ในครั้งสุดท้ายที่หยางเฉินใช้คำพูดที่สะกิดใจ
"ฝันไปเถอะ" ทำให้เคล็ดวิชาได้กระตุ้นให้จินเตาเกิดอาการงงงวย
แล้วในตอนนี้หยางเฉินก็ได้พูดคำเหล่านั้นอีกครั้งขณะที่ใช้เคล็ดวิชาที่ทำให้จิตใจของจินเตาเกิดความสับสนเป็นเคล็ดวิชาลับสามขั้นแห่งการรู้แจ้งทำให้จินเตาค่อยๆจมลงเข้าสู่ภาวะซึมเศร้า
มันเป็นที่สุดของเคล็ดวิชาสามรู้แจ้งของสุดยอดผู้อาวุโส
ที่ ต่อให้แม้ผู้อาวุโสผู้ใดผู้หนึ่งในสภาผู้อาวุโส
ก็ไม่อาจปลุกจิตวิญญาณของจินเตาจากสภาพที่จมดิ่งนี้ได้ เส้นทางของหัวใจ ปีศาจนี้จะถูกปกปิดไว้ในส่วนลึกที่สุดของจิตใต้สํานึกของจินเตา
ในเวลานี้พลังการรับรู้ทางจิตวิญญาณของหยางเฉินอยู่ในระดับก่อลําต้น
ทําให้การใช้กลวิธีนี้แข็งแกร่งกว่าครั้งแรกที่เคย ใช้มากนัก
คําคําเดิมนี้ทําให้หัวใจปีศาจในจิตวิญญาณจินเตากระตุกวาบ และทําให้เขาไม่สามารถการควบคุมการต่อสู้ได้อย่างราบรื่น
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดสําหรับเขา
คือเหล่าสัตว์อสูรที่รายล้อมอยู่หลังจากที่เจตจำนงแห่งการฆ่าหายไปอย่างไร้ร่องรอย
พวกมันก็เริ่มที่จะโจมตีจินเตาอย่างดุร้าย แม้จิตใจของจินเตาจะฟุ้งซ่าน
แต่เขาก็รับรู้ถึงความมุ่งร้ายของเหล่าสัตว์อสูร
ดังนั้นกระบี่บินที่เดิมทีจู่โจมหยางเฉินที่ใต้ดิน จึงพุ่งออกมาจากใต้ดิน
โบยบินรอบจินเตาและพุ่งโจมตีสัตว์อสูรเหล่านั้น
ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายอย่างไม่เคยปรากฏนี้
แม้แต่ตัวของจินเตาเองก็ไม่รู้ถึงเหตุผลที่ทำไมจิตใจของเขาจึงไร้ความรู้สึกทั้งที่อยู่ในช่วงเวลาที่น่าหวาดหวั่น
เขารู้เพียงว่าต้องใช้กำลังทั้งหมดเพื่อต่อต้านการโจมตีจากเหล่าสัตว์อสูรที่โจมตีเขาจากทุกด้าน
การสังหารมันในขณะที่มันยังไม่มีการป้องกันใดๆ เป็นสิ่งที่เขาคาดหวังไว้
ยิ่งหวาดกลัว…ก็ยิ่งคิดถึงคําเตือนของหยางเฉิน
และเขายังจําได้ว่าหยางเฉินหลบหนีไปทางใต้ดิน โดยใช้เคล็ดวิชาการหลบเลี่ยงใต้พิภพ
แม้เขาจะมีพลังการบ่มเพาะที่ขั้นสูงสุดของระดับก่อสร้างรากฐาน แต่…โชคร้าย
ที่เขาไม่ได้ฝึกธาตุปฐพี ดังนั้นจึงไม่สามารถใช้เทคนิคนี้ได้
ในขณะที่ต่อสู้ได้ปรากฏเกราะคุ้มครองร่างกายของจินเตา
เห็นชัดว่าที่ร่างกายของจินเตาเป็นเกราะเวท ทําให้การจู่โจมจากกรงเล็บของสัตว์อสูร
ที่มีบางตัวหลุดรอดจากกระบี่บินเข้าถึงตัวจินเตา ไม่เกิดผลมากกว่าประกายไฟ
ถึงแม้ความโดดเด่นของเกราะจะปรากฏ มันก็ไม่ได้ทําให้จินเตาภูมิใจแต่อย่างใด
มีแต่ความหวาดกลัวที่มากยิ่งขึ้น
…ขั้นสูงสุดระดับก่อสร้างรากฐานรึ
? …บดขยี้ป่นกระดูกหยางเฉินให้เป็นผง ?
เทียบกับเหล่าสัตว์อสูรที่อยู่รายล้อม
มันดูเหมือนไม่ใช่สาระที่สำคัญ ในเวลานี้ความหวาดกลัว …ความสํานึกเสียใจ
ปรากฏขึ้นในใจจินเตา เป็นความเสียใจที่ครอบงำเขาไว้อย่างสมบูรณ์
เขาเป็นผู้บ่มเพาะระดับก่อสร้างรากฐานที่สง่างาม
อีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น
ก็จะทําการควบแน่นปราณเข้าสู่ผู้เชี่ยวชาญระดับก่อลําต้น
แล้วปีศาจร้ายตนไหนที่มาทําให้จิตใจเขาสับสน
ให้ไปยึดติดเอาตัวเองไปยุ่งเรื่องราวของศิษย์ไร้ค่า หานเจี้ยนศิษย์ระดับ
รวบรวมลมปราณขั้นที่หก ที่ยืนกรานกระทําสิ่งน่าอายท้าทายต่อสู้เป็นตายกับศิษย์ขั้นที่สาม
ที่น่าอายกว่านั้นคือความพ่ายแพ้และถูกฆ่าตาย
การต่อสู้เป็นตาย
เป็นการแก้ปัญหาขั้นสุดท้าย ไม่คํานึงถึงความเป็น ความตายของผู้ใด
และไม่ต้องใส่ใจเรื่องราวต่อจากนั้น แน่นอนจินเตาต้องการที่จะตีหัวตัวเองซักที
เมื่อได้ยินชื่อหยางเฉินจากพระราชวังหยางบริสุทธิ์
เขาก็ตัดสินใจที่จะสร้างความยุ่งยากลําบาก ให้หยางเฉิน
แล้วกลับกลายเป็นเขาที่ตกลงไปในกับดักกับการขัดขวางเล็ก ๆ น้อย
ๆจนกระทั่งได้ถูกปลูกหัวใจปีศาจลงในใจของเขา
มันพอจะกล่าวได้ว่า
แม้หลังจากจินเตาจะกระจ่าง แต่เขายังไม่เข้าใจถึงความเครียดของสถานการณ์
เพราะไม่งั้นเขาคงไม่เอาความโกรธของเขามาลงกับหยางเฉิน
และต้องพบจุดจบอย่างในตอนนี้
แต่ตอนนี้
มันสายเกินที่จะมาเสียใจ นอกจากจะโดนโจมตีรอบด้านโดยสัตว์อสูรแล้ว ยังมีหยางเฉินคอยจ้องคล้ายเสือรอ
ตะครุบเหยื่อจากที่ลับ
“เจ้าผู้เยาว์
….ข้าเพียงล้อเล่น …เจ้าคงจะเข้าใจอะไรผิด ๆ แล้วล่ะ “
ในท่ามกลางวิกฤติความเป็นความตาย
จินเตาไม่สามารถทําสิ่งใดได้ นอกจากเสแร้งทําเป็นไม่หวาดกลัวและตะโกนออกไปรอบ ๆ
ด้วยเสียงดัง การควบคุมกระบี่บินของเขาลดลงเรื่อย ๆ เขาเริ่มคิดถึงการหนี
แต่เขารู้ว่าหยางเฉินไม่มีทางปล่อยเขาไปง่าย ๆแน่ ดังนั้นอันดับแรก
คือยอมรับความพ่ายแพ้ก่อน เสร็จแล้วภาวนาให้หยางเฉินใจอ่อน ยอมปล่อยเขาไป
มันเป็นไปได้อย่างยิ่งที่หยางเฉินเพียงต้องการให้เขาสูญเสียความมั่นใจตั้งแต่เริ่ม
“ที่จริงน่ะ
ทีแรกข้าก็ต้องการปล่อยผู้อาวุโสไป แต่โชคของท่านไม่ดีเลย
ท่านไม่ควรบอกข้าว่า ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่ามีสิ่งใด เกิดขึ้นที่นี่”
เสียงของหยางเฉินดังก้องมาจากทุกทิศทาง
ยากที่จะบอกได้ว่าจากตําแหน่งใด แต่ที่แน่ ๆ คือเขาล่วงรู้ถึงการเคลื่อนไหว ของจินเตาโดยตลอด
แม้จินเตาจะไม่รู้ว่า
ทําไมเหล่าสัตว์อสูรใต้พิภพจึงไม่โจมตีหยางเฉิน
แต่บัดนี้เขาไม่มีเวลามากพอที่จะคิด เขาเปลี่ยนทิศทางและออกวิ่งในทันที
เกราะบนตัวเขาเปิดใช้งานเต็มพิกัด ดังนั้นการโจมตีของสัตว์อสูรจึงไม่เกิดผลร้ายแรง
เขาเพียงต้องการไปให้ถึงหมู่บ้านหลี่โหล สําหรับเรื่องอื่น ๆ ล้วนรอได้
“เปรี้ยง!...ปัง…ปัง!
?”
เสียงระเบิดดังก้องต่อเนื่อง
….น่าสงสาร ที่ในชีวิตนี้ของหยางเฉิน ไม่คิดที่จะให้โอกาสแก่เขา
มันชัดเจนยิ่งในความคิดหยาง เฉินที่ตีงูต้องให้ตาย
ดังนั้นตอนนี้จะไม่ให้ความผิดพลาดใด ๆ เกิดขึ้นเด็ดขาด
…จินเตามุ่งไปที่หมู่บ้านอย่างบ้าคลั่ง
จินเตาพบว่าแรงกดดันเบื้องหน้าเขาลดลงอย่างมาก
ฝูงสัตว์ที่อยู่รายล้อมหยุดการโจมตีเขา และหายไปจากบริเวณนั้น
จากสถานการณ์นี้ แวบประกายความคิดในใจ …จินเตาโถมไปข้างหน้า
ทันใดก็ปรากฏสิ่งที่ออกจากใต้ดิน ราวกับว่ามีใคร คนหนึ่งดักรอเขาอยู่
พุ่งเข้าชนจินเตาอย่างรวดเร็ว
ประกายความคิดผุดขึ้นในใจ
จินเตาบังคับกระบี่บินโจมตีหยางเฉินในทันที ในขณะกระบี่บินพึ่งจะจู่โจมนั้น
จินเตาเกิดความมึนงงไปชั่วครู่ แต่ในชั่วครู่นั้นเอง
จินเตาเห็นสิ่งหนึ่งในมือหยางเฉิน ….ประกายแสงวาบและเขารู้สึกเย็นที่ลําคอ
….ร่างกายคล้ายผ่อนคลายไปตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ไม่รู้สึกถึงการโจมตีจากหยางเฉินอีกต่อไป
ทันทีจากนั้น
จินเตารู้สึกราวกับว่าเขาลอยขึ้นบนอากาศรู้สึกหมุนติ้ว เพียงเห็นซากไร้ศีรษะบนพื้น
ภายใต้แสงสว่างของไข่มุกราตรี จินเตาได้ตระหนักถึงสิ่งที่กําลังเกิดขึ้น
และแล้วความตื่นตระหนกสุดขีดปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา ภายใต้
ดวงตาของศีรษะที่โบยบิน ร่องรอยความหวังปรากฏขึ้น
กระบี่บินสีขาวอยู่ที่ด้านข้างหยางเฉิน
ภายในพริบตามันก็ทิ่มแทงไปที่หยางเฉิน แม้ร่างจินเตาจะตายไป แต่การเอาหยางเฉินไปด้วย
ย่อมเป็นที่น่าพอใจ
อย่างไรก็ตาม
…ความฝันเป็นสิ่งหนึ่ง ..ความจริงคือสิ่งหนึ่ง ที่เป็นอย่างอื่นไม่เหมือนความฝัน
จินเตาคาดหวังให้หยางเฉินตกตายใต้คมกระบี่
แต่หยางเฉินพลันยื่นมือออกมาตะปบเข้าที่กระบี่ ราวกับจับหนู …สุดท้าย
จินเตาก็ปิดตาลงด้วยความไม่เต็มใจและเสียใจอย่างเปี่ยมล้น
เมื่อกระบี่บินที่ไร้เจ้าของอยู่ในมือ
หยางเฉินส่ายศีรษะ จ้องไปที่จินเตาโดยมิได้กล่าวอันใด
ก่อนหน้านี้เขาพึ่งมีความสุขกับการทะลวงระดับการบ่มเพาะ
แต่ดันมามีสิ่งที่มาขัดความสุขของเขา
หรือเขามั่นใจอย่างยิ่งว่าหยางเฉินไม่กล้าสังหารเขา ?
หยางเฉินไม่ลืมกระเป๋ามิติและเกราะบนร่างของจินเตา
มันเป็นโอกาสที่จินเตาจัดให้เขาแท้ ๆ ด้วยลักษณะของสถานที่ที่ ซ่อนเร้น
และห่างจากหมู่บ้านหลีโลวมากทีเดียว
เพราะที่นี่หยางเฉินจึงสามารถฆ่าเขาโดยไม่ลําบากใจ และยึดเอาของมีค่า
มันเป็นโอกาสหาเงินง่าย ๆ ที่เขาไม่สามารถปล่อยผ่านไปได้
ภายในกระเป๋ามิติมีแก่นจิตวิญญาณเพียงเจ็ดแปดพันชิ้น
เทียบได้กับหินจิตวิญญาณระดับตํ่าราวร้อยชิ้น เป็นเหตุให้หยาง
เฉินสาปแช่งในความยากจนของจินเตา นอกจากนี้
มีนํ้าทิพย์หลายชนิดและสูตรปรับแต่งเม็ดยาบริสุทธิ์ ซึ่งก็เป็นนํ้าทิพย์ที่
มีแพร่หลายทั่วไปในเวลานี้ ที่ใช้ในการควบแน่นลมปราณ
จินเตาเป็นผู้ที่มีการบ่มเพาะขั้นสูงสุดระดับรวบรวมลมปราณ
เขาสามารถใช้มันได้ในทันที แต่โชคร้ายที่มันตกมาเป็นของหยางเฉินแล้ว
กระบี่นี้ดูจะมีระดับที่สูงทีเดียว
แต่ถ้าเทียบกับกระบี่ที่ตกทอดมาในกล่องกระบี่ มันยังคงมีระดับที่ตํ่ากว่าเขาจึงเก็บมันเข้ากล่องกระบี่เผื่อได้ใช้ในอนาคต
ส่วนเกราะที่ใช้ป้องกันตัวดูจะทําจากวัสดุที่คุณภาพสูงทีเดียว
แต่ยังมีปัญหาหนึ่ง
แม้หยางเฉินจะมีเปลวไฟแกนพิภพซึ่งใช้การปรับแต่งโดยเตาหลอมแก่นจิตวิญญาณของเขา
แต่เขาก็ไม่ สามารถใช้ในการปรับปรุงระดับกระบี่บิน แต่ไม่ว่าอย่างไร
ไม่ว่าจะเป็นกระบี่บินหรือเกราะ ได้มายังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย
แม้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรมันก็ใช้มันเท่าที่ได้ก็เท่านั้น
และเขายังพบแผ่นยันต์ที่สามารถขายเปลี่ยนเป็นเงินได้ในภายหน้า
ตอนนี้จึงเก็บเข้ากระเป๋ามิติ และค่อยดูคราวหน้าค่อยดู
นอกจากนี้ยังมีแก่นธาตุทอง
ที่จินเตาน่าจะเตรียมไว้ใช้กับการปรับปรุงเร่งเร้ากระบี่บินของเขา
เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรแล้วเก็บเข้าแหวนมิติทันที
แต่ที่เขาสนใจที่สุดคือเหล่าแผ่นหยกที่จินเตานํามาด้วย
แผ่นแรกเป็นวิธีการฝึกการบ่มเพาะธาตุนํ้าของนิกายเทียนเชวียน
ซึ่งใช้กับผู้มีการบ่มเพาะระดับก่อสร้างรากฐานขึ้นไป
มันเป็นเคล็ดวิชาหยินวารีลํ้าเลิศ
ที่หยางเฉินเคยได้ยินเรื่องราวของมันมาก่อน
และมันจะถูกแทนที่ในการฝึกบ่มเพาะธาตุนํ้าอันที่สิบของเขา
การได้รับวิธีการบ่มเพาะนับว่าเป็นวาสนาของเขา
โดยปกติวิธีการบ่มเพาะจะจดจําบันทึกในใจ ไม่เขียนจารลงแผ่นหยก
เป็นที่แน่ชัดว่าจินเตาเตรียมไว้ให้ใครสักคน แต่ก่อนที่จะได้ทําเขาตายเสียก่อน
และมันเปลี่ยนมาอยู่ในกระเป๋าจัดเก็บของ ยางเฉิน
ส่วนอีกแผ่นเป็นวิธีการสร้างรูปแบบของอักขระอาคม
เขาตรวจสอบเรื่องนี้มาระยะหนึ่งแล้ว แม้เขาจะไม่มีความสนใจในเรื่องนี้ แต่มันจะมีประโยชน์ต่อกงซุนหลิงที่จะค้นคว้ามัน
บนแผ่นหยกคือแผนที่
ถ้าเป็นแผนที่ธรรมดาคงเรียกความสนใจจากหยางเฉินไม่ได้
แต่นี่มันทําเครื่องหมายไว้สามที่
ที่เป็นเรื่องที่หยางเฉินเคยได้ยินมาจากชีวิตก่อนนี้ แม้เขาพอจะมีข้อมูลอยู่บ้าง
แต่ไม่สามารถเทียบกับรายละเอียดในแผนที่นี้
เขาคงต้องหาเวลาที่ไปเยือนสถานที่เหล่านี้
เมื่อได้รับทุกอย่างแล้ว
เขาก็โยนกระเป๋ามิติเข้าไปในแหวนจัดเก็บ
ดูเหมือนตอนนี้เขาได้สะสมกระเป๋ามิติของนิกายอื่นไว้เยอะทีเดียว
เพียงรอเวลาที่มันมีมากพอและระดับการบ่มเพาะของเขาข้ามไปอีกเขตแดนหนึ่ง แล้วเขาจะใช้กระเป๋าเหล่านี้มายกระดับกระเป๋ามิติของเขาในอนาคต
แม้ว่าเขาจะมีแหวนจัดเก็บอยู่ก็ตาม ในเมื่อกระเป๋ามิตินี้นิกายได้ให้แก่เขา
เขาก็เพียงปรับแต่งรูปลักษณ์มัน
เขาไม่ได้ใส่ใจกับการที่จะมีของระดับสูงอีกชิ้นหนึ่ง
สําหรับศพของจินเตา
เขาไม่มีความจําเป็นต้องทําอะไร ทันทีที่เขาจากไป
มันก็จะเป็นอาหารของสัตว์อสูรที่อยู่รอบๆ
ศพของผู้ที่มีการบ่มเพาะขั้นสูงสุดระดับก่อสร้างรากฐาน
ย่อมถือเป็นยาชั้นเลิศสําหรับสัตว์เหล่านี้ มันคงจะกินไม่เหลือซาก
ภายในหลุมดักเซียนนี้ สิ่งที่ต้องระวังสําหรับผู้บ่มเพาะอีกอย่างคือ อย่าพลัดหลงเข้าปากสัตว์อสูร
ภายในตลาดของหมู่บ้านหลีโลว
อันปราศจากกลางวัน กลางคืน ซึ่งจะพบเห็นความเคลื่อนไหวของเหล่าผู้บ่มเพาะ มีการ
เคลื่อนไหวกลุ่มละสองคนบ้าง สามคนบ้าง
….นักบ่มเพาะผู้หนึ่ง
เข้าสู่ตลาดเพื่อที่จะเริ่มการขายยาอายุวัฒนะ
และยังคงอยู่ด้านนอกอีกหนึ่งวันเพื่อแลกกับการได้รับ แก่นจิตวิญญาณ
ตราบใดที่สามารถขายได้ในราคาที่ยุติธรรม ย่อมถือได้ว่าเป็นการค้าที่ยอดเยี่ยม
เมื่อเข้าในตลาด เขา มองไปยังมุมที่เคยอยู่ ด้วยความเคยชิน
และพบว่ามันยังคงว่างเช่นเดิม
เขาเพิ่งเดินเตร็ดเตร่ไปยังอีกพื้นที่หนึ่ง
ทันใดเงาร่างก็ปรากฏมุ่งไปที่มุมนั้น ท่ามกลางสายตาที่มองด้วยความแปลกใจของ
เหล่าผู้บ่มเพาะอื่น เงาร่างนี้ตรงไปนั่งลงกับพื้น
หลังจากนั้นวางขวดหยกบนประดาผ้าที่กระจัดกระจายเบื้องหน้า แล้วนั่ง
ปราศจากการเคลื่อนไหวอื่นอีก
แทบไม่กล้าเชื่อสายตา
และเริ่มพิสูจน์โดยใช้พลังการรับรู้ของจิตวิญญาณ …ใช่จริง ๆ
มีผู้บ่มเพาะระดับรวบรวมลมปราณ นั่งอยู่ที่ตรงมุมตรงนั้น
พร้อมขวดหยกที่วางบนผ้าขาว และคนคนนั้นคล้ายดั่งเป็นนักปรุงยาผู้เชี่ยวชาญระดับสอง
ที่เคย ปรากฏตัวเมื่อสองปีที่แล้ว เว้นแต่ …ระดับการบ่มเพาะที่สูงกว่าเดิมเล็กน้อย
หลังจากประหลาดใจไม่นาน
เหล่าผู้บ่มเพาะเกิดความยินดีและเริ่มส่งเสียงตะโกนอย่างร่าเริง
แปลกใจในความบังเอิญที่ สามารถได้พบเจ้าคนขายยาเม็ดหยางระดับสอง
แต่เมื่อดูราคาของมัน ผู้ใดก็บอกได้ว่านี่คือกําไรแน่ ๆ
ด้วยความตื่นเต้น
ผู้บ่มเพาะผู้หนึ่งก้าวไปด้านหน้าอย่างเร็ว แต่ยังมีคนที่เร็วกว่าเขา
ผู้บ่มเพาะมากกว่าสิบคน พุ่งจากทุกทิศไปที่มุมตลาดนั้นราวธนูหลุดจากแหล่ง
ภายในไม่กี่วินาที ที่มุมนั้นล้อมรอบด้วยผู้บ่มเพาะมากกว่าสิบคน
บุคคลนี้คือหยางเฉิน
เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับความนิยมในหลุมดักเซียน
แต่เพราะเหล่าประดาสัตว์อสูรล้วนไม่กล้าเข้าโจมตีเขา
เขาจึงไม่ได้ใช้ยาเม็ดหยางที่ทําเตรียมไว้ใช้เอง
ดังนั้นเจ้าจึงมายังตำแหน่งที่คุ้นเคย และเขาพบว่าจะขายมันอย่างไร
เมื่อพบกับฉากที่ปรากฏเบื้องหน้านี้
ผู้เชี่ยวชาญนักปรุงยาระดับสอง
ยิ่งกว่านั้นเป็นระดับรวบรวมลมปราณนักปรุงยาระดับสอง
ใครล่ะจะไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร
ผู้คนที่รายล้อมไม่ได้สนใจกับยาที่หยางเฉินกําลังขาย
แต่สนใจที่จะผูกมิตรกับหยางเฉิน ถ้าวันหนึ่งหยางเฉินกลายเป็นนักปรุงยาระดับสาม
แล้วเขาจะกลายเป็นแขกผู้มีเกียรติสําหรับทุกนิกาย
ในโลกมนุษย์
นักปรุงยาระดับสี่มีอยู่เพียงน้อยนิด แล้วสําหรับระดับที่สูงกว่านั้น
ก็ไม่เคยมีปรากฏ
สําหรับยาที่ผ่านการปรับแต่งสามครั้ง
ประสิทธิภาพของมันจะเพิ่มสิบหรือแม้แต่ร้อยเท่า ….ถ้าผ่านการปรับแต่งสี่ครั้ง …
พอจะเรียกได้ว่ายาระดับเซียน ซึ่งขีดจํากัดทั้งมวลอยู่ที่เก้าครั้ง
ยาเม็ดระดับเก้าที่ปรุงโดยผู้อาวุโสสูงสุด
สามารถทําให้มนุษย์ธรรมดาพุ่งขึ้นสู่โลกแห่งจิตวิญญาณเลยทีเดียว
การได้เห็นยาเม็ดระดับเก้าบนโลกนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้
ขวดหยกที่เดิมวางอยู่ถูกขายไปในทันทีและแทนที่ด้วยแก่นจิตวิญญาณวางบนผ้าขาว
หยางเฉินยังคงไร้การเคลื่อนไหวใด ๆ แต่ผู้คนเหล่านั้นเริ่มวิตก
เมื่อสังเกตพบว่าหยางเฉินนําขวดเม็ดยาลมปราณมาขายเพียงขวดเดียว
พวกเขาได้แต่เอ่ยถาม
“ผู้เยาว์หยาง
มีอีกมั๊ย ข้าเต็มใจที่จะซื้อมันในราคาสูง”
ในตอนแรกพวกเขาคิดว่าหยางเฉินไม่มียาเม็ดอีก
แต่หยางเฉินกลับหยิบขวดจำนวนหนึ่งออกมา
ขวดเหล่านี้ได้รับผลตอบรับเช่นเดียวกับขวดแรกขายออกไปในทันที
ยาเม็ดลมปราณระดับสองเทียบได้กับยาบ่มเพาะระดับผลิดอก
แต่ใช้งานง่ายกว่ามากและผลก็เกือบจะเหมือนกัน ทุกคนรู้ถึงสรรพคุณของมัน
เมื่อเห็นหยางเฉินไม่ได้นํายาเม็ดออกมาอีก
พวกเขาก็ไม่ได้เรียกร้องอีกครั้งแต่อย่างใด เมื่อพิจารณาการค้าของหยางเฉิน
นอกจากสิ่งที่เป็นรูปธรรมที่พวกเขาซื้อแล้ว มันคงจะดีแน่
ถ้าพวกเขาสามารถสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับหยางเฉิน จะเป็นประโยชน์มากในภายหน้า
หลังจากการขายยาแล้ว
ไม่ได้เป็นเวลานานเท่าใด ในขณะที่เขาจะจากไป …พลันมีคนตรงดิ่งมาที่เขาพร้อมเอ่ยถาม
“ศิษย์น้องหยาง
เจ้ามีเม็ดยาระดับที่สามมั๊ย ?”
ผู้ที่มาเปิดฉากด้วยคําถาม
ที่ทําให้หยางเฉินชะงักชั่วครู่ ก่อนหันมาตอบคําถามนั้น
“ไว้รอข้าออกมาจากหลุมดักเซียน”
แบ็ง!
คําพูดนี้ราวกับประกายไฟออกจากกะทะ!
ว่าล่ะต้องปล้นจากศพ แถมได้อะไรมาไม่มากด้วย อิอิ
ตอบลบนี่พี่ท่านคงจะอัพเวลด้านปรุงยาอีก
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบ