ได้ยินเสียงนั้นทุกคนก็รู้ทันทีว่าเป็นเสียงของใคร
: อาวุโสหวูแห่งสภาอาวุโสทั้งห้า ผู้เชี่ยวชาญระดับออกผล
นักบ่มเพาะผู้ยิ่งใหญ่ที่ได้รับการยอมรับจากบรรพบุรุษของทุกคนในนิกาย
ผู้ที่ตั้งกฎทุกข้อในนี้อละเป็นผู้ดูแลหลุมดักเซียน
ตั้งแต่ทุกคนก้าวเท้าเข้ามาในหลุมดักเซียนนี้ไม่มีใครเคยพบเจอผู้เชี่ยวชาญระดับออกผลในตำนาน
ทุกอย่างดำเนินไปตามกฎโดยไม่มีปัญหาแม้แต่น้อย
แต่ดูเหมือนว่าทุกคนจะลืมเลือนการมีอยู่ของอาวุโสหวู
กฎนั้นมีผลแค่ในหมู่บ้านหลีโลว
เมื่อลงไปลึกๆในหลุมดักเซียนพระอาทิตย์ก็อยู่สูงและจักรพรรดิก็ห่างไกล
แน่นอนอาวุโสวูไม่ได้แสดงตัว
เขาเพียงแค่บังคับกระบี่บินของเผิงฮุ่ยเพื่อสังหารเขาเท่านั้น
เห็นเช่นนั้นทุกคนก็ตระหนักในใจได้ว่าพวกเขายังห่างชั้นนัก
เมื่อเทียบกับผู้เชี่ยวชาญของแท้ คิดถึงเหตุการณ์นั้นจะเกิดอะไรขึ้น
ถ้าหากหยางเฉินไม่หยุดพวกเขาไว้ แค่คิดทั่วทั้งตัวก็คลุมไปด้วยเหงื่อเย็นๆ
ถึงแม้ว่าเมื่อเทียบกันแล้วความแข็งแกร่งของพวกเขาจะสูงกว่าเผิงฮุ่ย
แต่เมื่อพูดกันถึงเรื่องขีดความสามารถของพวกเขาไม่มีใครสักคนในที่นี้
สามารถควบคุมกระบี่บินของเผิงฮุ่ยเพื่อสังหารเขาได้
ไม่ต้องว่ากันถึงความสำเร็จแค่ลองพวกเขายังไม่กล้าคิด ในหมู่บ้านหลีโลวตอนนี้ไม่มีใครกล้าที่จะพูดอะไรสักนิดหรือแม้แต่ขยับ
หนึ่งประโยคจากอาวุโสวูทำให้ทุกคนเข้าใจแจ่มแจ้ง
ในหมู่บ้านหลีโลวในหลุมดักเซียน
ไม่ว่าตอนนี้สถานการณ์จะเป็นอย่างไรการปฎิบัติตามกฎของอาวุโสวูเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
หยางเฉินก็เช่นเดียวกันเขาไม่ได้ขยับเคลื่อนไหวโดยไม่จำเป็น
เขาได้ คาดการณ์ไว้ล่วงหน้านานแล้วถึงการปรากฏตัวของอาวุโสหวู
เมื่อเส้นด้ายสำนึกจิตวิญญาณของเขาสัมผัสกับความน่ากลัวที่แอบแฝงอยู่
ทันทีที่เขาสัมผัสได้ถึงจิตสำนึกจิตวิญญาณนั้นก็หายไป เขามั่นใจว่าต้องเป็น
จิตสำนึกจิตวิญญาณของอาวุโสหวูอย่างแน่นอน
อาวุโสได้เริ่มตรวจสอบร่องรอยของจิตสังหารที่โหดเหี้ยมในปีที่ผ่านมา
หยางเฉินก็เข้าใจประเด็น
นี้อย่างชัดเจน
การปรากฏตัวขึ้นอย่างกระทันหันของเขาในไม่กี่นาทีที่ผ่านมา
หยางเฉินคำนวณว่าเขาเพิ่งกลับมาจากโลกภายนอก
ในเวลานั้นเมื่อหยางเฉินหันหลังกลับเพื่อเดินจากไปตอนที่เผิงฮุ่ยใช้กระบี่บินโจมตีเขา
หยางเฉินรีบตะโกนให้ทุกคนหยุดมือเพราะกฎของอาวุโสหวู
การกลับมาของอาวุโสหวูในครั้งนี้เขาไม่สนว่ามันจะถูกหรือผิด
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการให้ทุกคนปฎิบัติตามกฎที่อาวุโสหวูบัญญัติไว้อย่างสมบูรณ์
เผิงฮุ่ยชักกระบี่บินของเขาออกมาแต่กลุ่มคนอื่นๆไม่ได้ทำอะไรเพราะคำแนะนำของหยางเฉิน
ไม่มีผลลัพธ์อะไรที่จะทำให้อาวุโสหวูมีความสุขมากขึ้น
คนเหล่านี้ไม่ได้แสดงอะไรที่บอกถึงการชื่นชมเขา นอกจากชื่นชมกฎที่เขาบัญญัติไว้
คนที่ต่อต้านนั้นแน่นอนว่าเป็นคนไม่ระมัดระวังแหกกฎที่เขาได้ตั้งขึ้น
คนไหนที่ต่อต้านแน่นอนว่าต้องไม่พอใจแต่อาวุโสหวูได้ทำให้มันชัดเจนขึ้นแล้ว
หลังจากก้าวเข้ามาในหลุมดักเซียน
แม้ว่าความไม่พอใจนั้นจะยิ่งใหญ่เท่าท้องฟ้าพวกเขาก็ต้องระงับมันเอาไว้
และไม่เลือกปฏิบัติในการสังหารสหายเต๋า เมื่อหยางเฉินและคนอื่นๆ สนับสนุนกฎของเขา
แน่นอนว่าอาวุโสหวูต้องลงโทษคนที่ต่อต้านมัน
“ข้าไม่สนว่าเจ้าจะไม่พอใจสิ่งใด
หากพวกเจ้าทุกคนต้องการโจมตีหรือสังหารกันและกัน นอกหลุมดักเซียนข้าก็ไม่ใส่ใจ
แต่ถ้าเจ้าพยายามที่จะทำร้ายใครสักคนในหลุมดักเซียนนี้ ข้าจะสังหารเจ้า!”
เสียงที่น่าเกรงขามจับใจนั้นดังก้องอยู่ในหูของทุกคนแต่ก็ยังไม่มีใครเห็นร่างเขา
ไม่มีใครกล้าที่จะเริ่มสนทนากันเรื่องอาวุโสหวูแม้ว่าคนนึงนั้นจะเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับก่อลำต้นเมื่อเผชิญหน้ากับกับผู้เชี่ยวชาญระดับออกผล
พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะสบตา เขาได้แต่แสดงออกถึงความเคารพเท่านั้น
“เด็กน้อย
เจ้าเยี่ยมมาก!”
อีกครั้งที่เสียงของเขาดังอยู่ในหูของทุกคนแต่ครั้งนี้มันพุ่งตรงไปยัง
หยางเฉินเป็นพิเศษ
“ข้าเห็นว่าระดับบ่มเพาะของเจ้านั้นค่อนข้างต่ำและเจ้าก็ไม่มีกระบี่บิน
ข้ามอบกระบี่บินเล่มนี้เป็นของขวัญให้เจ้า”
ตามจากเสียงอาวุโสหวูคือกระบี่บินที่ลอยอยู่ในอากาศหลังจากสังหารเผิงฮุ่ยเเล้วก็ลอยมาอยู่ตรงหน้าหยางเฉิน
ทันใดนั้นกระเป๋าจัดเก็บที่อยู่ตรงเข็มขัดเผิงฮุ่ยก็ลอยมาหาหยางเฉินเช่นกัน
“และข้าก็เห็นว่าเจ้าไม่มีกระเป๋าจัดเก็บของนิกาย
นิกายใดกันช่างน่าสงสาร รับสิ่งนี้ไว้เป็นของรางวัล”
ภายใต้สายตาที่อิจฉาของทุกคนหยางเฉินยื่นมือออกไปรับกระบี่บินและกระเป๋าจัดเก็บตรงหน้าเขา
เขาโค้งคำนับไปยังท้องฟ้าและพูดว่า
“ขอบคุณท่านอาวุโสอย่างมากสำหรับน้ำใจที่มอบให้นี้”
“เส้นทางของนักบ่มเพาะนั้นยากลำบาก
แต่ท้ายที่สุดมันก็ไม่ได้สำคัญมากนัก เจ้าจะต้องพยายามที่จะไม่เป็นปฏิปักษ์กับผู้อื่น”
น้ำเสียงที่ได้ยินจากอาวุโสหวูนั้นเป็นคำชี้แนะไม่ใช่น้ำเสียของคำสั่ง
“ทำให้ดีที่สุด!”
“ครับท่านอาวุโส!”
น้ำเสียงของหยางเฉินแสดงออกถึงความเคารพ
แต่เมื่ออาวุโสจากไป เสียงของเขาก็หายไปไม่ได้ยินอีก
ทุกคนรู้สึกได้ว่าแรงดันที่ทำให้โลกสั่นนั้นก็หายไป
อย่างนี้ปลอดภัยพอใช่ไหมที่จะคิดว่าอาวุโสได้ไปแล้ว
เฮ่อ! เฮ่อ!
เสียงของการถอนหายใจดังขึ้นให้ได้ยิน
แสดงให้เห็นว่าทุกคนผ่อยคลายขึ้น แม้ว่าอาวุโสหวูจะไม่ได้ปรากฏตัวให้เห็น
แต่สำหรับพวกเขาแล้ว เหมือนว่าพวกเขานั้นได้ต่อสู้อย่างเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน
หยาดเหงื่อไหลหยดออกมาจากร่างกายพวกเขา
ในทันทีพวกเขาทิ้งตัวนั่งลงกับพื้นและก็เหน็ดเหนื่อยจนไม่มีแรงจะเอ่ยสิ่งใดออกมาเป็นครึ่งวัน
เนื่องจากทุกคนติดอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ของเขา
หยางเฉินก็ไม่ได้ขี้เหนียวแม้แต่น้อย เขาหยิบขวดหยกออกมาและมอบยาเม็ดลมปราณระดับสองให้แก่ทุกคน
หลังจากที่ยาเม็ดตกลงสู่ท้องของพวกเขา
พลังจิตวิญญาณของทุกคนก็ฟื้นตัวขึ้นทีละนิดและเริ่มลุกขึ้นยืนทีละคน
“รอดมาได้อย่างหวุดหวิด!”
คนที่ถือกระบี่บินพาดที่คอของเผิงฮุ่ยเมื่อกี้หลุดโพล่งพูดออกมา เขานึกถึงความผิดพลาดของเขาในทันที ถ้าอาวุโสหวูได้ยินแล้วจะไม่สร้างความเข้าใจผิดร้ายแรงหรอ? คิดได้อย่างนั้นเขาก็ปิดปากเงียบแล้วก็ไม่กล้าพูดอะไรขึ้นมาอีก
ท่าทางของคนอื่นๆก็แสดงออกเหมือนๆกัน
เหมือนว่าพวกเขาได้รับการต่อชีวิตใหม่
หากหยางเฉินไม่หยุดพวกเขาไว้เมื่อครู่พวกเขาคงต้องโดนสังหารด้วยกระบี่เช่นกัน
พวกเขาไม่สามารถช่วยอะไรได้ ได้แต่รู้สึกซาบซึ้งและขอบคุณต่อหยางเฉินเป็นอย่างมาก
“ท่านปรมาจารย์
ขอบคุณสำหรับสิ่งที่ท่านทำไปเมื่อครู่”
ทันทีที่ทุกคนมีสติขึ้นต่างก็เข้ามาขอบคุณหยางเฉินในทันที
หยางเฉินไม่ได้ให้ความโปรดปรานเป็นพิเศษแก่ใคร เขาประสานมือและกล่าวว่า
“ที่ต้องกล่าวคำขอบคุณควรเป็นข้ามากกว่า
ทุกคนเพียงแค่เรียกร้องความเป็นธรรมให้ข้า ขอบคุณทุกคนมาก”
ต่างคนต่างมีมารยาทแก่กัน
แต่เมื่อมอบความดีความชอบคนที่เคยถูกจำกัดการแสดงตนต่อหน้าหยางเฉินต่างออกมาแสดงความยินดีของพวกเขาด้วยหัวใจต่อหยางเฉิน
นี่เป็นโอกาสอีกครั้งของพวกเขาที่จะสร้างความสัมพันธ์และความประทับใจอย่างมากให้แก่หยางเฉิน
ตอนนี้ไม่มีใครอิจฉาหยางเฉินที่ได้รับกระบี่บินและกระเป๋าจัดเก็บแล้ว
ถ้าใครอยากจะมีประสบการณ์อยู่ภายใต้แรงกดดันของอาวุโสหวูอีกครั้ง
เพื่อที่จะได้รับกระบี่บินเป็นของขวัญหยางเฉินคาดว่าคนพวกนั้นคงพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อไม่ต้องเจอกับฝันร้ายนั้นอีก
คนพวกนี้แต่เดิมเชื่อมั่นว่าตัวเองนั้นสามารถเขย่าโลกได้
แต่ตอนนี้ก็พบแล้วว่าตนเองนั้นเป็นแค่ตัวตุ่น
ที่ไม่แม้แต่มีความสามารถในการเลือกว่าจะอยู่หรือตายต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญตัวจริง
คนดีสำหรับพวกเขามีเพียงคนเดียวคือหยางเฉิน
ไม่ต้องพูดถึงชีวิตที่ผ่านมาของหยางเฉิน ในชีวิตนี้หยางเฉินจะเคยตัดหัวผู้เชี่ยวชาญมามากมายแม้กระทั่งจักรพรรดิหยก
แล้วเขาจะเกรงกลัวแรงกดดันจากนักบ่มเพาะระดับออกผลได้อย่างไร
สำหรับเขาแล้วก็เป็นเพียงแค่เค้กชิ้นหนึ่งเท่านั้น
ผ่านมาแล้วสามปีตั้งแต่หยางเฉินก้าวเข้ามาในหลุมดักเซียน
ขณะนี้เขาพิจารณาแล้วว่าจะใช้เวลาที่เหลืออย่างไร
จะไม่ให้เสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียวในสิบปีนี้
หยางเฉินไม่ได้ขาดแคลนแก่นจิตวิญญาณ
เขามีจำนวนเพียงพอที่จะสนับสนุนนิกายได้
พลังจิตวิญญาณก็มีมากมายที่นี่ดังนั้นที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่ดีในการบ่มเพาะ
แต่นับตั้งแต่หยางเฉินเข้าร่วมนิกายก็ใช้เวลาเพียงหกปีกว่าในการบรรลุขั้นสูงสุดของระดับรวบรวมลมปราณธาตุไฟ
ความเร็วแบบนี้ได้ท้าทายสวรรค์แล้ว
พรสวรรค์ในการบ่มเพาะที่รวดเร็วเช่นนี้
แม้แต่เทพธิดาซือก็ไม่อาจเทียบได้
เมื่อเขาก้าวเข้าสู่จุดสูงสุดของบันไดสวรรค์
ผู้คนกล่าวว่าตั้งแต่เขาได้สังหารผู้คนจำนวนมากมายความต้อง
การของเขาก็ค่อนข้างมั่นคงและภาพลวงตาทั้งหลายก็ไม่มีผลต่อเขา
แต่ในฐานะนักบ่มเพาะเขาไม่เคยคิดที่จะเทียบกับเทพธิดาซือผู้ที่เต็มไปด้วยรากจิตวิญญาณธาตุโลหะ
แน่นอนว่าหยางเฉินวางแผนว่าจะบรรลุระดับก่อรากฐานภายในสิบปี
ซึ่งเกินกว่าพรสวรรค์ในการบ่มเพาะทั้งหมด เป็นที่แน่ชัดว่าเขาไม่สามารถแสดงออกถึงการคิดออกนอกลู่นอกทางของเขาในตอนนี้
ถ้าเขาทำความอิจฉาริษยาจะเกิดขึ้นไม่มีที่สิ้นสุดและปัญหาจุกจิกก็จะตามมา
เมื่อนิกายอื่นๆคิดและตัดสินว่าพรสวรรค์ในการบ่มเพาะของเขานั้นต้องถูกเหยียบย่ำ
ในขณะที่เขายังเติบโตเพื่อที่เขาจะได้ไม่มีอิทธิพลต่อสมดุลระหว่างนิกายในอนาตค
นั่นเรียกได้ว่าเป็นหลุมฝังศพที่อยุติธรรมร้ายแรงแก่เขา
สำหรับการสังหารสัตว์อสูรใต้พิภพนั้นเขาทำไปเพียงเพื่อผสานความปรารถนาแท่นประหารเซียนเท่านั้นและนั่นก็ได้ทำไปแล้ว
ดังนั้นหยางเฉินก็ไม่ได้รู้สึกว่าเหล่าสัตว์อสูรใต้พิภพเป็นปัญหา
เหมือนกับที่เขาปลอมตัวเองว่ามีพรสวรรค์ในการปรุงยา
โชคดีที่ชื่อเสียงของเขาได้แผ่กระจายออกไปแล้วอย่างน้อยก็ในหมู่บ้านหลีโลวซึ่งไม่มีใครต้องการตั้งคำถาม
หยางเฉินกลั่นยาเม็ดก่อรากฐานระดับสองเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาทุกคน
ดังนั้นเป็นการยืนยันแล้วว่าเขาไม่มีทางเป็นนักต้มตุ๋น
หลังจากนั้นเขาก็ได้แลกเปลี่ยนวัตถุดิบบางอย่างกับคนอื่นเเละกลั่นยาเม็ดระดับต่ำที่คล้ายคลึงกับยาเม็ดลมปราณ
ยาบ่มเพาะระดับผลิดอก และทั้งหมดนั้นเป็นระดับสอง
ดังนั้นตอนนี้ก็ไม่มีใครมีข้อสงสัยใดๆในการเป็นผู้เชี่ยวชาญปรุงยาของหยางเฉิน
วันเวลาผ่านไปอย่างช้าๆจนผ่านไปแล้วครึ่งปี
ในทุกวันหยางเฉินจะทำการเผยแพร่เกี่ยวกับสวรรค์และหลังจากนั้นก็จะใช้เคล็ดวิชาลับจักรวาลสมบัติกับเตาหลอมแก่นจิตวิญญาณและกล่องกระบี่
ตั้งแต่การบ่มเพาะธาตุไฟของเขาได้เพิ่มขึ้นมาหนึ่งขั้น
ซึ่งนำเคล็ดวิชาลับกลั่นสมบัติดวงดาวสวรรค์และเคล็ดวิชาเซ่นสรวงก่อร่างปีศาจปฐพีมาใช้ในการกลั่นระดับสูง
แต่สิ่งที่ทำให้หยางเฉินแปลกใจนั่นคือความชัดเจนของลักษณะพลังจิตวิญญาณที่เขาใช้ในการกลั่นไม่ว่าอันไหนก็ตาม
มันสามารถช่วยเร่งคุณสมบัติของพลังจิตวิญญาณได้ พลังจิตวิญญาณ
ธาตุไฟของเขานั้นเข้าสู่ระดับสี่ของเคล็ดวิชาลับกลั่นสมบัติดวงดาวสวรรค์และระดับหกเคล็ดวิชาเซ่นสรวงก่อร่างปีศาจปฐพีรวมถึงธาตุไฟระดับสามและสี่ของเส้นด้ายจิตวิญญาณดวงดาวสวรรค์โลกปีศาจ
ก็ได้แข็งแกร่งขึ้นสี่ถึงหกครั้งตามลำดับ
แต่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติอื่นๆของเส้นด้ายพลังจิตวิญญาณ
การที่อาวุโสหวูตรวจสอบหลุมดักเซียนหยางเฉินกลัวว่าผู้เชี่ยวชาญระดับออกผลผู้นี้จะพบความจริงที่ว่าเขานั้นได้บ่มเพาะธาตุหยินหยางทั้งห้า
ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะเปิดเผยมากเพียงแค่เพ่งสมาธิในการพัฒนาพลังจิตวิญญาณธาตุไฟของเขา
ในระยะเวลาสั้นๆครึ่งปีพลังจิตวิญญาณธาตุไฟของหยางเฉินได้บรรลุถึงระดับสูงสุดแตะขอบๆของระดับก่อสร้างรากฐาน
หลังจากนั้นหยางเฉินใช้จิตสำนึกจิตวิญญาณที่น่ากลัวของเขาและไม่เพิ่มพลังจิตวิญญาณธาตุไฟแล้วแต่เขาเริ่มที่จะเพิ่มพลังจิตวิญญาณด้านอื่นๆ
ผู้คนที่เคยไล่ล่าเพื่อสังหารหยางเฉินได้ปรากฏตัวขึ้นในหมู่บ้านหลีโลวตลอดครึ่งปีนี้
ซึ่งเรียกความสนใจของหยางเฉิน
เมื่อทั้งสองฝ่ายต่างเผชิญหน้ากันแม้ว่าประกายไฟจะแพร่กระจายไปทั่ว
แต่เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งสุดท้ายกับเผิงฮุ่ย
ที่ถูกสังหารโดยอาวุโสหวูก็ไม่มีใครกล้าที่จะต่อสู้กันในหมู่บ้านหลีโลว ความแค้นทั้งหมดนั้นต้องรอเมื่อพวกเขาเข้าไปที่หลุมดักเซียนอีกครั้ง
หยางเฉินหยุดปรากฎตัวที่ตลาดแล้วอยู่แต่ในที่พักของเขา
ที่ธรณีบันได
ประตูเขาแขวนป้ายที่ทำจากไม้แล้ววาดรูปเตาหลอมยาอันเป็นสัญลักษณ์ของร้าน
แต่ทุกคนก็รับรู้กันว่าหยางเฉินเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีพรสวรรค์ในการปรุงยา
ถ้าพวกเขาต้องการพบหยางเฉินก็ตรงไปหาเขาที่ที่พักของเขา
ในวันนั้นหยางเฉินเพิ่งจะส่งสหายเต๋าซึ่งเป็นคนที่เขาได้กลั่นยาเม็ดลมปราณให้และเพิ่งจะได้นั่งลงสักพักทันใดนั้นก็มีใครบางคนเคาะประตูที่พักของเขา
หลังจากได้รับอนุญาตจากหยางเฉินชายวัยกลางคนใบหน้าเหลี่ยมก็เปิดประตูเดินเข้ามา
เมื่อเขาเข้ามาแล้วหยางเฉินก็รู้สึกเหมือนว่าเคยได้พบมาก่อนแต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกประทับใจอะไรในคนผู้นี้มาก่อน
นั่นทำให้หยางเฉินฉงน
“ท่านคือผู้เชี่ยวชาญปรุงยา
ท่านสามารถกลั่นยาเม็ดระดับสูงอะไรก็ได้?”
ชายวัยกลางคนเข้าประเด็นอย่างตรงไปตรงมา
หยางเฉินเคยได้ตอบคำถามนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแต่เขาก็ไม่เคยเห็นคนๆนี้มาก่อน
ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนใหม่การไม่รู้จักเขาก็เป็นเรื่องธรรมดา
หยางเฉินตอบโดยการพยักหน้าโดยไม่แสดงออกถึงอาการร้อนรนใดๆ
“มากที่สุดข้าก็แค่กลั่นยาระดับพื้นก่อรากฐานเท่านั้น
การบ่มเพาะของข้านั้นมีข้อจำกัด
ดังนั้นข้าไม่กล้าที่จะใช้วัตถุดิบระดับสูงอย่างสิ้นเปลือง”
คำตอบของหยางเฉินนั้นอยู่ในการคาดหมายไว้ของชายกลางคน
อย่างไรก็ตามในเวลานี้หยางเฉินเป็นเพียงแค่นักบ่มเพาะขั้นรวบรวมลมปราณระดับสูงเท่านั้น
การที่เขาสามารถกลั่นยาเม็ดก่อรากฐานระดับสองได้นั้น เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจ
และเขาก็ไม่สามารถทำให้ความต้องการใดๆนั้นสูญเปล่า
“แล้วถ้าแค่ท่านเพียงกลั่นบริสุทธิ์วัตถุดิบประเภทหนึ่งหล่ะ?”
ชายวัยกลางคนถามขึ้น
“มันขึ้นอยู่กับว่าเป็นวัตถุดิบประเภทใด!”
อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจน
น้ำเสียงของเขาก็เต็มไปด้วยความมั่นใจที่ไม่สามารถปิดบังได้
“แล้วถ้าเป็นสิ่งนี้หล่ะ?”
ชายวัยกลางคนแบมือของเขาซึ่งถือหญ้าฟ้าครามไว้และวางลง
ตรงหน้าหยางเฉิน
สามารถได้ยินความคาดหวังในน้ำเสียงของเขา
“หญ้าฟ้าครามชั้นยอด”
หยางเฉินตกตะลึงหลังจากนั้นความหลงใหลปรากฎในดวงตาของเขา
หญ้าฟ้าครามชั้นยอดเติบโตอยู่ในแร่หยกใต้ดินลึกบางประเภทและจะถูกพบโดยโชคชะตาเท่านั้น
มันถูกปกป้องโดยสัตว์ปีศาจดุร้าย
หากไม่มีพละกำลังที่ยอดเยี่ยมและโชคช่วยจากสวรรค์มันก็ยากที่จะครอบครองวัตถุจากสวรรค์ประเภทนี้ได้
และหญ้าฟ้าครามประเภทนี้นั้นเป็นวัตถุหลักที่หายากอย่างมากเป็นอันดับสองรองจากยาเม็ดสรวงสวรรค์
ยาเม็ดสรวงสวรรค์ทั้งสองนั้นจะใช้ในสถานการณ์เดียวเท่านั้นนั่นคือ
เวลาที่ยากลำบากในการเลื่อนขึ้นไปจากระดับออกผลไปสู่โลกแห่งจิตวิญญาณ
ชายวัยกลางคนผู้นี้ได้นำสิ่งของที่คาดไม่ถึงแสดงออกมา
หยางเฉินก็ตระหนักได้ว่าทำไมเขาถึงได้รับความรู้สึกเหมือนจะรู้จักคุ้นเคยจากเขา
ชายวัยกลางคนผู้นี้คืออาวุโสหวู!
ย้อนไปเมื่อเส้นด้ายจิตสำนึกจิตวิญญาณของเขาสัมผัสกับจิตสำนึกจิตวิญญาณของอาวุโสหวู
นั่นทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างลางๆกับเขา
หยางเฉินเรียกชื่อของหญ้าฟ้าครามออกมาอย่างไม่ลังเล
มันทำ
ให้อาวุโสหวูสะดุ้ง
นักบ่มเพาะปกติโดยทั่วไปไม่รู้จักของสิ่งนี้
แต่หยางเฉินสามารถระบุได้โดยไม่แม้แต่ชำเลืองมองนั่นหมายความได้สองอย่างคือ
ถ้าไม่หยางเฉินมีความรู้ที่กว้างขวางเกี่ยวกับสมุนไพรก็ต้องเคยเห็นสิ่งนี้มาก่อน
อาวุโสหวูเอียงเอนไปในข้อแรกมากกว่า
การจะได้พบเห็นของสิ่งนี้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายแม้กระทั่งคนในระดับเดียวกับอาวุโสหวู
“เจ้าสามารถกลั่นบริสุทธิ์หญ้าฟ้าครามนี้ได้หรือไม่?” อาวุโสหวูจับตามองการแสดงออกทางสีหน้าของหยางเฉินที่จะแสดงถึงการตอบสนองและรู้สึกกระวนกระวายกับคำตอบของหยางเฉิน
“การกลั่นหญ้าฟ้าครามโดยไม่ทำลายคุณสมบัติของยาต้องมีการควบคุมไฟที่สมบูรณ์แบบ
ถ้าหากมีข้อผิดพลาดแม้แต่เล็กน้อยมันจะเผาทุกสิ่งทุกอย่างเกลี้ยงในคราวเดียวไม่เหลืออะไรไว้
หยางเฉินไม่ได้ตอบอย่างตรงไปตรงมา
แต่เขาได้กล่าวถึงปัญหาในการกลั่นหญ้าฟ้าครามขึ้นมาก่อนแล้วค่อยพูดต่อ
“สำหรับการกลั่นหญ้าฟ้าครามนั้นเปลวไฟที่เหมาะสมที่สุดนั้น
แน่นอนว่าต้องเป็นเปลวไฟแกนพิภพ”
ในขณะที่พูดอยู่นั้นหยางเฉินเอามือของเขาออกมาข้างหน้าตัวเองและลูกบอลเปลวไฟก็ปรากฏขึ้นในนั้น
สีแดงเข้มนั้นทำให้อาวุโสสามารถระบุประเภทของเปลวไฟได้ในทันที
ลูกบอลเปลวไฟนั้นดูเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมาเมื่ออยู่ภายใต้การควบคุมของหยางเฉิน
มันเปลี่ยนเป็นคนที่มีลักษณะเหมือนกับอาวุโสหวูทุกอย่างและนั่งลงตรงหน้าเขา
“อาวุโสหวู
ท่านดูทักษะของข้า ท่านคิดว่าข้าคุ้มค่าเพียงพอสำหรับสิ่งที่ท่านต้องการหรือไม่?”
หยางเฉินถามกลับอาวุโสหวู
ผู้ที่จ้องมองและจับมือของหยางเฉินไว้แน่น
หยางเฉิน นักขายของมือทอง
ตอบลบได้แบ๊คดีๆ มาอีกหนึ่งคนแล้ว
ตอบลบ