแย่มากจริงๆ.....'


ตอนนี้เขาต้องการที่จะเห็นตัวเองอย่างน้อยสักหนึ่งครั้ง อาเซลล์พูดขึ้น


“อ่างใหญ่....เจ้าช่วย... ขอน้ำให้ข้าหน่อยได้ไหม....?”


“อืมมม? ทำไม ไม่ ไม่เป็นไร ข้าจะมอบให้เจ้า”


แพทย์ประจำกองทัพไม่ต้องการให้ อาเซลล์ ลำบากใจ เขาเติมน้ำลงในอ่างล้างหน้า อาเซลล์ สะดุ้งกับภาพสะท้อนที่เขามองเห็น ใบหน้าของเขาบนพื้นผิว


'โอ้ว ข้าดูเหมือนสัตว์ประหลาดจริง ๆ'


เขารู้สึกว่ามันยุติธรรมแล้วที่เขาถูกปฏิบัติเหมือนสัตว์ประหลาด เขารู้สึกนับถือไจล์ส เพราะอีกฝ่ายปฏิบัติต่อเขาเหมือนกับเป็นมนุษย์ด้วยกันตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเห็นเขา


'ให้ตายเถอะ ร่างกายที่ราวกับรูปปั้นหินอ่อนของข้าหายไปไหน...'


เขานึกถึงตัวเองในอดีต และเปรียบเทียบกับรูปลักษณ์ปัจจุบันของเขา จนเขาอยากจะร้องไห้


‘อย่างน้อยที่สุด เส้นผมของข้าก็ยังไม่ร่วงหล่น’


ผมสีแดงของอาเซลล์ยังงอกออกมาตามปรกติ มันจึงดูยุ่งเหยิงจนเป็นรังนก


แพทย์ทหารพูดออกมา


“เจ้าจำหน้าตาตัวเองไม่ได้ว่าเป็นอย่างไร?”


อาเซลล์ พยักหน้าของเขา


แพทย์ทหารพูดต่อ


“อืมมม ข้าไม่รู้ว่าเจ้าผ่านอะไรมาบ้าง แต่มันต้องยากลำบากและผิดปกติแน่ๆ”


ในไม่ช้านายทหารก็นำซุปร้อนๆ เข้ามา อาเซลรับมันมาและเริ่มกินทีละช้อนอย่างช้าๆ มันเป็นแค่ซุป แต่ทุกช้อนที่เขากินทำให้ร่างกายของเขาเปลี่ยนไป มันเป็นความชุ่มชื้นและมีคุณค่าทางโภชนาการเพียงเล็กน้อย แต่พลังของเขากลับมาอย่างเห็นได้ชัด


แพทย์ทหารพูดหลังจากสังเกตร่างของเขาอย่างระมัดระวัง


“ข้า ริค โบแรน เจ้าชื่ออะไร?"


เขากำลังจะตอบทันที แต่เขาหยุดชะงักครู่หนึ่ง หลังจากที่จู่ๆ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมา เขาวางมือบนหน้าผากและขมวดคิ้ว


"ชื่อ......"


"ใช่ ชื่ออะไร"


“อาเซลล์.....เซสตริงเจอร์.....?”


“อาเซลล์ เซสตริงเจอร์?”


"อาจจะ....."


เขาตอบแบบตะกุกตะกัก เพราะเขาต้องการให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเขาไม่แน่ใจเกี่ยวกับความทรงจำของเขา นอกจากนี้เซสตริงเจอร์ก็เป็นนามสกุลเดิมของเขา แต่เดิมเขาเป็นสามัญชน หลังจากที่เขาโค่นล้มราชาปีศาจมังกร เอเธนได้ เขาก็ได้รับตำแหน่ง ดยุค คาร์ซาร์ค จากความสำเร็จของเขา หลังจากนั้นเขาถูกเรียกว่า อาเซลล์ คาร์ซาร์ค จากทุกคน


ริคถามเขา


“บางที... เจ้าอาจจะยังไม่แน่ใจเกี่ยวกับความทรงจำของตัวเอง?”


อาเซลล์พยักหน้า ในขณะที่ริคขมวดคิ้ว


“เจ้าน่าจะต้องผ่านอะไรมาอย่างหนักหนาสาหัส”


“จอมเวท....”


“อืม?”


“จอมเวท... ข้า... ข้าจำไม่ค่อยได้... แต่.....”


"อา..."


สีหน้าของริคเข้มขึ้น


เขาพูดคำเหล่านี้โดยไม่คิดมาก ดังนั้นในความเป็นจริงเขารู้สึกผิด หาก อาเซลล์เจ็บปวดกับสิ่งที่เขาพูดจริง ๆ มันคงไม่ใช่เรื่องที่เขาจะพูด


แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่ อาเซลล์ คาดการเอาไว้ อาเซลล์มองดูการแสดงออกของอีกฝ่าย และเขาก็กล่าวคำขอโทษในใจ


'ข้าขอโทษ อย่างไรก็ตาม มันง่ายสำหรับเจ้าที่จะยอมรับมัน’


ริคพูดด้วยสีหน้าเห็นอกเห็นใจ โดยไม่ได้รับรู้ถึงความคิดอันดำมืดภายในใจของ อาเซลล์


“อืม... โปรดพักผ่อนให้สบายในค่ายทหารในคืนนี้ ข้าจะขอให้ทหารนำอาหารเย็นมาให้ที่นี่ ในเวลานี้ข้าไม่สามารถทำอะไรให้เจ้าได้อีกแล้ว”


อาเซลล์พยักหน้าข


อาเซลล์ กินซุปและน้ำ เพียงแค่สองมื้อในวันนั้น ก่อนเข้านอน ความจริงเขาอยากกินมากกว่านี้ แต่ริคตัดสินใจว่าเขาไม่ควรกินมากเกินไป แม้ว่าเขาจะยังหิวอยู่แต่มันก็จะทำให้เขาปวดท้อง


'เป็นการตัดสินใจที่สมเหตุสมผล ดังนั้นข้าจึงพูดอะไรไม่ได้'


อาเซลล์ มั่นใจว่าเขาจะสบายดีแม้ว่าเขาจะกินอาหารมากขึ้น


แม้ว่าพลังงานของเขาจะเหือดหายไป แต่การควบคุมร่างกายที่เขาได้รับจากเคล็ดวิชาควบคุมจิตวิญญญาณยังคงอยู่


อย่างไรก็ตาม เขาไม่สามารถอธิบายสถานการณ์ของเขาได้ ดังนั้นเขาจึงได้แต่ทำตามคำแนะนำโดยไม่พูดอะไร


อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านไปเพียงหนึ่งวัน รูปลักษณ์ของ อาเซลล์ ก็เปลี่ยนไปอย่างมาก ผิวที่เคยแห้งแตกเป็นขุย ร่างกายที่ดูเหมือนหนังหุ้มกระดูก ได้รับการฟื้นฟูเล็กน้อย


ร่างกายของเขาเริ่มฟื้นตัว และ อาเซลล์ ก็เฝ้าติดตามสถานการณ์ของร่างกายเขาผ่านการทำสมาธิ


'นี่มันน่าหงุดหงิดจริงๆ'


พลังทั้งหมดที่เขาสะสมไว้ก่อนที่จะจำศีลได้หายไปหมด


กล้ามเนื้อที่เขาเคยฝึกฝนมาด้วยความอดทนหายไปหมดแล้ว และพลังงานที่มากล้นที่มีก็เหือดแห้งไปหมด วงแหวนแห่งชีวิตซึ่งถือเป็นรากฐานของผู้ที่ฝึกฝนใน เคล็ดวิชาควบคุมจิตวิญญญาณได้สูญหายไปหมดแล้ว


'แม้แต่วงแหวนแห่งชีวิตก็หายไป'


แม้ว่าพลังงานของเขาจะเหือดหายไป แต่เขาก็คิดว่าวงแหวนแห่งชีวิตของเขาจะยังคงอยู่ที่นั่น อย่างไรก็ตาม ในกระบวนการของการจำศีลเป็นระยะเวลานาน พลังเวทที่ประกอบเป็นวงแหวนแห่งชีวิตได้ถูกนำมาใช้


เขาหลับไปนานแค่ไหน? เมื่อเวลาผ่านไป เขาเริ่มสงสัยอย่างมากเกี่ยวกับข้อเท็จจริงนั้น


ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด เขาต้องเริ่มทุกอย่างตั้งแต่ต้น เขาต้องเติมพลังงานที่หดหายของเขาด้วยพลังเวทเพื่อให้มันมีชีวิต และเขาต้องสร้างวงแหวนแห่งชีวิตอีกครั้ง จากนั้นเขาจะฟื้นพลังเดิมของเขา


'ยังถือว่าโชคดีที่คำสาปหายไป?'


คำทำนายของคาร์ลอสถูกต้อง


อาเซลล์ได้เลียนแบบการจำศีลของมังกร และเขาก็หลับไปเป็นเวลานาน จนเขาสามารถเอาชนะคำสาปได้สำเร็จ ร่างกายของเขาไม่มีคำสาปของราชาปีศาจมังกรซึ่งกัดกินชีวิตของเขาอีกต่อไป


'ใช่ สิ่งนี้น่าจะใช้ได้'


อาเซลล์ ไม่คาดหวังอะไรมากไปกว่านี้แล้ว เขาได้รับประโยชน์แล้ว เขาสงสัยเกี่ยวกับหลายสิ่งหลายอย่าง แต่เขาตัดสินใจที่จะมุ่งเน้นไปที่สิ่งหนึ่ง


ทันใดนั้น อาเซลล์ เริ่มฝึกฝน เคล็ดวิชาควบคุมจิตวิญญญาณใหม่อีกครั้ง


การฝึกเคล็ดวิชาควบคุมจิตวิญญญาณเกี่ยวข้องกับการสร้างภาพทางจิตและต้องทำให้จิตใจและร่างกายเข้าสู่สภาวะคงที่ (TLN: สร้างภาพจิตของสิ่งที่ต้องการ และพยายามประสานจิตใจกับร่างกาย) ในสถานะนี้ ภายในจิตจะเกิดการสะท้อนกลับพลังเวท ในชั้นบรรยากาศเพื่อผลิตพลังงาน พลังงานนี้ใช้เพื่อเติมเต็มพลังงานในชีพจร


พลังเวท


เป็นแหล่งพลังงานที่มีอยู่มากมายในชั้นบรรยากาศ เคล็ดวิชาควบคุมจิตวิญญญาณของนักรบและนักเวท เป็นพลังเวทที่เกิดจากการสะท้อนกลับของจิตด้วยพลังเวท


มีการเปิดเผยว่าพลังเวทตอบสนองต่อเจตจำนงที่แข็งแกร่ง สิ่งนี้จะช่วยให้พลังงานสามารถเปลี่ยนเป็นรูปแบบใดก็ได้


นี่เป็นวิธีที่นักเวทสามารถทำให้เกิดปรากฏการณ์ต่างๆ


ตรืออออออ.... (TLN: เสียงหึ่งๆ เหมือนไฟฟ้าแรงสูงดังผ่านสาย)


อาเซลล์ที่กำลังทำสมาธิเริ่มสะท้อนกลับพลังเวท ทำให้ริครู้สึกประหลาดใจจนต้องมองเข้าไปข้างใน เนื่องจากเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษา เขาจึงไวต่อการเคลื่อนไหวของพลังเวท


“เขากำลังฝึกเคล็ดวิชาควบคุมจิตวิญญญาณของเขาอยู่หรือเปล่า”





DMW 004 อาเซลล์ เซสตริงเจอร์



พลังเวทและการควบคุมจิตวิญญญาณเป็นเคล็ดวิชาที่ไม่ได้สอนให้คนอื่นได้ง่าย ๆ และจะไม่มีใครฝึกต่อหน้าคนอื่น อย่างไรก็ตาม อาเซลล์ก็รับรู้ถึงการปรากฏตัวของริค จากการสะท้อนกลับพลังเวทอย่างไม่ตั้งใจ


“อืมมม”


ฉับพลันปรากฏมีลูกบอลแสงจาง ๆ ขึ้นที่ด้านหน้าของ อาเซลล์ ขณะที่เขายังคงสะท้อนกลับพลังเวท หลังจากที่ริคเห็น เขาก็รู้ทันทีว่าเป็นอย่างไร


มันเป็นพลังเวทหรือเปล่า? เขาไม่ได้มีวงแหวนชีวิตแต่เขากลับสามารถสร้างพลังเวทแบบนี้ได้อย่างไร?


วงแหวนชีวิตของบุคคล โดยเฉพาะผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการควบคุมจิตวิญญญาณย่อมสามารถนำเอาความแข็งแกร่งเฉพาะของแต่ละบุคคลออกมาใช้ได้ เมื่อจำนวนของวงแหวนชีวิตเพิ่มขึ้น มันก็จะสามารถปลดปล่อยพลังที่แข็งแกร่งได้มากขึ้น


อย่างไรก็ตามเมื่อริคสังเกตเห็นเขา อาเซลล์ก็ไม่ได้เปิดใช้งานพลังงานของเขาอย่างที่ควรจะเป็น อีกทั้งเขาก็ไม่มีวงแหวนชีวิต แล้วเขาสามารถสร้างพลังเวทที่มีความหนาแน่นสูงเช่นนี้ได้อย่างไร?


ถ้าอาเซลล์ได้ยินคำถามของริคแล้วละก็ เขาก็คงต้องตอบไปว่า


“แม้ว่าข้าจะไม่มีวงแหวนชีวิต การควบคุมพลังเวทของข้าก็ยังอยู่ในระดับสูงและนี่จึงเป็นสาเหตุทำให้ข้าสามารถจัดการกับพลังเวทได้อย่างอิสระ"


อาเซลล์มีความสามารถในการควบคุมจิตวิญญญาณอย่างสมบูรณ์แบบ และเขาก็เคยอยู่ในจุดสูงสุดมาก่อน แน่นอนว่าเขาเป็นคนที่ยอดเยี่ยมในการควบคุมพลังเวท


นักบ่มเพาะคนอื่น ๆ อาจที่จะต้องดูดซับส่วนหนึ่งของพลังที่พวกเขาได้สร้างและส่งผ่านการสะท้อนกลับของพลังเวท อย่างไรก็ตาม อาเซลล์สามารถรวบรวมพลังทั้งหมดไว้ในที่เดียว และเขายังสนับสนุนมันด้วยมือทั้งสองข้าง


จากนั้นเขาก็กลืนกินมัน


ดวงตาของริคเบิกกว้าง


"เขากลืนกิน ... หลอมรวมพลังเวท?"


เขาไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน อาเซลล์ทำการกลืนกิน เพื่อหลอมรวมพลังเวท เขาทำราวกับว่ามันเป็นน้ำ!


“โอ้วว”


สิ่งนี้ทำให้พลังเวทจำนวนมากไหลเข้าสู่เส้นชีพจรของเขา


อาเซลล์โคจรพลังเวท ผ่านเส้นชีพจร หลอมรวมพวกมันกับพลังงานทั้งหมดที่อยู่ในร่างกายของเขา หลังจากที่พวกมันหลอมรวมกัน ส่งผ่านพลังที่เหลือเพื่อวาดวงแหวน


'ข้าไม่สามารถสร้างมันได้ภายในหนึ่งวัน'


ตามคาด การสร้างวงแหวนชีวิตเป็นเรื่องยาก ด้วยพลังเวทนี้เขาไม่สามารถรักษาแหล่งกำเนิดขนาดเล็กที่จะกลายเป็นวงแหวนชีวิตได้


อาเซลล์ พยายามที่จะส่งพลังเวทออกไปเพื่อทำให้เกิดการสะท้อนกลับของพลังเวทอีกครั้ง ก่อนเพื่อที่จะกลืนกินและสร้างการหลอมรวมพลังเวทอีกครั้ง แต่ทันใดนั้นวิสัยทัศน์ที่ด้านหน้าของเขาก็เกิดการหมุนควงขึ้นมา


“โอ๊ก... ..”


เขานั่งขัดสมาธิแต่เกือบจะสูญเสียความสมดุล เขาแทบไม่สามารถหลีกเลี่ยงจากการล้มลงไปกับพื้นได้และอาเซลล์ก็ตระหนักถึงปัญหาของเขา


'ร่างกายของข้าไม่สามารถทนต่อมันได้"


สภาพร่างกายของเขาแย่มาก มันสามารถทนต่อการสะท้อนพลังเวทได้ในระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น และหลังจากที่เขาทำการหลอมรวมพลังเวทหนึ่งครั้ง เขาก็มาถึงขีดจำกัดแล้ว 


ควบคุมจิตวิญญญาณ คือ เคล็ดวิชาลับที่สร้างความแข็งแกร่งให้กับร่างกายผ่านพลังเวท บุคคลที่จะใช้มันได้ พวกเขาจะต้องฝึกฝนร่างกายและต้องมีพลังเวทอย่างสมดุลเท่าเทียมกัน เพื่อให้เห็นผล การทำงานร่วมกัน หากขาดด้านหนึ่งด้านใด มันก็จะมีผลต่อด้านอื่น ๆ ด้วย


ในขณะเดียวกันริคก็พูดขึ้นมาว่า


“อย่าได้ทำอะไรเกินตัว เจ้าเรียนรู้ที่จะทำการหลอมรวมพลังเวทและกลืนกินมันมาจากที่ใด? ข้ารู้พื้นฐานของการควบคุมจิตวิญญญาณ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นวิธีการดังกล่าว"


"….อาจจะ?"


อาเซลล์หันมามองด้วยความงงงวย


ทัศนคติของเขาชี้ให้เห็นว่าเขาไม่รู้เหมือนกัน แน่นอนว่าเขากำลังแสดง เช่นที่เขาเคยเกริ่นเรื่องไว้ก่อนหน้านี้ ดังนั้น ริคจึงปล่อยมันผ่านไป


อาเซลล์พูดขึ้นมาว่า


"ข้าขออะไรบางอย่าง ได้หรือไม่แพทย์ทหารริค?"


“อืม?”


"อาหารในวันพรุ่งนี้ ... เจ้าช่วยจัดมันให้ข้าในปริมาณแบบปกติได้หรือไม่?"


ตอนนี้ อาเซลล์ สามารถพูดได้อย่างถูกต้อง เสียงของเขาแหบแห้งมาก แต่เขาสามารถพูดออกมาได้ชัดเจน


ริคส่ายหน้า


“ไม่ เจ้าคิดว่าร่างกายของเจ้าสามารถย่อยอาหารปกติได้เหรอ?"


"ข้าขอ เพียงเพราะข้าเชื่อว่าข้าสามารถทำได้"


"เจ้ารู้สึกไปเองเท่านั้น เจ้าอาจถ่ายอุจจาระเปื้อนเลือด" (TLN: >..<)


"ไม่ ข้าไม่แน่ใจเกี่ยวกับความทรงจำของข้า แต่ ... ข้าสามารถควบคุมร่างกายของข้าผ่านการควบคุมจิตวิญญญาณได้ วันนี้ข้าไปห้องน้ำครั้งเดียวเท่านั้น"


“ร่างกายของเจ้าอาจอยู่ในสถานะที่ไม่สามารถดูดซับสารอาหารได้ทั้งหมด ... มันไม่ควรจะเป็นเรื่องปกติ?”


อาเซลล์ยังคงพยายามพูดกับริคอย่างคลุมเคลือ


"ก่อนอื่น ข้าก็อยากจะกินอาหารเช้าในวันพรุ่งนี้ และข้าจะหยุด ถ้ามันเกิดปัญหา โปรดอนุญาตและปล่อยให้ข้าได้ลองดูก่อน"


“อืมมม ตกลง แต่ ....”


ริคพูดออกมาด้วยความรู้สึกที่ไม่พอใจ


"ดูเจ้าจะเป็นคนที่พูดจาไม่ค่อยระวัง?”


"ข้า? เจ้าก็เป็นแพทย์ทหาร พูดแบบเดียวกันไม่ได้? "


"ข้าเป็นคนที่แม้แต่นายกองก็ต้องให้ความนับถือ?"


"ในอดีต ข้าอาจจะได้รับความนับถือเป็นพิเศษ อาจจะ แต่ข้าไม่สามารถจำมันได้จริง ๆ"


“จิ๊”


ริคเดาะลิ้นของเขา แต่เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา ในตอนแรกเขาไม่ได้มีบุคลิกเจ้ายศเจ้าอย่าง กับคนอื่น ๆ


'ชายคนนี้ ก็ดูคุ้นเคยแบบแปลกๆ?'


ตอนแรกเขารู้สึกกลัวเล็กน้อยกับคนที่ไม่ได้เป็นเหมือนมนุษย์ แต่เขาก็รู้สึกสงสาร


ในตอนนี้ เมื่อริคได้ยินเรื่องราวบางอย่างจากอาเซลล์ เขาก็ดูคุ้นเคยแบบแปลก ๆ เรื่องนี้ทำให้ริคต้องปฏิบัติกับเขาอย่างผ่อนคลาย แม้ว่าลักษณะของริคจะเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว


หลังจาก อาเซลล์ เห็นปฏิกิริยาของริค เขาก็ยิ้มอยู่ในใจ


โชคดีที่ข้าสามารถจัดการพลังงานได้ดี


เป็นเรื่องปกติที่คนจะรู้สึกถึงความรู้สึกที่ไม่เหมือนใครเมื่อเห็นคนอื่น ความรู้สึกนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นความประทับใจเมื่อแรกเห็นตามปกติ บางคนรู้สึกสบายใจ บางรู้สึกว่ากำลังถูกข่มขู่ และบางครั้งก็รู้สึกจาง ๆ อย่างที่ไม่สามารถบอกได้ว่าบุคคลนั้นอยู่ที่นั่นหรือไม่


เมื่อนักบ่มเพาะควบคุมจิตวิญญญาณได้เข้าถึงจุดสูงสุด เขาจะสามารถควบคุมพลังงานที่ปล่อยออกมาและในที่สุดก็สามารถเปลี่ยนมันให้กลายเป็นความประทับใจได้ ก่อนหน้านี้ไจล์สก็แผ่ความรู้สึกอึดอัดออกมา นี่เป็นหลักการเดียวกัน 


อาเซลล์ สามารถใช้ทักษะนี้ได้ เขาตั้งใจจะปลดปล่อยบรรยากาศที่เป็นกันเองโดยไม่มีแรงกดดัน ริคสัมผัสมันได้และมันได้ผล


หลังจากนั้นริคบ่นออกมาว่า


"เซอร์ไจล์ส นำคนแปลกประหลาดแบบไหนมากันนะ"


เขาไม่ได้เรียกนายกอง แต่เขาเรียกว่า 'เซอร์' ซึ่งเป็นคำนำหน้าเพื่อให้เกียรติสำหรับอัศวิน


อาเซลล์ คิดว่ามันแปลก แต่เขาเริ่มถามคำถามที่แตกต่างออกไป


“เจ้าจะว่าอะไรหรือไม่ถ้าหากว่า ข้าจะขอถามคำถามสักสองสามข้อ?"


"เจ้ารู้ไหมว่าคนที่อยู่ในตำแหน่งเช่นเจ้า ไม่ควรพูดอะไรแบบนี้ออกมา?"


"ข้ารู้ว่าข้าเป็นคนที่ควรถูกสอบสวน แต่ข้าจำไม่ได้”


"ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร แต่ ... ข้าว่าเจ้าก็แสดงออกนอกหน้าไปหน่อยนะ"


"ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน"


อาเซลล์ หัวเราะออกมาอย่างขมขื่นภายในใจ ถ้าเขาไม่หน้าด้านเข้าไว้ และถามคำถาม เขาก็จะไม่ได้รู้สถานการณ์รอบ ๆ ตัว หลังจากที่เขาจำศีล เพื่อช่วยชีวิตตัวเอง


'เอาเถอะ นี่เป็นการทดลองของคาร์ลอส'


คาร์ลอสทำทุกอย่างเพื่อช่วยเพื่อนของเขา อาเซลล์ อย่างไรก็ตามในฐานะจอมเวท เขาอาจรู้สึกดีใจที่การทดลองของเขาได้ผล


อาเซลล์ ถามคำถาม


"ที่นี่ที่ไหน?"


"เราอยู่ที่ป่าบาหลัน ตั้งอยู่ในชายแดนทางตะวันตกของราชอาณาจักรรูแลน”


"อาณาจักรรูแลน... "


ตอนที่เขาคิดถึงเรื่องนี้ไจล์สได้แนะนำตัวเองว่าเป็นทหารชายแดนทางตะวันตกของอาณาจักรรูแลน ในตอนนั้นเขาไม่ได้มีสติจนให้ความสนใจ แต่ตอนนี้เขาคิดถึงเรื่องนี้ ...


'ข้าไม่เคยได้ยินมันมาก่อนหน้านี้'


ตามความรู้ของ อาเซลล์ ไม่มีอาณาจักรรูแลนในก่อนหน้านี้


อย่างไรก็ตามเขาจำชื่อรูแลนในหมู่ครอบครัวตระกูลชั้นสูงของอาณาจักรนาดิค มีคนหนึ่งเรียกว่า ดยุครูแลน


อาเซลล์ ถามคำถามที่สำคัญที่สุดออกไป


"ปีนี้คือปีอะไรตามปฏิทินเอเธน?"


แต่ละอาณาจักรในทวีป ต่างนับปีนับตั้งแต่ก่อตั้งอาณาจักรขึ้น อย่างไรก็ตามมีระบบแยกต่างหากที่เรียกว่าปีปฏิทินเอเธน จอมเวทเริ่มนับเวลานับตั้งแต่ ราชามังกรปีศาจเอเธน ถูกทำลายและเมื่อมนุษย์ถูกปลดปล่อยจากภัยคุกคามของเขา วิธีนี้เริ่มใช้กันอย่างแพร่หลาย


ริคตอบ


"มันเป็นปี 222"


"ปี 222? เจ้าพูดว่า ปี 222 ใช่หรือไม่ "


"ใช่ นอกจากนี้วันนี้เป็นวันที่ 4 เดือนที่ 8 "


"หือ ... ไม่เดี๋ยวก่อน"


อาเซลล์ เอามือกุมหน้าผากของเขา ขณะที่ทำสีหน้าตกใจ เขารู้สึกตกใจจนเขาไม่สามารถพูดอะไรออกมาสักครู่


"220 ปี ..."


อาเซลล์หลับไป หลังจากที่เขาได้ฆ่าราชามังกรปีศาจ เอเธน อ้างอิงจากริค มันผ่านมา 220 ปีแล้ว


'ข้าไม่อยากจะเชื่อเรื่องนี้'


เขาเคยคาดเดาว่าเขาหลับมาเป็นเวลานานแล้ว


มังกรจำศีลในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่เวลาที่เขาตื่น เขาก็ยอมรับความจริงที่ว่าเขาได้นอนหลับมาเป็นเวลานานมาก


อย่างไรก็ตามเขาคงไม่เคยคิดเลยว่าเวลาผ่านไปนานมากขนาดนี้


'อธิบายได้'


เขาแน่ใจว่ามันเป็นภาษาเดียวกัน แต่คำที่เขาไม่เคยรู้มาผสมกับมัน ไม่ใช่เพราะเขาอยู่ในพื้นที่ที่เขาไม่เคยแวะเวียนไป แต่คำพูดเหล่านี้ เป็นคำพูดที่เขาไม่รู้มาก่อน พวกมันได้เกิดขึ้นหลังจากผ่านไปเป็นระยะเวลานาน


'ทุกคนที่ข้ารู้จัก ... พวกเขาทั้งหมดตายไปแล้ว'


อาเซลล์ หมดหวังเมื่อได้ยินเสียงถามคำถามอย่างระมัดระวัง ทำให้เขาตื่นขึ้น


ริคกำลังจ้องมองเขาด้วยใบหน้าที่น่ากังวล


อาเซลล์ ตอบ


"โอ้ ข้าสบายดี"


"มีอะไรผิดพลาด? มันเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับวันที่?"


"นิดหน่อย"


"เจ้าจำได้ยังไง?"


"ข้าคิดว่า ... ข้าสูญเสียความทรงจำมาหลายปีแล้ว"


อาเซลล์ โกหกเรื่องนี้


ริค ประหลาดใจถามคำถาม


"กี่ปี?"


"ข้าไม่แน่ใจ อย่างไรก็ตามวันสุดท้ายที่ข้าจำได้คือปี 218"


ดังนั้นจึงมีช่องว่าง 4 ปีในความทรงจำของเขา อาเซลล์ ตัดสินใจที่จะบอกเขาเรื่องนี้


แน่นอนว่านี่เป็นเหตุการณ์ที่น่าตกใจ


ริคถาม


"เจ้าอายุเท่าไร อาเซลล์?"


"ข้าไม่รู้ ข้าคิดว่าข้าไม่น่าจะเกิน 30 ...."


"ใช่?"


ริครู้สึกประหลาดใจ อาเซลล์ ถามขณะขมวดคิ้ว


ทำไมเจ้าทำปฏิกิริยาแบบนี้?


"ไม่ ข้าจะพูดอย่างไรดี เจ้าดูไม่แก่ เมื่อข้ามองไปที่รูปลักษณ์ของเจ้าข้าไม่สามารถระบุอายุได้เลย"


“อืมมม มันก็ควรจะเป็นแบบนั้น"


อาเซลล์ หัวเราะขมขื่น


หลังจากสนทนาอีกสักครู่ ริคออกไปนอนแล้ว อาเซลล์ก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงของเขา แม้ว่าร่างกายของเขาต้องการการนอนหลับเขาก็ตื่นขึ้นมาตลอดทั้งคืนเพราะความสับสนและความตกใจ


‘คาร์ลอส.....’


เขาต้องการเห็นเพื่อนของเขา ที่เขาไม่สามารถพบกันได้อีก


เช้าวันรุ่งขึ้น อาเซลล์บอกทหารว่าเขาอยากพบไจล์ส


มันเป็นตอนเช้า แต่รูปลักษณ์ของไจล์สก็ดูไร้ที่ติ เขาดูปราณีต แต่ดูเหมือนว่าเขาจะพยายามอย่างหนักที่จะทำตามระเบียบวินัย


ไจล์สถามคำถามกับเขา


"เจ้ากินอะไรมารึยัง?"


"ต้องขอบคุณเจ้าอย่างมาก"


หลังจากได้รับอนุญาตจากริคแล้ว อาเซลล์ก็สามารถรับประทานอาหารตามปกติในตอนเช้าได้ ริครู้สึกประหลาดใจที่เห็นอาเซลล์กินอาหารได้ทั้งหมดที่ทหารนำมา


"เจ้าดูดีกว่าเมื่อวานนี้"


"ใช่?"


เขาดูน่ากลัว เนื่องจากเขายังคงผอมมาก แต่รูปร่างหน้าตาของเขาดูคล้ายมนุษย์มากขึ้นเมื่อเทียบกับเมื่อวานนี้





DMW 005 อาเซลล์ เซสตริงเจอร์



ไจล์สพูด "ข้าได้ยินมา จากบันทึกผลการรักษาของแพทย์ทหารริค เขากล่าวว่าความทรงจำของเจ้าได้หายไป..."


"ใช่ มันอาจดูเหมือนเป็นเรื่องโกหก แต่ข้าไม่มีความทรงจำว่าทำไมข้าถึงได้มาอยู่ที่นั่น ข้าไม่แน่ใจว่าข้าเป็นใคร ..."

อาเซลล์พูดกับไจล์สอย่างสุภาพ แตกต่างจากเมื่อตอนที่เขาพูดกับริค เขาได้ยินจากริคว่าไจล์สเป็นขุนนางที่ได้รับตำแหน่งอัศวิน มันเป็นสถานการณ์ที่เขาไม่สามารถเปิดเผยตัวตนของเขาได้ ดังนั้นเขาจึงต้องสุภาพต่อขุนนาง


"ความจริง ข้ามีเวลาที่ยากลำบากที่จะเชื่อ แต่ปัญหาคือทุกครั้งที่ข้ามองไปที่เจ้า เรื่องนี้ก็ดูจะมีโอกาสมากขึ้น"

เมื่อตอนที่พบอาเซลล์แรก ๆ รูปร่างหน้าตาของเขาดูแย่มาก ถึงแม้ตอนนี้เขายังคงอยู่ในสภาวะวิกฤต วิธีเดียวที่มนุษย์จะมีรูปร่างหน้าตาเช่นนี้และยังคงมีชีวิตอยู่ได้ มันก็น่าจะเป็นเพราะเขาได้รับการทดลองด้วยเวทมนตร์ที่ชั่วร้าย


"อย่างน้อยที่สุดดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ได้เป็นสายลับจากอาณาจักรอื่น ข้าตัดสินใจที่จะปล่อยเจ้าไป แต่อย่างไรก็ตาม.....”


“อย่างไรก็ตาม?”


"มันไม่ใช่ปัญหาที่ข้าจะสามารถตัดสินใจได้ ข้าจะต้องรายงานต่อหัวหน้าของข้าเพื่อขออนุญาต" เรื่องนี้มีความสำคัญมากเกินกว่าที่เขาจะตัดสินใจแทนหัวหน้าของเขาได้


หลังจากที่อาเซลล์ได้ยิน เขาพูดขึ้นมาว่า “อืมมม แล้วเราจะไปพบเขาได้ไหม?”


"โชคไม่ดีที่ตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้”


"ทำไม?"


"เราออกมาจากป้อมเพื่อขุดซากปรักหักพัง นอกจากนี้ท่านนายพลได้กลับไปยังป้อมเพื่อต้อนรับบุคคลสำคัญ หลังจากนี้สองสามวันเขาถึงจะกลับมาที่นี่"


"ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าก็ต้องรอจนกว่าเขาจะมา?"


"จนกว่าเจ้าจะได้รับอนุญาตจากท่านนายพล เจ้าจะต้องอยู่ในค่ายของเราโดยไม่สามารถออกไปไหน ข้าจะไม่ขังเจ้า แต่มันจะดีที่สุดถ้าเจ้าไม่เดินไปรอบ ๆ ในกรณีของเจ้า ร่างกายของเจ้าก็นับว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่น่าเป็นห่วง"


อาเซลล์ไม่แข็งแรงพอที่จะเดินไปรอบ ๆ ได้อย่างอิสระ เพราะฉะนั้นไจล์สบอกว่าดีที่สุดที่จะรออยู่ที่นี่ ขณะที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของพวกเขา


อาเซลล์ ตระหนักถึงการพิจารณาของเขาดังนั้นเขาจึงพยักหน้ารับทราบ "ข้าจะปฏิบัติตาม"


"กลับไปพักผ่อนถอะ ในขณะที่เจ้าอยู่ที่นี่ ก็อยู่ที่ค่ายพยาบาล"


"ข้าเข้าใจแล้ว อ่าว่าแต่ว่าข้าขอถามเจ้าสักคำถามได้หรือไม่?"

อาเซลล์ ถามราวกับว่าเขาเพิ่งคิดมันขึ้นมาได้


ไจล์สตอบกลับ "เจ้าต้องการถามอะไร?"


"นายกองไจล์ส เจ้ามีวงแหวนชีวิต 4 วงใช่หรือไม่? ตามอายุของเจ้า เจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญสร้างพันธะวงแหวนและเป็นอัศวินของกองทัพแล้วทำไมเจ้าถึงมาเป็นนายกองทหารที่ชายแดน?"


อย่างไม่คาดคิด ในเวลาเดียวกันเขาปล่อยพลังงานที่ไม่เหมาะสมออกมา


"เจ้ารู้ได้ยังไง?"


สำหรับผู้ที่ฝึกเคล็ดวิชาควบคุมจิตวิญญญาณเขาจะได้รับคำนำหน้าว่า 'ผู้เชี่ยวชาญ' เมื่อวงแหวนแห่งชีวิตมีถึง 4 วง พลังงานที่ปล่อยออกมาจากผู้เข้าถึงระดับผู้เชี่ยวชาญก็เพียงพอที่จะกดดันคนปกติ


อย่างไรก็ตาม อาเซลล์ ไม่ได้แสดงอาการของการหวาดกลัวแม้กระทั่งหลังจากที่เขาสัมผัสถึงพลังงาน เขาเพียงแค่ยักไหล่ของเขาและตอบกลับ


"ข้าถามเกี่ยวกับสิ่งที่ข้าเห็น ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมข้าถึงสามารถมองเห็นมันได้เช่นกัน"


แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องโกหก อาเซลล์ ได้เข้าถึงระดับที่สูงกว่าไจล์สในฐานะนักบ่มเพาะควบคุมจิตวิญญญาณในอดีต ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการตรวจจับพลังเวทหรือความสามารถในการมองเห็นพลังการต่อสู้ของฝ่ายตรงข้าม เขาก็สามารถมองเห็นความแข็งแกร่งของไจล์สได้อย่างรวดเร็ว


เขาตัดสินใจที่จะถามคำถามที่เป็นปฏิปักษ์กับไจล์สเพราะเขาอยากจะรู้ข้อมูลเกี่ยวกับช่วงเวลานี้ ถ้ามีใครเคยเป็นผู้เชี่ยวชาญสร้างพันธะวงแหวนเมื่อ 220 ปีมาแล้ว บุคคลนั้นจะได้รับการยอมรับว่าเป็นคนที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ อย่างไรก็ตามมันจะเหมือนกับในช่วงเวลานี้หรือไม่?


หลังจากจ้องมองมาที่อาเซลล์สักครู่ ไจล์สลดพลังงานที่คุกคามของเขาลง


"... แพทย์ทหารริคได้บอกว่าเจ้าเป็นนักบ่มเพาะควบคุมจิตวิญญาณ มันเป็นความจริง"


"ใช่ มันเป็นความจริง"


"เจ้าไม่มีวงแหวนชีวิตหรือพลังเวท แต่ ... ข้ารู้สึกคลุมเคลือว่าข้าไม่สามารถละเลยเจ้าได้"


มันไม่มากเท่าอาเซลล์ แต่ไจล์สซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญสร้างพันธะวงแหวน เขาย่อมเป็นผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบความแข็งแกร่งของคนอื่นได้ ในช่วงเวลาที่เขาเห็นอาเซลล์ เขาได้รับความรู้สึกที่บ่งบอกว่าเขาไม่สามารถละเลยได้ 


ไจล์สพูดออกมาว่า


"อย่างไรก็ตามเจ้าไม่จำเป็นต้องได้รับคำตอบจากคำถามนั้น มันไม่มีเหตุผลที่จะตอบคำถามนี้"


"หากนี่เป็นหัวข้อที่ละเอียดอ่อน ข้าต้องขออภัย"


"ไม่เป็นไร เจ้าไปได้แล้ว"


อาเซลล์ พยักหน้าของเขาแล้วเขาก็หันหลังกลับเดินออกจากค่ายของไจล์ส


…..


ณ สถานที่ขุดค้นซากปรักหักพังของป่าบาหลัน พ่อครัวที่ดูแลห้องครัวกำลังมองภาพที่ไม่น่าเชื่อ


มันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของคนคนหนึ่ง เมื่อเขาเห็นชายคนนี้เมื่อมาพร้อมกับนายแพทย์ริคโบรอนเป็นครั้งแรกเขารู้สึกประหลาดใจ ร่างกายของเขาดูผอมมากจนดูเหมือนศพที่เดินได้


ในขณะที่มองอยู่อย่างนั้น ชายประหลาดก็กำลังกินอาหารจำนวนมหาศาล จนทำให้พ่อครัวรู้สึกประหลาดใจ ปริมาณที่เขากินเทียบเท่าสำหรับ 5 คนและปริมาณน้ำอีก 2 ลิตร 


ถึงแม้กองทัพจะเต็มไปด้วยผู้ชายที่มีความกระเพาะที่แข็งแกร่ง แต่มันก็เป็นระดับที่แตกต่างกัน ไม่เหมือนกับชายประหลาดที่มีร่างเหมือนศพผู้นี้


อย่างไรก็ตามส่วนที่ทำให้งงงวยอย่างแท้จริงคือการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของชายผู้นี้


ชายประหลาดมาถึงห้องครัวเพื่อกินอาหารกลางวันและมื้อเย็น


เมื่อเขามากินอาหารมื้อเย็น มันก็มีข้อสงสัยว่าเขาเป็นคนเดิมที่มากินอาหารกลางวันก่อนหน้านี้หรือไม่ ไม่ว่าชายประหลาดจะดูเป็นคนน่าสงสัย แต่ลักษณะผิวเผินของเขาก็เหมือนกับที่เคยเป็นมาก่อน ยกตัวอย่างเช่นเขายังมีผมสีแดงยาวและดวงตาสีฟ้า แต่รูปร่างก็ยังดูผอมเหมือนศพที่มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันแล้วพวกเขาควรจะคิดอย่างไรกับการตีความเรื่องนี้? มนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงได้มากแค่ไหนในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง?


บางทีมันอาจเป็นเวทมนตร์?


เขาสามารถพิจารณาเช่นนี้ได้เท่านั้น เนื่องจาก อาเซลล์ เซสตริงเจอร์ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก


"อ่าเป็นเพราะข้าหิวมากไปหรือไม่? ทุกอย่างมีรสชาติเหมือนน้ำผึ้ง แต่ปรุงรสเข้มข้น"


"เจ้ากินเก่งจริง ๆ เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าร่างกายของเจ้ารับไหว?"

ริคกำลังนั่งอยู่ตรงข้ามเขา และเขาก็ตกใจกับการเปลี่ยนแปลง

เขาแทบจะจำไม่ได้ น้ำหนักของอาเซลล์เพิ่มขึ้นอย่างกระทันหันดังนั้นเขาจึงดูคล้ายมนุษย์มากขึ้น


ริคใช้เวลานานถึงหนึ่งนาทีเต็มเพื่อพยายามไม่ให้ อาเซลล์ กินอาหารมากกว่า 1 สำรับ แม้หลังจากที่เห็นว่าร่างกายของอาเซลล์ดูปกติหลังจากทานอาหารครบหนึ่งมื้อ ริคก็ยังตัดสินใจว่าเขาไม่ควรทานอาหารมากขึ้น อย่างไรก็ตาม อาเซลล์ดื้อรั้นและเขากินอาหารไป 3 สำรับ ซึ่งทำให้ริคกลัว เขาฟื้นตัวอย่างรวดเร็วหลังจากที่ปรากฏตัวออกมา


ตอนนี้เขากำลังทานอาหารค่ำอย่างต่อเนื่องขณะที่เขาได้รับความสนใจจากทุกคน


"ข้าสบายดี ข้ากินมากเพราะร่างกายของข้าต้องการมัน บอกเจ้าตามตรง ข้าต้องการกินมากขึ้น แต่ข้าไม่ต้องการให้กระเพาะอาหารของข้าผิดปกติและป่วย ดังนั้นข้าจึงกินในปริมาณที่พอเหมาะ"


'กินในปริมาณที่พอเหมาะ?'


ริคสูญเสียคำพูด อาเซลล์ กินอาหารไปทั้งหมด 6 สำรับ นอกจากนี้เขาดื่มน้ำไม่น้อยกว่า 3 ลิตร


"ถ้าเจ้าดื่มน้ำมาก ๆ แล้วเจ้าจะไม่ปวดท้อง?"


“ก็ปกติดี”


"แล้วทำไมเจ้าถึงดื่มเป็นจำนวนมาก?"


"ข้ากินอาหารเป็นจำนวนมาก ดังนั้นข้าจึงต้องดื่มน้ำให้เพียงพอสำหรับการย่อยอาหารและเพื่อให้น้ำกับร่างกายของข้าฟื้นตัว ริค เจ้ารู้ไหมว่าร่างกายส่วนใหญ่ประกอบด้วยน้ำ? ร่างกายของข้าอ่อนแอมาก ดังนั้นข้าต้องกินและดื่มให้มาก ๆ เพื่อกลับสู่สภาพปกติของข้า”


"... เจ้าก็อาจจะดูเหมือนว่าจะดีได้เพียงสักครู่หนึ่ง แต่ความจริงก็คือ เจ้าพูดจาไร้สาระ แม้แต่คนที่มีสุขภาพดีก็ไม่สามารถกินได้มากนัก และไม่เป็นไร เจ้าอยู่ในสถานะที่อ่อนแอ ถ้าเจ้ากินและดื่มแบบนี้เจ้าก็จะตาย ..."


"ข้าสบายดี ข้าดูไม่สบายตรงไหน?"


“......”


อา มันควรเป็นแบบนี้ใช่หรือไม่? มุมปากของริคกระตุก เขาต้องการจะพูดคำว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษา ด้วยการศึกษาจากสมาคมการแพทย์ แต่เขารู้สึกท้อใจ หลังจากได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดูไม่สมเหตุสมผลของ อาเซลล์


"มันเป็นไปได้หรือไม่ การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเจ้าไม่สมเหตุสมผล? หลังจากรับประทานอาหารเป็นจำนวนมาก เจ้าก็นอนหลับเป็นเวลาสองสามชั่วโมง?"


"มันไม่สมเหตุสมผล ถ้าเจ้าพิจารณาสภาพอ่อนแอของข้า? นอกจากนี้แต่ละคนมีอัตราการย่อยที่แตกต่างกันไม่ใช่หรือ?"


"ด้วยความเคารพ ทุกคนในโลกต่างเป็นคนที่มีความสามารถในการย่อยอาหารชนิดนั้น? เจ้าเป็นสัตว์แห่งความอดอยากที่ไม่มีที่สิ้นสุดซึ่งนำมาจากโลกปีศาจ?"


“จิ๊ เดิมที ถ้าคนที่อ่อนแอเนื่องจากอดอยาก ได้รับอาหารการกินที่ดีแล้ว เขาจะไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนมนุษย์ได้ภายในเวลาประมาณเพียงแค่สี่วัน? สถานการณ์ของข้าก็คล้ายจะเป็นเช่นนั้น แต่เนื่องจากข้ากินมากขึ้น ความเร็วของการเปลี่ยนแปลงก็น่าจะแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย”


"ไม่ว่าข้าจะคิดยังไงก็ตาม มันก็ดูไม่มีเหตุผล..."


"อ่า จริง ๆ ข้าก็ดูสบายดี"


“......”


"หยุดพูดว่ามันไม่สมเหตุสมผลกับบางอย่างที่เกิดขึ้นแล้ว มันเกิดขึ้นจริง ดังนั้นก็ยอมรับมันและวิเคราะห์มัน ถ้าเจ้าปฏิเสธทุกอย่างที่แตกต่างจากตรรกะเหตุผลของเจ้าแล้ว เจ้าจะจัดการกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันได้อย่างไร?"


หลังจากพูดแบบนี้ อาเซลล์ก็เคี้ยวผักที่ปรุงรส เขากินอาหารทั้งหมดบนถาดอาหารของเขาจนหมด ก่อนที่เขาลุกขึ้นยืนพร้อมกับถาด


"เจ้ากินเสร็จแล้ว?"


"ไม่ ข้าจะกินอีกสักสำรับ หกสำรับเป็นเลขโชคร้าย ข้าจะต้องกิน 7 สำรับ เนื่องจากเป็นเลขโปรดปรานของนักเวท"


“......”


"พ่อครัวมีฝีมือดี มันอร่อยมาก"


โดยไม่ต้องสนใจว่าริคจะรู้สึกท้อแท้หรือไม่ อาเซลล์ ก็เริ่มชื่นชมพ่อครัวขณะที่ตักอาหาร พ่อครัวคนหนึ่งรีบไปหา ริค และถามคำถาม


"ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร?"


"เราได้รับคำสั่งให้รักษาเขา เขาเป็นแขกของเซอร์ไจล์ส เจ้าไม่รู้เรื่องนี้?"


"ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับเขา ..."


"เขาต้องเป็นสัตว์ประหลาดที่ตะกละตะกลาม และถูกจับโดยนักเวทที่ชั่วร้าย ข้าแน่ใจว่าจะต้องแบบนั้น"


"อะไร?"


"ปล่อยทิ้งไว้ที่นั่น"


ขณะที่อาเซลล์กำลังเดินไปหาพวกเขาพร้อมกับฮัมเพลง ดังนั้นริคก็ดันพ่อครัวไปข้างหน้า



ไจล์ส วินซ์ นายกองทหารชายแดนของราชอาณาจักรรูแลน ได้ให้ความสนใจอย่างลึกซึ้งกับชายลึกลับที่ชื่อ อาเซลล์ เซสตริงเจอร์ นอกเหนือไปจากการที่พบอาเซลล์ครั้งแรก อาเซลล์สามารถมองเห็นความแข็งแกร่งของไจล์สซึ่งปกปิดเอาไว้ได้อย่างรวดเร็ว อาเซลล์ทำอย่างนี้โดยที่ไม่ได้มีวงแหวนชีวิต ดังนั้นความสนใจในตัวของอาเซลล์จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้


เขาทำมันได้อย่างไร?


เขาคิดถึงเรื่องนี้ ตั้งแต่ที่เขาปล่อยให้ อาเซลล์ ออกไป แต่มันก็เป็นคำถามที่เขาไม่สามารถตอบได้


เขาไม่สามารถเข้าไปในกลุ่มอัศวินที่มีชื่อเสียงได้ด้วยเหตุผลส่วนตัว และเขาก็ต้องเข้าร่วมกับกองทัพ ในขณะที่เขาได้รับมอบหมายให้ไปยังสถานที่ห่างไกลเหล่านี้ มีหลายคนที่ไม่สามารถรับรู้ถึงความสามารถที่แท้จริงของเขาได้ คนส่วนใหญ่คิดว่าเขาเป็นลูกหลานตัวเล็ก ๆ ที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นนายกองก็เพราะอำนาจของครอบครัวของเขา พวกเขาเดาเรื่องนี้โดยไม่ได้ทำความรู้จักกับเขา


แม้ว่าอัศวินในสถานที่แห่งนี้ ผู้ซึ่งแข็งแกร่งกับการต่อสู้กับสัตว์ประหลาดก็คิดเช่นเดียวกัน นี่แสดงให้เห็นว่าไจล์สซ่อนความสามารถที่แท้จริงของเขาได้ดีเพียงใด


เขากำลังเล่นอะไรอยู่?


เขาไม่เชื่อคำพูดที่ อาเซลล์ บอกมาแม้แต่คำเดียว สิ่งเดียวที่ทำให้เขาไม่น่าแปลกใจคือสถานะ อาเซลล์ ที่พบในที่น่ากลัว ดังนั้นเขาจึงคิดว่าเรื่องราวของเขาฟังดูน่าเชื่อถือ





DMW 006 เซสตริงเจอร์ อาเซลล์



‘เขาเป็นคนแปลกหน้า’


ความจริงที่ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ มันก็เป็นสิ่งมหัศจรรย์ แต่ถ้าให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดก็มีเรื่องแปลก ๆ เกี่ยวกับเขา อย่างเช่นสำเนียงของเขาแปลกมาก มันฟังเหมือนว่าเขามาจากที่ห่างไกลมาก ๆ ในบางครั้งเขาจะใช้คำศัพท์ที่ล้าสมัย นอกจากนี้การตอบโต้ต่อคำพูดของเขาก็ช้าอย่างแปลกประหลาดราวกับว่าเขาไม่เข้าใจสิ่งที่ถูกพูดถึง


'ข้าไม่คิดว่าหูของเขาจะมีปัญหา'


ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นนักบ่มเพาะควบคุมจิตวิญญาณ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อมองรูปลักษณ์ภายนอกของเขามันยากที่จะเชื่อ แต่เขาอาจจะเป็นผู้เชี่ยวชาญที่บรรลุความเชี่ยวชาญระดับสูง


ไจล์สถามผู้ช่วยของเขา


"เขากำลังทำอะไร?"


"เขาไม่ได้ทำอะไรนอกกฏ หลังจากที่เขากินแล้วเขาก็ไปพักผ่อน อย่างไรก็ตาม มีเหตุการณ์ที่น่าแปลกใจคือ...”


"มันคืออะไร?"


"มีคนบอกว่าเขาได้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วหลังจากรับประทานอาหารกลางวันและอาหารเย็น เขาเคยผอมตอบมาก แต่ตอนนี้เขาดูผอมนิดหน่อย"


"อะไรนะ? เรื่องจริง?"


“ใช่ ทุกคนกำลังพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาคิดว่ามันเป็นเวทมนตร์แปลก ๆ"


"น่าสนใจ ข้าควรจะไปพบเขา"


"ให้ข้าไปกับท่านหรือไม่?"


"ไม่ข้าจะไปด้วยตัวเอง"


หลังจากจบบทสนทนา ไจล์ส ออกจากที่ทำงานของเขาและเดินไปที่ค่ายทหารที่ อาเซลล์ พักอยู่


"นายแพทย์ทหารริค ข้านายกองไจล์ส ข้าขอเข้าไปได้หรือไม่?"


"เข้ามา"


หลังจากได้ยินคำตอบของริค ไจล์สเดินเข้าไปในค่าย อย่างไรก็ตามไม่เหมือนที่เขาคาดไว้ ริค ไม่ได้ทักทายเขา แต่กลับมองไปที่ทิศทางหนึ่ง 


ไจล์สมองตามสายตาของเขาไป ก่อนที่ดวงตาของไจล์สจะเปิดกว้าง


เขาเห็นภาพของอาเซลล์ถอดเสื้อกำลังคว่ำหน้าวิดพื้นด้วยนิ้วมือขวาของเขา ในขณะที่ก้อนหินกลมขนาดเล็กสามก้อนถูกซ้อนกันอยู่ใต้นิ้วของเขา ในสภาพขณะนี้เขาทำกำลังยกตัวขึ้นลง


ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ร่างกายของเขาได้ฟื้นกลับคืนมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ร่างกายของเขาไม่ได้มีกล้ามเนื้อมากนัก เนื่องจากร่างกายของเขาผอมแห้ง เนื้อเยื่อของกล้ามเนื้อของเขาก็ตายไปหมด 


มันน่าแปลกใจที่เขาสามารถออกกำลังกับร่างกายแบบนี้ได้ หลังจากที่บรรลุระดับหนึ่งในฐานะนักบ่มเพาะควบคุมจิตวิญญาณ มันสามารถพัฒนาความแข็งแกร่งและความสมดุลของมนุษย์ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่เห็นเขาทำการวิดพื้นด้วยนิ้วเดียว แต่การที่เขาได้ซ้อนก้อนหินกลมขนาดเล็กสามก้อน และมีการขยับเคลื่อนไหวเพื่อรักษาความสมดุล มันก็จะทำให้หินลื่น เขาเองยังไม่เคยคิดจะทำอย่างนี้


'ข้าต้องการจะลองทำมันดู'


เมื่อไจล์สเข้ามา อาเซลล์ก็หยุดวิดพื้น เขาขยับนิ้วจนทำให้เกิดความไม่สมดุลบนก้อนหินทั้ง 3 ก้อน จนพวกมันตกหล่นกระจายออกไป ร่างกายของเขาหมุนเป็นวงกลมและเขาสามารถที่จะนำพาร่างของเขากลับมายืนได้อย่างสบาย ๆ


"อุ๊บส นายกองไจล์ส ... .. ไม่สิข้าควรจะเรียกเจ้าว่า เซอร์ไจล์ส?"


หลังจากได้ฟังคำพูดของอาเซอร์แล้ว ไจล์สรู้สึกประหลาดใจอีกครั้ง เขาไม่ได้แตกต่างไปจากเมื่อตอนเช้า แต่เสียงของเขาแตกต่างออกไป แต่นัยน์ตาสีฟ้าและผมสีแดงก็เหมือนกัน หากคุณลักษณะทางกายภาพเหล่านี้ไม่ตรงกัน เขาก็ไม่คิดว่านี่เป็นบุคคลเดียวกัน


ไจล์สพูดขณะซ่อนความสงสัยของเขา

"เรียกข้าอย่างที่เจ้าต้องการ เจ้าไม่ใช่ผู้ใต้บังคับบัญชาของข้า"


"ถ้าอย่างนั้นข้าจะเรียกเจ้าว่าเซอร์ไจล์ส มันสั้นดี"


"ได้ ว่าแต่ว่า นี่เป็นเทคนิคการฝึกซ้อมที่ดูน่าสนุกดี"


"ข้ามีความทรงจำของการฝึกซ้อมแบบนี้ ร่างกายของข้าดูแย่มาก ดังนั้นมันจึงค่อนข้างยาก” อาเซลล์ บ่นขณะที่เขามองตัวเองด้วยความไม่พอใจ


"เจ้าฟื้นฟูร่างกายตัวเองกลับคืนมาภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงได้อย่างไร?"


"ข้ากินและดื่มมาก ๆ ถ้าให้สิ่งที่ร่างกายต้องการ ร่างกายก็จะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว"


"มันยากสำหรับข้าที่จะเชื่อว่าเป็นเหตุผลเดียว เมื่อคนอ่อนแอ เขาจะไม่สามารถรับอาหารจำนวนมากได้ในครั้งเดียว พวกเขาควรจะต้องกินช้า ๆ และค่อย ๆ ฟื้นร่างกายของพวกเขา?"


"แน่นอนว่า ถ้าคนเราต้องมีความสามารถในการย่อยอาหารเพียงพอและสามารถควบคุมสภาวะของร่างกายได้ เซอร์ไจล์ส เจ้าไม่เคยมีประสบการณ์ในสถานการณ์ที่รุนแรงเช่นข้า แต่ถ้าเจ้าคิดว่าตัวเจ้าจะไม่สามารถทำสิ่งเดียวกันได้? โดยพื้นฐานแล้ว นักบ่มเพาะควบคุมจิตวิญญาณจะเรียนรู้ที่จะควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ ถ้าเป็นเช่นนั้น เจ้าจะไม่สามารถควบคุมการไหลเวียนโลหิตหรือสภาวะนอนหลับได้ใช่หรือไม่?"


การควบคุมจิตวิญญาณใช้การเต้นของหัวใจเป็นแหล่งพลังงาน ทุกครั้งที่หัวใจเต้น มันจะสั่นสะเทือนวงแหวนชีวิตและจะสะท้อนทำให้พลังเวทเคลื่อนที่


ถ้าใครได้เรียนรู้ การควบคุมจิตวิญญาณแล้วเขาก็จะมีเทคนิคที่สามารถจัดการกับจังหวะของหัวใจได้ ขณะที่ยืนนิ่ง ถ้าต้องการก็สามารถทำให้หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นช้าราวกับว่าเขาหลับไป


ไจล์สถามคำถามขณะกำลังขบขัน


"เจ้าหมายถึงว่าเจ้าสามารถที่จะขยายทักษะการจัดการร่างกายของเจ้าไปในระดับนั้นได้หรือ"


"แน่นอน ถ้าเจ้าสามารถจัดการกับจังหวะการเต้นของหัวใจ เจ้าก็ควรจะสามารถจัดการกับทุกส่วนของร่างกายได้ ซึ่งแตกต่างจากคนปกติ เช่นผู้เชี่ยวชาญสร้างพันธะวงแหวน เจ้าควรจะสามารถใช้วิธีนี้เพื่อควบคุมร่างกายของเจ้าได้"


"เจ้าพูดถูก"


ไจล์ส พยักหน้า


แม้ว่าเขาจะยอมรับมัน แค่การเปลี่ยนแปลงของอาเซลล์ก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์ เขาไม่อาจเชื่อได้ว่ามนุษย์จะเปลี่ยนไปอย่างมาก แม้ว่าเขาจะเป็นนักบ่มเพาะควบคุมจิตวิญญาณก็ตาม มันดูจะเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์เกินไป?


มันเป็นเวลานานที่หัวใจของเขาเต้นเร็ว ไจล์สมองเข้าไปในดวงตาของ อาเซลล์ และพูดออกมา


“อืมม อาเซลล์ เซสตริงเจอร์ เจ้าอยากลองต่อสู้กับข้าไหม?"

จากด้านหลัง พวกเขาได้ยินเสียงลมหายใจ ใบหน้าของริคชะงักอึ้ง


‘เขาบ้าไปแล้ว? เมื่อเช้านี้เขากำลังจะตาย และตอนนี้อัศวินก็กำลังขอประลองกับเขา?’


เขาก็ทำได้แต่เพียงแค่คิดเท่านั้น การเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษา ทำให้เขาไม่สามารถพูดอะไรแบบนี้ออกมาได้


อย่างไรก็ตาม อาเซลล์ ยิ้ม


“แน่นอน ถ้าข้าได้เผชิญหน้ากับนักบ่มเพาะควบคุมจิตวิญญาณคนอื่น ๆ มันก็อาจช่วยให้ข้าฟื้นความทรงจำของข้าได้ แต่สภาพของข้าค่อนข้างแย่ ข้าอาจจะไม่สามารถที่จะเป็นคู่ซ้อมที่เหมาะสมได้?”


เป็นเวลา 220 ปีนับตั้งแต่ที่เขาจำศีลอยู่ เขาอยากรู้ว่าอัศวินเหล่านี้มีการเปลี่ยนแปลงไปมากเท่าใด การควบคุมจิตวิญญาณและเคล็ดวิชาดาบมีการปรับปรุงไปอย่างไร? เขาอยากรู้ว่าระดับมาตรฐานของอัศวินในยุคนี้มีอะไรบ้าง?


ดังนั้นในมุมมองของ อาเซลล์ เขายินดีตอบรับอย่างสุดซึ้งกับคำขอซ้อมที่ไจล์สร้องขอมา


"แน่นอนข้าไม่ได้ขอทำการประลองที่รุนแรงจากคนที่เพิ่งลุกออกจากเตียงผู้ป่วย แทนที่จะใช้ร่างกาย พวกเรามาประลองผ่านการแสดงเคล็ดวิชาที่เหมาะสมสำหรับการควบคุมจิตวิญญาณ ดีหรือไม่?"


"ถ้านั่นคือเจตนาของเซอร์ไจล์สแล้ว ข้าก็ยินดี”


การซ้อมไม่ได้หมายความว่าพวกเขาต้องสู้กันด้วยดาบ มีวิธีอื่น ๆ ในการต่อสู้ การควบคุมจิตวิญญาณก็มีหลายวิธี


ไจล์สพูดขึ้นมาว่า "เช่นนั้นเรามาพบกันอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ หลังอาหารกลางวัน" 


หลังจากที่ไจล์สจากไป ริคถามอาเซลล์

"เจ้ากำลังจะประลองฝีมือกับเซอร์ไจล์ส?"


"ใช่ ข้าสามารถขยับเคลื่อนไหวร่างกายของข้าได้ดี มันก็จะไม่มีปัญหาใด ๆ?"


"เซอร์ไจล์สยังเด็ก แต่ทักษะของเขาไม่ธรรมดา ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ แต่เขาไม่ใช่คนทั่วไป ข้ากำลังเตือนเจ้า…."


"ข้ารู้เรื่องนี้แล้ว นั่นคือเหตุผลที่ข้าเลือกวิธีซ้อม ที่เราไม่สามารถทำร้ายกันได้ ดังนั้นโปรดอย่ากังวล"


“จิ๊ เจ้าเป็นคนไข้ แต่เจ้ากลับมาโอ้อวดต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษา"


"ข้ายังคงมีลักษณะเหมือนผู้ป่วย?"


อาเซลล์ งอแขนทั้งสองข้างเพื่อเบ่งกล้าม และกล้ามเนื้อของเขาก็ยังดูป้อแป้


“......”


ริคเริ่มจ้องไปที่เขา อาเซลล์มองเห็นถึงความลำบากใจ

"เอาเถอะ รอสักสองสามวัน ข้าจะแสดงกล้ามหน้าท้องที่ยอดเยี่ยม!"


"ถ้าการเพิ่มกล้ามเนื้อเป็นไปอย่างง่ายดาย มนุษย์ทุกคนในโลกก็จะมีกล้ามเนื้อ"


ริคเยาะเย้ย ในขณะที่อาเซลล์ตอบกลับ

"เจ้าคิดว่าคนอื่นสามารถสร้างกล้ามเนื้อได้ภายในวันเดียว?"


"ไม่มี ...แต่ก็...อาจจะ"


"ข้าสามารถทำมันได้ ภายในสองสามวัน ข้าสามารถสร้างมันได้"


“.......”


ริคพูดไม่ออก เมื่อมองทัศนคติของอาเซลล์ซึ่งเต็มไปด้วยความมั่นใจโดยปราศจากข้อเท็จจริงขั้นพื้นฐาน


อาเซลล์ ยิ้มออกมาขณะถามคำถาม


"แล้วเซอร์ไจล์ส อายุเท่าไหร่?"


"เขาควรจะ 19 ปีนี้?"


"เขาอายุแค่นั้น? อ่า เขาดูเด็กมาก แต่ก็ยังคงเป็นเด็ก"


"ตั้งแต่ที่เขาเข้าร่วมกองทัพของเรา มันผ่านมาไม่ถึงครึ่งปี ทุกคนก็ยอมรับความสามารถของเขา "


ในช่วงเวลานั้นแม้ว่าไจล์สจะเป็นนายกอง แต่เขาก็เข้าร่วมในการสำรวจป่าบาหลันเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับการทำงานของกองทหาร เขาแสดงตัวว่าเป็นคนที่จริงจัง


จากนั้นเขาก็แสดงทักษะที่ยอดเยี่ยมในการจัดการกับสัตว์ประหลาดทำให้สหายทหารของเขาประทับใจในการกระทำของเขา ตอนแรกพวกเขาไม่ค่อยตื่นเต้นที่จะมีอัศวินมือใหม่มาเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง อย่างไรก็ตามพวกเขาทั้งหมดยอมรับเซอร์ไจล์สและติดตามเขาในตอนนี้


"กองกำลังของเราต่อสู้กับสัตว์ประหลาดค่อนข้างบ่อย เพื่อให้มีความชำนาญ เขาเป็นคนที่จริงจังและมีฝีมือ ดังนั้นเขาจึงได้รับการยอมรับในทันที"


"มันก็เป็นอย่างนั้น เขาประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากสำหรับเด็กอายุ 19 ปี ทักษะของเขาเทียบกับอัศวินคนอื่น ๆ แล้วเป็นอย่างไร?"


"ข้าไม่แน่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก เขาควรจะอยู่ระดับปานกลาง ถ้าเขาสามารถทำหน้าที่เป็นนายกอง สำหรับกองกำลังของเราได้เขาก็จะไม่ได้เป็นเพียงแค่อัศวินธรรมดา อัศวินคนอื่นก็ไม่ได้ธรรมดาเช่นกัน"


แน่นอนว่าพวกเขาเป็นแบบนั้น กองกำลังได้รับการคุกคามอย่างต่อเนื่องโดยสัตว์ประหลาดและต่อสู้กับพวกมัน 


อาเซลล์หรี่ตาลงเล็กน้อย

"ข้าอยากเห็นอัศวินคนอื่น ๆ ... สำหรับอายุของเขามันเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่จะได้เป็นผู้เชี่ยวชาญผูกเชือก แต่ข้าไม่มีความรู้ในเรื่องมาตรฐานการประเมินในช่วงเวลานี้"


เมื่อก่อนที่อาเซลล์จะเข้าสู่การจำศีล ผู้เชี่ยวชาญสร้างพันธะวงแหวนนั้นไม่ใช่อะไรที่หายาก


ราชามังกรปีศาจเอเธน และกองทัพของเขาเป็นภัยพิบัติที่คุกคามการดำรงอยู่ของมนุษยชาติ ด้านหน้าของพวกเขา มนุษย์ต้องต่อสู้อย่างหมดหวัง นักรบหลายคนเสียชีวิตไปทุกวันและมีเพียงแค่คนที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะมีชีวิตรอด


การขาดกำลังทหาร บังคับให้หลายคนแบ่งปันเคล็ดวิชาลับที่พวกเขาได้สะสมเอาไว้ ถ้ามีคนที่ดูเหมือนว่าเขามีพรสวรรค์บางอย่างแล้ว พวกเขาก็จะถ่ายทอดเคล็ดวิชาลับให้


กลายเป็นว่าในช่วงเวลาก่อนสงครามมังกรปีศาจ คุณภาพของอัศวินดีกว่า


แม้กระนั้น ในช่วงเวลาที่ผ่านมา มันก็ยังนับว่าเป็นเรื่องยากที่จะได้เห็น เด็กอายุ 19 ปี สามารถเข้าถึงผู้เชี่ยวชาญสร้างพันธะวงแหวนตามความทรงจำของ อาเซลล์ มีไม่ถึง 10 คน


'แต่ถ้าเพิ่มอายุขึ้นไปอีกหนึ่งปี ผู้เชี่ยวชาญสร้างพันธะวงแหวนที่มีอายุ 20 ปี ก็จะมากเพิ่มเท่าตัว'


มันมีความแตกต่างอย่างมากสำหรับหนึ่งปี


‘อืมมม ข้าคิดว่า ข้าจะต้องค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับมันอย่างช้า ๆ‘

เขาขจัดคำถามที่เขากำลังคิดออกไปสักครู่และเขาก็เริ่มออกกำลังกายอีกครั้ง เขาใช้แขนอีกข้างหนึ่ง แน่นอนเขาวางหินซ้อนกันสามก้อน ในขณะที่วิดพื้นด้วยนิ้วเดียว


ใบหน้าของริคยังคงมึนงง ในขณะที่เขามองอาเซลล์ ก่อนที่เขาจะพึมพำกับตัวเอง


“จิ๊ เจ้ากำลังทำสิ่งที่น่าอัศจรรย์บางอย่าง แต่ ... ทำไมข้าถึงคิดว่าเจ้าเป็นคนประหลาด?"


อาเซลล์เพียงหัวเราะกับคำพูดนั้นก่อนที่จะหันความสนใจของเขากลับมา แล้วออกกำลังกายโดยไม่พูดอะไรออกมาอีก

1 ความคิดเห็น: