หยางเฉินก็มิได้ถ่อมตัวแต่อย่างใด เดินดิ่งไปยังที่ว่าง ขณะที่บุคคลอื่น ๆ
ก็เข้านั่งประจำที่ของตนรอคอยดู การควบคุมไฟของหยางเฉิน
อันที่จริงแล้วผู้อาวุโสหวูนอกจากจะกระวนกระวายแล้วยังสงสัยอย่างยิ่ง
เพราะเขาได้พูดคุยกับหยางเฉินตลอดการเดินทางร่วมกัน
และเห็นว่าหยางเฉินเป็นคนที่รู้ในสิ่งที่เหมาะสม
แล้วทำไมจึงทำในสิ่งที่ผิดปกติทั้งที่ไม่มีทางชนะ เขาจึงไม่เข้าใจจริง ๆ
แค่ระดับรวบรวมลมปราณไม่ว่าจะเชื่อมั่นตัวเองขนาดไหนก็ไม่ควรกล้าท้าทายกับระดับผลิดอก
ทั้งเพิงจู
เติ้งยี่และฟั่นฉานก็รู้สึกแปลกใจ
เพิงจูและเติ้งยี่นั้นเป็นนักปรุงยาธาตุน้ำผู้เชี่ยวชาญระดับผลิดอก
จากประสบการณ์ของพวกเขาและขีดความสามารถของเค่อเหลียนหยุน
บอกได้เลยว่าหยางเฉินไม่มีทางชนะได้
แม้กระทั่งคนของนิกายฝีกสัตว์อสูรอย่างฟั่นฉาน
ที่ไม่ถึงกับไม่รู้เรื่องของธาตุไฟเลย
ช่องว่างระหว่างระดับรวบรวมลมปราณกับระดับผลิดอกราวกับถูกกั้นด้วยภูเขา
ต่อให้หยางเฉินโดดเด่นในการควบคุมเปลวไฟสักเพียงใด
เค่อเหลียนหยุนย่อมสามารถที่จะทำสิ่งนั้นโดยเพียงอาศัยพลังจากการบ่มเพาะ
ซึ่งในข้อตกลงของทั้งคู่ไม่ได้ห้ามเกี่ยวกับระดับการบ่มเพาะ
เค่อเหลียนหยุนแสดงออกภายนอกด้วยท่าทีสงบ แต่ภายในเร่าร้อนสุมด้วยความโกรธ
แต่ยังระวังเผื่อช่องโหว่ไว้สำหรับโกง พวกที่เหลือล้วนมองจุดนี้ออก
แต่ไม่มีผู้ใดที่จะเตือนหยางเฉิน ไม่ว่าอย่างไร
หยางเฉินก็เป็นเพียงแค่ระดับรวบรวมลมปราณ
ย่อมไม่มีสิ่งใดมาคุกคามผู้ปรุงยาระดับผลิดอกได้
ทุกคนรอคอย และจดจ้องไปที่หยางเฉิน และหยางเฉินก็ไม่ได้ปล่อยให้รอนาน
เดินไปตรงกลางที่ว่างแล้วหยุดหลังจากนั้นเขาก็สูดลมหายใจและสงบนิ่งหลังจากนั้นเขาก็ยกมือขึ้น
หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดเปลวไฟสีแดงเข้มปะทุออกจากฝ่ามือที่ยกขึ้นมา
เปลวไฟที่เกิดขึ้นมาทำให้สายตาทุก ๆ คน มีท่าทีที่มุ่งร้าย
ทุกคนล้วนตระหนักได้จากการมองแว่บเดียวว่า นี่คือเปลวไฟแก่นพิภพอย่างแท้จริง
ยิ่งกว่านั้นจากผลการตรวจสอบด้วยพลังจิตสำนึกวิญญาณ ยืนยันว่าหยางเฉินอยู่ที่ระดับรวบรวมลมปราณจริง
ๆ และไม่ได้มีความชำนาญใดที่โดดเด่นพิเศษ
ในขณะนี้ความสามารถที่หยางเฉินแสดงออกอยู่ในระดับรวบรวมลมปราณไม่มากกว่านี้แม้แต่น้อย
แต่ยิ่งเป็นอย่างนี้ยิ่งกระตุ้นความอยากรู้ของทุกคน นอกจากจะจดจ้องไม่ให้คลาดสายตาแล้วยังส่งพลังจิตสำนึกวิญญาณตรวจสอบ
เปลวไฟสีแดงเข้มได้ล้อมเขาไว้โดยรอบเหมือนวงแหวน
ไม่นานนักหลังจากนั้นมันก็เกิดรูปร่างของภาพบางอย่างทำให้เกิดความสับสน
ทักษะนี้ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจแทนที่จะเรียกว่าความสามารถแต่มันถูกมองได้ว่าเป็นทักษะธรรมดาสามัญ
รอยยิ้มที่ยิ้มแย้มแจ่มใสปกคลุมใบหน้าของเค่อเหลียนหยุน
เห็นได้ชัดว่าเปลวไฟแก่นพิภพได้อยู่ในกำมือมือของเขาแล้ว
เปลวไฟเบื้องหน้าเขาปรากฏคล้ายแปลงวาดรูป วาดเส้นอะไรที่ดูแปลกตา
ที่ยังไม่มีผู้ใดดูออก ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ
มองเห็นเป็นเส้นทางที่วาดต่อเนื่องโดยไม่ติดขัด เพียงแค่ทักษะเช่นนี้ก็เพียงพอต่อการได้รับการปรบมือ
มันไม่ได้เป็นอะไรที่ลำบากที่จะทำแบบนี้สำหรับผู้บ่มเพาะระดับผลิดอก
โดยเฉพาะนักปรุงยาผู้เชี่ยวชาญทั้งสาม
แต่ที่โชว์อยู่ตอนนี้เป็นเพียงระดับรวบรวมลมปราณ
มันเป็นอะไรที่ทรงคุณค่าการจดจำมาก
ทุกคนทราบดีถึงสิ่งที่บังเกิด
ต่อให้เป็นระดับก่อลำต้นมันก็ไม่ถึงกับง่ายนักที่จะทำ
เห็นเช่นนั้นทุกคนจึงตระหนักว่าทำไมผู้อาวุโสหวูจึงนำเขามา
ไม่ว่าจะเป็นทักษะการควบคุมไฟหรือตัวเปลวไฟแก่นปฐพี
มันจะช่วยในการยกระดับการกลั่นยาเม็ดคว้าสวรรค์ได้แน่
อัตราความสำเร็จในการกลั่นครั้งนี้จะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
การตัดสินใจของผู้อาวุโสหวูที่นำพาเขามาด้วย
ก็เพราะเขาพบเห็นในความสามารถนี้
ตอนนี้ทุกคนล้วนกระจ่างแจ้งต่อความตั้งใจของผู้อาวุโสหวู
แต่เรื่องราวที่ผ่านมาท่มกลางสายตาทุกคน ข้อเสนอต่างๆ
ของเค่อเหลียนหยุนที่บีบบังคับหยางเฉินเข้าจุดอับ
ถึงเวลาที่เขาต้องดิ้นรนหาจุดยืนต่อสู้เพื่อหาทางรอด
สำหรับโอกาสที่จะประสบความสำเร็จที่มากขึ้นในการปรุงกลั่นยาเม็ดคว้าสวรรค์นี้
เป็นสิ่งที่ผู้อาวุโสหวูและทุก ๆ คนต้องการ ถ้ามันสำเร็จ
ไม่เพียงเป็นประโยชน์ต่อผู้อาวุโสหวูเท่านั้น แต่ทุกคนที่มีส่วนร่วมในครั้งนี้
จะมีชื่อเสียงกล่าวขานอีกยาวนาน และในอนาคตในยามที่พวกเขาจะขึ้นสู่โลกเบื้องบนโอกาสแห่งความสำเร็จก็จะมากไปด้วย
แต่ในขณะนี้ พวกเขาไม่รู้มันจะเป็นอย่างไรจากเหตุที่เค่อเหลียนหยุนก่อไว้
แม้พวกเขาจะสามารถหาจุดจบที่ไม่บาดหมางกัน
แต่ใครจะรู้ว่าหยางเฉินจะทุ่มเทที่จะช่วยเหลืออย่างเต็มที่หรือไม่
ทุกๆคนล้วนมีประโยชน์ ไม่มีผู้ใดไร้ประโยชน์
แม้ทุกคนจะอยู่ในระดับที่สูง แต่ในแง่ของการสกัดแยกวัสดุ
พวกเขายังคงต้องการความช่วยเหลืออย่างสุดกำลังจากเปลวไฟแก่นพิภพของหยางเฉิน
แต่เค่อเหลียนหยุนไม่คิดแบบนั้น
เขาจ้องมองหยางเฉินและบางครั้งก็เปล่งเสียงทางจมูกด้วยความรังเกียจ
ถ้านี่เป็นทุกอย่างของหยางเฉินแล้ว
เขาก็สามารถจัดการทั้งหมดได้อย่างง่ายดายถ้าเขามีแค่ความสามารถในการควบคุมเปลวไฟ? ความสามารถอันน้อยนิดนี้เขากล้าที่จะมาแสดงต่อหน้านักบ่มเพาะระดับผลิดอก?
หยางเฉินมุ่งจิตใจให้เป็นหนึ่งเดียวกับเปลวไฟ
ไม่ได้มาสังเกตุรับรู้อารมณ์ของผู้ใด ขอบเขตของวงเปลวไฟที่ดูจะเล็กตามระดับการบ่มเพาะของเขา
แต่วงที่ยิ่งเล็กยิ่งแสดงให้เห็นการควบคุมเปลวไฟของเขา
ซึ่งทุกคนรู้กระจ่างในเรื่องนี้
ภาพที่ปรากฏยิ่งมายิ่งซับซ้อน
มองดูหนาแน่นขึ้นแต่ยังไม่มีผู้ใดรู้ว่ามันคือสิ่งใดสายตาทุกคนจับอยู่ที่เปลวไฟแดงเข้มนั้น
จาการใช้พลังจิตสำนึกวิญญาณตรวจสอบเพียงบอกได้ว่า
หยางเฉินใช้เส้นใยของเปลวไฟวาดรูปแบบอักขระบางอย่าง
ภาพนั้นดูธรรมดามาก มันคล้าย ๆ ชุดอักขระแต่ยังไม่สมบูรณ์
ดังนั้นจึงยังไม่สามารถทราบว่ามันคือสิ่งใด เวลายิ่งผ่านไป
ความสนใจและความคาดหวังในภาพนั้นยิ่งมากขึ้น ….ในเมื่อท้าทายผู้เชี่ยวชาญระดับผลิดอกทั้งที
ภาพที่ออกมาจะธรรมดาได้อย่างไร ?
เม็ดเหงื่อผุดออกมาบนศรีษะของหยางเฉิน แสดงถึงความตั้งใจในการกระทำการนี้
ก็ในเมื่อเขาแค่ระดับรวบรวมลมปราณ
ที่ย่อมจะไม่มีความสามารถในการเชื่อมต่อกับพลังสวรรค์และปฐพี
มันเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง สำหรับการใช้พลังจิตวิญญาณจำนวนมาก
แม้พลังจิตสำนึกวิญญาณของหยางเฉินดูจะล้ำลึกก็ตาม
ในที่สุด การควบคุมไฟของหยางเฉินก็มาถึงขั้นสุดท้าย
รูปแบบสีแดงทั้งหมดดูสมบูรณ์ หยางเฉินอนหายใจ ผ่อนคลายพร้อมเผยรอยยิ้ม
“จบแล้วรึ ? ต่อหน้าข้า เจ้ากล้า ……….”
เค่อเหลียนหยุนกล่าวยังไม่จบคำ ก็หยุดคำพูดอย่างกระทันหัน
ราวกับพบพานภูติผี
ไม่เพียงแค่เค่ออเหลียนหยุน แต่ท่าทางของเติ้งยี่ เพิงจู ฟั่นฉาน
ราวกับเจอปีศาจเช่นกัน
รวมทั้งผู้อาวุโสหวูที่ก็ตกตะลึงถึงกับอ้าปากค้าง
จ้องไปที่ระหว่างมือของหยางเฉิน อย่างไม่กล้าที่จะเชื่อในสายตาของตน
ไม่ใช่แค่ไม่เชื่อในสายตา
แต่ไม่อยากแม้กระทั่งจะเชื่อในพลังสำนึกจิตวิญญาณ ….มันเป็นไปได้อย่างไร ?
นี่…ใช่สิ่งที่เจ้าเด็กระดับรวบรวมลมปราณทำได้รึ…?
แม้จะใช้คำว่า ‘เกินไป’ มันก็ยังไม่สามารถนิยามความประหลาดนี้ได้
…มันเป็นสิ่งที่มนุษย์ทำได้จริงรึ ?
ภาพของเปลวไฟในมือหยางเฉินที่บัดนี้ได้เปลี่ยนเป็นแสงสีฟ้าแล้ว
และส่วนหนึ่งของพลังจิตวิญญาณได้เริ่มเพิ่มขึ้นรอบ ๆ
ซึ่งพลังจิตวิญญาณของทุกคนรับรู้ได้ว่า
นั่นมันเป็นพลังจิตวิญญาณของผู้บ่มเพาะพลังจิตธาตุน้ำ
แต่ก็ไม่น่าจะมีสิ่งใดที่แปลกไป
เพราะภายในหมู่บ้านของผู้เชี่ยวชาญระดับออกผล อย่างผู้อาวุโสหวูนั้น
ย่อมเต็มไปด้วยพลังจิตวิญญาณทั้งห้าธาตุ
ภาพมือของหยางเฉินที่ควบคุมเปลวไฟล้วนกระจ่างชัดต่อหน้าทุกคนเมื่อสักครู่นี้
มันเป็นการรวบรวมอักขระอาคม ก่อค่ายกลพลังจิตวิญญาณธาตุน้ำระดับต่ำ
ไม่มีผู้ใดที่เป็นผู้บ่มเพาะธาตุน้ำหรือผู้เชี่ยวชาญค่ายกล
ดังนั้นเป็นธรรมดาที่ตอนแรกพวกเขาจะยังไม่รู้ตอนที่ค่ายกลยังไม่สมบูรณ์
เปลวไฟที่ใช้เป็นเปลวไฟแก่นพิภพที่เป็นเปลวไฟระดับต่ำ
อักขระที่รวมกันเป็นค่ายกลก็ระดับต่ำ พลังจิตวิญญาณโดยรวมก็จัดอยู่ในระดับต่ำ
กระทั่งพลังจิตธาตุน้ำก็จำกัดอยู่ในพื้นที่เล็ก ๆ
ดังนั้นอย่างมากอักขระอาคมนี้ก็เพียงปกคลุมแค่ภายในห้องนี้
แต่…ไม่มีผู้ใดกล้าหัวเราะเยาะค่ายกลอาคมที่ทรงพลังและยิ่งมิบังอาจเย้ยหยันทักษะการควบคุมเปลวไฟนี้
การใช้เปลวไฟของไฟแก่นพิภพในการบังคับ การวาดรวบรวมก่ออักขระอาคมธาตุน้ำ
ในขณะลอยอยู่บนอากาศ เพียงอาศัยเปลวไฟในมือโดยปราศจากการใช้กระสายยา
นี่มันใช่ผู้ปรุงยารึ ?
สิ่งที่น่าหวาดหวั่นที่หยางเฉินทำได้อย่างประหลาดคือ
การใช้เปลวไฟวาดอักขระค่ายกลธาตุน้ำ
ในบรรดาธาตุทั้งห้า สองธาตุนี้คือคู่ปรับกันอย่างแท้จริง แต่เมื่อครู่มันสามารถรวมกันเป็นหนึ่งเดียว
ความสามารถของทักษะนี้ถ้าไม่ได้เห็นกับตา คงไม่มีผู้ใดที่จะอธิบายให้ฟังได้
ตอนนี้…ทั้งไม่กล้า….ทั้งไม่เชื่อ….เกินจินตนาการ
….ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นระดับผลิดอกออกผลหรือไม่
…ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นนักกลั่นยาหรือผู้ฝึกสัตว์
สีหน้าท่าทางทุกคนล้วนอยู่ในสภาพเดียวกัน
เอาเปลวไฟมาทำแบบนี้ได้ด้วยรึ…มันกระทั่งสามารถรวมกับเขตแดนธาตุน้ำได้ด้วย?
แล้วนี่..คืออักขระอาคมระดับสูง ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ตัวผสมระดับสูง…
แผนผังอักขระระดับสูง หรือพลังจิตวิญญาณที่สูงส่งรึ ? ต่อให้เป็นพลังจิตอาคมระดับต่ำ
ก็ไม่ต้องใช้ตัวช่วยธาตุน้ำอื่นจริงรึ? การใช้เพียงเปลวไฟล้วน
ๆ ในการวาดแล้วสร้างพลังจิตวิญญาณโดยปราศจากตัวช่วยเสริมอื่น
เพียงพอที่จะสร้างความตระหนกผู้คนแล้ว แล้วนี่ยิ่งเป็นพลังจิตวิญญาณธาตุน้ำ
…องค์ความรู้ที่เคยมีเกี่ยวกับห้าธาตุได้พังทลายลงอย่างสิ้นเชิง …แล้วนี่เป็นอะไรที่คนทำได้รึ?
ทุก ๆ คน ล้วนเป็นระดับผู้เชี่ยวชาญ ไม่ต้องรอให้หยางเฉินเตือน
ทุกคนส่งพลังสำนึกจิตวิญญาณเข้าตรวจสอบ ทุกอย่างทั้งรอบ ๆ ทั้งภายในและภายนอก
พวกเขาไม่มีผู้ใดสงสัย ว่ากลุ่มอักขระอาคมนี้ถูกกระทำขึ้นโดยเปลวไฟ
มันชัดเจนยิ่งว่านอกจากใช้เปลวไฟแล้วไม่มีวิธีอื่น
ถึงแม้ทุกคนจะเห็นทั้งห้าธาตุในร่างหยางเฉิน
แต่ทุกคนในที่นี้ผู้ใดบ้างล่ะจะไม่มีรากฐานจากธาตุทั้งห้า
ทุกผู้คนภายใต้สรวงสวรรค์ล้วนมีธาตุทั้งห้าในตัว
เพียงแต่จะต้องมีธาตุที่โดดเด่นเป็นหลักในการบ่มเพาะหนึ่งธาตุ
อย่างหยางเฉินเองก็ไม่ยกเว้น เขามีรากจิตวิญญาณธาตุไฟ
แต่เปลวไฟของหยางเฉินขัดแย้งกับเหตุผลนี้
การรวบรวมสร้างค่ายกลอาคมธาตุน้ำที่
ซึ่งนอกจากจะควบแน่นกลั่นพลังจิตวิญญาณธาตุน้ำจากรอบ ๆ
ซึ่งจุดนี้ทุกคนล้วนส่งพลังจิตสำนึกวิญญาณตรวจสอบ แน่นอน
…ต่อหน้าผู้ฝึกปรือทั้งระดับผลิดอกและออกผล ย่อมไม่สามารถที่จะหลอกลวงได้
น้ำและไฟย่อมไม่สามารถเข้ากันได้
และเป็นสิ่งที่เข้าใจมาหลายรุ่นแต่ได้ถูกทำลายกฏเกณฑ์นี้ต่อหน้าต่อตาพวกเขา ทุก ๆ
คนตระหนกอย่างยิ่งได้แต่มองหน้ากัน
สิ่งที่พบเห็นคือแต่ละคนล้วนสูญเสียความสามารถในการควบคุมตนเองแล้วล่ะ…(งง ล่ะสิ!)
ณ.บัดนี้ มันเห็นได้อย่างชัดเจน เวลาที่ล่วงเลยมาพวกเขาเหมือนกบในบ่อน้อย
….ทันทีนั้น พวกเขาลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้น ..มันสามารถใช้ไฟทำยังงี้ได้รึ ? ภายภาคหน้าพวกเขาคงต้องค้นคว้าดู…
แม้กระทั่งฟั่น ฉาน และผู้อาวุโสหวู ซึ่งไม่ใช่ผู้บ่มเพาะธาตุไฟรู้สึกตื่นเต้นมาก
เพราะโดยธรรมชาติของทุกคนที่ล้วนมีองค์ประกอบครบทั้งห้า ในเมื่อธาตุไฟทำได้
แล้วธาตุอื่นล่ะ!
มีเพียงคนเดียวที่ตื่นตระหนกคือเค่อเหลียนหยุน
เมื่อหยางเฉินสร้างอักขระอาคมธาตุน้ำ และเริ่มควบแน่นเป็นพลังจิตวิญญาณ
มันทำให้เขาตะลึงมึนงงจนพูดไม่ออก
ระดับการบ่มเพาะของเขานั้นสูงอยู่มาก และยังเป็นนักปรุงยาระดับสาม
แม้ว่าการควบคุมไฟของเขาจะไม่ถึงขั้นสมบูรณ์แบบแต่ยังนับได้ว่าอยู่ระดับสูง
ไม่เช่นนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะนักปรุงยา
แต่ทักษะที่หยางเฉินแสดงนั้นเขาไม่กล้าแม้แต่จะคิด นับประสาอะไรกับการที่ต้องแข่งขัน
แม้ว่าด้วยความสามารถของเขาที่อยู่การบ่มเพาะระดับผลิดอก
จะสามารถเพิ่มขีดความสามารถในการควบคุมไฟ โดยอาศัยช่องว่างของระดับการบ่มเพาะ
แต่ก็ไม่กล้าที่จะหลอมรวมธาตุน้ำเข้ากับธาตุไฟ
เขายังไม่เข้าใจไม่ว่าจะเป็นหลักการรวมและวิธีการทั้งมวลที่หยางเฉินทำ
อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้เขาได้พนันเปลวไฟของเขากับหยางเฉิน
นี่ไม่ควรจะหมายถึงไฟพระอาทิตย์จริงแท้
ซึ่งเขาได้มาหลังจากที่ใช้ความพยายามนับครั้งไม่ได้
และต้องใช้ยานับไม่ถ้วนแลกเปลี่ยนมา แล้วนำมาปรับแต่งและกลั่นนับสิบปี
แล้วจะต้องมาสูญเสียให้เจ้าเด็กระดับรวบรวมลมปราณนี่เรอะ ?
มันไม่ใช่สิ่งที่จะเกินเลย ที่จะกล่าวว่าเปลวไฟคือชีวิต
เลือดเนื้อของผู้บ่มเพาะธาตุไฟ เวลานี้หยางเฉินทำในสิ่งที่เกินคาดอย่างยิ่ง
เค่อเหลียนหยุนทราบดีว่า ทันทีที่เขามอบไฟพระอาทิตย์จริงแท้ออกไป
พลังปราณหยินของเขาจะกระจายออก และจะลดระดับไปอยู่ที่ระดับก่อลำต้นหรือต่ำกว่านั้น
ที่เขาบรรลุระดับผลิดอกได้นั้น มันเพราะหลังจากเขาปรับแต่งเปลวไฟนี้เท่านั้น
ดังนั้นมันเท่ากับมายึดพลังการบ่มเพาะของเขาเลยทีเดียว
หยางเฉินกระทั่งเชิญผู้อาวุโสหวูเป็นสักขีพยาน
แล้วเค่อเหลียนหยุนจะกล้าติดหนี้ต่อหน้าผู้อาวุโสหวูรึ ? …หรือเขาควรยอมยกธงยอมมอบไป
แต่ถ้าเขาไร้ซึ่งไฟพระอาทิตย์จริงแท้ เขาจะรักษาระดับการบ่มเพาะผลิดอก
และสถานะนักปรุงยาได้อย่างไร ?
ความหวาดหวั่นปรากฏขึ้นในดวงตาของเค่อเหลียนหยุน
เขาหันไปมองเพิงจูและเติ้งยี่ ตราบใดที่ทั้งคู่เอ่ยปากผู้อาวุโสหวูย่อมไม่อยากที่จะขัดแย้งกับนักปรุงยาทั้งสามคนพร้อมกันในการบังคับให้เขาต้องยอมมอบไฟอาทิตย์แท้จริงออกไป
แม้การกลับคำ อาจจะทำให้เขามีมลทินติดตัว
แต่อย่างน้อยมันก็ยังรักษาสถานะตัวเองไว้ได้
แต่ความจริงที่ทำให้เขาไม่อยากเชื่อในการขอความช่วยเหลือนี้ก็บังเกิด …ทั้งสองไม่รับรู้ถึงสายตาของเขาเลย
เพียงจดจ้องอยู่ที่หยางเฉิน มันทำให้หัวใจเค่อเหลียนหยุนแทบหลุดร่วงลงพื้น
ขอบคุณครับรอนานมากเลย ไม่ได้เร่งนะครับเข้าใจว่าต้นฉบับก็หาย
ตอบลบนานจริงๆ
ตอบลบ