ผลจากการการฝึกเคล็ดวิชาลับหยินหยางห้ารูปแบบ
ทำให้พลังจิตวิญญาณของหยางเฉินเพิ่มขึ้น
อันเป็นผลจากรูปแบบทั้งห้าที่ส่งผลต่อกันและกัน
ทำให้พลังจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์นี้ไม่อ่อนแอไปกว่าระดับสูงสุดของขั้นรวบรวมลมปราณ
พลังอันกล้าแกร่งของรูปแบบทั้งห้าที่บรรจุไปด้วยอักขระสิบดวงดาวแห่งสวรรค์ก่อให้เกิดพลังอันน่าเกรงขาม
และตัวซุนไห่จิ้งไม่เคยฝึกฝนร่างกายเพื่อต่อต้านอักขระ
ภายใต้การโจมตีที่ต่อเนื่องและรุนแรงนี้
จริงๆแล้วเขาไม่อาจทนได้แม้แต่ครั้งเดียวด้วยซ้ำ
ซุนไห่จิ้ง ผู้มีการบ่มเพาะขั้นเริ่มต้นของระดับก่อตั้งรากฐาน
และครอบครองกระบี่บิน
ร่างกายและศีรษะยับเยิน.. ต่อหน้าทุกคน ไม่มีผู้ใดคาดว่า
เขาจะถูกจัดการ..โดยหยางเฉิน! ..ระดับรวบรวมลมปราณขั้นที่สาม!
ความพ่ายแพ้ของโจ่วซี
ศิษย์ภายนอกอันดับหนึ่ง ยิ่งช่วยยกระดับของซุนไห่จิ้งยิ่งขึ้น
การท้าทายเป็นตายต่อหยางเฉินนับว่าสร้างความประหลาดใจมาก
แต่ที่ประหลาดยิ่งกว่านั้น คือซุนไห่จิ้งถูกฆ่าตายบนเวทีในเวลาอันสั้น
นี่หมายความว่าศิษย์ภายนอกอันดับหนึ่งที่แท้จริง
อยู่ที่ระดับรวบรวมลมปราณขั้นที่สาม ไม่ใช่ที่ระดับสูงสุด ?
“น่าสนใจดี”
ทันใดนั้นผู้นำพระราชวังหยางบริสุทธิ์ซึ่งยังไม่ลืมตา
ชี้นิ้วเปล่งแสงพุ่งตรงไปที่หยางเฉิน
ไม่มีผู้ใดรู้
แต่หยางเฉินตื่นตัวในทันที เคลื่อนไหวด้วยความเร็วสายฟ้าแลบ
แขนทั้งสองไขว้ไว้เบื้องหน้าในลักษณะป้องกันตัว
ทันใดยันต์สิบกำแพงปฐพีในกระเป๋าจัดเก็บก็ลอยออกมา แล้วทำให้เกิดกำแพงที่สูงและหนาที่เบื้องหน้าหยางเฉิน
การใช้ยันต์ประดิษฐ์โดยไร้การเคลื่อนไหว
สร้างความตกตะลึงต่อผู้คน แต่ที่สร้างความสับสนกว่านั้น..เขาทำอะไร?..เขาได้รับชัยชนะไปแล้ว..
หยางเฉินย่อมไม่มีเวลาอธิบาย …เพราะทันทีที่เขาหยุดการเคลื่อนไหว
พลังที่แข็งแกร่งก็พุ่งใส่กำแพง
ปัง….
กำแพงปฐพีทั้งสิบด้านถูกพัดออกไปเหมือนกับกระดาษด้วยพลังอันทรงพลังนี้
ในทันทีที่พลังนั้นสัมผัสกับกำแพงปฐพี
ด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณที่น่าเหลือเชื่อนี้ทำให้กำแพงปฐพีกลายเป็นฝุ่นละอองล่องลอยไป
แต่เรื่องยังไม่จบ
หลังจากทำลายกำแพงปฐพีทั้งหมดไป
แต่ก็ยังเหลือพลังจิตวิญญาณบางส่วนได้โจมตีเข้ามาที่แขนที่ประสานไขว้ไว้
ร่างกายของหยางเฉินถูกพลังจิตวิญญาณอันทรงพลังผลักดันไปด้านหลัง
แต่ว่าขาของเขาก็ไม่ได้ลอยขึ้นไป เขาถูกผลักดันออกไปอย่างน้อย เจ็ดฉื่อ
ซึ่งทิ้งรอยเท้าทั้งสองไว้
ความแข็งแกร่งนี้ได้กดข่มหยางเฉินเอาไว้
แม้ว่าหยางเฉินจะป้องกันพลังวิญญาณบางส่วนไว้ได้
แต่พลังวิญญาณบางส่วนก็เล็ดลอดเข้าสู่ร่างกายของหยางเฉิน
ผ่านทางแขนของเขาความเด็ดเดี่ยวของหยางเฉินที่ปะทะกับพลังวิญญาณ
ในครั้งนี้ทำให้ทุกคนประทับใจในตัวหยางเฉิน พวกเขารู้สึกว่าถ้าต้องการเอาชนะอุปสรรคทั้งหมด
จะต้องบดขยี้หยางเฉินให้ละเอียดซะก่อน
เมื่อพลังจิตวิญญาณนี้ได้เข้าสู่ร่างกายของหยางเฉิน
พลังจิตวิญญาณหยินหยางทั้งห้าขั้นตอนของหยางเฉินได้โคจรหมุนเวียน
โดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ มันเริ่มที่จะต่อต้านพลังจิตวิญญาณที่บุกรุกนี้
หนึ่งแขนหยิน..หนึ่งแขนหยาง..ห้ารูปแบบหยินหยางย้อนกลับ
คล้ายหินมหึมาสองก้อน เริ่มทำการต่อต้าน ดูดกลืนพลังจิตที่บุกรุกเข้ามา
สิ่งเดียวที่เหล่าผู้ชมมองเห็นคือ
หลังจากที่หยางเฉินได้รับการโจมตีได้เกิดพลังสีฟ้าโปรงใสขึ้นที่แขนของหยางเฉิน
ราวกับว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิต
มันวิ่งจากแขนขึ้นไปที่ไหล่ของเขาด้วยความเร็วราวกับฟ้าผ่า
พลันในเวลานั้นแสงสีแดงก็ปรากฏขึ้นที่ร่างของหยางเฉิน และเริ่มเคลื่อนไหวไปที่แขนข้างที่มีแสงสีฟ้า
เข้าต่อต้านแสงสีฟ้าที่แผ่กระจายไปทั่วแขนของเขา
“เจ้าประเมินตัวเองสูงไปรึเปล่า”
ชูเฮิงที่อยู่ด้านข้างผู้นำพระราชวัง
ได้เห็นการเคลื่อนไหวของผู้นำราชวัง
เมื่อเห็นหยางเฉินได้ใช้พลังจิตวิญญาณของตัวเองเพื่อต่อต้านพลังจิตวิญญาณของผู้นำพระราชวัง
เป็นที่แน่ชัดว่าชูเฮิงไม่มีความคิดที่จะช่วยเหลือและยังเค้นเสียงขึ้นจมูกออกมาอย่างเย็นชา
กับผลการประเมินเช่นนี้
ผู้นำพระราชวังใช้วิธีนี้เพื่อทดสอบความแข็งแกร่งของหยางเฉินเป็นที่แน่ชัด
แม้แต่ชูเฮิงกับระดับการบ่มเพาะปัจจุบันของเขาก็ไม่กล้าที่จะต่อต้านกระแสพลังของผู้นำประราชวัง
แล้วศิษย์ระดับรวบรวมลมปราณขั้นที่สามที่ไม่ฉุกคิดแล้วต่อต้านเช่นนี้
ช่างไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ช่างเป็นคนที่โง่เขลาจริงๆ
ในตอนนี้ชูเฮิงก็ปล่อยลมหายใจเหน็บหนาวออกมา
สถานการณ์ของหยางเฉินบนเวทีที่กำลังถูกทดสอบ เหมือนถูกใครบางคนต่อยแล้วอีกคนก็เข้ามาตบเข้าที่หน้าของเขา
จู่ๆแสงสีแดงก็หยุดลงที่บริเวณต้นแขนของหยางเฉิน
แม้ว่าในตอนแรกมันจะเริ่มถูกผลักดันให้ถอยกลับไป
แต่หลังจากที่ถอยไปยังพื้นที่ต้นแขนก็สามารถหยุดพลังแสงสีฟ้า
“เกิดอะไรขึ้น”
ซูเฮิงเกิดความสงสัยว่า
จิตวิญญาณของเขาเข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่
แต่ไม่ได้กล่าวอันใดเพราะขณะนี้อยู่ใกล้ท่านผู้นำ
เขาไม่กล้าที่จะเข้าไปตรวจสอบอย่างละเอียด ได้แต่เก็บความคิดเหล่านี้ไว้ในใจ
แล้วเขาเริ่มโคจรพลังจิตวิญญาณเพื่อสังเกตการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตอนนี้
การหยุดชะงักระหว่างแสงสีแดงและสีฟ้าใช้เวลาเพียงแค่พริบตาเท่านั้นและเริ่มปะทะกันอีกครั้ง
แสงสีฟ้าเริ่มถูกสะกดข่มทีละเล็กทีละน้อย เริ่มจากครั้งละขนาดเส้นผม จนเป็น
ครึ่งชุน หนึ่งชุน พื้นที่ของแสงสีน้ำเงินค่อยๆหดลง
แล้วในเวลาไม่นานก็หายไปภายใต้การจับตามองของผู้คนจำนวนมากแสงสีฟ้าที่เข้าสู่แขนของหยางเฉิน
ค่อยๆถูกผลักดันออกไปมันเกิดการเปลี่ยนแปลงในทีแรกเพียงแค่เส้นผม
แต่หลังจากครู่หนึ่งแสงสีฟ้าเริ่มจางหายไปอย่างช้าๆ
และในที่สุดก็หายไปทั้งหมดในขณะที่แสงสีแดงจางๆที่ตัวของหยางเฉินก็เริ่มค่อยๆจางหายไป
ในเวลานั้น
หยางเฉินเหงื่อไหลออกมาโทรมกาย ลมหายใจกลายเป็นยุ่งเหยิง ทรยศต่อร่างกายของเขา
มันแสดงให้เห็นว่าเขาต้องเผชิญกับความยากลำบากเมื่อไม่นานมานี้
ไม่มีผู้ใดรู้ถึงความยากลำบากที่เขาพึ่งผ่านพ้นมา
ไม่มีใครรู้เลยถึงความกดดันนั้นมหาศาลเพียงใด
และสิ่งที่เขาต้องเผชิญหน้าเมื่อไม่นานมานี้ยากลำบากแค่ไหน
ตาที่หลับอยู่ของผู้นำพระราชวังหยางบริสุทธิ์
ในที่สุดก็เปิดขึ้น เผยรอยยิ้มลึกลับบนใบหน้าของเขา
ริมฝีปากของเขาขยับเล็กน้อยเหมือนเขากำลังพูดกับตัวเอง
แต่สาวกจำนวนหนึ่งได้ยินว่าเขากำลังพูดอะไร
“ระดับรวบรวมลมปราณขั้นที่สาม
ไม่น่าเชื่อว่าจะป้องกันการจู่โจมทางจิตวิญญาณ ที่แหลมคมของข้าโดยไม่ต้องใช้อาวุธ …น่าสนใจ !”
หลังจากเขาพูดคำเหล่านี้
พลันเขาก็ส่งเสียงเพิ่มความดังขึ้น พอที่จะยินทั่วทุกคนในตำหนักเก้าปฐพี
“หยางเฉินมีความดีความชอบ
ในการเก็บกวาดภายในพระราชวังครั้งนี้ เพื่อตอบแทนเจ้า ข้าอนุญาตคำร้องขอของเจ้า
ถ้ามันไม่ยากลำบากจนเกินไป”
ในตอนนี้ผู้คนนับพันต่างตกใจกับแหล่งที่มาของการโจมตี
แต่ทันใดนั้นก็เกิดเสียงของผู้นำพระราชวังหยางบริสุทธิ์ดังขึ้น ได้ยินไปทั่วทั้งตำหนักเก้าปฐพี
ด้วยสถานะของท่านผู้นำ
ด้วยการบ่มเพาะผู้เชี่ยวชาญระดับผลิดอก
แม้จะเป็นศิษย์ภายในเอง
ก็ยังยากยิ่งที่จะได้พบ เว้นแต่เวลาที่มีเหตุการณ์สำคัญ ดังนั้นสำหรับพวกเขา ไม่มีโอกาสเลย
แค่เรื่องราวที่ตำหนักเก้าปฐพีตอนนี้
อยู่ในสภาวะเรียกว่าแค่ท่านผู้นำมาก็เกินพอแล้ว แต่ตอนนี้
ท่านผู้นำยังรับปากคำร้องขออีก
แม้แต่ตัวตนของเขาในฐานะผู้นำพระราชวังหยางบริสุทธิ์
การที่เขาใส่ใจศิษย์สายนอกก็เป็นเรื่องที่กรุณามากแล้ว
นี่เป็นเรื่องที่ไม่สามารถคาดเดาได้
สถานการณ์ภายในตำหนักเก้าปฐพีสามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ว่า 'การปรากฎตัวของเจ้าจะนำพาแสงสว่างมายังดินแดนอันต่ำต้อยของเรา'
แล้วในตอนนี้ผู้นำพระราชวังหยางบริสทธิ์ยังสัญญาว่าจะให้คำร้องขอเป็นรางวัล จะไม่ให้เหล่าผู้คนรู้สึกตื่นตระหนกได้อย่างไร?
…เจ้าหยางเฉินนี่
เจ้าบ้านี่ช่างโชคดีนัก …ทุกคนต่างคิดคล้ายๆ กัน ผู้นำพระราชวังอนุญาตให้ร้องขอ แม้จะมีเงื่อนไขว่า
..ถ้าไม่มากเกินไป… แค่นี้ก็เป็นอะไรที่ทำให้ทุกคนเกิดความบ้าคลั่งขึ้น!
ด้วยสถานะของผู้นำพระราชวังหยางบริสุทธิ์
ไม่ว่าจะเป็นทักษะการบ่มเพาะ อาวุธเวท สารพัดยา
หรือแม้แต่การขอเป็นศิษย์โดยตรงก็ดี
กล่าวได้ว่าการร้องขอของหยางเฉินราวกับก้าวขึ้นสวรรค์ด้วยการก้าวเพียงก้าวเดียว
มีบางคนที่รู้สึกอิจฉา
บางคนรู้สึกอารมณ์ผสมปนเป และยังมีอีกหลากหลายอารมณ์ที่พวกเขารู้สึก
แต่หลังจากเห็นความสามารถของหยางเฉินแล้ว ศิษย์สายในอย่างชูเฮิงและตูเชี่ยน
ก็ยังต้องตามอยู่ข้างหลัง
เพียงแค่นิ้วเดียวของผู้นำมันก็สอดคล้องกับทักษะของเขาทั้่งส่งและรับอยู่ภายในใจ
แม้ว่าจะเป็นการโจมตีเพียงแค่นิ้วเดียว ตูเชียน
ชูเฮิงและคนอื่นที่เป็นศิษยระดับก่อสร้างรากฐานต่างก็รับรู้ถึงสิ่งนี้
ถ้าพวกเขาเป็นหยางเฉินก็จะไม่จากไปง่ายๆ
แต่ว่าหยางเฉินอยู่เพียงระดับรวบรวมลมปราณขั้นที่สาม
เขาอยู่ในระดับลมปราณที่ต่ำกว่า แต่เขายังสามารถจัดการซุนไห่จิ้งได้อย่างง่ายดาย
การกระทำเหล่านี้บอกเป็นนัยว่าผู้นำพระราชวังเคลื่อนไหวเพราะหยางเฉิน
สร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้คนเป็นอย่างมาก
ทุกคนกำลังเฝ้ามองไปที่หยางเฉินด้วยความอิจฉา
ไม่ว่าหยางเฉินจะร้องขอสิ่งใด ทักษะ..ยา…อาวุธเวท…สมบัติสวรรค์…ค่ายกลอักขระ
หรือแม้กระทั่งขอให้เพิ่มระดับการบ่มเพาะของเขา ด้วยเพียงคำพูดเดียว …ทุกๆคนต่างจิตนาการ ถ้าพวกเขาอยู่ตรงจุดๆนั้น พวกเขาจะขอสิ่งใด
เป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาอยากรู้อยากเห็นถึงคำขอของหยางเฉินมากยิ่งขึ้น
“ศิษย์หยางเฉินขอคารวะท่านผู้นำ
..ศิษย์ขออนุญาตให้ได้รับการยินยอม เข้า หลุมดักเซียน…!”เมื่อหยางเฉินได้ยินเสียงผู้นำพระราชวัง
เพื่อเป็นการสอดคล้องกับความต้องการของผู้นำพระราชวัง
เขาร้องขอในสิ่งที่เขาต้องการทันที
เมื่อสิ้นสุดคำพูดของหยางเฉิน
ทำให้เกิดเสียงโห่ร้องออกมาในทันที เขาไม่ได้ขออาวุธวิเศษ หรือทักษะบ่มเพาะ ไม่ใช่แม้แต่สมบัติอื่นๆ เขาเพียงขอเข้า
หลุมดักเซียน ผู้คนส่วนใหญ่ในตำหนักเก้าปฐพีต่างเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
สิ่งแรกที่วาบเข้ามาในความคิดของพวกเขาคือ มันต้องมีสมบัติบางอย่างซึ่ง
เป็นสิ่งที่หยางเฉินต้องการ นั่นคือเหตุผลที่เขาไม่ลังเลที่จะร้องขอผู้นำพระราชวัง
สำหรับคนที่รู้จัก 'หลุมดักเซียน' พวกเขาต้องสูดลมหายใจหนาวเหน็บเข้าไป 'หลุมดักเซียน'
เป็นชื่อที่ทุกคนลงความเห็นว่าไม่ได้เป็นพื้นที่ที่ปลอดภัย
พวกเขาไม่คาดคิดว่าหยางเฉินจะอยากไปที่นั่น
เมื่อผู้นำพระราชวังได้ยินคำร้องขอของหยางเฉินก็อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้
ศิษย์ระดับก่อกำเนิดรากฐานที่มีไม่มากนักได้ยินก็แทบไม่เชื่อ
แต่เพราะผู้นำพระราชวังอยู่ใกล้ๆ พวกเขาจึงไม่กล้าที่จะพูดอะไร
แต่นี่คือผู้นำพระราชวัง
ความประหลาดใจเพียงหยุดเขาไว้แค่พริบตา ก่อนที่เขาจะหัวเราะออกมาเบาๆ
จากนั้นเขาก็ขยับริมฝีปากกล่าวออกมาว่า :
“ในเมื่อเจ้าสามารถรับการโจมตีด้วยนิ้วของข้าได้
..เจ้าก็มีคุณสมบัติพอที่จะเข้าไปใน ..หลุมดักเซียน “
เขาขยับมือของเขาเล็กน้อยก็
ปรากฏแผ่นหยกสีขาวขนาดเล็กขึ้นในมือของเขา
เขาส่งแผ่นหยกให้ลอยไปทางหยางเฉินที่อยู่บนเวที
“เอาไป
เตรียมตัวให้พร้อม ”
ขณะที่หยางเฉินรับแผ่นหยกสีขาว
เขาก็ได้ยินเสียงของผู้นำพระราชวัง เขาจึงตอบรับกลับไปเสียงดัง :
“รับทราบ”
การแข่งขันที่เหลือ
ไม่มีสิ่งมหัศจรรย์ใดเกิดขึ้นอีก
มีเพียงกงซุนหลิงแต่ผู้เดียวที่ท้าทายขั้นที่แปดสามคนและขั้นที่เก้าอีกสองคน
แน่นอนชัยชนะย่อมตกเป็นของเธอ ทำให้ทุกสายตามองไปที่เธอด้วยความชื่นชม
ในทักษะอันยอดเยี่ยมของเธอ
ส่วนผู้นำพระราชวังหยาง
หลังจากให้แผ่นหยกแก่หยางเฉินแล้ว ก็ไม่ได้กล่าวอะไรอีก นอกจากชมเชยกงซุนหลิง
จากนั้นพักผ่อนอยู่ที่ตำหนักเก้าปฐพีอีกสองวัน
..แม้แต่ชูเฮิงก็ไม่กล้าที่จะหายใจแรงๆออกมา มีเพียงหยางเฉินที่ดำเนินชีวิตตามปกติ
หลังจากทุกอย่างได้รับการคลี่คลาย
ประเด็นที่ทุกคนพูดคุยกันมากที่สุดคือ อะไรคือ ‘หลุมดักเซียน’ มันคือสถานที่แบบใด
แต่หลังจากได้รับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับมัน ทุกคนก็รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก
‘หลุมดักเซียน’ เป็นสถานที่สำหรับให้ศิษย์ทุกนิกาย
ตั้งแต่ที่มีการบ่มเพาะระดับก่อสร้างรากฐานขึ้นไป
สามารถเข้าไปฝึกบ่มเพาะอารมณ์
และเนื่องจากมีทางออกเพื่อขึ้นเหนือพื้นดินทางเดียว
แล้วยังเป็นทางออกสำหรับ จิตวิญญาณสัตว์ใต้พิภพ จึงเป็นที่ที่เหมาะกับการฝึกบ่มเพาะ
และลดจำนวนจิตวิญญาณสัตว์ ซ้ำยังมีโอกาสได้รับแก่นวิญญาณ
จิตวิญญาณสัตว์ใต้ภิภพย่อมเกี่ยวข้องต่อความปลอดภัยของคนทั้งโลก ‘หลุมดักเซียน’จึงเป็นสถานที่ที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง
เพราะฉะนั้นแต่ละนิกายจึงต้องส่งผู้เชี่ยวชาญระดับผลิดอก….. มาดูแลอย่างน้อยหนึ่งคน
แม้จิตวิญญาณสัตว์ใต้พิภพจะมีขนาดใหญ่
แต่มันกำเนิดจากจักรวาลและไม่ได้มีสติปัญญา แต่กระทำทุกอย่างตามสัญชาตญาณเท่านั้น
พวกมันอยู่รวมกันเป็นฝูงแล้วพร้อมจู่โจมทำลายทุกอย่างที่ขวางทาง คำว่า ‘ดักเซียน’ สองพยางค์นี้ แท้จริงคือคำเตือน …ในโลกการบ่มเพาะ ‘หลุมดักเซียน’ จึงหมายถึง ..ดินแดนแห่งความตาย!
ทุกคนได้ยินล้วนตกใจ
ในจำนวนคนที่อยากไป ‘หลุมดักเซียน' พวกเขาสมควรมีความแข็งแกร่งอย่างน้อยระดับก่อสร้างรากฐานมิฉะนั้นทางนิกายจะไม่มอบแผ่นหยกให้
ถ้าใครไม่มีสิ่งนี้พวกเขาก็ไม่สามารถแสดงตัวตนกับประตู‘หลุมดักเซียน' แม้ว่าหยางเฉินจะอยู่ระดับรวบรวมลมปราณขั้นสาม
แต่เขาได้ร้องขอให้ผู้นำพระราชวัง อนุญาติให้เขาเข้าสู่ ‘หลุมดักเซียน'
ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถเอาชนะซุนไห่จิ้งได้
แต่เมื่อพูดถึงแล้วซุนไห่จิ้งก็ยังเป็นเพียงผู้บ่มเพาะระดับสูงสุดของขั้นรวบรวมลมปราณ
ถึงแม้ว่าเขาใกล้จะอยู่ขั้นก่อสร้างรากฐาน แต่เขาก็ยังไม่สามารถทะลวงขึ้นไปได้
หยางเฉินตั้งใจที่จะเอาชีวิตของเขาไปทิ้งหรือ?
มีเพียงผู้เดียวที่ไม่ได้ประหลาดใจต่อการตัดสินใจของหยางเฉิน
คือกงซุนหลิงทันทีที่จบการแข่งขันต่อสู้ภายใน เธอมองหาหยางเฉิน
เพื่อเตือนให้ระมัดระวัง และไม่ลืม..ท้าทายเขา!
“ศิษย์น้องหยาง ..
เจ้าล่วงหน้าไปหลุมดักเซียนก่อนข้า รอก่อนเดี๋ยวข้าก็ตามเจ้าทัน!”
หยางเฉินรู้สึกยินดี ต่อคำท้าทายนี้
นั่นแสดงว่าเธอยังไม่ ซึมซับการบ่มเพาะที่เจ็บปวด และกลายเป็นพวกบ้าการบ่มเพาะ
จนทำให้ไม่รู้ว่าโลกไปถึงไหน ….ดูเธอจะกระตือรือล้นมากยิ่งขึ้น
“ดี…ดี…..ข้าจะรอท่านที่นั่น”
เขาตอบรับคำท้าของเธอ
ขอบคุณมากครับ แปลอย่างไว
ตอบลบขอบคุณครับ ตอนนี้มาไวดี สำนวนแปลก็อ่านง่าย
ตอบลบท่าทางจะเจอแรร์ไอเทมอีก
ตอบลบเข้าดันเจี้ยนแล้ว
ตอบลบ