เลือกสีพื้นเพื่ออ่านบทความ >>> พื้นขาว พื้นดำ พื้นครีม

วันอังคารที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ZX 074 ความสามารถนี้มนุษย์ทำได้?


หยางเฉินก็มิได้ถ่อมตัวแต่อย่างใด เดินดิ่งไปยังที่ว่าง ขณะที่บุคคลอื่น ๆ ก็เข้านั่งประจำที่ของตนรอคอยดู การควบคุมไฟของหยางเฉิน

อันที่จริงแล้วผู้อาวุโสหวูนอกจากจะกระวนกระวายแล้วยังสงสัยอย่างยิ่ง เพราะเขาได้พูดคุยกับหยางเฉินตลอดการเดินทางร่วมกัน และเห็นว่าหยางเฉินเป็นคนที่รู้ในสิ่งที่เหมาะสม แล้วทำไมจึงทำในสิ่งที่ผิดปกติทั้งที่ไม่มีทางชนะ เขาจึงไม่เข้าใจจริง ๆ แค่ระดับรวบรวมลมปราณไม่ว่าจะเชื่อมั่นตัวเองขนาดไหนก็ไม่ควรกล้าท้าทายกับระดับผลิดอก

 ทั้งเพิงจู เติ้งยี่และฟั่นฉานก็รู้สึกแปลกใจ เพิงจูและเติ้งยี่นั้นเป็นนักปรุงยาธาตุน้ำผู้เชี่ยวชาญระดับผลิดอก จากประสบการณ์ของพวกเขาและขีดความสามารถของเค่อเหลียนหยุน บอกได้เลยว่าหยางเฉินไม่มีทางชนะได้

แม้กระทั่งคนของนิกายฝีกสัตว์อสูรอย่างฟั่นฉาน ที่ไม่ถึงกับไม่รู้เรื่องของธาตุไฟเลย ช่องว่างระหว่างระดับรวบรวมลมปราณกับระดับผลิดอกราวกับถูกกั้นด้วยภูเขา ต่อให้หยางเฉินโดดเด่นในการควบคุมเปลวไฟสักเพียงใด เค่อเหลียนหยุนย่อมสามารถที่จะทำสิ่งนั้นโดยเพียงอาศัยพลังจากการบ่มเพาะ ซึ่งในข้อตกลงของทั้งคู่ไม่ได้ห้ามเกี่ยวกับระดับการบ่มเพาะ

เค่อเหลียนหยุนแสดงออกภายนอกด้วยท่าทีสงบ แต่ภายในเร่าร้อนสุมด้วยความโกรธ แต่ยังระวังเผื่อช่องโหว่ไว้สำหรับโกง พวกที่เหลือล้วนมองจุดนี้ออก แต่ไม่มีผู้ใดที่จะเตือนหยางเฉิน ไม่ว่าอย่างไร หยางเฉินก็เป็นเพียงแค่ระดับรวบรวมลมปราณ ย่อมไม่มีสิ่งใดมาคุกคามผู้ปรุงยาระดับผลิดอกได้

ทุกคนรอคอย และจดจ้องไปที่หยางเฉิน และหยางเฉินก็ไม่ได้ปล่อยให้รอนาน เดินไปตรงกลางที่ว่างแล้วหยุดหลังจากนั้นเขาก็สูดลมหายใจและสงบนิ่งหลังจากนั้นเขาก็ยกมือขึ้น หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดเปลวไฟสีแดงเข้มปะทุออกจากฝ่ามือที่ยกขึ้นมา

เปลวไฟที่เกิดขึ้นมาทำให้สายตาทุก ๆ คน มีท่าทีที่มุ่งร้าย ทุกคนล้วนตระหนักได้จากการมองแว่บเดียวว่า นี่คือเปลวไฟแก่นพิภพอย่างแท้จริง ยิ่งกว่านั้นจากผลการตรวจสอบด้วยพลังจิตสำนึกวิญญาณ ยืนยันว่าหยางเฉินอยู่ที่ระดับรวบรวมลมปราณจริง ๆ และไม่ได้มีความชำนาญใดที่โดดเด่นพิเศษ

ในขณะนี้ความสามารถที่หยางเฉินแสดงออกอยู่ในระดับรวบรวมลมปราณไม่มากกว่านี้แม้แต่น้อย แต่ยิ่งเป็นอย่างนี้ยิ่งกระตุ้นความอยากรู้ของทุกคน  นอกจากจะจดจ้องไม่ให้คลาดสายตาแล้วยังส่งพลังจิตสำนึกวิญญาณตรวจสอบ

เปลวไฟสีแดงเข้มได้ล้อมเขาไว้โดยรอบเหมือนวงแหวน ไม่นานนักหลังจากนั้นมันก็เกิดรูปร่างของภาพบางอย่างทำให้เกิดความสับสน ทักษะนี้ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจแทนที่จะเรียกว่าความสามารถแต่มันถูกมองได้ว่าเป็นทักษะธรรมดาสามัญ รอยยิ้มที่ยิ้มแย้มแจ่มใสปกคลุมใบหน้าของเค่อเหลียนหยุน เห็นได้ชัดว่าเปลวไฟแก่นพิภพได้อยู่ในกำมือมือของเขาแล้ว

เปลวไฟเบื้องหน้าเขาปรากฏคล้ายแปลงวาดรูป วาดเส้นอะไรที่ดูแปลกตา ที่ยังไม่มีผู้ใดดูออก ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ มองเห็นเป็นเส้นทางที่วาดต่อเนื่องโดยไม่ติดขัด เพียงแค่ทักษะเช่นนี้ก็เพียงพอต่อการได้รับการปรบมือ










มันไม่ได้เป็นอะไรที่ลำบากที่จะทำแบบนี้สำหรับผู้บ่มเพาะระดับผลิดอก โดยเฉพาะนักปรุงยาผู้เชี่ยวชาญทั้งสาม แต่ที่โชว์อยู่ตอนนี้เป็นเพียงระดับรวบรวมลมปราณ มันเป็นอะไรที่ทรงคุณค่าการจดจำมาก  ทุกคนทราบดีถึงสิ่งที่บังเกิด ต่อให้เป็นระดับก่อลำต้นมันก็ไม่ถึงกับง่ายนักที่จะทำ

เห็นเช่นนั้นทุกคนจึงตระหนักว่าทำไมผู้อาวุโสหวูจึงนำเขามา ไม่ว่าจะเป็นทักษะการควบคุมไฟหรือตัวเปลวไฟแก่นปฐพี มันจะช่วยในการยกระดับการกลั่นยาเม็ดคว้าสวรรค์ได้แน่ อัตราความสำเร็จในการกลั่นครั้งนี้จะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก

การตัดสินใจของผู้อาวุโสหวูที่นำพาเขามาด้วย ก็เพราะเขาพบเห็นในความสามารถนี้ ตอนนี้ทุกคนล้วนกระจ่างแจ้งต่อความตั้งใจของผู้อาวุโสหวู แต่เรื่องราวที่ผ่านมาท่มกลางสายตาทุกคน ข้อเสนอต่างๆ ของเค่อเหลียนหยุนที่บีบบังคับหยางเฉินเข้าจุดอับ ถึงเวลาที่เขาต้องดิ้นรนหาจุดยืนต่อสู้เพื่อหาทางรอด

สำหรับโอกาสที่จะประสบความสำเร็จที่มากขึ้นในการปรุงกลั่นยาเม็ดคว้าสวรรค์นี้ เป็นสิ่งที่ผู้อาวุโสหวูและทุก ๆ คนต้องการ ถ้ามันสำเร็จ ไม่เพียงเป็นประโยชน์ต่อผู้อาวุโสหวูเท่านั้น แต่ทุกคนที่มีส่วนร่วมในครั้งนี้ จะมีชื่อเสียงกล่าวขานอีกยาวนาน และในอนาคตในยามที่พวกเขาจะขึ้นสู่โลกเบื้องบนโอกาสแห่งความสำเร็จก็จะมากไปด้วย

แต่ในขณะนี้ พวกเขาไม่รู้มันจะเป็นอย่างไรจากเหตุที่เค่อเหลียนหยุนก่อไว้ แม้พวกเขาจะสามารถหาจุดจบที่ไม่บาดหมางกัน แต่ใครจะรู้ว่าหยางเฉินจะทุ่มเทที่จะช่วยเหลืออย่างเต็มที่หรือไม่ ทุกๆคนล้วนมีประโยชน์ ไม่มีผู้ใดไร้ประโยชน์  แม้ทุกคนจะอยู่ในระดับที่สูง แต่ในแง่ของการสกัดแยกวัสดุ พวกเขายังคงต้องการความช่วยเหลืออย่างสุดกำลังจากเปลวไฟแก่นพิภพของหยางเฉิน

แต่เค่อเหลียนหยุนไม่คิดแบบนั้น เขาจ้องมองหยางเฉินและบางครั้งก็เปล่งเสียงทางจมูกด้วยความรังเกียจ ถ้านี่เป็นทุกอย่างของหยางเฉินแล้ว เขาก็สามารถจัดการทั้งหมดได้อย่างง่ายดายถ้าเขามีแค่ความสามารถในการควบคุมเปลวไฟ? ความสามารถอันน้อยนิดนี้เขากล้าที่จะมาแสดงต่อหน้านักบ่มเพาะระดับผลิดอก?

หยางเฉินมุ่งจิตใจให้เป็นหนึ่งเดียวกับเปลวไฟ ไม่ได้มาสังเกตุรับรู้อารมณ์ของผู้ใด ขอบเขตของวงเปลวไฟที่ดูจะเล็กตามระดับการบ่มเพาะของเขา แต่วงที่ยิ่งเล็กยิ่งแสดงให้เห็นการควบคุมเปลวไฟของเขา ซึ่งทุกคนรู้กระจ่างในเรื่องนี้

ภาพที่ปรากฏยิ่งมายิ่งซับซ้อน มองดูหนาแน่นขึ้นแต่ยังไม่มีผู้ใดรู้ว่ามันคือสิ่งใดสายตาทุกคนจับอยู่ที่เปลวไฟแดงเข้มนั้น จาการใช้พลังจิตสำนึกวิญญาณตรวจสอบเพียงบอกได้ว่า หยางเฉินใช้เส้นใยของเปลวไฟวาดรูปแบบอักขระบางอย่าง

ภาพนั้นดูธรรมดามาก มันคล้าย ๆ ชุดอักขระแต่ยังไม่สมบูรณ์ ดังนั้นจึงยังไม่สามารถทราบว่ามันคือสิ่งใด เวลายิ่งผ่านไป ความสนใจและความคาดหวังในภาพนั้นยิ่งมากขึ้น ….ในเมื่อท้าทายผู้เชี่ยวชาญระดับผลิดอกทั้งที ภาพที่ออกมาจะธรรมดาได้อย่างไร ?

เม็ดเหงื่อผุดออกมาบนศรีษะของหยางเฉิน แสดงถึงความตั้งใจในการกระทำการนี้ ก็ในเมื่อเขาแค่ระดับรวบรวมลมปราณ ที่ย่อมจะไม่มีความสามารถในการเชื่อมต่อกับพลังสวรรค์และปฐพี มันเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง สำหรับการใช้พลังจิตวิญญาณจำนวนมาก แม้พลังจิตสำนึกวิญญาณของหยางเฉินดูจะล้ำลึกก็ตาม

ในที่สุด การควบคุมไฟของหยางเฉินก็มาถึงขั้นสุดท้าย รูปแบบสีแดงทั้งหมดดูสมบูรณ์ หยางเฉินอนหายใจ ผ่อนคลายพร้อมเผยรอยยิ้ม

“จบแล้วรึ ? ต่อหน้าข้า เจ้ากล้า ……….”

เค่อเหลียนหยุนกล่าวยังไม่จบคำ ก็หยุดคำพูดอย่างกระทันหัน ราวกับพบพานภูติผี
ไม่เพียงแค่เค่ออเหลียนหยุน แต่ท่าทางของเติ้งยี่ เพิงจู ฟั่นฉาน ราวกับเจอปีศาจเช่นกัน  รวมทั้งผู้อาวุโสหวูที่ก็ตกตะลึงถึงกับอ้าปากค้าง จ้องไปที่ระหว่างมือของหยางเฉิน อย่างไม่กล้าที่จะเชื่อในสายตาของตน

ไม่ใช่แค่ไม่เชื่อในสายตา แต่ไม่อยากแม้กระทั่งจะเชื่อในพลังสำนึกจิตวิญญาณ ….มันเป็นไปได้อย่างไร ?
นี่…ใช่สิ่งที่เจ้าเด็กระดับรวบรวมลมปราณทำได้รึ…?
แม้จะใช้คำว่า ‘เกินไป’ มันก็ยังไม่สามารถนิยามความประหลาดนี้ได้
…มันเป็นสิ่งที่มนุษย์ทำได้จริงรึ ?

ภาพของเปลวไฟในมือหยางเฉินที่บัดนี้ได้เปลี่ยนเป็นแสงสีฟ้าแล้ว และส่วนหนึ่งของพลังจิตวิญญาณได้เริ่มเพิ่มขึ้นรอบ ๆ ซึ่งพลังจิตวิญญาณของทุกคนรับรู้ได้ว่า นั่นมันเป็นพลังจิตวิญญาณของผู้บ่มเพาะพลังจิตธาตุน้ำ

แต่ก็ไม่น่าจะมีสิ่งใดที่แปลกไป เพราะภายในหมู่บ้านของผู้เชี่ยวชาญระดับออกผล อย่างผู้อาวุโสหวูนั้น ย่อมเต็มไปด้วยพลังจิตวิญญาณทั้งห้าธาตุ

ภาพมือของหยางเฉินที่ควบคุมเปลวไฟล้วนกระจ่างชัดต่อหน้าทุกคนเมื่อสักครู่นี้ มันเป็นการรวบรวมอักขระอาคม ก่อค่ายกลพลังจิตวิญญาณธาตุน้ำระดับต่ำ ไม่มีผู้ใดที่เป็นผู้บ่มเพาะธาตุน้ำหรือผู้เชี่ยวชาญค่ายกล ดังนั้นเป็นธรรมดาที่ตอนแรกพวกเขาจะยังไม่รู้ตอนที่ค่ายกลยังไม่สมบูรณ์

เปลวไฟที่ใช้เป็นเปลวไฟแก่นพิภพที่เป็นเปลวไฟระดับต่ำ อักขระที่รวมกันเป็นค่ายกลก็ระดับต่ำ พลังจิตวิญญาณโดยรวมก็จัดอยู่ในระดับต่ำ กระทั่งพลังจิตธาตุน้ำก็จำกัดอยู่ในพื้นที่เล็ก ๆ  ดังนั้นอย่างมากอักขระอาคมนี้ก็เพียงปกคลุมแค่ภายในห้องนี้  แต่…ไม่มีผู้ใดกล้าหัวเราะเยาะค่ายกลอาคมที่ทรงพลังและยิ่งมิบังอาจเย้ยหยันทักษะการควบคุมเปลวไฟนี้

การใช้เปลวไฟของไฟแก่นพิภพในการบังคับ การวาดรวบรวมก่ออักขระอาคมธาตุน้ำ ในขณะลอยอยู่บนอากาศ เพียงอาศัยเปลวไฟในมือโดยปราศจากการใช้กระสายยา นี่มันใช่ผู้ปรุงยารึ ?

สิ่งที่น่าหวาดหวั่นที่หยางเฉินทำได้อย่างประหลาดคือ การใช้เปลวไฟวาดอักขระค่ายกลธาตุน้ำ  ในบรรดาธาตุทั้งห้า สองธาตุนี้คือคู่ปรับกันอย่างแท้จริง แต่เมื่อครู่มันสามารถรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ความสามารถของทักษะนี้ถ้าไม่ได้เห็นกับตา คงไม่มีผู้ใดที่จะอธิบายให้ฟังได้

ตอนนี้…ทั้งไม่กล้า….ทั้งไม่เชื่อ….เกินจินตนาการ ….ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นระดับผลิดอกออกผลหรือไม่ …ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นนักกลั่นยาหรือผู้ฝึกสัตว์  สีหน้าท่าทางทุกคนล้วนอยู่ในสภาพเดียวกัน เอาเปลวไฟมาทำแบบนี้ได้ด้วยรึ…มันกระทั่งสามารถรวมกับเขตแดนธาตุน้ำได้ด้วย?

แล้วนี่..คืออักขระอาคมระดับสูง ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ตัวผสมระดับสูง… แผนผังอักขระระดับสูง หรือพลังจิตวิญญาณที่สูงส่งรึ ? ต่อให้เป็นพลังจิตอาคมระดับต่ำ ก็ไม่ต้องใช้ตัวช่วยธาตุน้ำอื่นจริงรึ? การใช้เพียงเปลวไฟล้วน ๆ ในการวาดแล้วสร้างพลังจิตวิญญาณโดยปราศจากตัวช่วยเสริมอื่น เพียงพอที่จะสร้างความตระหนกผู้คนแล้ว แล้วนี่ยิ่งเป็นพลังจิตวิญญาณธาตุน้ำ …องค์ความรู้ที่เคยมีเกี่ยวกับห้าธาตุได้พังทลายลงอย่างสิ้นเชิง …แล้วนี่เป็นอะไรที่คนทำได้รึ?

ทุก ๆ คน ล้วนเป็นระดับผู้เชี่ยวชาญ ไม่ต้องรอให้หยางเฉินเตือน ทุกคนส่งพลังสำนึกจิตวิญญาณเข้าตรวจสอบ ทุกอย่างทั้งรอบ ๆ ทั้งภายในและภายนอก

พวกเขาไม่มีผู้ใดสงสัย ว่ากลุ่มอักขระอาคมนี้ถูกกระทำขึ้นโดยเปลวไฟ มันชัดเจนยิ่งว่านอกจากใช้เปลวไฟแล้วไม่มีวิธีอื่น ถึงแม้ทุกคนจะเห็นทั้งห้าธาตุในร่างหยางเฉิน แต่ทุกคนในที่นี้ผู้ใดบ้างล่ะจะไม่มีรากฐานจากธาตุทั้งห้า ทุกผู้คนภายใต้สรวงสวรรค์ล้วนมีธาตุทั้งห้าในตัว เพียงแต่จะต้องมีธาตุที่โดดเด่นเป็นหลักในการบ่มเพาะหนึ่งธาตุ อย่างหยางเฉินเองก็ไม่ยกเว้น เขามีรากจิตวิญญาณธาตุไฟ

แต่เปลวไฟของหยางเฉินขัดแย้งกับเหตุผลนี้ การรวบรวมสร้างค่ายกลอาคมธาตุน้ำที่ ซึ่งนอกจากจะควบแน่นกลั่นพลังจิตวิญญาณธาตุน้ำจากรอบ ๆ  ซึ่งจุดนี้ทุกคนล้วนส่งพลังจิตสำนึกวิญญาณตรวจสอบ แน่นอน …ต่อหน้าผู้ฝึกปรือทั้งระดับผลิดอกและออกผล ย่อมไม่สามารถที่จะหลอกลวงได้

น้ำและไฟย่อมไม่สามารถเข้ากันได้ และเป็นสิ่งที่เข้าใจมาหลายรุ่นแต่ได้ถูกทำลายกฏเกณฑ์นี้ต่อหน้าต่อตาพวกเขา ทุก ๆ คนตระหนกอย่างยิ่งได้แต่มองหน้ากัน สิ่งที่พบเห็นคือแต่ละคนล้วนสูญเสียความสามารถในการควบคุมตนเองแล้วล่ะ…(งง ล่ะสิ!)

ณ.บัดนี้ มันเห็นได้อย่างชัดเจน เวลาที่ล่วงเลยมาพวกเขาเหมือนกบในบ่อน้อย ….ทันทีนั้น พวกเขาลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้น ..มันสามารถใช้ไฟทำยังงี้ได้รึ ? ภายภาคหน้าพวกเขาคงต้องค้นคว้าดู… แม้กระทั่งฟั่น ฉาน และผู้อาวุโสหวู ซึ่งไม่ใช่ผู้บ่มเพาะธาตุไฟรู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะโดยธรรมชาติของทุกคนที่ล้วนมีองค์ประกอบครบทั้งห้า ในเมื่อธาตุไฟทำได้ แล้วธาตุอื่นล่ะ!

มีเพียงคนเดียวที่ตื่นตระหนกคือเค่อเหลียนหยุน เมื่อหยางเฉินสร้างอักขระอาคมธาตุน้ำ และเริ่มควบแน่นเป็นพลังจิตวิญญาณ มันทำให้เขาตะลึงมึนงงจนพูดไม่ออก

ระดับการบ่มเพาะของเขานั้นสูงอยู่มาก และยังเป็นนักปรุงยาระดับสาม แม้ว่าการควบคุมไฟของเขาจะไม่ถึงขั้นสมบูรณ์แบบแต่ยังนับได้ว่าอยู่ระดับสูง ไม่เช่นนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะนักปรุงยา แต่ทักษะที่หยางเฉินแสดงนั้นเขาไม่กล้าแม้แต่จะคิด นับประสาอะไรกับการที่ต้องแข่งขัน

แม้ว่าด้วยความสามารถของเขาที่อยู่การบ่มเพาะระดับผลิดอก จะสามารถเพิ่มขีดความสามารถในการควบคุมไฟ โดยอาศัยช่องว่างของระดับการบ่มเพาะ แต่ก็ไม่กล้าที่จะหลอมรวมธาตุน้ำเข้ากับธาตุไฟ เขายังไม่เข้าใจไม่ว่าจะเป็นหลักการรวมและวิธีการทั้งมวลที่หยางเฉินทำ

อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้เขาได้พนันเปลวไฟของเขากับหยางเฉิน นี่ไม่ควรจะหมายถึงไฟพระอาทิตย์จริงแท้ ซึ่งเขาได้มาหลังจากที่ใช้ความพยายามนับครั้งไม่ได้ และต้องใช้ยานับไม่ถ้วนแลกเปลี่ยนมา แล้วนำมาปรับแต่งและกลั่นนับสิบปี แล้วจะต้องมาสูญเสียให้เจ้าเด็กระดับรวบรวมลมปราณนี่เรอะ ?

มันไม่ใช่สิ่งที่จะเกินเลย ที่จะกล่าวว่าเปลวไฟคือชีวิต เลือดเนื้อของผู้บ่มเพาะธาตุไฟ เวลานี้หยางเฉินทำในสิ่งที่เกินคาดอย่างยิ่ง

เค่อเหลียนหยุนทราบดีว่า ทันทีที่เขามอบไฟพระอาทิตย์จริงแท้ออกไป พลังปราณหยินของเขาจะกระจายออก และจะลดระดับไปอยู่ที่ระดับก่อลำต้นหรือต่ำกว่านั้น ที่เขาบรรลุระดับผลิดอกได้นั้น มันเพราะหลังจากเขาปรับแต่งเปลวไฟนี้เท่านั้น ดังนั้นมันเท่ากับมายึดพลังการบ่มเพาะของเขาเลยทีเดียว

หยางเฉินกระทั่งเชิญผู้อาวุโสหวูเป็นสักขีพยาน แล้วเค่อเหลียนหยุนจะกล้าติดหนี้ต่อหน้าผู้อาวุโสหวูรึ ? …หรือเขาควรยอมยกธงยอมมอบไป แต่ถ้าเขาไร้ซึ่งไฟพระอาทิตย์จริงแท้ เขาจะรักษาระดับการบ่มเพาะผลิดอก และสถานะนักปรุงยาได้อย่างไร ?

ความหวาดหวั่นปรากฏขึ้นในดวงตาของเค่อเหลียนหยุน เขาหันไปมองเพิงจูและเติ้งยี่ ตราบใดที่ทั้งคู่เอ่ยปากผู้อาวุโสหวูย่อมไม่อยากที่จะขัดแย้งกับนักปรุงยาทั้งสามคนพร้อมกันในการบังคับให้เขาต้องยอมมอบไฟอาทิตย์แท้จริงออกไป แม้การกลับคำ อาจจะทำให้เขามีมลทินติดตัว แต่อย่างน้อยมันก็ยังรักษาสถานะตัวเองไว้ได้


แต่ความจริงที่ทำให้เขาไม่อยากเชื่อในการขอความช่วยเหลือนี้ก็บังเกิด …ทั้งสองไม่รับรู้ถึงสายตาของเขาเลย เพียงจดจ้องอยู่ที่หยางเฉิน มันทำให้หัวใจเค่อเหลียนหยุนแทบหลุดร่วงลงพื้น

2 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณครับรอนานมากเลย ไม่ได้เร่งนะครับเข้าใจว่าต้นฉบับก็หาย

    ตอบลบ