การถามถึงไฟสุริยะแท้จริงจากเค่อเหลียนหยุน
ถ้าจะให้เห็นภาพประกอบชัดๆในจุดนี้อาวุโสหวูพอใจอย่างมากกับความไม่ธรรมดาในกาความสามารถของหยางเฉิน
แน่นอนว่าการถามหาเปลวไฟจากเค่อเหลียนหยุนจะจุดประกายความแค้นของเขาขึ้นมา
แม้ว่าเขาจะเป็นแขกที่อาวุโสหวูเชิญมาเหมือนกัน
แต่อาวุโสหวูก็สมกับที่เป็นอาวุโสหวูเขาหาทางออกให้ในทันทีนั่นคือเขาจะหาเปลวไฟให้เค่อเหลียนหยุนก่อนที่เขาจะเลื่อนขึ้น
เค่อเหลียนหยุนต้องการที่จะเสนออย่างอื่นให้แก่หยางเฉินแทนเพื่อที่เขาจะไม่ต้องเสียไฟสุริยะที่แท้จริงของตัวเองไปและเขาก็ใกล้ที่จะสามารถเก็บรักษาไฟของเขาไว้ได้แล้ว
แต่เมื่ออาวุโสหวูได้ถามถึง แผนการทั้งหมดของเขาก็ถูกโยนออกทางหน้าต่างไป
แต่อาวุโสหวูก็ให้สัญญาว่าจะหาเปลวไฟใหม่ให้เขา เค่อเหลียนหยุนก็รู้สึกขอบคุณเล็กน้อยภายใต้ความโกรธที่ซ่อนเร้นอยู่
ถึงแม้ว่าในทันทีที่เขาส่งมอบไฟสุริยะที่แท้จริงแล้วระดับบ่มเพาะของเขามีโอกาสอย่างยิ่งที่จะร่วงลง
แต่มีพยานที่เห็นปัญหาความยุ่งยากของยานี้อย่างใกล้ชิดและบวกกับคำสัญญาของอาวุโสหวู
ที่จะหาเปลวไฟอื่นมาให้ตราบเท่าที่เขาสามารถรักษาเปลวไฟอีกอันนั้นไว้ได้ระดับบ่มเพาะของเขาก็จะฟื้นฟูกลับมาได้อย่างรวดเร็ว
เค่อเหลียนหยุนรู้สึกยินดีอย่างมากนี่เป็นข้อตกลงที่ดียิ่ง
แต่ก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นได้ในทันทีว่าหากเขาไม่ได้ครอบครองไฟสุริยะแท้จริงอย่างนั้นอาวุโสหวูก็สามารถช่วยหยางเฉินหาเปลวไฟอันอื่นได้อย่างนี้ก็มีค่าเท่ากันไม่มีอะไรต้องเปลี่ยนมันจะไม่ดีกว่าหรอ?
ผู้อื่นก็จะรู้สึกยินดีไปด้วยเมื่อพวกเขาจะมีโอกาสได้รับผลประโยชน์มากขึ้น
แน่นอนว่าพวกเขาไม่พอใจในสิ่งที่มีอยุ่ในตอนนี้เค่อเหลียนหยุนก็เช่นกัน
แม้ว่าอาวุโสหวูเสนอที่จะชดเชยให้มากพอ แต่เขาก็ยังคงไม่พอใจในความหวังลมๆแล้งๆ
แม้เค่อเหลียนหยุนจะเริ่มรุ้สึกเกลียดชังหยางเฉิน
แต่ครั้งนี้หยางเฉินควรที่จะแสดงความเคารพต่อผู้อาวุโสกว่าเช่นเขาโดยการทัดทานอาวุโสหวูในทันที
และบอกว่าการพนันที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงเรื่องล้อกันเล่นอย่างนั้นทุกคนกจ็ะหัวเราะออกมา
แต่หยางเฉินก็ร้ายกาจแทนที่เขาจะทำเช่นนั้นแต่เขากลับมองมาที่เขาด้วยร้อยยิ้มเช่นเดิม
รอยยิ้มที่น่ารำคาญของหยางเฉินนั้นเป็นเหมือนโซ่สัญญาผูกมัดร่างของเค่อเหลียนหยุนที่ทำให้เขารู้สึกไม่สบายอย่างมาก
ในตอนนี้เขาลืมความสุขุมและความมั่นใจในตัวเองทั้งหมด
เมื่อนึกถึงครั้งที่เขายึดเปลวไฟจากหยางเฉินเมื่อก่อนหน้านี้
อาวุโสหวูเก็บคำพูดของเขาไว้สมกับเป็นผู้อาวุโสของหลุมดักเซียน
แม้ว่าในตอนนั้นเขาจะไม่ได้อยู่ที่หลุมดักเซียนก็ตาม
เติ้งอี้และเพิงจูก็ทำได้แค่รอให้อาวุโสหวูพูดคุยเสร็จเพื่อที่จะได้ปรึกษากันต่อ
เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาจะมีความอยากรู้อยากเห็นอย่างมาก
ไม่มีใครพูดเข้าข้างเค่อเหลียนหยุน
ในเมื่อความล้มเหลวในการกลั่นยาเม็ดคว้าสวรรค์ครั้งนั้นได้เจ้าก้อนเศษขยะสีดำมา
เป็นการที่เติ้งอี้และเพิงจูคอยสนับสนุนเค่อเหลียนหยุนที่คอยขัดแข้งขัดขาหยางเฉินพวกเขาก็ต้องเข้าข้างเค่อเหลียนหยุนบ้าง
แต่ในตอนนี้ไม่มีใครกล่าวอะไรทั้งสิ้น พวกเขาไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเอ่ยอะไร
เค่อเหลียนหยุนต้องการที่จะร้องขอความปราณีจากอาวุโสหวูแต่ก็คงไม่มีประโยชน์
เว้นแต่จะเป็นความต้องการของหยางเฉิน แต่การที่ผู้เชี่ยวชาญปรุงยาระดับผลิดอกไปร้องขอความเมตตาจากคนที่เพิ่งจะบรรลุระดับรากฐานนั้นเค่อเหลียนหยุนฆ่าตัวตายเสียดีกว่า
เมื่อมองไปที่หยางเฉินที่รอคอยเขาอย่างใจเย็นแล้วเค่อเหลียนหยุนก็กำหมัดแน่นเส้นเลือดทุกเส้นไหลเวียนปูดออกมาทั่วร่าง
แต่เขาก็ยังไม่เอ่ยร้องขอความเมตตาจากหยางเฉิน
การจะส่งมอบเปลวไฟนั้นทั้งสองฝ่ายต้องเห็นชอบ
แม้ว่าอีกฝ่ายระดับบ่มเพาะจะสูงกว่าการใช้กำลังแย่งชิงเพื่อควบคุมเปลวไฟนั้นอาจจะเป็นไปได้
แต่ผลของมันคือการที่เปลวไฟจะถูกทำลายลง
พร้อมกับอีกฝ่ายต้องตายหากว่าเค่อเหลียนหยุนนั้นผิดสัญญาอาวุโสหวูก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสังหารเขา
ปัญหาคือเค่อเหลียนหยุนยังไม่อยากตายเพียงเพราะเหตุผลนี้
และมากไปกว่านั้นต้องตายด้วยมือของอาวุโสหวูผู้ที่ละทิ้งเรื่องราวทางโลกไปแล้วและกำลังจะไป
ถึงอย่างไรเค่อเหลียนหยุนก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากส่งมอบเปลวไฟของเขา
เนื่องจากคนอื่นๆก็ไม่เคยมีประสบการณ์การส่งมอบเปลวไฟและผู้ที่รู้ผลที่ตามมาภายหลังก็มีเจตนาเรียกร้องให้เขายินยอม
เพียงเพื่อจะได้เฝ้าดูผลที่ตามมาภายหลังในฐานะผู้ชมเหตุการณ์เท่านั้น
นี่ทำให้เค่อเหลียนหยุนยิ่งรู้สึกอับอายมากขึ้น
ใช่!เค่อเหลียนหยุนรู้สึกเหมือนถูกดูหมิ่นความจริงแล้ว
คือเมื่อเขาล้มคนอื่น ๆ ต่างโยนก้อนหินใส่เขา
แม้ว่าสวรรค์จะรู้ว่าเติ้งอี้กับเพิงจูไม่ได้สนับสนุนเขาเพียงเพราะความอยากรู้อยากเห็นในฐานะผู้เชี่ยวชาญปรุงยา
ถึงแม้เค่อเหลียนหยุนจะแค้นเคืองพวกเขาอยู่ในใจ
แต่ในสถานะการณ์นี้เขาก็ไม่กล้าที่จะแสดงท่าทางออกมานับประสาอะไรกับข้างของอาวุโสหวู
เขาคิดๆดูแล้วแม้ว่าเขาจะสู้กันตัวต่อตัว
เขาก็ยังคงเป็นผู้เชี่ยวชาญปรุงยาที่เป็นปรปักษ์กับคนไม่มากนักยกเว้นหยางเฉิน
จะมีใครในที่นี้ที่ยินยอมให้เขาทำร้ายหยางเฉินแม้แต่ปลายผม? ดังนั้นเค่อเหลียนหยุนทำได้เพียงให้เกียรติคำสัญญาของเขา
เมื่อถึงเวลาที่อาวุโสหวูประกาศว่าได้รับยาเม็ดคว้าสวรรค์แล้ว
เค่อเหลียนหยุนจะยินดีอย่างมากหากไม่ต้องสูญเสียอะไร
แต่มันเป็นไปไม่ได้แน่นอนว่าเขาต้องการที่จะรักษาตำแหน่งรุ่นพี่ระดับผลิดอกต่อหน้าหยางเฉินสักเล็กน้อย
หลังจากที่จ้องมองหยางเฉินอย่างเต็มไปด้วยความแค้นอันขมขื่นเค่อเหลียนหยุนก็เริ่มต้นที่จะบังคับเปลวไฟของเขา
ความเจ็บปวดจากการถูกดูหมิ่นในการที่เปลวไฟของเขาต้องนำมาให้ผู้อื่น
และคนอื่นๆต่างเฝ้ามองดูและกดดันให้เค่อเหลียนหยุนสลบในขั้นตอนสุดท้าย
หลังจากที่เปลวไฟถูกถอดออกระดับบ่มเพาะของเขาก็ตกลงอย่างรวดเร็ว
จริงๆแล้วเขานั้นอยู่ในระดับผลิดอกแต่ตอนนี้เขาได้หล่นลงมาอยู่ในระดับก่อลำต้น
นอกจากนี้หล่นลงไปถึงระดับเริ่มต้นของระดับก่อลำต้น
ไฟสุริยะที่แท้จริงนั้นสมควรแล้วที่จะเรียกว่าเป็นเปลวไฟที่มีอำนาจมากที่สุดในโลกแห่งนิรันดร์
ที่ผ่านมาหยางเฉินสามารถเลื่อนขึ้นมาระดับออกผลได้จังหวะหนึ่งก็เพราะว่าได้รับการสนับสนุนจากไฟสุริยะที่แท้จริง
ขอบเขตของเค่อเหลียนหยุนได้หล่นลงมาหนึ่งขั้นถ้วนเพราะว่าเขาสูญเสียเปลวไฟ นี่เป็นสิ่งเตือนใจสำหรับเติ้งอี้และเพิงจูในอนาคตไม่ว่าพวกเขาจะถูกทุบตีจนตายก็ไม่ควรที่จะพนันอย่างพล่อยๆกับเปลวไฟของผู้อื่น
แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่พวกเขาไม่ควรพยายามที่จะยึดครองเปลวไฟของผู้อื่นเช่นกัน
ที่มากไปกว่านั้นพวกเขาไม่ควรที่จะพนันเปลวไฟของตนกับหยางเฉินไม่ว่ากรณีใดๆทั้งสิ้น
ในตะเกียงน้ำมันนั้นจารึกตราประทับที่สลักคำซับซ้อนไว้
ไฟสุริยะที่แท้จริงนั้นเผาไหม้อย่างสงบอยู่ตรงจุดสูงสุดที่แกนกลางของตะเกียง
ถ้าพวกเขาไม่รู้กันมาก่อนพวกเขาก็ไม่อยากจะเชื่อว่าเปลวไฟขนาดเท่าเม็ดถั่วนี้คือเปลวไฟของไฟสุริยะแท้จริง
ตะเกียงน้ำมันนี้ก็เป็นของชิ้นหนึ่งที่ถูกกลั่นโดยอาวุโสหวู
มันถูกกลั่นขึ้นมาก่อนที่จะมีการกลั่นยาเม็ดคว้าสวรรค์เพียงเล็กน้อย
สิ่งวิเศษนี้ถูกกลั่นขึ้นมาโดยเฉพาะเพื่อเก็บรักษาไฟสุริยะที่แท้จริง
ถึงเเม้ว่าอาวุโสหวูนั้นจะไม่ใช่นักบ่มเพาะธาตุไฟแต่ก็สามารถสร้างสิ่งวิเศษนี้ได้อย่างง่ายดาย
และนี่ก็ทำให้เข้าใจกระจ่างแจ้งว่าอาวุโสหวูไม่ต้องการให้เค่อเหลียนหยุนหลุดรอดไปได้ตั้งแต่ต้นแล้ว
ทั้งหมดนี้เพราะการทำงานของเค่อเหลียนหยุนทำให้อาวุโสหวูขายหน้าหลายต่อหลายครั้ง
แน่นอนว่าเขาไม่ลืมที่จะหาเหตุผลดีๆที่จะลงโทษเค่อเหลียนหยุน
หลังจากที่ปิดฝาลงไปเรียบร้อยแล้วเขาก็ส่งมอบตะเกียงน้ำมันนี้ให้แก่หยางเฉิน
หลังจากที่เค่อเหลียนหยุนดื่มน้ำอมฤตแล้วก็ค่อยๆตื่นขึ้นอย่างไม่รีบร้อน
แต่สายตาที่จ้องมองของอาวุโสหวูและหยางเฉินนั้นเป็นอะไรที่ช่างแตกต่างเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้
“สหายน้อยแซ่หยางเจ้าหมายความว่าอะไรที่กล่าวว่าเป็นความอ่อนแอโดยธรรมชาติ”
เพียงแค่ทุกคนได้ยินคำถามที่อาวุโสถามขึ้นมาทุกคนต่างดึงสติกลับมานั่นเป็นคำถามที่อยู่ในความคิดของทุกคน
“ยังคงมีปัญหากับจิตวิญญาณของยา”
หยางเฉินไม่มีสิ่งใดที่ต้องปิดบัง
ในกรณีนี้ทุกคนค่อนข้างที่จะเดาเหตุผลได้
ดังนั้นการปกปิดไม่ดีเท่ากับการพูดออกมาอย่างใจกว้าง
“ตั้งแต่เริ่มข้ารู้สึกว่าจิตวิญญาณที่อ่อนแอของยาเม็ดนั้นไม่สามารถที่จะยึดครองสวรรค์ได้”
นี่คือสิ่งที่หยางเฉินเห็นและยืนยันมาตั้งแต่เริ่มยิ่งไปกว่านั้น
เขาได้ยกปัญหาเกี่ยวกับจิตวิญญาณของยาขึ้นมาแล้ว
ในเวลานั้นแต่ผู้เชี่ยวชาญปรุงยาท่านอื่นๆก็ยังคงยืนกรานอย่างแข็งกร้าวว่าจะทำต่อ
นอกจากนี้หากว่าจิตวิญญาณของยานั้นมีพลังอำนาจมากกว่าผู้เชี่ยวชาญปรุงยา
ทั้งสามคนนั้นคงไม่สามารถที่จะควบคุมและกลั่นออกมาได้
ดังนั้นพวกเขาจึงได้ใช้วิธีนี้ในการมีอำนาจเหนือจิตวิญญาณยาเม็ด
และทิ้งทุกสิ่งอย่างการพูดคุยกันถึงหัวข้อนี้อีกครั้งในตอนนี้นั้น
ก็พุ่งตรงไปยังความกังวลของผู้เชี่ยวชาญปรุงยาทั้งสามอย่างชัดเจน
ความอับอายปรากฏบนใบหน้าของทั้งสามอย่างไม่อาจปิดบังได้
“เจ้ารู้สึก
แต่อาวุโสหวูเข้าใจความหมายแฝงในคำพูดของหยางเฉิน
และค่อนข้างถามเขาอย่างสงสัย
“เจ้าเพียงแค่รู้สึกเท่านั้น?”
“แน่นอน!”
หยางเฉินยิ้มและถามอาวุโสหวู
“อาวุโสหวูท่านกำลังรู้สึกประทับใจ
ที่ข้ารู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับยาเม็ดคว้าสวรรค์?”
คำพูดของเขาทำให้ผู้เชี่ยวชาญระดับผลิดอกทั้งสาม
ไม่ ไม่ใช่สิ
ตอนนี้เหลือแค่ผู้เช่ียวชาญระดับผลิดอกสองคนและอีกหนึ่งระดับก่อลำต้นค่อนข้างที่จะอึ้ง
เมื่อสักครู่หยางเฉินแสดงออกถึงความมั่นใจที่อยู่บนพื้นฐานของการคาดเดาเท่านั้น?
“แล้วทำไมเมื่อตอนก่อนหน้านี้เจ้าถึงบอกว่าอาจจะสามารถกู้คืนมาได้แม้เพียงเล็กน้อย”
เติ้งอี้รีบเอ่ยถามก่อนอาวุโสหวู
เพิงจูก็อ้าปากที่จะถามเช่นกันแต่เติงอี้คว้าโอกาสนั้นไปเสียก่อน
เขาจึงปิดปากลงในทันทีแต่ความสงสัยและความคาดหวังต่างๆนั้นยังคงผสมปนเปกันในสายตาเขา
“เพราะว่าจิตวิญญาณของยานั้นยังไม่สลาย!”
หยางเฉินตอบเพราะในเวลานั้นทุกคนต่างสูญเสียความเชื่อมั่นและไม่สามารถที่จะควบคุมยาเม็ดได้
แต่หยางเฉินไม่บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลของความเชื่อมั่นของเขา
“โปรดอภัยให้ข้าด้วยที่ต้องเอ่ยถึง
แต่วิธีการใดที่เจ้าเห็นว่าเหมาะสมในการหลอมเย็นยาเม็ด”
เติ้งอี้เลือกใช้คำขอร้องมากกว่านั้นเอ่ยขอโทษ
ก่อนที่จะถามนี่เป็นภาพลักษณ์ที่ต่างไปอย่างสิ้นเชิงของเธอ
ในฐานะรุ่นพี่ระดับผลิดอกแต่ในเวลานี้ไม่มีใครมามัวคิดว่าสิ่งนี้ไม่เหมาะสม
“หลอมเย็นยาเม็ด”
หยางเฉินยิ้มออกมา
ในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่ข้าได้ทำไปในขั้นตอนสุดท้ายนั้นคือการทำให้จิตวิญญาณของยาแข็งแรงขึ้น
โดยพื้นฐานแล้วข้าไม่ได้หลอมเย็นยาเม็ดทั้งหมดนี้
ล้วนเป็นพวกท่านที่ได้ทำในก่อนหน้านี้ทั้งสิ้น
เมื่อจิตวิญญาณของยามีอำนาจมากขึ้นเม็ดยาก็จะถูกหลอมเย็นโดยอัตโนมัตข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น
ในตอนนั้นผู้เชี่ยวชาญปรุงยาทั้งสามต่างคาดเดาว่าหยางเฉินใช้เคล็ดลับใด
ส่วนสำคัญตั้งแต่เริ่มคือใช้ความล้มเหลวของพวกเขาทั้งหมดปลุกจิตวิญญาณของยาที่สลายไปแล้วให้กลับคืนมา
จากนั้นได้พลังจิตวิญญาณของทุกคนสนันสนุนเขาก็ชุบจิตวิญญาณของยาให้ถึงขอบเขตที่สูงสุดเท่าที่จะไปได้และ...สำเร็จในท้ายที่สุด
แน่นอนว่าทุกคนเข้าใจว่าหยางเฉินหมายความว่าอะไร
ในคำที่ว่า อ่อนแอ
นั้นหมายถึงจิตวิญญาณของยาที่อ่อนแอถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นจิตวิญญาณที่มีชีวิตชีวาและมีพลัง
เมื่อได้รับผงเลิศล้ำของหยางเฉิน ซึ่งแตกต่างจากอย่างสิ้นเชิงจากสิ่งเดิม
แม้ว่าท้ายที่สุดแล้วยาเม็ดคว้าสวรรค์จะถูกกลั่นสำเร็จแต่ก็ยังไม่สามารถผ่านด่านลมพายุทัณสวรรค์ไปได้
นั่นหมายความว่ามันยังมีระยะห่างอยู่บ้างจากยาเม็ดที่สมบูรณ์
นี่เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้
เค่อเหลียนหยุนมองดูหยางเฉินกล่าวออกมาอย่างไม่ปิดปังความมั่นใจใดเลยๆ
จึงทำให้หัวใจเขาไม่อาจยอมรับมันได้
ความแค้นเคืองและความไม่พอใจมันอัดแน่นอยู่เต็มอก
เขาไม่ต้องการที่จะเห็นหยางเฉินแสดงออกถึงความหยิ่งยโสแม้สักนิด
เมื่อเติ้งอี้ถามคำถามทุกอย่างจบลงเค่อเหลียนหยุนก็เปิดปากของเขาในทันทีอย่างร้อนใจและถามขึ้น
:
“เจ้าจะบอกว่าเจ้าเดาทั้งหมดนี้?แต่ว่าเจ้าแน่ใจเกี่ยวกับทัณฑ์สวรรค์ของยา!”
“แน่นอนว่ายาเม็ดที่สามารถทำให้คนมีพลังอำนาจมากขึ้น
หากว่าไม่เคยผ่านความทุกข์ยากลำบากใดๆมาเลยจะสามารถทำให้ผู้คนยิ่งใหญ่ขึ้นได้อย่างไร?”
หยางเฉินตอบกลับอย่างไม่มีความกังวลใดๆ
เค่อเหลียนหยุนคิดจะหาโอกาสจุดหนึ่งให้หยางเฉินนั้นตอบคำถามของเขาไปอีกทาง
แต่นั่นเป็นความคิดที่ผิดมากกว่านั้น
นี่ไม่ใช่เวลาของการตั้งคำถามแต่ควรเป็นการถามหาคำแนะนำ
ไม่ว่าหยางเฉินจะกล่าวอะไรออกมาก็ไม่มีใครที่สามารถมีคำถามได้
เมื่อสักครู่ตอนที่เค่อเหลียนหยุนถามคำถามนี้ขึ้นมาเติ้งอี้และอาวุโสหวูต่างก็ย่นคิ้วของตนเอง
“เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจข้าผิด
ข้าเพียงแค่แปลกใจในเหตุผลของเจ้าเท่านั้นหยางเฉินผู้ซึ่งเป็นศิษย์อยู่แค่ระดับรวบรวมลมปราณ
และเพิ่งเลื่อนขึ้นมาอยู่ระดับก่อสร้างรากฐานนั้น ทำไมเจ้าถึงได้มีความรู้มากมายนัก”
เค่อเหลียนหยุนรีบเปลี่ยนวิธีการถามของเขาในทันที
น้ำเสียงก็นุ่มนวลขึ้นและมีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเขา
“จากระดับบ่มเพาะของเจ้าเเล้วเรื่องราวเหล่านี้ของระดับผลิดอกและระดับออกผล
หากว่าข้าคาดไม่ผิดเจ้าไม่น่าจะเคยได้สัมผัสมาก่อนจากนิกายอื่นๆใช่หรือไม่?”
คำพูดของเค่อเหลียนหยุนนั้นก็อยู่ในความสงสัยของคนอื่นๆเช่นกัน
ความสามารถของหยางเฉินนั้นน่าจับตาดูอย่างมาก
ในจุดนี้นั้นเขาฉายแสงมากกว่าผู้เชี่ยวชาญระดับผลิดอกเสียอีก
แม้แต่คนที่ไม่มีข้อสงสัยในตัวเขาก็ยังมีความอยากรู้อยากเห็น
นักบ่มเพาะระดับรวบรวมลมปราณเช่นเขานั้นมีความเข้าใจในเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร?
“มันไม่ใช่เรื่อใหญ่อะไร!”
อย่างคาดไม่ถึงว่าผู้ที่ตอบนั้นไม่ใช่หยางเฉินแต่เป็นอาวุโสหวู
“รูปแบบการบ่มเพาะของสหายน้อยหยางเฉินนั้นแตกต่างจากเรา
เวลาของเขาในนิกายนั้นหมดไปกับการเรียนรู้แผ่นหยกจารึกนับร้อยนับพันของหอลี้ลับที่ตำหนักเก้าปฐพี
แม้ว่าระดับบ่มเพาะของเขาจะไม่สูงมาก แต่เขารู้เรื่องเกี่ยวกับสิ่งแปลกๆมากมาย
ผู้เฒ่าท่านนี้คุยกับเขามาตลอดระยะเวลาเดินทางกลับมาคนที่จะมีความรู้เช่นเขานั้นหาได้น้อยนัก”
ต้องขอบคุณที่หยางเฉินนั้นพูดคุยกับอาวุโสหวูอย่างมีความสุขตลอดระยะทางที่เดินทางกลับ
ความรู้ความสามารถที่เขาแสดงออกมานั้นไม่ด้อยไปกว่าผู้เชี่ยวชาญระดับสูงที่ฝึกฝนมาเป็นระยะเวลานานในนิกายใหญ่ๆเลย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่อยู่ในความสนใจของอาวุโสหวูไม่แปลกที่เขาจะได้รับความชื่นชอบจากอาวุโสหวู
หยางเฉินเข้าใจแนวคิดของการสร้าง
นั่นเป็นความประทับใจเมื่อแรกพบเป็นอย่างดีและเขาก็ไม่ได้โง่พอที่จะอ่านอาวุโสหวูไม่ออก
“แผ่นหยกจารึกที่เก็บรักษาไว้นับร้อยนับพัน?เรียนรู้อย่างครบถ้วน?” ผู้เชี่ยวชาญระดับผลิดอกและออกผลต่างงุนงง
ในจำนวนนักบ่มเพาะในโลกนี้ผู้ที่ไม่ได้พยายามเพิ่มระดับการบ่มเพาะของตนอย่างบ้าคลั่งหรือแสวงหาน้ำอมฤต,วิธีการบ่มเพาะ,อาวุวิเศษ,ลักษณะจิตวิญญาณและอื่นๆ
แต่มีผู้ที่ศึกษานอกเหนือจากสิ่งเหล่านี้เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งแปลกๆนั้นหรอ?
มากกว่านั้นเรียนจากแผ่นจารึกหยกนับร้อยนับพัน?
ไม่น่าแปลกใจเลยที่อาวุโสหวูจะบอกว่าแนวทางการบ่มเพาะของหยางเฉินนั้นแตกต่างจากพวกเขา
ไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่นเลยเอาแค่การสามารถทุ่มเทเวลามากมายก็เป็นเรื่องที่พวกเขาไม่เข้าใจแล้ว
ในกรณีนี้หยางเฉินจะมีความรู้มากมายก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว
เมื่อพวกเขามีความคิดเช่นนี้เเล้วก็เกิดความรู้สึกตื่นเต้นอยู่ในใจพวกเขาควรที่จะสนใจเรียนรู้สิ่งเล็กๆน้อยๆที่ไม่เคยแม้แต่อยู่ในสายตามากก่อน
เป็นที่รู้กันว่าหยางเฉินนั้นยังอยู่แค่ระดับรวบรวมลมปราณเมื่อครั้งที่เขานั้นสามารถควบคุมและกระตุ้นลักษณะรูปแบบต่างๆของเวทมนต์
และด้วยเปลวไฟของเขาพวกเขาทั้งหมดนั้นค่อนข้างด้อยกว่าเขาในเรื่องนี้เป็นไปได้ไหมว่าเขาจะมีข้อมูลส่วนลึกจากสิ่งเหล่านี้?
นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่อีกต่อไปที่จริงแล้วทุกคนต่างเข้าใจชัดเจนแล้ว
ผู้เชี่ยวชาญปรุงยานั้นต่างทำงานอย่างหนักในการกลั่นยาเม็ดคว้าสวรรค์และหยางเฉินนั้นก็เพียงแค่ดูแลวิกฤติช่วงสุดท้ายที่ผ่านมา
ความผิดพลาดของพวกเขานั่นคือการที่พวกเขาไม่สามารถรับมือกับจิตวิญญาณของยาได้อย่างเหมาะสมผลลัพธ์แบบนี้นั้นทำให้พวกเขาต่างรู้สึกมีความสุขล้นในหัวใจ
ท้ายที่สุดแล้วอย่างน้อยก็ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะไม่สามารถมีชื่อเสียงจากการที่กลั่นยาเม็ดคว้าสวรรค์ได้สำเร็จ
“ข้าต้องการให้ทุกคนพักผ่อนกันสักนิดคนแก่คนนี้จะไปส่งสหายหนุ่มหยางเฉินกลับหลุมดักเซียน
และเราจะพูดคุยกันต่อหลังจากที่ข้ากลับมา!”
ในตอนนี้ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องยาเม็ดคว้าสวรรค์ก็จบลงแล้วดังนั้นก็ถึงเวลาแล้วที่อาวุโสหวูจะเริ่มให้รางวัลตอบแทนแน่นอนว่าหยางเฉินนั้นเป็นคนแรก
ขอบคุณครับ
ตอบลบ