เลือกสีพื้นเพื่ออ่านบทความ >>> พื้นขาว พื้นดำ พื้นครีม

วันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ZX 063 นักปรุงยาระดับสาม



ในครั้งสุดท้ายที่หยางเฉินใช้คำพูดที่สะกิดใจ "ฝันไปเถอะ" ทำให้เคล็ดวิชาได้กระตุ้นให้จินเตาเกิดอาการงงงวย แล้วในตอนนี้หยางเฉินก็ได้พูดคำเหล่านั้นอีกครั้งขณะที่ใช้เคล็ดวิชาที่ทำให้จิตใจของจินเตาเกิดความสับสนเป็นเคล็ดวิชาลับสามขั้นแห่งการรู้แจ้งทำให้จินเตาค่อยๆจมลงเข้าสู่ภาวะซึมเศร้า



มันเป็นที่สุดของเคล็ดวิชาสามรู้แจ้งของสุดยอดผู้อาวุโส ที่ ต่อให้แม้ผู้อาวุโสผู้ใดผู้หนึ่งในสภาผู้อาวุโส ก็ไม่อาจปลุกจิตวิญญาณของจินเตาจากสภาพที่จมดิ่งนี้ได้ เส้นทางของหัวใจ ปีศาจนี้จะถูกปกปิดไว้ในส่วนลึกที่สุดของจิตใต้สํานึกของจินเตา



ในเวลานี้พลังการรับรู้ทางจิตวิญญาณของหยางเฉินอยู่ในระดับก่อลําต้น ทําให้การใช้กลวิธีนี้แข็งแกร่งกว่าครั้งแรกที่เคย ใช้มากนัก คําคําเดิมนี้ทําให้หัวใจปีศาจในจิตวิญญาณจินเตากระตุกวาบ และทําให้เขาไม่สามารถการควบคุมการต่อสู้ได้อย่างราบรื่น  



สิ่งที่น่ากลัวที่สุดสําหรับเขา คือเหล่าสัตว์อสูรที่รายล้อมอยู่หลังจากที่เจตจำนงแห่งการฆ่าหายไปอย่างไร้ร่องรอย พวกมันก็เริ่มที่จะโจมตีจินเตาอย่างดุร้าย แม้จิตใจของจินเตาจะฟุ้งซ่าน แต่เขาก็รับรู้ถึงความมุ่งร้ายของเหล่าสัตว์อสูร ดังนั้นกระบี่บินที่เดิมทีจู่โจมหยางเฉินที่ใต้ดิน จึงพุ่งออกมาจากใต้ดิน โบยบินรอบจินเตาและพุ่งโจมตีสัตว์อสูรเหล่านั้น



ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายอย่างไม่เคยปรากฏนี้   แม้แต่ตัวของจินเตาเองก็ไม่รู้ถึงเหตุผลที่ทำไมจิตใจของเขาจึงไร้ความรู้สึกทั้งที่อยู่ในช่วงเวลาที่น่าหวาดหวั่น เขารู้เพียงว่าต้องใช้กำลังทั้งหมดเพื่อต่อต้านการโจมตีจากเหล่าสัตว์อสูรที่โจมตีเขาจากทุกด้าน การสังหารมันในขณะที่มันยังไม่มีการป้องกันใดๆ เป็นสิ่งที่เขาคาดหวังไว้



ยิ่งหวาดกลัว…ก็ยิ่งคิดถึงคําเตือนของหยางเฉิน และเขายังจําได้ว่าหยางเฉินหลบหนีไปทางใต้ดิน   โดยใช้เคล็ดวิชาการหลบเลี่ยงใต้พิภพ แม้เขาจะมีพลังการบ่มเพาะที่ขั้นสูงสุดของระดับก่อสร้างรากฐาน แต่…โชคร้าย  ที่เขาไม่ได้ฝึกธาตุปฐพี ดังนั้นจึงไม่สามารถใช้เทคนิคนี้ได้



ในขณะที่ต่อสู้ได้ปรากฏเกราะคุ้มครองร่างกายของจินเตา เห็นชัดว่าที่ร่างกายของจินเตาเป็นเกราะเวท ทําให้การจู่โจมจากกรงเล็บของสัตว์อสูร ที่มีบางตัวหลุดรอดจากกระบี่บินเข้าถึงตัวจินเตา  ไม่เกิดผลมากกว่าประกายไฟ ถึงแม้ความโดดเด่นของเกราะจะปรากฏ มันก็ไม่ได้ทําให้จินเตาภูมิใจแต่อย่างใด  มีแต่ความหวาดกลัวที่มากยิ่งขึ้น



ขั้นสูงสุดระดับก่อสร้างรากฐานรึ ?   …บดขยี้ป่นกระดูกหยางเฉินให้เป็นผง ?  เทียบกับเหล่าสัตว์อสูรที่อยู่รายล้อม มันดูเหมือนไม่ใช่สาระที่สำคัญ  ในเวลานี้ความหวาดกลัว …ความสํานึกเสียใจ ปรากฏขึ้นในใจจินเตา เป็นความเสียใจที่ครอบงำเขาไว้อย่างสมบูรณ์



เขาเป็นผู้บ่มเพาะระดับก่อสร้างรากฐานที่สง่างาม อีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น ก็จะทําการควบแน่นปราณเข้าสู่ผู้เชี่ยวชาญระดับก่อลําต้น  แล้วปีศาจร้ายตนไหนที่มาทําให้จิตใจเขาสับสน ให้ไปยึดติดเอาตัวเองไปยุ่งเรื่องราวของศิษย์ไร้ค่า หานเจี้ยนศิษย์ระดับ รวบรวมลมปราณขั้นที่หก ที่ยืนกรานกระทําสิ่งน่าอายท้าทายต่อสู้เป็นตายกับศิษย์ขั้นที่สาม ที่น่าอายกว่านั้นคือความพ่ายแพ้และถูกฆ่าตาย



การต่อสู้เป็นตาย เป็นการแก้ปัญหาขั้นสุดท้าย ไม่คํานึงถึงความเป็น ความตายของผู้ใด และไม่ต้องใส่ใจเรื่องราวต่อจากนั้น  แน่นอนจินเตาต้องการที่จะตีหัวตัวเองซักที เมื่อได้ยินชื่อหยางเฉินจากพระราชวังหยางบริสุทธิ์ เขาก็ตัดสินใจที่จะสร้างความยุ่งยากลําบาก ให้หยางเฉิน แล้วกลับกลายเป็นเขาที่ตกลงไปในกับดักกับการขัดขวางเล็ก ๆ น้อย ๆจนกระทั่งได้ถูกปลูกหัวใจปีศาจลงในใจของเขา



มันพอจะกล่าวได้ว่า แม้หลังจากจินเตาจะกระจ่าง แต่เขายังไม่เข้าใจถึงความเครียดของสถานการณ์  เพราะไม่งั้นเขาคงไม่เอาความโกรธของเขามาลงกับหยางเฉิน และต้องพบจุดจบอย่างในตอนนี้





แต่ตอนนี้ มันสายเกินที่จะมาเสียใจ นอกจากจะโดนโจมตีรอบด้านโดยสัตว์อสูรแล้ว ยังมีหยางเฉินคอยจ้องคล้ายเสือรอ ตะครุบเหยื่อจากที่ลับ  



เจ้าผู้เยาว์ ….ข้าเพียงล้อเล่น …เจ้าคงจะเข้าใจอะไรผิด ๆ  แล้วล่ะ “



ในท่ามกลางวิกฤติความเป็นความตาย จินเตาไม่สามารถทําสิ่งใดได้ นอกจากเสแร้งทําเป็นไม่หวาดกลัวและตะโกนออกไปรอบ ๆ ด้วยเสียงดัง การควบคุมกระบี่บินของเขาลดลงเรื่อย ๆ เขาเริ่มคิดถึงการหนี แต่เขารู้ว่าหยางเฉินไม่มีทางปล่อยเขาไปง่าย ๆแน่ ดังนั้นอันดับแรก คือยอมรับความพ่ายแพ้ก่อน เสร็จแล้วภาวนาให้หยางเฉินใจอ่อน ยอมปล่อยเขาไป มันเป็นไปได้อย่างยิ่งที่หยางเฉินเพียงต้องการให้เขาสูญเสียความมั่นใจตั้งแต่เริ่ม





ที่จริงน่ะ  ทีแรกข้าก็ต้องการปล่อยผู้อาวุโสไป แต่โชคของท่านไม่ดีเลย  ท่านไม่ควรบอกข้าว่า ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่ามีสิ่งใด เกิดขึ้นที่นี่”    



เสียงของหยางเฉินดังก้องมาจากทุกทิศทาง ยากที่จะบอกได้ว่าจากตําแหน่งใด แต่ที่แน่ ๆ คือเขาล่วงรู้ถึงการเคลื่อนไหว ของจินเตาโดยตลอด



แม้จินเตาจะไม่รู้ว่า ทําไมเหล่าสัตว์อสูรใต้พิภพจึงไม่โจมตีหยางเฉิน แต่บัดนี้เขาไม่มีเวลามากพอที่จะคิด  เขาเปลี่ยนทิศทางและออกวิ่งในทันที เกราะบนตัวเขาเปิดใช้งานเต็มพิกัด ดังนั้นการโจมตีของสัตว์อสูรจึงไม่เกิดผลร้ายแรง  เขาเพียงต้องการไปให้ถึงหมู่บ้านหลี่โหล สําหรับเรื่องอื่น ๆ ล้วนรอได้



เปรี้ยง!...ปัง…ปัง! ?”



เสียงระเบิดดังก้องต่อเนื่อง ….น่าสงสาร ที่ในชีวิตนี้ของหยางเฉิน ไม่คิดที่จะให้โอกาสแก่เขา มันชัดเจนยิ่งในความคิดหยาง เฉินที่ตีงูต้องให้ตาย ดังนั้นตอนนี้จะไม่ให้ความผิดพลาดใด ๆ เกิดขึ้นเด็ดขาด



จินเตามุ่งไปที่หมู่บ้านอย่างบ้าคลั่ง จินเตาพบว่าแรงกดดันเบื้องหน้าเขาลดลงอย่างมาก ฝูงสัตว์ที่อยู่รายล้อมหยุดการโจมตีเขา และหายไปจากบริเวณนั้น  จากสถานการณ์นี้ แวบประกายความคิดในใจ …จินเตาโถมไปข้างหน้า ทันใดก็ปรากฏสิ่งที่ออกจากใต้ดิน ราวกับว่ามีใคร คนหนึ่งดักรอเขาอยู่ พุ่งเข้าชนจินเตาอย่างรวดเร็ว



ประกายความคิดผุดขึ้นในใจ จินเตาบังคับกระบี่บินโจมตีหยางเฉินในทันที  ในขณะกระบี่บินพึ่งจะจู่โจมนั้น จินเตาเกิดความมึนงงไปชั่วครู่ แต่ในชั่วครู่นั้นเอง  จินเตาเห็นสิ่งหนึ่งในมือหยางเฉิน   ….ประกายแสงวาบและเขารู้สึกเย็นที่ลําคอ  ….ร่างกายคล้ายผ่อนคลายไปตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างไม่เคยมีมาก่อน  ไม่รู้สึกถึงการโจมตีจากหยางเฉินอีกต่อไป



ทันทีจากนั้น จินเตารู้สึกราวกับว่าเขาลอยขึ้นบนอากาศรู้สึกหมุนติ้ว เพียงเห็นซากไร้ศีรษะบนพื้น ภายใต้แสงสว่างของไข่มุกราตรี จินเตาได้ตระหนักถึงสิ่งที่กําลังเกิดขึ้น และแล้วความตื่นตระหนกสุดขีดปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา ภายใต้ ดวงตาของศีรษะที่โบยบิน ร่องรอยความหวังปรากฏขึ้น  



กระบี่บินสีขาวอยู่ที่ด้านข้างหยางเฉิน ภายในพริบตามันก็ทิ่มแทงไปที่หยางเฉิน แม้ร่างจินเตาจะตายไป แต่การเอาหยางเฉินไปด้วย ย่อมเป็นที่น่าพอใจ



อย่างไรก็ตาม …ความฝันเป็นสิ่งหนึ่ง ..ความจริงคือสิ่งหนึ่ง ที่เป็นอย่างอื่นไม่เหมือนความฝัน  จินเตาคาดหวังให้หยางเฉินตกตายใต้คมกระบี่  แต่หยางเฉินพลันยื่นมือออกมาตะปบเข้าที่กระบี่ ราวกับจับหนู  …สุดท้าย จินเตาก็ปิดตาลงด้วยความไม่เต็มใจและเสียใจอย่างเปี่ยมล้น







เมื่อกระบี่บินที่ไร้เจ้าของอยู่ในมือ หยางเฉินส่ายศีรษะ จ้องไปที่จินเตาโดยมิได้กล่าวอันใด ก่อนหน้านี้เขาพึ่งมีความสุขกับการทะลวงระดับการบ่มเพาะ แต่ดันมามีสิ่งที่มาขัดความสุขของเขา หรือเขามั่นใจอย่างยิ่งว่าหยางเฉินไม่กล้าสังหารเขา ?



หยางเฉินไม่ลืมกระเป๋ามิติและเกราะบนร่างของจินเตา มันเป็นโอกาสที่จินเตาจัดให้เขาแท้ ๆ ด้วยลักษณะของสถานที่ที่ ซ่อนเร้น และห่างจากหมู่บ้านหลีโลวมากทีเดียว เพราะที่นี่หยางเฉินจึงสามารถฆ่าเขาโดยไม่ลําบากใจ และยึดเอาของมีค่า มันเป็นโอกาสหาเงินง่าย ๆ ที่เขาไม่สามารถปล่อยผ่านไปได้



ภายในกระเป๋ามิติมีแก่นจิตวิญญาณเพียงเจ็ดแปดพันชิ้น เทียบได้กับหินจิตวิญญาณระดับตํ่าราวร้อยชิ้น เป็นเหตุให้หยาง เฉินสาปแช่งในความยากจนของจินเตา นอกจากนี้ มีนํ้าทิพย์หลายชนิดและสูตรปรับแต่งเม็ดยาบริสุทธิ์  ซึ่งก็เป็นนํ้าทิพย์ที่ มีแพร่หลายทั่วไปในเวลานี้ ที่ใช้ในการควบแน่นลมปราณ จินเตาเป็นผู้ที่มีการบ่มเพาะขั้นสูงสุดระดับรวบรวมลมปราณ เขาสามารถใช้มันได้ในทันที แต่โชคร้ายที่มันตกมาเป็นของหยางเฉินแล้ว



กระบี่นี้ดูจะมีระดับที่สูงทีเดียว แต่ถ้าเทียบกับกระบี่ที่ตกทอดมาในกล่องกระบี่ มันยังคงมีระดับที่ตํ่ากว่าเขาจึงเก็บมันเข้ากล่องกระบี่เผื่อได้ใช้ในอนาคต ส่วนเกราะที่ใช้ป้องกันตัวดูจะทําจากวัสดุที่คุณภาพสูงทีเดียว  แต่ยังมีปัญหาหนึ่ง  แม้หยางเฉินจะมีเปลวไฟแกนพิภพซึ่งใช้การปรับแต่งโดยเตาหลอมแก่นจิตวิญญาณของเขา แต่เขาก็ไม่ สามารถใช้ในการปรับปรุงระดับกระบี่บิน แต่ไม่ว่าอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นกระบี่บินหรือเกราะ ได้มายังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย แม้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรมันก็ใช้มันเท่าที่ได้ก็เท่านั้น  



และเขายังพบแผ่นยันต์ที่สามารถขายเปลี่ยนเป็นเงินได้ในภายหน้า ตอนนี้จึงเก็บเข้ากระเป๋ามิติ และค่อยดูคราวหน้าค่อยดู  

นอกจากนี้ยังมีแก่นธาตุทอง ที่จินเตาน่าจะเตรียมไว้ใช้กับการปรับปรุงเร่งเร้ากระบี่บินของเขา เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรแล้วเก็บเข้าแหวนมิติทันที  แต่ที่เขาสนใจที่สุดคือเหล่าแผ่นหยกที่จินเตานํามาด้วย





แผ่นแรกเป็นวิธีการฝึกการบ่มเพาะธาตุนํ้าของนิกายเทียนเชวียน ซึ่งใช้กับผู้มีการบ่มเพาะระดับก่อสร้างรากฐานขึ้นไป  มันเป็นเคล็ดวิชาหยินวารีลํ้าเลิศ ที่หยางเฉินเคยได้ยินเรื่องราวของมันมาก่อน และมันจะถูกแทนที่ในการฝึกบ่มเพาะธาตุนํ้าอันที่สิบของเขา



การได้รับวิธีการบ่มเพาะนับว่าเป็นวาสนาของเขา โดยปกติวิธีการบ่มเพาะจะจดจําบันทึกในใจ ไม่เขียนจารลงแผ่นหยก เป็นที่แน่ชัดว่าจินเตาเตรียมไว้ให้ใครสักคน แต่ก่อนที่จะได้ทําเขาตายเสียก่อน และมันเปลี่ยนมาอยู่ในกระเป๋าจัดเก็บของ ยางเฉิน



ส่วนอีกแผ่นเป็นวิธีการสร้างรูปแบบของอักขระอาคม เขาตรวจสอบเรื่องนี้มาระยะหนึ่งแล้ว แม้เขาจะไม่มีความสนใจในเรื่องนี้ แต่มันจะมีประโยชน์ต่อกงซุนหลิงที่จะค้นคว้ามัน



บนแผ่นหยกคือแผนที่ ถ้าเป็นแผนที่ธรรมดาคงเรียกความสนใจจากหยางเฉินไม่ได้ แต่นี่มันทําเครื่องหมายไว้สามที่ ที่เป็นเรื่องที่หยางเฉินเคยได้ยินมาจากชีวิตก่อนนี้ แม้เขาพอจะมีข้อมูลอยู่บ้าง แต่ไม่สามารถเทียบกับรายละเอียดในแผนที่นี้ เขาคงต้องหาเวลาที่ไปเยือนสถานที่เหล่านี้   



เมื่อได้รับทุกอย่างแล้ว เขาก็โยนกระเป๋ามิติเข้าไปในแหวนจัดเก็บ ดูเหมือนตอนนี้เขาได้สะสมกระเป๋ามิติของนิกายอื่นไว้เยอะทีเดียว เพียงรอเวลาที่มันมีมากพอและระดับการบ่มเพาะของเขาข้ามไปอีกเขตแดนหนึ่ง แล้วเขาจะใช้กระเป๋าเหล่านี้มายกระดับกระเป๋ามิติของเขาในอนาคต แม้ว่าเขาจะมีแหวนจัดเก็บอยู่ก็ตาม ในเมื่อกระเป๋ามิตินี้นิกายได้ให้แก่เขา เขาก็เพียงปรับแต่งรูปลักษณ์มัน เขาไม่ได้ใส่ใจกับการที่จะมีของระดับสูงอีกชิ้นหนึ่ง



สําหรับศพของจินเตา เขาไม่มีความจําเป็นต้องทําอะไร ทันทีที่เขาจากไป มันก็จะเป็นอาหารของสัตว์อสูรที่อยู่รอบๆ ศพของผู้ที่มีการบ่มเพาะขั้นสูงสุดระดับก่อสร้างรากฐาน ย่อมถือเป็นยาชั้นเลิศสําหรับสัตว์เหล่านี้ มันคงจะกินไม่เหลือซาก ภายในหลุมดักเซียนนี้ สิ่งที่ต้องระวังสําหรับผู้บ่มเพาะอีกอย่างคือ อย่าพลัดหลงเข้าปากสัตว์อสูร



ภายในตลาดของหมู่บ้านหลีโลว อันปราศจากกลางวัน กลางคืน ซึ่งจะพบเห็นความเคลื่อนไหวของเหล่าผู้บ่มเพาะ มีการ เคลื่อนไหวกลุ่มละสองคนบ้าง สามคนบ้าง



….นักบ่มเพาะผู้หนึ่ง เข้าสู่ตลาดเพื่อที่จะเริ่มการขายยาอายุวัฒนะ และยังคงอยู่ด้านนอกอีกหนึ่งวันเพื่อแลกกับการได้รับ แก่นจิตวิญญาณ ตราบใดที่สามารถขายได้ในราคาที่ยุติธรรม ย่อมถือได้ว่าเป็นการค้าที่ยอดเยี่ยม เมื่อเข้าในตลาด เขา มองไปยังมุมที่เคยอยู่ ด้วยความเคยชิน และพบว่ามันยังคงว่างเช่นเดิม



เขาเพิ่งเดินเตร็ดเตร่ไปยังอีกพื้นที่หนึ่ง ทันใดเงาร่างก็ปรากฏมุ่งไปที่มุมนั้น ท่ามกลางสายตาที่มองด้วยความแปลกใจของ เหล่าผู้บ่มเพาะอื่น เงาร่างนี้ตรงไปนั่งลงกับพื้น หลังจากนั้นวางขวดหยกบนประดาผ้าที่กระจัดกระจายเบื้องหน้า แล้วนั่ง ปราศจากการเคลื่อนไหวอื่นอีก



แทบไม่กล้าเชื่อสายตา และเริ่มพิสูจน์โดยใช้พลังการรับรู้ของจิตวิญญาณ …ใช่จริง ๆ มีผู้บ่มเพาะระดับรวบรวมลมปราณ นั่งอยู่ที่ตรงมุมตรงนั้น พร้อมขวดหยกที่วางบนผ้าขาว และคนคนนั้นคล้ายดั่งเป็นนักปรุงยาผู้เชี่ยวชาญระดับสอง ที่เคย ปรากฏตัวเมื่อสองปีที่แล้ว เว้นแต่ …ระดับการบ่มเพาะที่สูงกว่าเดิมเล็กน้อย



หลังจากประหลาดใจไม่นาน เหล่าผู้บ่มเพาะเกิดความยินดีและเริ่มส่งเสียงตะโกนอย่างร่าเริง แปลกใจในความบังเอิญที่ สามารถได้พบเจ้าคนขายยาเม็ดหยางระดับสอง แต่เมื่อดูราคาของมัน ผู้ใดก็บอกได้ว่านี่คือกําไรแน่ ๆ



ด้วยความตื่นเต้น ผู้บ่มเพาะผู้หนึ่งก้าวไปด้านหน้าอย่างเร็ว  แต่ยังมีคนที่เร็วกว่าเขา ผู้บ่มเพาะมากกว่าสิบคน พุ่งจากทุกทิศไปที่มุมตลาดนั้นราวธนูหลุดจากแหล่ง  ภายในไม่กี่วินาที ที่มุมนั้นล้อมรอบด้วยผู้บ่มเพาะมากกว่าสิบคน



บุคคลนี้คือหยางเฉิน เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับความนิยมในหลุมดักเซียน แต่เพราะเหล่าประดาสัตว์อสูรล้วนไม่กล้าเข้าโจมตีเขา เขาจึงไม่ได้ใช้ยาเม็ดหยางที่ทําเตรียมไว้ใช้เอง ดังนั้นเจ้าจึงมายังตำแหน่งที่คุ้นเคย และเขาพบว่าจะขายมันอย่างไร เมื่อพบกับฉากที่ปรากฏเบื้องหน้านี้



ผู้เชี่ยวชาญนักปรุงยาระดับสอง ยิ่งกว่านั้นเป็นระดับรวบรวมลมปราณนักปรุงยาระดับสอง ใครล่ะจะไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร  ผู้คนที่รายล้อมไม่ได้สนใจกับยาที่หยางเฉินกําลังขาย แต่สนใจที่จะผูกมิตรกับหยางเฉิน ถ้าวันหนึ่งหยางเฉินกลายเป็นนักปรุงยาระดับสาม แล้วเขาจะกลายเป็นแขกผู้มีเกียรติสําหรับทุกนิกาย



ในโลกมนุษย์ นักปรุงยาระดับสี่มีอยู่เพียงน้อยนิด แล้วสําหรับระดับที่สูงกว่านั้น ก็ไม่เคยมีปรากฏ



สําหรับยาที่ผ่านการปรับแต่งสามครั้ง ประสิทธิภาพของมันจะเพิ่มสิบหรือแม้แต่ร้อยเท่า ….ถ้าผ่านการปรับแต่งสี่ครั้ง … พอจะเรียกได้ว่ายาระดับเซียน ซึ่งขีดจํากัดทั้งมวลอยู่ที่เก้าครั้ง ยาเม็ดระดับเก้าที่ปรุงโดยผู้อาวุโสสูงสุด สามารถทําให้มนุษย์ธรรมดาพุ่งขึ้นสู่โลกแห่งจิตวิญญาณเลยทีเดียว การได้เห็นยาเม็ดระดับเก้าบนโลกนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้



ขวดหยกที่เดิมวางอยู่ถูกขายไปในทันทีและแทนที่ด้วยแก่นจิตวิญญาณวางบนผ้าขาว  หยางเฉินยังคงไร้การเคลื่อนไหวใด ๆ แต่ผู้คนเหล่านั้นเริ่มวิตก เมื่อสังเกตพบว่าหยางเฉินนําขวดเม็ดยาลมปราณมาขายเพียงขวดเดียว พวกเขาได้แต่เอ่ยถาม  



ผู้เยาว์หยาง มีอีกมั๊ย ข้าเต็มใจที่จะซื้อมันในราคาสูง”  



ในตอนแรกพวกเขาคิดว่าหยางเฉินไม่มียาเม็ดอีก แต่หยางเฉินกลับหยิบขวดจำนวนหนึ่งออกมา ขวดเหล่านี้ได้รับผลตอบรับเช่นเดียวกับขวดแรกขายออกไปในทันที ยาเม็ดลมปราณระดับสองเทียบได้กับยาบ่มเพาะระดับผลิดอก แต่ใช้งานง่ายกว่ามากและผลก็เกือบจะเหมือนกัน ทุกคนรู้ถึงสรรพคุณของมัน



เมื่อเห็นหยางเฉินไม่ได้นํายาเม็ดออกมาอีก พวกเขาก็ไม่ได้เรียกร้องอีกครั้งแต่อย่างใด  เมื่อพิจารณาการค้าของหยางเฉิน นอกจากสิ่งที่เป็นรูปธรรมที่พวกเขาซื้อแล้ว  มันคงจะดีแน่ ถ้าพวกเขาสามารถสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับหยางเฉิน จะเป็นประโยชน์มากในภายหน้า



หลังจากการขายยาแล้ว ไม่ได้เป็นเวลานานเท่าใด ในขณะที่เขาจะจากไป …พลันมีคนตรงดิ่งมาที่เขาพร้อมเอ่ยถาม  



ศิษย์น้องหยาง เจ้ามีเม็ดยาระดับที่สามมั๊ย ?”



ผู้ที่มาเปิดฉากด้วยคําถาม ที่ทําให้หยางเฉินชะงักชั่วครู่ ก่อนหันมาตอบคําถามนั้น  



ไว้รอข้าออกมาจากหลุมดักเซียน”  



แบ็ง!  



คําพูดนี้ราวกับประกายไฟออกจากกะทะ!

2 ความคิดเห็น:

  1. ว่าล่ะต้องปล้นจากศพ แถมได้อะไรมาไม่มากด้วย อิอิ
    นี่พี่ท่านคงจะอัพเวลด้านปรุงยาอีก

    ตอบลบ
  2. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ