"ถ้าข้าจำได้ไม่ผิด
เฉินเจียอี้ได้ทำการบ่มเพาะพลังเวทจนทะลวงผ่านระดับห้า ลุงรอง
ท่านกำลังพยายามจะบอกว่าเฉินเจียอี้ซึ่งเป็นมีพลังเวทระดับห้าได้รับบาดเจ็บอันเนื่องมาจากหยานเซียวผู้ที่ไม่มีพลังเวทและพลังลมปราณ? ร่องรอยแห่งความโกรธปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเฉินซืออู๋
ซึ่งเคยดูสุภาพอ่อนอ่อนโยนเช่นหยกในก่อนหน้านี้
ความโกรธยังคงแผ่ออกไปในอากาศจากชายหนุ่มที่เคยดูสุภาพอ่อนโยนในก่อนหน้านี้
ถึงแม้ว่าจะเป็นเฉินหยิว
แต่ก็เห็นได้ว่าความโกรธที่แผ่ออกมาจากเฉินซืออู๋
มันให้ความรู้สึกกดดันที่มีพลังอำนาจมากที่สุด และกลายเป็นความกลัวอย่างยิ่งอยู่ภายใน
เพียงแค่ระดับพลังความแข็งแกร่งที่เด็กหนุ่มคนนี้สามารถเข้าถึง
สำหรับเขาแล้วมันเป็นสิ่งที่เขาไม่คาดฝัน
เด็กหนุ่มผู้นี้จะสามารถแผ่กลิ่นอายที่น่าเกรงขามเช่นนี้ออกมาได้!
คนที่มีพลังเวทระดับห้าและได้รับบาดเจ็บเนื่องมาจากคนงี่เง่าที่ไม่มีแม้แต่พลังลมปราณและพลังเวทอย่างสมบูรณ์
มันเป็นไปได้หรือไม่? ถ้าข่าวนี้ได้แพร่กระจายออกไป
แน่นอนว่าจะสามารถกลายเป็นเรื่องตลกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวรรดิหลงซวนในรอบร้อยปีนี้
ไม่จำเป็นต้องพูดถึงว่า
เฉินเฟิงจะเชื่อหรือไม่ แม้แต่เฉินหยิว
เองก็คงจะไม่สามารถรับความเป็นจริงแบบนี้ได้ ถ้ามันเป็นจริงแล้ว
มันก็อาจจะกล่าวได้ว่าขยะผู้นี้เป็นอะไรที่น่ากลัวมากกว่าลูกสาวของเขา
ซึ่งเขามีความภาคภูมิใจจนถึงขณะนี้?
สีหน้าของเฉินหยิวเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีเขียวและเป็นสีม่วง
"เจี่ยเว่ย
เจ้าบอกมา ว่ามันเกิดอะไรเกิดขึ้นบ้าง" เฉินเฟิงขมวดนคิ้วของเขา เรื่องนี้เกิดขึ้นในห้องเฉินหยานเซียว
และด้วยเหตุผลตามปกติ การที่เฉินเจียอี้และเฉินเจียเว่ยมาที่นี่
แน่นอนว่าเฉินหยานเซียวจะต้องเป็นคนที่เคราะห์ร้าย
อย่างไรก็ตามวันนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาได้เปลี่ยนตำแหน่งกัน
เฉินเจียอี้ยังไม่ได้สติขณะที่ใบหน้าของเฉินเจียเว่ยนั้นดูเจื่อนลง
เฉินเจียเว่ยกลัวเฉินเฟิงหากเขายังคงนิ่งเงียบอยู่เช่นเดิม
แม้ว่า เฉินเฟิงจะเป็นปู่ของเขา
แต่เฉินเฟิงก็ไม่เคยได้ใกล้ชิดกับเฉินเจียเว่ยเช่นความสัมพันธ์ปู่หลานทั่ว ๆ ไป
เมื่อชื่อของเขาถูกเอ่ยออกมา
เฉินเจียเว่ยกลืนน้ำลายของเขาและเขาอดที่จะหันไปมองเฉินหยานเซียวตามสัญชาตญาณไม่ได้
เฉินหยานเซียวผู้ที่ได้รับการคุ้มครองอยู่ที่ด้านหลังของเฉินซืออู๋
เฉินหยานเซียวตอนนี้ราวกับว่าเธอได้กลับมาสู่สภาพเดิมที่ควรจะเป็นเช่นในก่อนหน้านี้
รูปลักษณ์ปีศาจและรอยยิ้มที่ชั่วร้ายในก่อนหน้านี้ได้หายไปอย่างสมบูรณ์ แต่ด้วยระยะเวลาสั้น
ๆ เพียงแค่ระยะเวลานั้น ฉากนั้นยังคงฝังลึกลงไปในจิตใจของเฉินเจียเว่ยโดยไม่รู้ตัว
ไม่มีเหตุผลใด ๆ ขณะที่เขามองไปที่เฉินหยานเซียว
ภายในใจของเขาไม่ได้มีเจตนาที่ดูถูกและรังเกียจเธอ
แต่มีเพียงแค่ความไม่เต็มใจจากการเกิดการเปลี่ยนแปลงราวกับแผ่นดินไหว
“ทำไมเจ้าถึงไม่พูด!”
เมื่อเห็นว่าลูกชายของเขาจ้องมองไปที่ตัวโง่เง่าประจำตระกูล
มันก็ทำให้เฉินหยิวรู้สึกโกรธ
เฉินเจียเว่ยรีบพูดออกไป
"ข้า ... ข้าก็ไม่รู้อะไรเช่นกัน พี่สาวเพียงแค่ขอร้องให้ข้าเฝ้าที่ประตู
เหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นภายในห้องนั้นข้าไม่ทราบแต่อย่างใด"
โดยปกติแล้ว
เฉินเจียเว่ยจะต้อง ‘ขว้างปาก้อนหินให้กับคนที่ล้มลง’
ดังนั้นแม้ว่าเขาจะไม่ได้เห็น เฉินหยานเซียวทำการใด ๆ
เขาก็สามารถเปลี่ยนแปลงมันเพื่อตำหนิเฉินหยานเซียว
แต่ในตอนนี้จิตใจของเขาก็เหมือนกับก้อนหินที่ถูกกดลงไป และไม่ว่าเขาจะทำอะไร
เขาก็คงจะไม่กล้าที่จะพูดคำพูดใด ๆ เพื่อใส่ร้ายเฉินหยานเซียว
แน่นอนเขาไม่อยากเห็นรอยยิ้มแบบนั้น
มันทำให้เลือดของเขาแทบจะแช่แข็ง
"เฝ้าที่ประตู?"
เฉินซืออู๋จ้องเขม้งไปที่เฉินเจียเว่ย
ในตอนนี้เฉินเจียเว่ยก็เหมือนนกกระทาที่หดคอของมัน เฉินเจียเว่ยค่อย ๆ
หดกลับไปที่ด้านหนึ่ง
เฉินเฟิงขมวดคิ้วของเขาลึกมากขึ้น
ณ ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลใด ๆ
ด้วยภูมิปัญญาของเฉินหยานเซียวที่อยู่ในระดับมาตรฐานของเด็กวัยสี่ขวบเท่านั้น
และคำพูดที่ออกจากปากของเธอก็ไม่สามารถนับได้ ส่วนเรื่องเฉินเจียอี้
เธอยังหมดสติและยังไม่สามารถให้ข้อมูลใด ๆ ได้
"พวกเจ้ากลับออกไปก่อน
แล้วข้าจะให้เฉินชิวมาดู พวกเจ้าคิดว่าเราไม่มีอะไรต้องทำแล้วหรืออย่างไรกัน? พวกเจ้ามัวแต่ทำอะไรแถวนี้อยู่อีก? ไปทำสิ่งอื่น ๆ
ที่สมควรจะต้องทำซะ!” เฉินเฟิงมีอาการปวดหัวมากในตอนนี้
ทั้งพลังกายและจิตใจทั้งหมดของเขาต้องมาวุ่นวายกับเรื่องภายในตระกูล
และเขาจะยังมีอารมณ์ในการจัดการเรื่องที่น่าเบื่อหน่าย
ที่บรรดาลูกหลานกำลังโต้เถียงกันอย่างไม่มีจุดหมายต่อไปได้อย่างไร
ภายใต้คำสั่งของเฉินเฟิง
ทุกคนต่างมองหน้ากันอย่างรวดเร็ว
เฉินหยิวปกปิดอาการที่ไม่พอใจก่อนที่เขาจะออกไปพร้อมกับเฉินเจียอี้และเฉินเจียเว่ย
หลังจากที่เฉินเฟิงพูดออกมาอีกสองสามคำ เขาก็เดินออกไป
ขอบคุณครับ
ตอบลบ